ราชันเร้นลับ Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ – ราชันเร้นลับ 1179 : เตรียมการสองทาง

ราชันเร้นลับ 1179 : เตรียมการสองทาง

ทันใดนั้น แก้มของฟอร์สร้อนวูบวาบทันที ร่างกายแข็งทื่อ ไม่กล้าหันไปมองเพื่อนสนิทด้านข้าง

เธอเพิ่งตระหนักได้เมื่อสายว่าตนประเมินขีดจำกัดล่างของกระจกวิเศษต่ำไป!

หลังจากเม้มปากสักพัก ฟอร์สนึกทบทวนคำพูดของเดอะเวิร์ลก่อนจะเปล่งเสียง

“ขอเลือกรับโทษ”

เกิดเสียง ‘เปรี้ยง’ พร้อมกับสายฟ้าสีเงินที่ผ่าลงมายังกลางห้อง แต่มันกลับอันตรธานหายไปอย่างเงียบงันราวกับภาพลวงตา

บนผิวกระจก อักษรสีแดงเปลี่ยนกลับไปเป็นสีเงินในประโยคใหม่

“เกมถามตอบจบลงแล้ว ลาก่อน!”

โดยไม่รอให้ฟอร์สลืมตาหรือรอให้ซิลตอบสนอง แสงสว่างจากกระจกเลือนหายไป บรรยากาศสลัวภายในห้องถูกครอบงำด้วยแสงเทียน

“ไม่มีบทลงโทษหรือ?” ฟอร์สรอให้ผ่านไปสักพักก่อนจะลืมตาและมองไปทางซิลซึ่งเป็นสักขีพยาน

ซิลชี้ไปที่ศีรษะตัวเอง

“เคยมีสายฟ้าผ่าใส่เธอ แต่มันหายไปกลางทาง ตอนนี้กระจกวิเศษกลับไปแล้ว”

“…กระจกวิเศษแค่ล้อเล่น? ไม่น่าจะใช่…ฉันได้รับคำเตือนว่ากระจกวิเศษจะถามในสิ่งที่น่าละอายและมีบทลงโทษค่อนข้างหนัก…หรือว่ามิสเตอร์ฟูลช่วยปกป้อง?” ฟอร์สลูบแก้มขวาพลางคาดเดา

“เป็นไปได้” ซิลพยักหน้าเห็นพ้อง

ขณะฟอร์สกำลังโล่งใจ เธอพบว่าซิลแอบชำเลืองมาทางตน

“มีอะไร?” ฟอร์สถามลืมหายใจ

ซิลซักไซ้ด้วยสีหน้าครุ่นคิด

“ใครคืออีกหนึ่งตัวเอกในความฝันลามกของเธอ?”

“…ฮะฮะ! ฝันนั้นผ่านมานานแล้ว ใครจะไปจำรายละเอียดได้ แถมความฝันมักพร่ามัวไม่ใช่หรือ” ฟอร์สฝืนยิ้ม

ซิลอืมในลำคอ

“ถ้าอย่างนั้น เมื่อครู่ทำไมเธอไม่ตอบไปตามตรง?”

“…ตื่นเต้น ฉันตื่นเต้นน่ะ” ฟอร์สเหล่ไปทางกระเป๋าเดินทางที่เก็บเสร็จแล้วและรีบพูด “พวกเราควรรีบย้ายบ้าน ฉันคิดถึงเตาผิงจะแย่แล้ว!”

เธอกล่าวพลางเดินไปยังสัมภาระ

ในวินาทีนี้ หญิงสาวพึงตระหนักว่าผลลัพธ์แทบไม่ต่างกันไม่ว่าตนจะตอบคำถามกระจกวิเศษหรือไม่

นี่คือ ‘ความตายทางสังคม’ ที่เกอร์มันสแปร์โรว์กล่าวถึง? อยากจะมุดหัวลงไปในดินจริงๆ ให้ตายสิ! ฟอร์สถอนหายใจพยายามเพื่อทำให้แก้มอันร้อนผ่าวกลับเป็นปรกติ

ภายในวังโบราณเหนือสายหมอกสีเทา

ไคลน์โยนคทาเทพสมุทรกลับเข้าไปในกองขยะพลางพ่นลมหายใจให้กับ ‘ท่าที’ ของอาโรเดส

ทั้งที่รู้ว่าเราเป็นคนฝากถาม แต่ยังกล้าตั้งคำถามกับตัวแทน…เมื่อเห็นเราหยุดฟ้าผ่า เจ้านั่นรีบเปลี่ยนท่าทีและเผ่นหนีไป…ตลกชะมัด…

แต่คำตอบของเจ้านั่นช่วยเปิดมุมมองใหม่ให้เรา…ไม่จำเป็นต้องยึดติดกับผู้ชี้นำปาฏิหาริย์สักหน่อย…

มีแนวโน้มสูงว่าศิลาเย้ยเทพแผ่นที่สองจะเกิดจากฝีมือพระผู้สร้างที่เมืองเงินพิสุทธิ์นับถือ และปัจจุบันก็น่าจะอยู่ในมืออาดัม…แม้อามุนด์กับพี่ชายจะเดินคนละเส้นทางโดยไม่ก้าวก่ายกัน และความสัมพันธ์ก็อาจไม่ดีนัก แต่เราก็ไม่เชื่อว่าอามุนด์จะไม่เคยเห็นศิลาเย้ยเทพ…ในกรณีนี้ อีกฝ่ายจะต้องทราบพิธีกรรมเลื่อนลำดับของผู้ชี้นำปาฏิหาริย์เป็นอย่างดี และเดาออกว่าเราอยากช่วยให้ชาวเมืองเงินพิสุทธิ์เป็นอิสระจากดินแดนเทพทอดทิ้ง เมื่อถึงตอนนั้น เจ้านั่นไม่จำเป็นต้องเหนื่อยตามหาเรา แค่ดักรออยู่ที่วังราชาคนยักษ์ก็พอ…

เราไม่ควรทำในสิ่งที่ศัตรูคิด โดยเฉพาะเมื่ออีกฝ่ายเป็นเทพแห่งการหลอกลวงและกลั่นแกล้ง ไม่มีใครเดาได้ว่าจะเกิดเหตุการณ์เหนือความคาดหมายแบบใดบ้าง…หากการเข้าไปพัวพันของเราทำให้เมืองเงินพิสุทธิ์ที่ดำรงอยู่มาหลายพันปีสูญสิ้นหรือหมดหวัง นั่นจะขัดต่อความตั้งใจเดิมโดยสิ้นเชิง…

ปัญหาของจอมเวทท่องมิติก็คือ เราจะได้ยินเสียงเรียกของมิสเตอร์ประตู แถมยังถูกเพ่งเล็งและกัดกร่อนจากอวกาศมากกว่าลำดับสอง ของเส้นทางอื่น…แต่นั่นก็ยังอยู่ในขอบเขตที่ยอมรับได้…

เหนือสิ่งอื่นใด เรายังสงสัยว่าอาจต้องจ่ายค่า ‘คืนชีพ’ สองครั้งให้ปราสาทต้นกำเนิด…โชคดีที่ลำดับหนึ่ง ของเราจะต้องกลับไปยัง ‘บริวารเร้นลับ’ ตามเดิมอย่างมิอาจเลี่ยง เพราะมิสเตอร์ประตูปิดกั้นลำดับหนึ่ง ของเส้นทางผู้ฝึกหัดไว้เกือบทั้งหมด ท่านน่าจะครอบครอง ‘เอกลักษณ์’ และตะกอนพลังอีกสองชุด หรืออาจทั้งสามชุด…

เราไม่จำเป็นต้องย้ายไปยัง ‘จอมเวทท่องมิติ’ เสมอไป แต่การมีทางเลือกไว้ย่อมเป็นสิ่งที่ดี เพราะเมื่อตัวเลือกเพิ่มขึ้น อามุนด์ก็ยิ่งขัดขวางได้ยากขึ้น นั่นคือวิธีเดียวที่จะกลายเป็นเทวทูตสำเร็จท่ามกลางการไล่ล่าจากราชาเทวทูต!

ใช่แล้ว เราต้องทำตัวจับปลาสองมือ ขณะเตรียมเลื่อนเป็นผู้ชี้นำปาฏิหาริย์ ก็ต้องเตรียมเลื่อนเป็นจอมเวทท่องมิติไว้ด้วย…เมื่อถึงเวลาค่อยตัดสินใจตามหน้างาน…

ท่ามกลางกระแสความคิด ไคลน์รู้สึกสดชื่นและจิตใจกระฉับกระเฉงอย่างบอกไม่ถูก รีบวางแผนการขั้นถัดไปทันที

ตอนนี้ยังไม่ควรรีบถามอาจารย์ของมิสเมจิกเชี่ยนเกี่ยวกับสูตรโอสถจอมเวทท่องมิติและสมบัติปิดผนึกที่สอดคล้องกัน ไม่อย่างนั้นอาจทำให้ตระกูลอับราฮัมเกิดความหวาดระแวงและเข้าใจว่ามิสเมจิกเชี่ยนนับถือเทพมารหรือองค์กรลับชั่วร้าย…

ด้วยสถานการณ์ปัจจุบันของพวกเขา มีโอกาสสูงที่จะไม่ตอบกลับมาอีกเลย แต่จะเปลี่ยนตัวใหม่และย้ายบ้านเพื่อตัดขาดการเชื่อมต่อ…

ศีรษะของนักบุญโบทิสน่าจะเป็นของขวัญที่ยอดเยี่ยมสำหรับพวกเขา…ไม่สนว่าตระกูลอับราฮัมจะมอบหนอนดวงดาวให้เราหรือไม่ แต่ปฏิบัติการล่าโบทิสก็ยังคงเป็นวาระสำคัญ…หวังว่ามิสจัสติสจะย่อยโอสถนักท่องฝันได้ทันเวลา หวังว่ามาดามเฮอร์มิสจะเตรียมความพร้อมได้ดีพอ และหวังว่าสองสาวอย่างมิสเมจิกเชี่ยนกับมิสจัดจ์เมนต์จะพัฒนาฝีมือก่อนถึงเวลานั้น…

ตามข้อมูลที่มิสเมจิกเชี่ยนรายงาน นักบุญเร้นลับ โบทิส คือคนทรยศของตระกูลอับราฮัม…นอกจากนั้นชุมนุมแสงเหนือยังถือครองสมบัติปิดผนึกระดับ ศูนย์ เส้นทางผู้ฝึกหัด…น่าสนใจมาก…บางทีเราอาจไม่จำเป็นต้องเรียกร้องสมบัติปิดผนึกจากตระกูลอับราฮัม แต่ได้สิ่งที่ต้องการครบถ้วนหลังจากสังหารโบทิส…อา…ต้องเตือนมาดามเฮอร์มิสว่าโบทิสอาจพกพาสมบัติปิดผนึกระดับ ศูนย์ ติดตัว…

หากสมบัติปิดผนึกระดับ ศูนย์ ไม่ได้อยู่ในมือนักบุญเร้นลับ หมายความว่าถ้าเราอยากช่วงชิง ก็ต้องจัดการกับ ‘เทวทูตโชคชะตา’ โอโรเลอุสด้วยตัวเอง…ไม่ดีแน่ ลำพังสมบัติปิดผนึกระดับ ศูนย์ ก็น่ากลัวพออยู่แล้ว พวกมันคือต้นกำเนิดของภัยอันตราย…

ก่อนอื่นคงต้องรอการตอบสนองจากอาจารย์ของมิสเมจิกเชี่ยน พิจารณาว่าพวกเขาอ่อนไหวต่อคำขอร้องเกี่ยวกับหนอนดวงดาวหรือไม่…

คิดถึงตรงนี้ ไคลน์รู้สึกขบขันเล็กน้อย เพราะด้วยเหตุผลบางประการ ตนและชุมนุมแสงเหนือดูเหมือนจะถูกกำหนดให้เป็นศัตรูกันตั้งแต่ต้น ไม่ว่าจะเคลื่อนไหวไปในทิศทางใดก็จะวกกลับมาปะทะกันเสมอ

เมื่อปฏิบัติการเริ่มขึ้น พวกชุมนุมแสงเหนือคงตะโกนกึกก้องภายในใจ

ทำไมถึงได้เป็นพวกแกอีกแล้ว!

หลังจากถอนหายใจ ไคลน์เสกเดอะเวิร์ล เกอร์มันสแปร์โรว์และตอบสนองคำวิงวอนของมิสเมจิกเชี่ยน

จากนั้นก็สวดวิงวอนอีกครั้งถึงมิสเตอร์ฟูล รบกวนให้พระองค์ถ่ายทอดคำพูดไปถึงเดนิส

บนเกาะแห่งหนึ่งในทะเลหมอก เดนิสที่กำลังรอให้ฝันทองคำมารับ ชำเลืองไปทางแอนเดอร์สันและกล่าวพลางยิ้ม

“ฉันจะอัญเชิญผู้ส่งสารของเกอร์มันสแปร์โรว์”

แอนเดอร์สันขมวดคิ้วพลางส่ายหน้า

“นายคู่ควรที่จะได้ดื่มโอสถนักวางแผน”

“นั่นเพราะท่าทีของนายชัดเจนเกินไป…แม้แต่ฉันยังมองออกว่านายกลัวผู้ส่งสารตนนั้น” เดนิสกล่าวด้วยความภูมิใจ

แอนเดอร์สันหัวเราะในลำคอ

“ทำไมนายถึงไม่คิดบ้างว่าฉันแสร้งทำเป็นกลัว? ก็แค่หาข้ออ้างปลีกตัวเพื่อไม่ให้ได้ยินและไม่ได้เห็นในสิ่งที่ไม่ควร”

“…แม่เย็*! คิดว่าฉันจะเชื่อคำโกหกที่นายพึ่งคิดออกรึไง!” เดนิสเกือบจะหลงเชื่อ

แอนเดอร์สันผายมือพลางเดินไปทางประตู

“ในเมื่อนายรวบรวมวัตถุดิบของโอสถนักวางแผนครบแล้ว อย่าลืมเตือนเกอร์มันสแปร์โรว์เกี่ยวกับสูตรโอสถอัศวินเลือดเหล็กของฉัน”

เดนิสโบกไม้โบกมือเป็นเชิงรับรู้

ทันทีที่แอนเดอร์สันเดินออกจากห้องและปิดประตู เดนิสประกอบพิธีกรรมอัญเชิญผู้ส่งสารเจ้าของสี่หัวทองตาแดง

เมื่อเห็นดวงตาทั้งแปดจ้องมองโดยพร้อมเพรียง หัวใจเดนิสแทบหยุดเต้น

มันฉีกยิ้มพลางยื่นเหรียญทองในมือ

“มาดาม…เกอร์มันสแปร์โรว์ฝากบอกว่าเขายังสบายดี ตอนนี้กำลังอยู่ในดินแดนเทพทอดทิ้ง”

…เดี๋ยวนะ เมื่อครู่เราพูดว่าอะไร? ดินแดนเทพทอดทิ้ง? ในฐานะลูกเรือของพลเรือโทธารน้ำแข็ง เดนิสย่อมเข้าใจในศาสตร์เร้นลับประมาณหนึ่ง จึงไม่แปลกที่จะตกตะลึงด้วยดวงตาเบิกโพลง

“ตกลง…” ไรเน็ตต์ไทน์เคอร์งับเหรียญทองพลางตอบห้วน

จากนั้นก็ก้าวเข้าไปในความว่างเปล่าและอันตรธานหาย

หลังจากแจ้งข้อมูลให้เกอร์มันสแปร์โรว์ เดนิสได้รับสูตรโอสถนักรบเลือดเหล็กและคำสั่งใหม่

เตรียมอาหารท้องถิ่นและสังเวยให้เทพสมุทร คาเวทูว่า…ไม่ฟังดูแปลกไปหน่อยหรือ? เดนิสพึมพำแต่ไม่กล้าถาม

มันรีบเก็บกวาดแท่นบูชา จากนั้นก็ควานหาแผ่นหนังและเขียนวัตถุดิบเสริมกับพิธีกรรมของอัศวินเลือดเหล็กลงไป

ถัดมาก็เปิดประตูและยื่นกระดาษหนังในมือให้แอนเดอร์สัน

“จัดทีมที่มีสมาชิกไม่ต่ำกว่าสามสิบ…ยิ่งทีมแข็งแกร่งและสามัคคีกันมากเท่าไร ผลลัพธ์ของพิธีกรรมก็ยิ่งยอดเยี่ยม…” แอนเดอร์สันคลี่แผ่นหนังอ่านต่อหน้าเดนิสก่อนจะขมวดคิ้ว “ถ้าความสามัคคีของทีมคือการร่วมใจกันฆ่าฉัน นั่นจะเป็นพิธีกรรมที่ง่ายมาก…”

เปลวไฟลุกไหม้จากปลายนิ้วของมันและเผากระดาษโดยไม่รอให้เดนิสเย้ยหยัน

แอนเดอร์สันแสยะยิ้ม

“ฉันคงต้องกลับบ้านเกิดเพื่อมองหาโอกาส ที่นั่นกำลังถูกเฟเนพ็อตรุกราน คงไม่มีที่ใดเหมาะแก่การสร้างและฝึกทีมไปกว่าสนามรบ”

เว้นวรรคสักพัก มันจ้องเดนิสและกล่าวพลางยิ้ม

“ฉันเตรียมโจทย์ไว้ให้นายแล้ว อยู่ในห้องของฉัน…ลองทำพวกมันหลังจากกลายเป็นนักวางแผนแล้ว จะได้รู้ว่าสติปัญญาเพิ่มขึ้นบ้างไหม”

“…แม่เย็*! นายคิดจะหลอกให้ฉันอ่านหนังสือทุกเล่มในห้องใช่ไหม?” เดนิสเกือบหลวมตัว แต่เพียงไม่นานก็ฉุกคิดได้

ไม่ว่าสติปัญญาของมันจะเพิ่มขึ้นมากแค่ไหน แต่ก็ไม่มีทางแก้โจทย์ได้หากไม่อ่านหนังสือ!

“ใช่…คราวนี้นายใช้เวลาแค่สามวินาทีก่อนจะมองออก ถ้าเป็นเมื่อก่อนล่ะก็…หึหึ…นายคงเชื่อโดยไม่ลังเล” แอนเดอร์สันกล่าวชมเชยพร้อมกับหันหลังกลับและเดินออกจากโรงแรมไปทันที

…………………………

ราชันเร้นลับ Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ

ราชันเร้นลับ Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ

       เป็นเรื่องราวการข้ามโลกของหนุ่มชาวจีนนามว่า โจวหมิงรุ่ย โลกใบที่ชายคนนี้ต้องเผชิญมีลักษณะคล้ายคลึงกับยุควิกตอเรียของยุโรป
ยุคสมัยแห่งจักรกลไอน้ำเฟื่องฟู สุภาพบุรุษขุนนางเดินขวักไขว่ด้วยสูทและเสื้อกั๊กมาดเท่
     แน่นอน เป็นโลกที่มีพลังพิเศษ ผู้วิเศษ และ สัตว์วิเศษ แต่พลังของมนุษย์บนโลกจะไม่เหมือนกับนิยายเรื่องใด ไม่มีจอมยุทธ์ ไม่มีการบังเอิญพบคำภีลับและได้ครอบครองยอดเคล็ดวิชา
ไม่ได้เกิดใหม่พร้อมกับพลังสุดโกง
ไม่เลย ไม่น่าเบื่อและจืดชืดขนาดนั้น
    ในอดีตกาล เผ่าพันธุ์มนุษย์อันต่ำต้อยมิอาจต่อสู้กับเหล่าสัตว์วิเศษในตำนานไหว
หนึ่งในหนทางครอบครอง ‘พลังพิเศษ’ ก็คือการดื่ม ‘โอสถ’
หลังจากมนุษย์ดื่มโอสถและกลายเป็น ‘ผู้วิเศษ’ พวกเขาจะข้ามขีดจำกัดเดิมตามแต่ชนิดโอสถที่ดื่ม
ผู้วิเศษในโลกแบ่งออกเป็น 9 ลำดับ โดยลำดับ 9 จะอ่อนแอที่สุด
หนทางอัพเกรดลำดับก็แสนพิลึก ไม่ใช่การพัฒนาพลังเหมือนนิยายเรื่องใด
แต่เป็นการดื่ม ‘โอสถ’ ที่ ‘ถูกต้อง’ ตามสูตรของลำดับถัดไป
พลังพิเศษไม่สามารถข้ามสายได้ โอสถแต่ละชนิดจะมีสูตรการปรุงที่แตกต่าง
แถมการฝึกฝนพลังของผู้วิเศษก็ยังพิสดารเหนือคำบรรยาย
    เรื่องราวจะยิ่งเข้มข้นขึ้นเมื่อตัวเอกเริ่มทราบว่า อดีตมหาจักรพรรดิของโลกเมื่อร้อยปีก่อนเป็น ‘ผู้เดินทางข้ามโลก’ เหมือนกับเขา แถมยัง… เหลือทิ้งไดอารี่สุดสำคัญไว้ให้ชนรุ่นหลัง แต่ไดอารีถูกเขียนด้วยภาษาจีนที่ไม่มีใครอ่านออกแม้แต่คนเดียว… ยกเว้นโจวหมิงรุ่ย

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท