ราชันเร้นลับ Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ – ราชันเร้นลับ 1233 : สองตำแหน่ง

ราชันเร้นลับ 1233 : สองตำแหน่ง

นับตั้งแต่สงครามยืดเยื้อยาวนาน ทหารโลเอ็นมีโอกาสได้เห็นปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติมากมาย มากเสียจนใครหลายคนชินชา ทว่า ฉากที่ศพกระจัดกระจายลุกขึ้นมาเดินได้อีกครั้งกำลังสร้างความตกตะลึงแก่ทุกคนโดยแท้จริง เป็นอาการสยองขวัญปนสับสน พวกมันเริ่มตระหนักว่าตนคงไม่รอดชีวิตไปจากหายนะอันใกล้ซึ่งกำลังจะเกิด ท้ายที่สุดต้องกลายเป็นหนึ่งในซอมบี้เหล่านั้น

แต่แน่นอน มีบางสิ่งช่วยให้พวกมันยังคงฮึกเหิมได้หลังจากเห็นปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติอันน่าสะพรึง

บทเพลงใสกังวานจะดังมาจากด้านหลังทุกครั้งที่ความหวาดกลัวสุดขีดเข้าครอบงำจิตใจ

“พวกมันปราศจากอาหารเครื่องนุ่งห่ม ปราศจากกำบังในยามหนาว”

“…”

“รัตติกาลมิได้ทอดทิ้งพวกมัน แต่โอบกอดไว้ด้วยความรัก”

เสียงสวดมนต์อันศักดิ์สิทธิ์และเปี่ยมด้วยเมตตากำลังดังกังวานทั่วแนวป้องกัน ช่วยขจัดปัดเป่าความกลัวในใจทหารจนหมดสิ้น ร่างกายจิตใจกลับมาสุขุมเยือกเย็น

ถัดมา ทหารจำนวนหนึ่งปฏิบัติตามคำสั่งอย่างเคร่งครัดโดยการลากปืนใหญ่สลักลวดลายสีเงินออกมาตั้ง จากนั้นก็ปรับความสูงลำกล้องเพื่อเล็งไปทางกลุ่มศพแยกส่วนที่กำลังปรี่เข้าหา

บึ้ม! บึ้ม! บึ้ม!

ประกายแสงสว่างวาบขณะกระสุนปืนใหญ่ตกลงบนจุดต่างๆ ของสนามรบ แต่ละนัดระเบิดพร้อมกับปลดปล่อยความมืดเข้มข้น

ซากศพพิการทรุดลงทันที พละกำลังภายในร่างกายพลันเลือนหาย หรือถ้าไม่ใช่ก็ถูกทำลายในทันที กลับสู่การหลับใหลอันเป็นนิรันดร์

ชายลึกลับในชุดคลุมด้านหลังกลุ่มต่อต้านยกมือทันทีที่ได้เห็นฉากตรงหน้า ประหนึ่งต้องการโอบกอดพระจันทร์สีแดงไว้แนบแน่น

ร่างกายของมันเริ่มเลือนหาย แปรเปลี่ยนเป็นแสงจันทร์พร่ามัวสีแดง

แสงจัดสาดส่องไปทุกทิศในพริบตา กลายเป็นเกล็ดสีแดงและสลายหายไป

จำแลงแสงจันทร์!

พลังพิเศษของ ‘ปราชญ์สีชาด’ ลำดับห้าแห่งเส้นทางนักเพาะปลูก สำหรับลำดับสี่อย่างราชาหมอผี มันสามารถใช้งานได้ดังใจนึก

ร่างหนึ่งถูกวาดขึ้นกลางอากาศในตำแหน่งที่ราชาหมอผีเคยยืน

ร่างดังกล่าวคือตุ๊กตาผ้าตัวใหญ่ ผมสีทอง ดวงตาแดงก่ำ สวมเดรสโกธิกสีดำสลักลวดลายซับซ้อน รอบกายรายล้อมด้วยเถาวัลย์ที่ดูชั่วร้าย ผิวกายของเธอแวววาวชนิดที่ไม่มีมนุษย์คนใดมีได้

ไรเน็ตต์ไทน์เคอร์

เธอใช้ไม้เท้าดวงดาว ‘ของจริง’ เพื่ออัญเชิญตัวเองในช่วงที่ดีที่สุดออกมา

หากไม่ทำแบบนี้ การอัญเชิญภาพฉายของไรเน็ตต์ไทน์เคอร์ด้วยภาพฉายของไคลน์ จะทำให้ฟอร์สต้องแบกรับภาระทางพลังวิญญาณในปริมาณมหาศาล

วิธีแก้ปัญหามีเพียงให้ไรเน็ตต์ไทน์เคอร์ยืมไม้เท้าดวงดาวของจริง ภาระทางพลังวิญญาณก็จะตกเป็นของมารบรรพกาล

นอกจากนั้นไรเน็ตต์ไทน์เคอร์ยังเป็นเพียงไม่กี่ตัวตนที่ไม่ต้องกังวลผลข้างเคียงของไม้เท้า

ในฐานะสมาชิกหลักของฝ่ายระงับแรงปรารถนาและในฐานะหุ่นกระบอก ‘ตุ๊กตาผ้า’ เธอสามารถควบคุมสมองให้ไม่จินตนาการฉากที่ไม่จำเป็นได้สบาย และหลังจากเปลี่ยนไปอยู่ในภาวะซ่อนเร้น ไม้เท้าดวงดาวก็ยากที่จะส่งผลกับภาพฉายของไรเน็ตต์

ไรเน็ตต์ไทน์เคอร์ร่างสมบูรณ์พยายามลอบเข้าใกล้ราชาหมอผีเพื่อสิงร่างและจบศึกนี้โดยเร็ว แต่อีกฝ่ายกลับไหวตัวทันเนื่องจากค้นพบอันตรายล่วงหน้า มันจึงอาศัยแสงจันทร์เพื่อหลบหนีได้เร็วกว่าการสิงร่างของวิญญาณอาฆาตหนึ่งก้าว

เท่ากลางแสงจันทร์สีแดงที่ฉาบลงบนพื้นดิน เกล็ดสีแดงประกอบกลับเข้าไปเป็นชายในชุดคลุมดำ ราชาหมอผีแห่งโรงเรียนกุหลาบอีกครั้ง ดวงตาของมันกำลังปิดสนิท ไม่กล้าจ้องหน้ามารบรรพกาลฝั่งตรงข้ามโดยตรง

ในเวลาเดียวกัน อีกฟากหนึ่งของสนามรบมีร่างใครบางคนถูกวาดขึ้นอย่างรวดเร็ว เป็นเกอร์มันสแปร์โรว์ผู้แต่งกายในชุดกันลมสีดำและหมวกทรงกึ่งสูง มือซ้ายสวมถุงมือโปร่งใส มือขวายกขึ้นมาดีดนิ้ว

เปลวไฟสีแดงลุกโชนหลายจุดบนสนามรบ ประหนึ่งเป็นการประกาศจุดเริ่มต้นของการแสดงอันยิ่งใหญ่

ทันทีที่ร่างกายถูกวาดเสร็จ ราชาหมอผีรีบเลื่อนมือขึ้นมาฉีกอกเสื้อตัวเอง

ขณะเดียวกัน กระจกตาสีแดงก่ำของไรเน็ตต์กำลังสะท้อนภาพของอีกฝ่ายอย่างชัดเจน

หากเรื่องราวดำเนินไปอย่างที่คาด ราชาหมอผีของโรงเรียนกุหลาบจะถูกสาปให้กลายเป็นกระต่ายหรือไม่ก็แพะในวินาทีถัดไป นั่นจะทำให้มันสูญเสียตะกอนพลังและพลังพิเศษในทันที แต่น่าเสียดายที่ร่างกายของมันทำเพียงแค่ส่องแสงจางโดยไม่เกิดการเปลี่ยนแปลงใหญ่หลวง

บนอกเสื้อที่ถูกฉีกขาดเผยให้เห็นว่ามีการฝังตุ๊กตาสีน้ำตาลตัวยาวลงไป

คล้ายกับหุ่นกระบอกตัวดังกล่าวกำลังเจริญเติบโตออกจากร่างต้นของราชาหมอผี ร่างของหุ่นเชื่อมต่อเข้ากับอวัยวะภายในทั้งหมด ดวงตามีลักษณะคล้ายจันทร์เสี้ยว ผิวกายมีดอกไม้และหญ้าแห้งผุดขึ้น มอบความรู้สึกสุดประหลาดท่ามกลางแสงจันทร์สาดส่อง

ทันใดนั้น หุ่นกระบอกพลันถูกย้อมด้วยสีแดงจนดูคล้ายกับชุ่มฉ่ำไปด้วยเลือด

หุ่นกระบอกแปรสภาพเป็นแอ่งโคลนและไหลซึมเข้าไปในร่างกายราชาหมอผี

ท่อนแขนข้างหนึ่งเหยียดออกมาจากแอ่งโคลนดังกล่าว

ผิวของท่อนแขนมีของเหลวสีดำเหนียวหนืดปกคลุม วัตถุประหลาดงอกเงยขึ้นมาของเหลวตลอดเวลา บ้างเป็นกะโหลกมนุษย์ บ้างเป็นหนามแหลม และบ้างเป็นดวงตาสามมิติ

เทพหายนะ เซียอา!

ผู้นำแห่งโรงเรียนกุหลาบ ตัวตนลำดับหนึ่ง ที่น่าเกรงขามรายนี้สามารถเดินทางข้ามมิติอันห่างไกลผ่านพิธีกรรมที่ลูกน้องเตรียมไว้ล่วงหน้า!ไอรีนโนเวล

ออร่าอันแสนชั่วร้ายทำให้สมาชิกโรงเรียนกุหลาบในละแวกใกล้เคียงและหน่วยสนับสนุนต่างพากันเสียชีวิต กลายพันธุ์ หรือไม่ก็โจมตีใส่พวกเดียวกันเองอย่างบ้าคลั่ง ไม่มีใครรอดพ้นนอกจากราชาหมอผี

ไบลัมตะวันตก เมืองท่า

ราชาหมอผีคารามันผู้มีอำนาจสูงสุดที่นี่ กำลังยืนอยู่ด้านบนสุดของวิหารซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นของโบสถ์รัตติกาล จากนั้นก็ก้มลงมายังเมืองที่ค่อนข้างขาดแคลนแสงสว่าง

ในบ้านหลังที่ไม่ห่างออกไป เอ็มลินไวท์แอบชำเลืองไปทางชารอนผู้คล้ายตุ๊กตา ตามด้วยการหยิบกล่องทองแดงที่ประดับทับทิมจำนวนมาก

ภายในกล่องบรรจุแก้วทรงกลมที่ดูคล้ายลูกตา นี่คือสมบัติปิดผนึกที่เอ็มลินทำเรื่องเบิกใช้งานชั่วคราวจากเผ่าพันธุ์ผีดูดเลือด ชื่อของมันคือ ‘เนตรสีขาว’ สมบัติปิดผนึกจากเส้นทางสุริยัน

มันจะทรงพลังมากเมื่อนำไปใช้เล่นงานราชาหมอผีและครึ่งเทพของเส้นทางมนุษย์กลายพันธุ์ โดยเฉพาะคุณสมบัติในด้านการตรึงให้อยู่นิ่ง

แต่ถึงอย่างนั้น ‘เนตรสีขาว’ ก็มิได้อ่อนโยนแม้ชารอนกับเอ็มลินอยู่ฝ่ายเดียวกัน

เมื่อเห็นชารอนพยักหน้าบอกเป็นนัยว่าไม่มีปัญหา ร่างเอ็มลินเลือนหายไปทันทีและถูกแทนที่ด้วยแสงจันทร์สว่าง จากนั้นแปรสภาพกลายเป็นเกล็ดสีฉันฉูดฉาดจำนวนมาก

ณ ชั้นบนสุดของวิหารใกล้เคียง คารามันกำลังเดินไปเดินมาในสภาพเส้นผมนุ่มฟูสีดำ มันพ่นลมหายใจเหยียดหยันในเรื่องที่เหยี่ยวราตรีและทูตพิพากษารีบอพยพชาวเมืองและสมบัติปิดผนึกหนีไปก่อนที่พวกมันจะมาถึง

ถ้ามีแค่หน่วยพิเศษ การหลบหนีอย่างง่ายดายก็คงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร…แต่กับชาวเมืองธรรมดาซึ่งมีมากมายเช่นนี้ เหตุใดถึงสามารถเคลื่อนย้ายอย่างเงียบเชียบได้โดยที่เราไม่ทราบ? การที่เราไม่ได้ส่งสายลับเข้ามาเป็นหูเป็นตา เพราะลำพังการปิดตายท่าเรือและเส้นทางขนส่งอาหารก็มากพอจะทำให้พวกมันตายไปเองโดยที่ไม่ต้องใช้พลังพิเศษ…

ขณะพึมพำกับตัวเอง ราชาหมอผีผู้โลดแล่นในทวีปใต้มาตั้งแต่ต้นยุคสมัยที่ห้าและมีข่าวลือว่าตายไปแล้ว เบือนสายตาออกไปมองนอกหน้าต่างและจดจ้องพระจันทร์สีแดงบนท้องฟ้า

ย้อนกลับไปเมื่อหลายก่อน ปรากฏการณ์สุดพิสดารอย่าง ‘พระจันทร์กลายเป็นสีขาว’ ทำให้คารามันรู้สึกโกรธเคืองดวงจันทร์บรรพกาลไม่น้อย ขณะเดียวกันก็เริ่มประหม่าและไม่สบายใจ

มันค่อยๆ กลายเป็นสาวกดวงจันทร์บรรพกาลทีละนิดหลังจากศึกษาศาสตร์เร้นลับ พิธีกรรมพันธสัญญาลับ และปฏิสัมพันธ์ของธรรมชาติ

หากเป็นเมื่อก่อน ราชาหมอผีสามารถมีอายุยืนยาวหลักหลายพันปีจนเป็นปรกติ แต่ยิ่งเวลาผ่านไป สภาพร่างกายก็ยิ่งทรุดโทรมลงอย่างมิอาจเลี่ยง ร่างวิญญาณเกิดการผุดกร่อนจนไม่สามารถฟื้นฟูกลับไปเป็นปรกติ ดังนั้นอายุขัยหนึ่งพันสองร้อยปีจึงกลายเป็นขีดจำกัดใหม่ของทั้งราชาหมอผีและแวมไพร์เอิร์ล หากต้องการมีชีวิตอยู่ต่อไปก็ต้องพึ่งพาสารพัดวิธี เช่นการผนึกตัวเองและหลับใหลในโลงศพซึ่งมีปราสาทล้อมรอบ

แต่คารามันกลับมีอายุขัยยืนยาวกว่าหนึ่งพันสี่ร้อยปีแล้วยังแข็งแรงโดยไม่ต้องขังตัวเองเหมือนแวมไพร์ นั่นเพราะมันมีพรสุดวิเศษที่ดวงจันทร์บรรพกาลเคยประทานให้

ขณะเดียวกันนั่นก็เป็นเหตุผลที่ทำให้มันหายหน้าหายตาไปนานหลายปี

ในภายหลัง คารามันได้รับวิวรณ์จากดวงจันทร์บรรพกาลให้เข้าร่วมโรงเรียนกุหลาบ

เหตุการณ์ดังกล่าวทำให้มันเกิดข้อสงสัยบางอย่าง บางทีมารดาพฤกษาแห่งแรงกระหายอาจเป็นคนเดียวกับดวงจันทร์บรรพกาล เฉกเช่นเหรียญสองด้านของหนึ่งตัวตนอันยิ่งใหญ่ แต่ก็มีหลายครั้งที่มันได้ทราบว่าไม่เพียงเทพทั้งสองจะขัดแย้งกัน แต่ยังบาดหมางกันอย่างรุนแรง

เป็นเหตุให้สาวกดวงจันทร์บรรพกาลถูกละเลยหลังจากเข้าร่วมกับโรงเรียนกุหลาบ นอกจากการได้รับประทานวัตถุเป็นระยะ พวกมันก็แทบไม่มีตำแหน่งสำคัญภายในองค์กร

ขณะคารามันพยายามสัมผัสถึงดวงจันทร์เพื่อรับวิวรณ์ แสงจันทร์สีแดงในจุดที่สาดลงบนยอดหอระฆังพลันแปรเปลี่ยนเป็นเกล็ดสีแดง จากนั้นก็ก่อตัวเป็นเอ็มลินไวท์ผู้แต่งกายในทักซิโด้และโบหูกระต่าย

ด้านหลังผีดูดเลือดตนดังกล่าวมีแก๊สสีดำจับตัวหนาและค่อยๆ กลายเป็นปีกค้างคาว

เอ็มลินไวท์ได้กินยาวิเศษเพื่อลบกลิ่นและพลังวิญญาณล่วงหน้า มันจึงเข้าใกล้เป้าหมายได้อย่างเงียบเชียบ

แต่แน่นอน มันกำลังเผชิญหน้าอยู่กับครึ่งเทพลำดับสี่แถมยังเป็นครึ่งเทพในเส้นทางเดียวกัน ต่อให้เตรียมตัวมาพร้อมแค่ไหนก็ไม่กล้าเข้าไปใกล้มากนัก ไม่อย่างนั้นอาจถูกพบตัวได้ง่าย

เอ็มลินมองไปยังหน้าต่างบานที่ราชาหมอผีคารามันกำลังยืนและสังเกตภาพสะท้อนบนผิวกระจกสักพัก จากนั้นก็เปิดฝากล่องทองแดงที่ประดับประดาไปด้วยอัญมณีและใช้มือซ้ายซึ่งสวมถุงมือผ้าสีดำหยิบ ‘เนตรสีขาว’ ขึ้นมาถือ

สีหน้าของมันพลันบิดเบี้ยวเมื่อสัมผัสถึงความเจ็บปวดที่คล้ายกับออกไปตากแดด

เอ็มลินกัดฟันทนต่อความทรมานและนำลูกตาแก้วสวมลงบนดวงตาข้างขวา

อาคารบ้านเรือนทุกหลังอันตรธานหายไปจากการมองเห็นของเอ็มลินทันที เหลือเพียงเงาดำที่เย็นชาและแดงฉาน

จากบรรดาทั้งหมด มีตัวตนหนึ่งเป็นวังวนขนาดใหญ่คล้ายหลุมดำ กำลังกลืนกินทุกสิ่งอย่างบ้าคลั่งไม่เว้นร่างกายตัวเอง

อีกฝ่ายคือเป้าหมายของเอ็มลิน ราชาหมอผีคารามัน

จุดแสงหนึ่งสว่างขึ้นก่อนจะควบแน่นกลายเป็นลำแสงเส้นใหญ่ เป็นการยิงจากเนตรสีขาวและกำลังตรงไปทางเป้าหมาย

…………………………

ราชันเร้นลับ Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ

ราชันเร้นลับ Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ

       เป็นเรื่องราวการข้ามโลกของหนุ่มชาวจีนนามว่า โจวหมิงรุ่ย โลกใบที่ชายคนนี้ต้องเผชิญมีลักษณะคล้ายคลึงกับยุควิกตอเรียของยุโรป
ยุคสมัยแห่งจักรกลไอน้ำเฟื่องฟู สุภาพบุรุษขุนนางเดินขวักไขว่ด้วยสูทและเสื้อกั๊กมาดเท่
     แน่นอน เป็นโลกที่มีพลังพิเศษ ผู้วิเศษ และ สัตว์วิเศษ แต่พลังของมนุษย์บนโลกจะไม่เหมือนกับนิยายเรื่องใด ไม่มีจอมยุทธ์ ไม่มีการบังเอิญพบคำภีลับและได้ครอบครองยอดเคล็ดวิชา
ไม่ได้เกิดใหม่พร้อมกับพลังสุดโกง
ไม่เลย ไม่น่าเบื่อและจืดชืดขนาดนั้น
    ในอดีตกาล เผ่าพันธุ์มนุษย์อันต่ำต้อยมิอาจต่อสู้กับเหล่าสัตว์วิเศษในตำนานไหว
หนึ่งในหนทางครอบครอง ‘พลังพิเศษ’ ก็คือการดื่ม ‘โอสถ’
หลังจากมนุษย์ดื่มโอสถและกลายเป็น ‘ผู้วิเศษ’ พวกเขาจะข้ามขีดจำกัดเดิมตามแต่ชนิดโอสถที่ดื่ม
ผู้วิเศษในโลกแบ่งออกเป็น 9 ลำดับ โดยลำดับ 9 จะอ่อนแอที่สุด
หนทางอัพเกรดลำดับก็แสนพิลึก ไม่ใช่การพัฒนาพลังเหมือนนิยายเรื่องใด
แต่เป็นการดื่ม ‘โอสถ’ ที่ ‘ถูกต้อง’ ตามสูตรของลำดับถัดไป
พลังพิเศษไม่สามารถข้ามสายได้ โอสถแต่ละชนิดจะมีสูตรการปรุงที่แตกต่าง
แถมการฝึกฝนพลังของผู้วิเศษก็ยังพิสดารเหนือคำบรรยาย
    เรื่องราวจะยิ่งเข้มข้นขึ้นเมื่อตัวเอกเริ่มทราบว่า อดีตมหาจักรพรรดิของโลกเมื่อร้อยปีก่อนเป็น ‘ผู้เดินทางข้ามโลก’ เหมือนกับเขา แถมยัง… เหลือทิ้งไดอารี่สุดสำคัญไว้ให้ชนรุ่นหลัง แต่ไดอารีถูกเขียนด้วยภาษาจีนที่ไม่มีใครอ่านออกแม้แต่คนเดียว… ยกเว้นโจวหมิงรุ่ย

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท