ราชันเร้นลับ Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ – ราชันเร้นลับ 1186 : โอกาสและความเสี่ยงคือของคู่กัน

ราชันเร้นลับ 1186 : โอกาสและความเสี่ยงคือของคู่กัน

เดอะฟูล ไคลน์เพียงอืมในลำคอ มิได้ยืนยันหรือปฏิเสธข้อสันนิษฐานของแฮงแมน เพราะตนไม่มีวิธียืนยันว่าอีกฝ่ายคือราชินีแห่งภัยธรรมชาติ โคฮีเน็มจริงหรือไม่ และคงไม่เหมาะหากจะนำเหรียญทองออกมาดีดทำนายต่อหน้าแฮงแมน

แฮงแมน อัลเจอร์รอสักพักจนกระทั่งแน่ใจว่าเดอะฟูลไม่อธิบายเพิ่มเติม มันรีบเล่าลงลึกรายละเอียด เริ่มจากการปรากฏตัวของสตรีที่อ้างตัวว่าเป็นราชินีแห่งภัยธรรมชาติ ต่อด้วยเรื่องที่อีกฝ่ายทักว่าตนมีสายเลือดเอลฟ์อยู่บางส่วน คำสัญญาที่จะช่วยให้เป็นครึ่งเทพ การปรากฏตัวอีกครั้งของทวีปตะวันตก และกุญแจสำคัญของเรื่องราวทั้งหมด

กล่าวจบ อัลเจอร์ปิดปากพร้อมกับก้มศีรษะลงต่ำ ไม่กล้าถามความเห็นของเดอะฟูลโดยตรง เพียงรอฟังสิ่งที่อีกฝ่ายจะพูด

เลือดเอลฟ์บางส่วน…นำบางสิ่งจากหนังสือแห่งภัยธรรมชาติไปยังทวีปตะวันตก…ทวีปตะวันตกอาจปรากฏขึ้นอีกครั้ง…ทวีปตะวันตก…เดอะฟูล ไคลน์ นั่งฟังเงียบงันพลางหลับตาและกล่าวเสียงแผ่ว

“แม้จะอันตราย แต่ก็เป็นโอกาสที่ดีสำหรับเจ้า”

ไคลน์ในปัจจุบันสามารถระดมพลังของปราสาทต้นกำเนิดได้ทัดเทียมเทวทูตลำดับสอง และราชินีแห่งภัยธรรมชาติโคฮีเน็มก็ไม่น่าจะมีระดับสูงไปกว่านี้ ชายหนุ่มจึงมั่นใจว่าตนสามารถรับมือกับภัยคุกคามจากราชินีเอลฟ์ได้ทุกประเภท

นั่นคือเหตุผลที่มันกล้าพูดว่านี่เป็นโอกาสของแฮงแมน

แต่แน่นอน เงื่อนไขคือแฮงแมนห้ามบุ่มบ่ามหรือประมาทโดยเด็ดขาด ต้องไม่ลืมขอความคุ้มครองจากมิสเตอร์ฟูลอย่างสม่ำเสมอ ไคลน์จึงต้องเน้นย้ำว่าเรื่องนี้อันตรายเพื่อให้แฮงแมนไม่ลืมสวดวิงวอนถึงเดอะฟูลก่อนลงมือ

ประโยคสั้นดังกล่าวแฝงความนัยไว้สองเรื่อง และไคลน์เชื่อว่าแฮงแมนน่าจะวิเคราะห์ได้

อัลเจอร์เผยความโล่งใจ จากนั้นก็รีบกล่าวสิ่งที่เดอะซันเคยพูด

“ศรัทธาของผมมีเพียงมิสเตอร์ฟูลเท่านั้น!”

คำพูดดังกล่าวทำให้ไคลน์กระอักกระอ่วนเล็กน้อย อดไม่ได้ที่จะนึกถึงความเจ็บปวดเมื่อครั้งถูกพายุสายฟ้ากระหน่ำใส่ ทำได้เพียงยิ้มโดยไม่กล่าวคำใด

แฮงแมนครุ่นคิดสักพักก่อนจะถาม

“เรียนมิสเตอร์ฟูล คาถาหรือรหัสผ่านในการเข้าสู่ทวีปตะวันตกคืออะไร?”

ทางนี้เองก็อยากรู้เหมือนกัน…เดอะฟูล ไคลน์ ถอนหายใจเงียบ

“ยังไม่ถึงเวลาที่เจ้าต้องรู้”

“ครับ มิสเตอร์ฟูล” แฮงแมน อัลเจอร์ไม่ถามเพิ่มเติม เพียงก้มศีรษะคำนับนอบน้อม

เมื่อกลับมายังโลกความจริง มันออกจากเต็นท์และพาลูกเรือออกเดินทางทันที ใช้เวลาสักพักกว่าจะถึงโบราณสถานเอลฟ์ในยามรุ่งสาง

ฉากตรงหน้าเหมือนกับที่อัลเจอร์เห็นในความฝันทุกประการ เถาวัลย์เหี่ยวเฉาปกคลุมอาคารไม้ผุพัง บางจุดมีแผ่นป้ายจารึก บรรยากาศเงียบสงัดราวกับไม่เคยมีใครมาเหยียบเป็นเวลานาน

มองไปรอบตัว อัลเจอร์ผุดคำถามใหม่

นั่นก็คือ หากมันกลายเป็นครึ่งเทพโดยอาศัยความช่วยเหลือจากราชินีแห่งภัยธรรมชาติ แล้วจะต้องกลับไปรายงานกับศาสนจักรว่าอย่างไร?

ก่อกบฏและกลายเป็นราชาแห่งท้องทะเลคนที่ห้า? ไม่สิ คนที่หก…แต่หากทำแบบนั้นก็จะยิ่งห่างไกลจากหนังสือแห่งภัยธรรมชาติมากขึ้น เว้นเสียแต่เราจะออกแบบสถานการณ์ให้ทางศาสนจักรนำหนังสือซึ่งน่าจะเป็นสมบัติปิดผนึกระดับศูนย์ออกมาเล่นงานเรา…แต่นั่นเกิดขึ้นได้ยากมาก เพราะเราแทบไม่มีข้อมูลของหนังสือเลย และอย่างน้อยก็ต้องอยู่ในลำดับ ‘เจ้าสมุทร’ หรือ ‘ภัยธรรมชาติ’ เสียก่อน…เรื่องนี้สามารถนำไปปรึกษากับเดอะเวิร์ลได้…แต่ถ้าเราต้องการจะอยู่ในศาสนจักรต่อไป ต้องสร้างเหตุผลดีๆ ที่อีกฝ่ายปฏิเสธไม่ลง…อัลเจอร์ขมวดคิ้วแผ่วเบาโดยไม่สูญเสียความเยือกเย็น

ในสายตาลูกเรือ การแสดงออกของอัลเจอร์หมายถึงความกังวลที่มีต่อโบราณสถาน

ท่ามกลางกระแสความคิด อัลเจอร์ตระหนักถึงบางสิ่ง

ตามเอกสารหลายฉบับของศาสนจักร มีตัวตนระดับสูงบางคนกลายเป็นครึ่งเทพได้จากเหตุไม่คาดฝัน…แม้สองในสามจะถูกกัดกร่อนโดยเทพมารและเสียชีวิตในภายหลังจากกระบวนการชำระล้าง…แต่หนึ่งในสามสามารถเอาตัวรอดมาได้และกลายเป็นอาวุโสใหญ่หรือไม่ก็พระคาร์ดินัล…

ตอนนี้สงครามกำลังปะทุหนัก สถานการณ์ในโลเอ็นกำลังตึงเครียดสุดขีด ตราบใดที่ตรวจสอบแล้วไม่พบปัญหา ทางศาสนจักรคงไม่ถือสาเรื่องที่จะมีครึ่งเทพลำดับสี่ เพิ่มขึ้นสักคนมาให้ใช้เป็นเบี้ยในแนวหน้า…จากนั้นเราค่อยสร้างความไว้วางใจในภายหลัง…

เงื่อนไขของแผนการนี้ก็คือ ราชินีแห่งภัยพิบัติต้องไม่พยายามกัดกร่อนหรือทิ้งตราประทับไว้บนตัวเรา…

พิจารณาจากสมบัติปิดผนึกจำนวนมากที่โบสถ์ถือครอง เราคงต้องสวดวิงวอนถึงมิสเตอร์ฟูลล่วงหน้า…จากคำบอกเล่าของมิสจัสติส อ้อมกอดเทวทูตของมิสเตอร์ฟูลสามารถซ่อนความคิดที่แท้จริงได้ในการสอบปากคำ…

ท่ามกลางสถานการณ์ที่สมาชิกชุมนุมทาโรต์ทยอยเลื่อนลำดับเป็นครึ่งเทพหรือใกล้จะเป็น อัลเจอร์ไม่ต้องการกลายเป็นชนชั้นล่างสุดของสังคม เฉกเช่นที่มันเคยดิ้นรนไขว่คว้าหาอำนาจภายในศาสนจักร มันกล้าเสี่ยงเพื่อให้ตัวเองมีอนาคตที่สดใส

เมื่อตัดสินใจหนักแน่น อัลเจอร์นำทางลูกเรือเข้าไปสำรวจภายในซากปรักหักพังตามลำดับที่เคยทำในฝัน

ในครั้งนี้ มันมิได้แบ่งลูกน้องออกเป็นกลุ่มย่อยและแยกกันสำรวจ แง่หนึ่งเพราะกังวลเกี่ยวกับอุบัติเหตุ แต่อีกแง่หนึ่งเพราะต้องการให้ทุกคนเป็น ‘พยาน’ ปากสำคัญ

ผ่านไปสิบห้านาที อัลเจอร์และลูกเรือเดินมาถึงบริเวณใต้ต้นไม้ใหญ่ที่ด้านล่างมีร่องรอยดินใหม่

ยังไม่ทันจะได้สำรวจโดยรอบ สายตาของมันพลันพร่ามัวพร้อมกับวิวทิวทัศน์ที่แปรเปลี่ยนเป็นวังปะการัง

เหนือวังมีคลื่นน้ำกระเพื่อมหลายชั้น ภายในวังเต็มไปด้วยเสาหินต้นใหญ่เรียงรายคอยค้ำจุนโดมสูง

อัลเจอร์มองไปรอบตัวและพบว่าลูกเรือด้านข้างหายไปทั้งหมด มันวิเคราะห์ตนคงถูกดึงเข้ามาในภาพลวงตา

สูดลมหายใจเงียบงันสักพัก อัลเจอร์เดินเข้าไปในวังปะการังอย่างไม่รีบร้อน

ด้านในมีเอลฟ์อยู่หลายตน บ้างกำลังย่างปลา บ้างกำลังโรยเครื่องเทศลงบนหม้อต้มเลือดสัตว์ที่แข็งเป็นก้อน บ้างใช้กิ่งไม้สองกิ่งเป็นอุปกรณ์คีบอาหารเข้าปาก ไม่มีใครสนใจคนแปลกหน้าที่เพิ่งเดินเข้ามา

อัลเจอร์ทอดสายตาไปทางขั้นบันไดเก้าขั้นที่อยู่ห่างออกไปกว่าร้อยเมตร

เหนือขั้นบันไดเป็นบัลลังก์ปะการังที่ฝังด้วยไพลิน มรกต และไข่มุกแวววาว ราชินีแห่งภัยพิบัติที่นั่งอยู่ด้านบนกำลังมองต่ำมาทางอัลเจอร์

“เลือกได้ดี” โคฮีเน็มพยักหน้าแผ่วเบาพลางโยนแก้วไวน์ทองคำสลักลวดลายวิจิตรในมือลงมา

สายลมแผ่วเบาแต่มั่นคงโอบกอดแก้วไวน์และพามาหาอัลเจอร์ประหนึ่งภูตลมตัวจิ๋ว

อัลเจอร์เอื้อมมือไปหยิบและก้มมองเข้าไปในแก้ว จนกระทั่งเห็นของเหลวสีน้ำเงินที่ดูมายา ชวนฝัน และพร่ามัว

“ดื่มให้หมด จากนั้นก็เดินทางไปยังน่านน้ำใกล้กับเกาะไซมีมในเขตหมู่เกาะรอสต์ สิ่งที่เจ้าต้องการอยู่ภายในวังปะการัง”

“ถ้าไม่ได้ดื่มไวน์แก้วนี้ ผมจะมองไม่เห็นวังดังกล่าว?” อัลเจอร์ถามสีหน้าครุ่นคิด

แม้จะกำลังเผชิญหน้ากับเทวทูต แต่อัลเจอร์ยังคงสนทนาโต้ตอบอย่างใจเย็น นั่นเพราะมันได้พบกับตัวตนที่ยิ่งใหญ่กว่าในทุกสัปดาห์จนเกิดความเคยชิน

ราชินีแห่งภัยพิบัติพยักหน้าแผ่วเบาและกล่าว

“ใช่”

“คุณจะฝังตราประทับลงบนตัวผม?” อัลเจอร์ถามอย่างรอบคอบ

“ใช่” โคฮีเน็มกล่าวเสียงเย็น “ดังนั้น หากยังไม่ได้เข้าไปในวังดังกล่าว เจ้าห้ามกลับไปยังเกาะปาซูและพบกับเทวทูตของเลโอเดโร”

ต่อให้อยากพบ แต่คนอย่างเราก็คงไม่มีสิทธิ์ได้เข้าเฝ้าองค์สังฆราช…อัลเจอร์ถอนหายใจโล่งอกก่อนจะถาม

“หลังจากได้ครอบครองสิ่งนั้น ผลของ ‘ไวน์’ แก้วนี้จะหายไป?”

ราชินีเอลฟ์ โคฮีเน็มตอบโดยไม่เปลี่ยนสีหน้า

“ไม่…ที่เจ้าต้องทำคือการกินตะกอนพลังดังกล่าวเข้าไปโดยตรง…เมื่อถึงตอนนั้น ‘ไวน์’ ในแก้วจะทำหน้าที่เป็นผนึกป้องกันมิให้ตะกอนพลังกัดกร่อนร่างกาย…สำหรับพิธีกรรมเพื่อสยบอำนาจของมันและคำอธิบายต่อโบสถ์วายุสลาตัน เจ้าต้องคิดเอาเอง”

ปล่อยให้ตะกอนพลังเข้ามาอยู่ในร่างกายเราก่อน จากนั้นค่อยประกอบพิธีกรรมสยบในภายหลัง? เยี่ยมเลย แบบนี้ทางศาสนจักรยิ่งยอมรับในตัวเราง่ายขึ้น…อัลเจอร์ไตร่ตรองสักพักและยกมือขึ้นกระดกไวน์เข้าปาก

ของเหลวเย็นเยียบไหลผ่านลำคออัลเจอร์ก่อนจะเลือนหายไป ขณะเดียวกัน ทิวทัศน์วังปะการังแตกละเอียด แสงแห่งรุ่นอรุณส่องเข้ามาแยงตาอัลเจอร์จนเผยให้เห็นภาพต้นไม้ยักษ์

ไม่ได้ทำพันธสัญญา ไม่ต้องสาบาน? นั่นสินะ…การดื่ม ‘ไวน์’ แก้วนั้นคงเท่ากับบรรลุข้อตกลง…อัลเจอร์ถอนสายตากลับและหันไปพูดกับบรรดาลูกเรือไร้เดียงสา

“แถวนี้ไม่มีอะไร ไปสำรวจที่อื่นกันต่อ”

ภายในวังโบราณเหนือสายหมอกสีเทา

ไคลน์ถอนสายตาออกจากดาวแดงตัวแทนแฮงแมนพลางพยักหน้าครุ่นคิด

ตรงนั้นคือสุสานของเซียธาสกับโมเบธ…แก้วไวน์มีพลังแบบนี้ด้วยหรือ…

เป็นราชินีเอลฟ์ โคฮีเน็มตัวจริง…ตอนนี้เธออยู่ในสถานะไหน? ครึ่งหนึ่งอยู่ในหนังสือแห่งภัยพิบัติ ส่วนอีกครึ่งซ่อนตัวอยู่ที่ใดสักแห่งและสร้างอิทธิพลต่อโลกความจริงผ่านแก้วไวน์หรือไม่ก็ตะกอนพลัง?

มิสเตอร์แฮงแมนจะไม่ถูกกัดกร่อนไปอีกสักระยะ…ค่อยตรวจสอบอีกครั้งในตอนที่เขาไปถึงหมู่เกาะรอสต์…

เนื่องจากร่างต้นของไคลน์อาศัยอยู่ในช่องว่างประวัติศาสตร์ได้ไม่นานนัก มันจึงไม่มัวแช่อยู่นาน รีบส่งตัวเองกลับมายังดินแดนอันรกร้างและมืดมิด จากนั้นก็เดินถือตะเกียงสีเหลืองไปยังทิศทางหนึ่งอย่างใจเย็น

ขณะย่างกราย ไคลน์หันหน้าไปทางทิศตะวันออกซึ่งเป็นสถานที่ตั้งเชอร์โนบิล ฝีเท้าเชื่องช้าลงโดยไม่รู้ตัว

หลังจากทราบข้อมูลเกี่ยวกับจุดซ่อนตัวเก่าของหมาป่าอสูรทมิฬทั้งหมด เราจะตรงไปทางตะวันออกและเดินไปเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงสุดขอบ จากนั้นค่อยยืนยันสถานการณ์และพิจารณาทางเลือกในการครอบครองตะกอนพลังผู้ชี้นำปาฏิหาริย์…อามุนด์คงคาดไม่ถึงว่าเราจะหนีออกมาเร็วขนาดนี้…อีกฝ่ายรู้จุดซ่อนตัวเก่าของหมาป่าอสูรทมิฬดีอยู่แล้ว คงไม่น่าจะสำรวจชนกับเรา…อา…แต่เจ้านั่นคงยังพยายามค้นหาเราอย่างไม่ลดละแน่นอน…ไคลน์ถอนหายใจออกพร้อมกับเร่งฝีเท้า

อสนีบาตสีเงินแผ่ซ่านไปทั่วท้องฟ้าพลางมอบแสงสว่างแก่ดินแดนอันรกร้างและเต็มไปด้วยอันตราย จากนั้นก็บรรจงโปรยฝนลงมาทีละเม็ด

ไคลน์ดึงร่มออกจากช่องว่างประวัติศาสตร์ ในสภาพมือข้างหนึ่งถือร่มและอีกข้างถือตะเกียง มันตรงไปข้างหน้าตามลำพัง

ราวหนึ่งสัปดาห์ถัดมา อนาคตกาลจอดเทียบท่าที่ใดสักแห่งตามแนวชายฝั่งยาวของโลเอ็น

พลเรือเอกดวงดาว แคทลียา ถือสำรับไพ่ทาโรต์พลางหันไปกล่าวกับลูกเรืออย่างนีน่าและคนที่เหลือ

“ฉันจะอยู่ที่โลเอ็นสักพัก พวกคุณต้องคอยจับตาแฟรงค์ให้ดี ห้ามมิให้เขาทำการทดลองพิสดารเด็ดขาด”

…………………………

ราชันเร้นลับ Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ

ราชันเร้นลับ Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ

       เป็นเรื่องราวการข้ามโลกของหนุ่มชาวจีนนามว่า โจวหมิงรุ่ย โลกใบที่ชายคนนี้ต้องเผชิญมีลักษณะคล้ายคลึงกับยุควิกตอเรียของยุโรป
ยุคสมัยแห่งจักรกลไอน้ำเฟื่องฟู สุภาพบุรุษขุนนางเดินขวักไขว่ด้วยสูทและเสื้อกั๊กมาดเท่
     แน่นอน เป็นโลกที่มีพลังพิเศษ ผู้วิเศษ และ สัตว์วิเศษ แต่พลังของมนุษย์บนโลกจะไม่เหมือนกับนิยายเรื่องใด ไม่มีจอมยุทธ์ ไม่มีการบังเอิญพบคำภีลับและได้ครอบครองยอดเคล็ดวิชา
ไม่ได้เกิดใหม่พร้อมกับพลังสุดโกง
ไม่เลย ไม่น่าเบื่อและจืดชืดขนาดนั้น
    ในอดีตกาล เผ่าพันธุ์มนุษย์อันต่ำต้อยมิอาจต่อสู้กับเหล่าสัตว์วิเศษในตำนานไหว
หนึ่งในหนทางครอบครอง ‘พลังพิเศษ’ ก็คือการดื่ม ‘โอสถ’
หลังจากมนุษย์ดื่มโอสถและกลายเป็น ‘ผู้วิเศษ’ พวกเขาจะข้ามขีดจำกัดเดิมตามแต่ชนิดโอสถที่ดื่ม
ผู้วิเศษในโลกแบ่งออกเป็น 9 ลำดับ โดยลำดับ 9 จะอ่อนแอที่สุด
หนทางอัพเกรดลำดับก็แสนพิลึก ไม่ใช่การพัฒนาพลังเหมือนนิยายเรื่องใด
แต่เป็นการดื่ม ‘โอสถ’ ที่ ‘ถูกต้อง’ ตามสูตรของลำดับถัดไป
พลังพิเศษไม่สามารถข้ามสายได้ โอสถแต่ละชนิดจะมีสูตรการปรุงที่แตกต่าง
แถมการฝึกฝนพลังของผู้วิเศษก็ยังพิสดารเหนือคำบรรยาย
    เรื่องราวจะยิ่งเข้มข้นขึ้นเมื่อตัวเอกเริ่มทราบว่า อดีตมหาจักรพรรดิของโลกเมื่อร้อยปีก่อนเป็น ‘ผู้เดินทางข้ามโลก’ เหมือนกับเขา แถมยัง… เหลือทิ้งไดอารี่สุดสำคัญไว้ให้ชนรุ่นหลัง แต่ไดอารีถูกเขียนด้วยภาษาจีนที่ไม่มีใครอ่านออกแม้แต่คนเดียว… ยกเว้นโจวหมิงรุ่ย

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท