ราชันเร้นลับ Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ – ราชันเร้นลับ 1250 : หลังประตู

ราชันเร้นลับ 1250 : หลังประตู

เนื่องจากมีข้อมูลการสำรวจครั้งก่อนของเมืองเงินพิสุทธิ์ ไคลน์จึงทราบดีว่าสถานที่ใดอันตรายรวมไปถึงวิธีหลีกเลี่ยง ใช้เวลาไม่นานในการอ้อมเข้าทางลับผ่าน ‘ป่าเสื่อมโทรม’ ‘อุโมงค์ร้าง’ และ ‘ลิฟต์โบราณ’ จนกระทั่งมาถึงเขตที่พักขององครักษ์

หลังจากรอสักพักให้ ‘ม่าน’ เหนือสายหมอกสีเทาสกัดตะกอนพลังบริวารเร้นลับออกจากส่วนหลัก ไคลน์ทำการเหยียดแขนออกไปคว้าความว่างเปล่าเพื่อดึงตัวเองในอดีตออกมา

มันไม่แน่ใจว่าอาณาจักรทวยเทพแห่งอื่นสามารถปิดกั้นสายหมอกแห่งประวัติศาสตร์ได้ไหม แต่สำหรับวังราชาคนยักษ์ที่ปราศจากเจ้าของ ไคลน์ย่อมกล้าทดลองสิ่งต่างๆ

น่าเสียดายที่ดินแดนแห่งนี้เกี่ยวพันกับพลังในระดับสูง พลังทำนายจึงไม่มีวิวรณ์ตอบกลับ ไม่อย่างนั้นเราคงสบายใจกว่านี้มาก… ไคลน์ส่ายหน้าขณะรำพัน

ชายหนุ่มไม่รีบร้อนกระโจนเข้าไปในสายหมอกแห่งประวัติศาสตร์ แต่ดึงวัตถุสองชิ้นออกมาและยื่นให้ภาพฉายของตัวเองก่อน

หนึ่งในนั้นคือภาพฉายของกล่องไม้สีดำเข้ม ภายในบรรจุเถ้ากระดูกของกรอซาย ผู้พิทักษ์แห่งคนยักษ์

ไคลน์ไม่เคยลืมสัญญาที่เคยให้ไว้กับอีกฝ่าย

เดิมทีชายหนุ่มคิดจะรอให้เดอะซันน้อยทำการสำรวจวังราชาคนยักษ์ครั้งที่สองจึงค่อยฝากกล่องบรรจุเถ้ากระดูกมาฝัง แต่ด้วยหลากหลายปัจจัยที่เกิดขึ้น กลายเป็นว่าไคลน์มีโอกาสได้มายังดินแดนเทพทอดทิ้งและเข้าสู่วังราชาคนยักษ์ด้วยตัวเอง

สำหรับเถ้ากระดูกของนักบวชสโนวมัน ไคลน์เตรียมโปรยลงบนทะเลสีทองทันทีที่ออกจากดินแดนเทพทอดทิ้ง เพราะทะเลดังกล่าวอัดแน่นไปด้วยโลหิตของเทพสุริยันบรรพกาล

หลังจากยื่นกล่องเถ้ากระดูกและกุญแจเหล็กดำของพลเรือโทธารน้ำแข็งให้ภาพฉาย ไคลน์ทำเหมือนทุกครั้งคือกระโจนเข้าไปในสายหมอกแห่งประวัติศาสตร์ จนกระทั่งซ่อนตัวอยู่ในช่องว่างในช่วงก่อนยุคสมัยที่หนึ่งสำเร็จ สติจึงถูกโอนถ่ายมายังภาพฉายบนวังราชาคนยักษ์

ภาพฉายดังกล่าวเพียงสวมถุงมือยุบพองหิวโหยแต่มิได้ถือไม้เท้าดวงดาว เพราะยังอีกไกลกว่าจะไปถึงตำหนักราชาคนยักษ์ ยังมีรูปปั้นจำนวนมากคอยเป็นอุปสรรคขวางทาง ไคลน์จึงไม่มั่นใจว่าตนจะถึงจุดหมายได้ภายในห้านาที

ทันทีหลังจากนั้น ชายหนุ่มกระตุ้นให้ถุงมือข้างซ้ายกลายเป็นสีใสและหายตัวไปจากตำแหน่ง

วินาทีถัดมา ไคลน์โผล่ขึ้นด้านนอกเขตที่พักขององครักษ์พร้อมกับกุญแจเหล็กดำในมือ เป็นการเทเลพอร์ตที่ไม่ได้ไกลสักเท่าไร

กะแล้วเชียว พลังพิเศษส่วนใหญ่จะเสื่อมประสิทธิภาพลงเมื่ออยู่ในวังราชาคนยักษ์… มีเพียงองครักษ์และคนคุ้มกันที่ได้รับอนุญาตเท่านั้นจึงจะแสดงฝีมือได้ตามมาตรฐาน? เฮ้อ… แม้แต่พลังพิเศษอย่างเทเลพอร์ตก็ยังถูกบั่นทอน อย่างมากเราคงทำได้แค่ ‘บลิงค์’ ในระยะสั้น… หมายความว่าต่อให้เราถือไม้เท้าดวงดาว ก็คงมิอาจเทเลพอร์ตไปยังหน้าตำหนักราชาคนยักษ์ได้ทันทีแม้จะจินตนาการภาพได้ถูกต้อง… สมแล้วที่เป็นอาณาจักรเทพของเทพบรรพกาล… ไคลน์สำรวจสภาพแวดล้อมอย่างตั้งใจ

หลังจากวิเคราะห์เบื้องต้น ชายหนุ่มหันหลังและเดินกลับเข้ามาในเขตที่พักขององครักษ์ ตามด้วยการใช้มือขวาเปิดกล่องไม้และบรรจงโปรยเถ้ากระดูกลงในทุกมุมห้องด้วยท่าทางเคร่งขรึม

พิจารณาจากภาพที่เห็นในความฝันของกรอซาย ห้องพักองครักษ์คือสถานที่ที่คนยักษ์ใช้ชีวิตอยู่นานที่สุด เปรียบดังบ้านที่เต็มไปด้วยความทรงจำ

สามารถจินตนาการได้ว่า หากกรอซายและเหล่าผู้พิทักษ์คนยักษ์ที่มีสติสัมปชัญญะกำลังอาศัยอยู่ในยุคสมัยเดิม พวกเขาคงจะใช้ห้องนี้สำหรับพักผ่อน ปรับทุกข์ระหว่างกัน นินทาเพื่อนร่วมงาน คุยเรื่องดนตรี และหาเกมสนุกๆ มาเล่นฆ่าเวลา ได้ใช้ชีวิตทุกวันอย่างมีความสุขโดยไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับโรคภัยหรืออาหาร…

ด้วยการสะบัดข้อมืออย่างใจเย็นของไคลน์ เถ้ากระดูกถูกโปรยลงบนผนังห้อง บนพื้น ข้างเตียง บนโต๊ะ บนเก้าอี้ และบนเสาหิน

แสงสีส้มที่ส่องเข้ามาทางหน้าต่างตลอดเวลาช่วยทำให้ฉากดังกล่าวดูสงบสุข

ทันทีที่เถ้ากระดูกหยิบมือสุดท้ายถูกโปรยลงไป แสงสนธยาพลันเข้มขึ้นกะทันหัน พวกมันฉาบลงบนเถ้ากระดูกภายในห้องและเปลี่ยนให้กลายเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรทวยเทพ

ไคลน์หลับตาลงและดื่มด่ำความยินดีของกรอซาย

สิ่งมีชีวิตเร่ร่อนที่ต้องจากบ้านไปนานกว่าสามพันปี ในที่สุดก็ได้กลับมายังสถานที่ที่คิดถึงทุกคืนวัน

แสงสนธยาอ่อนลงเล็กน้อย ไคลน์สัมผัสได้ว่าตนไม่ได้ถูกอาณาจักรแห่งนี้พยายามขับไล่เหมือนกับในตอนแรก

หืม… ดูเหมือนว่าเราจะได้รับการยอมรับจากที่นี่แล้วในระดับหนึ่ง… สถานะเทียบเท่าองครักษ์ที่ชาวคนยักษ์นับหน้าถือตา… ไคลน์แผ่พลังวิญญาณออกไปตรวจสอบการเปลี่ยนแปลง

ชายหนุ่มไม่มัวประวิงเวลา รีบใช้ยุบพองหิวโหยในการบลิงค์สำรวจเส้นทางที่ชาวเมืองเงินพิสุทธิ์เคยนำร่องมาก่อน บางครั้งก็ต้องอ้อมเพราะเจออุปสรรค บางครั้งก็สามารถขจัดอุปสรรคได้ด้วยการอัญเชิญไม้กางเขนเจิดจรัส ไคลน์เดินผ่านโถงที่เหล่าราชาลอบวางแผนจนกระทั่งมาถึงด้านหน้าตำหนักราชาคนยักษ์ ถึงตรงนี้ มันมองเห็นเสาหินต้นใหญ่ที่เรียงตัวกันในลักษณะราวกั้น ด้านหลังราวกั้นเป็นเมฆสีส้มและทะเลสีครามซัดสาด

สูดลมหายใจเข้าออกสักพัก ชายหนุ่มเดินกลับเข้าไปในโถงที่เพิ่งออกมา จากนั้นก็เหยียดแขนดึงหุ่นเชิดผู้ชนะเอ็นยูนสมัยยังไม่ถูกอามุนด์ปรสิตร่างออกจากความว่างเปล่า

แม้นี่จะเป็นเพียงภาพฉาย แต่ไคลน์ก็ไม่คิดจะเปิดประตูด้วยตัวเอง!

จดจ้องเอ็นยูนที่เหม่อลอยสักพัก ไคลน์ยื่นกุญแจเหล็กดำที่หนีบไว้ใต้รักแร้ให้อีกฝ่าย จากนั้นก็บังคับเอ็นยูนเดินออกจากโถง ผ่านแนวราวกั้นเสาหินจนกระทั่งถึงด้านหน้าอาคารที่สูงและสง่างามที่สุดในวังราชาคนยักษ์แห่งนี้

แสงสนธยากำลังทำหน้าที่คล้ายสารฉาบผิวตำหนัก มอบความรู้สึกเสื่อมทรามอย่างรุนแรงประหนึ่งทุกสิ่งในโลกกำลังจะถึงจุดจบ

ด้านหนึ่งของตำหนักมีหอคอยสูง อีกด้านเป็นยอดแหลม ประตูหน้าสีเทาน้ำเงินสูงกว่าสิบเมตร สลักลวดลายซับซับซ้อนพิสดาร

ฝั่งซ้ายของประตูมีช่องว่างสีดำขนาดเท่ากำปั้นผู้ใหญ่ สูงจากพื้นราวสามสี่เมตร

เอ็นยูนจ้องมองสักพักก่อนจะยกกุญแจเหล็กดำคล้ายกู่ฉินขึ้นและสอดเข้าไปในช่องว่างลึกด้านหน้า

มันพอดิบพอดีจนไม่เหลือแม้แต่ช่องว่าง

ขณะกุญแจเหล็กดำบรรจงถูกดันเข้าไปในช่อง ไคลน์ที่หลบในโถงใกล้เคียงเริ่มกลั้นหายใจพร้อมกับเตรียมตัว ‘สลายร่าง’ หนีทุกเมื่อ

กริ๊ก! กุญแจเหล็กดำในมือเอ็นยูนสัมผัสกับทางตัน

ผิวกุญแจนิ่มลงในพริบตาประหนึ่งหลอมรวมเข้ากับรูกุญแจ ตามด้วยการส่องแสงสีเทาน้ำเงิน

ลวดลายและสัญลักษณ์มากมายบนประตูเริ่มสว่างขึ้นและยื่นออกมา

แสงสว่างผสานเข้าด้วยกันพร้อมกับสร้างแรงดันที่ช่วยผลักประตูยักษ์เข้าไปด้านในอย่างเชื่องช้า

ช่องว่างระหว่างประตูขยายขึ้นทุกขณะ จนกระทั่งทัศนวิสัยของเอ็นยูนเต็มไปด้วยทะเลมายาสีดำที่เหนียวหนืดและโกลาหล

ฉิบหาย… สัมผัสวิญญาณกระตุ้นเตือนถึงอันตรายทันที

โดยไม่มัวลังเล สติไคลน์ถูกโอนถ่ายกลับมายังร่างต้นพร้อมกับตัดขาดการเชื่อมต่อกับภาพฉายทันที

วินาทีถัดมา การมองเห็นของไคลน์พลันดำมืด ศีรษะฝั่งซ้ายปวดแปลบกะทันหันราวกับมีใครใช้แท่งเหล็กร้อนแทงเข้ามาและคนกวนสมอง

ในเวลาเดียวกัน มันได้ยินเสียงเพรียกที่ยากจะจำแนกความหมาย ลักษณะคล้ายกับดังมาจากอดีตกาลอันแสนนาน

สีหน้าไคลน์บิดเบี้ยวรุนแรงอย่างมิอาจหักห้าม

แม้จะยังรักษาสติสัมปชัญญะไว้ได้ แต่ไคลน์ไม่หลงเหลือเรี่ยวแรงที่จะอาศัยอยู่ในช่องว่างประวัติศาสตร์ต่อไป

ไคลน์รีบถอยกลับมายังเขตที่พักขององครักษ์อย่างเงียบเชียบ จากนั้นก็เตรียมส่งตัวเองเข้าสู่ห้วงมิติเหนือสายหมอก

ย้อนกลับไปในตอนก่อนที่จะทำภารกิจสำรวจเสี่ยงชีวิต ไคลน์ย่อมบอกให้สมาชิกชุมนุมทาโรต์ทุกคนสวดวิงวอนถึงเดอะฟูลเพื่อใช้ระบบ ‘ส่งกลับอัตโนมัติ’ ของปราสาทต้นกำเนิด ช่วยให้ลัดผ่านขั้นตอนเดินถอยหลังสี่ก้าวและท่องคาถาสี่วรรค

แต่ทันทีที่มองเห็นสายหมอกสีเทาและได้ยินเสียงเพรียกที่คุ้นเคย ชายหนุ่มกลับรู้สึกว่าตนถูกปราสาทต้นกำเนิด ‘ดีดกลับ’ ประหนึ่งรับคำสั่งจากใครบางคนว่าห้ามมิให้ไคลน์เข้าไป

นี่มัน… ท่ามกลางความตกตะลึง ไคลน์เห็นเงาดำกระโจนผ่านไปโดยกำลังมุ่งหน้าขึ้นไปยังปราสาทต้นกำเนิด!

อีกฝ่ายไม่ใช่อามุนด์ แต่เป็นเงาดำที่แผ่ออร่าเหมือนกับไคลน์ทุกประการ!

ไคลน์รีบตั้งสติและสั่งให้ปราสาทต้นกำเนิดปฏิเสธผู้มาเยือนแปลกหน้า

ไคลน์ทำสำเร็จ เงาดังกล่าวถูกกีดขวางด้วยหมอกสีเทาเหมือนกับตน

ทันทีหลังจากนั้น ทั้งชายหนุ่มและเงาดำต่างถูกส่งกลับโลกความจริงในเวลาเดียวกัน

หลังจากร่างวิญญาณกลับคืนร่างเนื้อ ไคลน์งอตัวด้วยความเจ็บปวดประหนึ่งกุ้งถูกต้ม

ปุ! หมวกทรงกึ่งสูงบนศีรษะร่วงลงพื้น

มันใช้เวลาหลายวินาทีกว่าจะฟื้นคืนสติ จากนั้นก็บรรจงเหยียดตัวตรงพลางจ้องไปทางกระจกหน้าต่างที่ทำจากอัญมณีสีส้ม

ภาพสะท้อนบนกระจกเผยให้เห็นรูปลักษณ์ปัจจุบันของไคลน์:

ใช้สันจมูกเป็นเส้นแบ่ง ฝั่งขวาของใบหน้ายังอยู่ในสภาพเดิม แต่ฝั่งซ้ายมีหลายสิ่งกำลังคลานออกมา

ไคลน์หรี่ตาลง

จากนั้นก็รีบปรับลมหายใจและใช้พลังตัวตลกเพื่อช่วยให้เห็นภาพจากมุมมอง ‘บุคคลที่สาม’

รูปลักษณ์ปัจจุบันกำลังปรากฏในใจอย่างชัดเจน:

ด้วยผมสีดำและดวงตาสีน้ำตาล ใบหน้าฝั่งขวายังคงเป็นของเกอร์มัน·สแปร์โรว์ตามปรกติ แต่ฝั่งซ้ายกลายเป็นโปร่งแสงและมีหนอนจำนวนมากกำลังดีดดิ้น

เมื่อก้มมองลงไป บริเวณลำคอยังคงปรกติเฉกเช่นผิวหนังใต้เสื้อผ้า

เราเกือบจะ… คลุ้มคลั่ง… ไม่ได้การ ต้องรีบต่อต้านแนวโน้มที่จะนำไปสู่ความบ้าคลั่งสุดโต่ง… ด…เดี๋ยวนะ… เกิดอะไรขึ้น? ไคลน์ที่สัมผัสถึงความไม่ชอบมาพากลรีบก้มมองฝ่าเท้า

ที่นั่นว่างเปล่า – ปราศจากเงาที่ควรจะมี:

แสงสนธยาสีส้มยังคงส่องผ่านหน้าต่างเข้ามา แต่ไคลน์กลับไม่มีเงาของตัวเอง

“ฮะฮะ… แบบนี้นี่เอง” ไคลน์โน้มตัวลงพลางหัวเราะอย่างมิอาจควบคุมตัวเอง

ชายหนุ่มสงสัยว่า ‘น้ำทะเล’ ที่พรั่งพรูออกจากตำหนักราชาคนยักษ์ไม่เพียงจะ ‘ท่วม’ หุ่นเชิดและภาพฉายของตน แต่ยังอาศัยอย่างหลังในการเฉือน ‘เงา’ ออกไปจนทำให้ดวงวิญญาณขาดความสมบูรณ์แบบและยากที่จะสยบแนวโน้มซึ่งนำไปสู่ความบ้าคลั่งสุดโต่ง

และเงาดำที่มีศักดิ์เทียบเท่ากับตนก็สามารถส่งอิทธิพลต่อปราสาทต้นกำเนิดได้ในระดับหนึ่ง ส่งผลให้ทั้งสองฝ่ายมิอาจเข้าไปในปราสาทต้นกำเนิดได้ด้วยกันทั้งคู่

ปัญหาจะหมดไปถ้าเราทำให้เงานั่นหายไปได้… หน้าผากฝั่งขวาไคลน์กระตุกแผ่วเบาขณะพยายามเหยียดหลังตรง

ทันใดนั้นเอง แสงสีส้มที่ส่องมาจากด้านบนพลันถูกย้อมด้วยสีทองสว่างไสว เปลี่ยนให้วังราชาคนยักษ์มีบรรยากาศของกลางวันแทนที่จะเป็นช่วงพลบค่ำ

ไคลน์มองออกไปนอกหน้าต่างด้วยหัวใจที่เต้นระรัว จากนั้นก็มองเห็นภาพหนึ่ง

ด้านหน้าอาคารที่สูงและสง่างามที่สุดในวังราชาคนยักษ์ หุ่นเชิดเอ็นยูนกำลังยืนหันหน้าเข้าหาประตูที่เปิดอยู่

ด้านหลังประตูมืดสนิทจนมองไม่เห็นสิ่งใด

ทันใดนั้น เอ็นยูนหันกลับมาและก้มมองต่ำ

ใบหน้าของมันกำลังถูกปกคลุมด้วยเงาดำ เส้นผมกลายเป็นสีดำเข้มประป่าและหยักศกเล็กน้อย

ด้านหลังมีปีกมายาสีดำสยายออก

ในห้องโถงที่ไม่ห่างออกไป ร่างกายท่อนล่างของเงาดำบริสุทธิ์กำลังแนบติดอยู่กับแผ่นหิน ร่างกายท่อนเหยียดตัวตั้งตรง

………………………………………

ราชันเร้นลับ Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ

ราชันเร้นลับ Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ

       เป็นเรื่องราวการข้ามโลกของหนุ่มชาวจีนนามว่า โจวหมิงรุ่ย โลกใบที่ชายคนนี้ต้องเผชิญมีลักษณะคล้ายคลึงกับยุควิกตอเรียของยุโรป
ยุคสมัยแห่งจักรกลไอน้ำเฟื่องฟู สุภาพบุรุษขุนนางเดินขวักไขว่ด้วยสูทและเสื้อกั๊กมาดเท่
     แน่นอน เป็นโลกที่มีพลังพิเศษ ผู้วิเศษ และ สัตว์วิเศษ แต่พลังของมนุษย์บนโลกจะไม่เหมือนกับนิยายเรื่องใด ไม่มีจอมยุทธ์ ไม่มีการบังเอิญพบคำภีลับและได้ครอบครองยอดเคล็ดวิชา
ไม่ได้เกิดใหม่พร้อมกับพลังสุดโกง
ไม่เลย ไม่น่าเบื่อและจืดชืดขนาดนั้น
    ในอดีตกาล เผ่าพันธุ์มนุษย์อันต่ำต้อยมิอาจต่อสู้กับเหล่าสัตว์วิเศษในตำนานไหว
หนึ่งในหนทางครอบครอง ‘พลังพิเศษ’ ก็คือการดื่ม ‘โอสถ’
หลังจากมนุษย์ดื่มโอสถและกลายเป็น ‘ผู้วิเศษ’ พวกเขาจะข้ามขีดจำกัดเดิมตามแต่ชนิดโอสถที่ดื่ม
ผู้วิเศษในโลกแบ่งออกเป็น 9 ลำดับ โดยลำดับ 9 จะอ่อนแอที่สุด
หนทางอัพเกรดลำดับก็แสนพิลึก ไม่ใช่การพัฒนาพลังเหมือนนิยายเรื่องใด
แต่เป็นการดื่ม ‘โอสถ’ ที่ ‘ถูกต้อง’ ตามสูตรของลำดับถัดไป
พลังพิเศษไม่สามารถข้ามสายได้ โอสถแต่ละชนิดจะมีสูตรการปรุงที่แตกต่าง
แถมการฝึกฝนพลังของผู้วิเศษก็ยังพิสดารเหนือคำบรรยาย
    เรื่องราวจะยิ่งเข้มข้นขึ้นเมื่อตัวเอกเริ่มทราบว่า อดีตมหาจักรพรรดิของโลกเมื่อร้อยปีก่อนเป็น ‘ผู้เดินทางข้ามโลก’ เหมือนกับเขา แถมยัง… เหลือทิ้งไดอารี่สุดสำคัญไว้ให้ชนรุ่นหลัง แต่ไดอารีถูกเขียนด้วยภาษาจีนที่ไม่มีใครอ่านออกแม้แต่คนเดียว… ยกเว้นโจวหมิงรุ่ย

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท