หลังจากจัดสรรส่วนแบ่งและส่งตะกอนพลังปลอดมลพิษกลับไปให้เอ็มลิน ไคลน์ยังไม่รีบร้อนออกจากปราสาทต้นกำเนิด ภายในใจกำลังนึกทบทวนการต่อสู้ที่เกิดขึ้นในวันนี้
สิ่งที่ชายหนุ่มสนใจเป็นพิเศษคือความสามารถที่เทพหายนะเซียอาแสดงให้เห็น เพื่อวิเคราะห์ความแข็งแกร่งของเทวทูต
หากต้องสู้กันซึ่งหน้าโดยไม่มีการออมมือ เราคงตายก่อนจะได้อัญเชิญภาพฉายเทวทูตออกมา… เว้นแต่จะอัญเชิญสำเร็จในครั้งเดียว… แต่เป้าหมายของเรา หมาป่าอสูรทมิฬโคทาร์นั้นเป็นเพียงผู้ชี้นำปาฏิหาริย์ในลำดับ 2 ส่วนเทพหายนะเซียอาคือลำดับ 1 ช่องว่างย่อมห่างกันมาก… แต่ก็ต้องไม่ลืมว่าหมาป่าอสูรทมิฬอยู่บนเส้นทางเดียวกับเรา พลังข่มเราได้ทุกทาง… เรื่องเดียวที่น่ายินดีคือการที่มันยังไม่เลื่อนเป็นลำดับ 1 ไม่อย่างนั้นเราคงหมดโอกาสเอาชนะ… ลำดับ 1… ท่ามกลางกระแสความคิด รูม่านตาไคลน์พลันหดลีบพร้อมกับเอนหลังตั้งตรง
มันพบอีกหนึ่งความเป็นไปได้ที่น่าสะพรึง
หรือว่าหมาป่าอสูรทมิฬโคทาร์จะเลื่อนเป็นลำดับ 1 ‘บริวารเร้นลับ’ เรียบร้อยแล้ว? และการสร้างเมืองหุ่นเชิดก็ทำไปเพื่อตบตาผู้ไล่ล่าอย่างเทวทูตกาลเวลาอามุนด์?
นั่นเป็นไปได้… และอีกหนึ่งความเป็นไปได้ก็คือ หมาป่าอสูรทมิฬโคทาร์สามารถครอบครอง ‘ม่าน’ ผืนดังกล่าวได้อย่างสมบูรณ์จนมีพลังทัดเทียมกึ่งลำดับ 1 แล้ว… ยิ่งครุ่นคิด ไคลน์ก็ยิ่งพบว่าเส้นทางของตนเต็มไปด้วยอันตราย
หมาป่าอสูรทมิฬสามารถเอาตัวรอดในดินแดนเทพทอดทิ้งมาได้เป็นเวลานาน แม้กระทั่งเทพแห่งการหลอกลวงอย่างอามุนด์ก็ยังจับไม่ได้ นั่นแปลว่าทั้งความแข็งแกร่งและสติปัญญาของโคทาร์ล้วนอยู่ในระดับเหนือจินตนาการ!
เราต้องเตรียมตัวให้รัดกุมกว่านี้หากต้องการล่าเจ้านั่น… ไคลน์ขมวดคิ้วพลางถอนหายใจยาว
…
กรุงเบ็คลันด์ เขตตะวันตก ภายในคฤหาสน์ตระกูลโอดรา
เอ็มลินกำลังนั่งบนโซฟาหนังในห้องนั่งเล่นด้วยท่าไขว่ห้างขวาทับซ้าย รอคอยการมาถึงของบารอนคาซีมีอย่างใจเย็น
เพียงไม่นาน บารอนผีดูดเลือดวัยกลางคนเดินเข้ามาในห้องนั่งเล่นและกวาดตามองเอ็มลิน
“ไวเคาต์ไวท์ มาเยือนยามดึกดื่นด้วยเหตุผลอันใด?”
เอ็มลินยิ้ม
“วันของพวกเราเพิ่งเริ่มต้นไม่ใช่หรือ? พระจันทร์สีแดงด้านนอกหน้าต่างช่างงดงาม”
ใจจริงคาซีมีต้องการโต้เถียงโดยชี้ให้เห็นว่า เอ็มลินเคยทำตัว ‘เรียบร้อย’ สมัยอยู่วิหารฤดูเก็บเกี่ยวโดยการตื่นเจ็ดโมงเช้าและเข้านอนก่อนห้าทุ่มตรง แต่หลังจากลังเลอยู่สักพัก มันสลัดความคิดดังกล่าวทิ้งและเปลี่ยนเป็นคำถาม
“เจ้ามีธุระอะไร?”
เอ็มลินยกมือขึ้นตบเสื้อแผ่วเบา จัดโบหูกระต่ายและลุกขึ้นยืนเชื่องช้า ตามด้วยเชิดคางพูด:
“ไปบอกกับลอร์ดนีบาสว่า รบกวนเตรียมพิธีกรรมเลื่อนลำดับเป็นเอิร์ลให้ข้าด้วย”
“…” คาซีมีถามกลับตามสัญชาตญาณ “เจ้ากำลังพูดเรื่องอะไร…”
ทันทีที่สิ้นเสียง มันนึกขึ้นได้ว่าเอ็มลินเพิ่งลงทะเบียนยืมใช้งานสมบัติปิดผนึก
“นี่เจ้า… ได้รับตะกอนพลังของเอิร์ล… ไม่สิ ราชาหมอผีมาแล้วหรือ?”
เอ็มลินดื่มด่ำไปกับช่วงเวลาสุดหฤหรรษ์ ตามด้วยยิ้มและตอบ
“เจ้าคิดว่าข้ายืมเนตรสีขาวไปเล่นๆ หรืออย่างไร”
กล่าวจบมันหยิบกล่องทองแดงเลี่ยมทับทิมออกมาถือ จากนั้นก็เปิดฝาเพื่อยืนยันว่าตนไม่ได้ทำหาย
คาซีมีกะพริบตาสักพัก
“โรงเรียนกุหลาบฝ่ายระงับแรงปรารถนาซุกซ่อนยอดฝีมือเอาไว้หรือไง… แล้วทำไมพวกเขาถึงยอมร่วมมือกับเจ้า?”
เบื้องบนของตระกูลผีดูดเลือดแห่งเบ็คลันด์อย่างมาร์ควิสนีบาส·โอดรา ไม่ได้คิดมากในตอนที่เอ็มลินขอยืมเนตรสีขาวไปใช้งาน พวกมันเพียงรอฟังข่าวคราวความล้มเหลวและหวังให้เอ็มลินอ้อนวอนขอความช่วยเหลือจากฝั่งผีดูดเลือด
เอ็มลินชำเลืองพลางยิ้ม
“ความลับ”
นี่คือน้ำเสียงที่เลียนแบบมาจากเกอร์มัน·สแปร์โรว์ มันพบว่าเป็นบุคลิกที่ดูเท่และเข้ากับตัวเอง
ขณะเดียวกัน สิ่งนี้เป็นประเด็นสำคัญที่ ‘มิสเตอร์แฮงแมน’ พยายามเน้นย้ำกับมันในช่วงเวลาแลกเปลี่ยนข้อมูลอิสระของชุมนุมทาโรต์:
ยิ่งมีความลับมากเท่าไร เบื้องบนของตระกูลผีดูดเลือดก็ยิ่งหวาดกลัวเท่านั้น การทำแบบนี้จะช่วยให้พวกมันไม่กล้าหาข้ออ้างช่วงชิงตะกอนพลังราชาหมอผี
โดยไม่รอให้คาซีมีตอบโต้ เอ็มลินโยนกล่องทองแดงเลี่ยมทับทิมไปทางอีกฝ่ายก่อนจะจัดกระดุมเสื้อ จากนั้นก็เดินผ่านบารอนผีดูดเลือดจนกระทั่งถึงประตูห้องนั่งเล่น
ขณะเตรียมเดินพ้นกรอบประตู เอ็มลินชะงักฝีเท้าและกล่าวโดยไม่หันกลับไปมอง
“คราวหน้าก็อย่าลืมเรียกข้าว่าท่านเอิร์ล”
พิจารณาจากความโปรดปรานของบรรพชนผีดูดเลือดและการที่ ‘พระจันทร์’ มองตนเป็นคนสำคัญ เอ็มลินมั่นใจว่าตนสามารถเลื่อนลำดับเป็นราชาหมอผีได้อย่างราบรื่น
กล้ามเนื้อใบหน้าคาซีมีพลันกระตุก แต่มันมิได้กล่าวคำใดจนกระทั่งเอ็มลินเดินจากไปจึงค่อยเผยสีหน้าบิดเบี้ยวอย่างมิอาจควบคุม
ผีดูดเลือดอย่างมันที่ดำรงอยู่มาตั้งแต่ยุคสมัยจักรพรรดิโรซายล์ อายุของคาซีมีย่อมมากกว่าเอ็มลินหลายเท่าตัว แต่กระนั้นมันกลับยังเป็นได้เพียงบารอน สูงส่งกว่าแวมไพร์ไร้ศักดินาเพียงเล็กน้อยเท่านั้น เทียบกับเอ็มลินที่เคยถูกหัวเราะเยาะในแวดวงผีดูดเลือดกรุงเบ็คลันด์ ปัจจุบันกลับเตรียมก้าวข้ามของเขตครึ่งมนุษย์ครึ่งเทพและกลายเป็นลำดับ 4 ราชาหมอผี หรือที่รู้จักกันในนามเอิร์ลผีดูดเลือด
แล้วจะไม่ให้คาซีมีสูญเสียความเยือกเย็นได้อย่างไร? ไม่ให้ริษยาและตกตะลึงได้อย่างไร?
หลังจากข่มสติอยู่หลายนาที คาซีมีเดินลงไปยังชั้นใต้ดิน ผ่านประตูลับหลายชั้นจนกระทั่งถึงห้องโถงสีเทาที่นีบาสหลับอยู่:
“ท่านปู่ เอ็มลินทำสำเร็จ”
ไม่มีเสียงใดดังจากโลงศพเหล็กดำเป็นเวลานาน จนกระทั่งนีบาสกล่าวในอีกหลายวินาทีถัดมา
“องค์กรที่หนุนหลังเจ้านั่นแข็งแกร่งกว่าที่พวกเราคาดคิดมาก…”
เสียงของมาร์ควิสผีดูดเลือดที่ทั้งลุ่มลึกและแก่ชราดังกังวานไปทั่วห้องโถง
“ท่านปู่ เอ็มลินประสบความสำเร็จได้เพราะพึ่งพาเนตรสีขาว ผลลัพธ์ส่วนหนึ่งจึงควรตกเป็นของตระกูล…” คาซีมีกล่าวด้วยความคาดหวัง
เสียงของนีบาสดังขึ้นเล็กน้อย
“งี่เง่า! การจะล่าราชาหมอผีในสถานการณ์ที่โรงเรียนกุหลาบเตรียมพร้อมรับมือ จะมีสักกี่องค์กรที่ทำเช่นนี้ได้? โรงเรียนกุหลาบฝ่ายระงับแรงปรารถนาอยู่ในสภาพทรงตัวมานานหลายปี พวกมันจะมีขุมกำลังเหลือสักเท่าไรเชียว? อย่างมากก็เทวทูตหนึ่งตนที่อยู่ในสภาพย่ำแย่ สมบัติปิดผนึกระดับ 0 หนึ่งชิ้นและครึ่งเทพอีกสองสามคน… ต่อให้ทั้งหมดลงมือพร้อมกันก็ไม่มีทางต้านทานเทพหายนะเซียอา เหล่าเทวทูต บรรดาสมบัติปิดผนึกระดับ 0 และครึ่งเทพอีกจำนวนมากได้… แถมยังมีพรปกป้องจากเทพผู้ถูกล่ามและมารดาพฤกษาแห่งแรงกระหาย… ในเมื่อเอ็มลินกลับมาพร้อมกับความสำเร็จ เจ้าคิดว่าศึกครั้งนี้ต้องมีการเคลื่อนทัพที่ยิ่งใหญ่ขนาดไหน? ต้องใช้สมบัติปิดผนึกไปกี่ชิ้น? นั่นเป็นขุมพลังที่เทียบเท่าหรือมากกว่าพวกเราด้วยซ้ำ! หลังจากนี้ให้ยกเลิกการจับตามองเอ็มลินและพวกพ้องทันที!”
หลังจากพูดกึ่งตะโกนต่อเนื่องเป็นเวลานาน นีบาสไอแห้งสองสามหน
คาซีมีหน้าซีดขณะได้สติกลับมา
“ถ้าอย่างนั้น… ท่านจะเตรียมพิธีกรรมให้เอ็มลินใช่ไหม?”
“ยังมีตัวเลือกอื่นอีกหรือ?” นีบาสย้อนถามกลับก่อนจะถอนหายใจ “บางที… หลังจากเอ็มลินกล้าเสี่ยงชีวิตเพื่ออนาคตของผีดูดเลือด ท่านต้นตระกูลอาจเริ่มโปรดปรานเจ้านั่นเข้าแล้วจริงๆ …”
…
ทะเลหมอก เกาะลาชา
หลังจากจอดอนาคตกาลไว้ในเส้นทางเดือดเรือปลอดภัย พลเรือเอกดวงดาวแคทลียาใช้เวทมนตร์นิทานปรัมปราในการปีนขึ้นมายังยอดเขาบนเกาะลับซ่อนเร้น จากนั้นก็ท่องคาถาเป็นภาษาคนยักษ์ริมขอบหน้าผาว่างเปล่า
“เซซามี จงเปิด!”
ทางเดินกึ่งจริงกึ่งมายาปรากฏขึ้นริมหน้าผาทันที แต่ดูไม่ออกว่าปลายทางนำพาไปยังสถานที่ใด
แคทลียาพยากรณ์ถึงอันตรายสักพักก่อนจะก้าวลงบนทางเดินที่พาไปยังก้นเหวมืด
ยิ่งเดินก็ยิ่งมองเห็นข้างหน้าชัดขึ้น หญิงสาวได้พบกับทะเลที่ใสประหนึ่งไพลินและปราสาทที่งามราวกับมรกต
นี่คือ ‘มรกตนคร’ ของราชินีเงื่อนงำแบร์นาแดต
แคทลียาไม่ใช่คนแปลกหน้าสำหรับที่นี่ เธอผ่านบททดสอบและคำถามของเวรยามได้ง่ายดายจนกระทั่งมาถึงห้องกึ่งเปิดโล่งที่วิวดีที่สุดในปราสาท
ราชินีตัวสูงกำลังยืนหลังราวกั้นพลางเฝ้ามองคลื่นซัดสาด
ด้วยเหตุผลบางประการ ความตื่นเต้น สั่นสะท้าน และยินดีปรีดาในส่วนลึกของจิตใจแคทลียากลับสงบลงอย่างน่าประหลาด ภายในใจมีเพียงความผ่อนคลายและอิสระ
ในตอนที่ออกทะเล แคทลียามักรู้สึกโดดเดี่ยวและโศกเศร้า เฉกเช่นใบไม้ที่ปลิดปลิวจากต้นและถูกสายลมพัดพาไปยังสถานที่ต่างๆ อย่างไร้จุดหมาย แต่ดูเหมือนว่าท้ายที่สุดจะกลับมาหล่นลงบนโคนต้นไม้ต้นเดิม
หญิงสาวเปิดปากแต่มิได้กล่าวคำใดเป็นเวลานาน จนกระทั่งใช้นิ้วดันกรอบแว่นและทักทายเรียบง่าย
“ทิวาสวัสดิ์เพคะ องค์ราชินี”
แบร์นาแดตหันมาพยักหน้ารับ
“ฉันเรียกเธอมาที่มรกตนครเพราะมีบางสิ่งจะฝากฝัง”
แคทลียาถามตามความเคยชิน
“เหตุใดถึงต้องฝากฝังกับดิฉัน…”
ราชินีมีองค์กรลับนามว่า ‘แก่นรุ่งอรุณ’ และกลุ่มโจรสลัดในบัญชาอีกเป็นจำนวนมาก!
แบร์นาแดตไม่ตอบคำถามโดยตรง เพียงกล่าว:
“ฉันเพิ่งได้รับเบาะแสสำคัญจนต้องรีบร้อนออกจากเบ็คลันด์”
“ดิฉันจำได้” แคทลียาพูดแทรก
คิ้วที่ตรงและยาวของแบร์นาแดตกระตุกเล็กน้อย
“เบาะแสดังกล่าวช่วยให้ฉันสามารถประกอบชิ้นส่วนแผนที่เดินเรือที่ไม่สมบูรณ์ของทายาทเอ็ดเวิร์ด วิลเลียม และโพลีเข้าด้วยกัน ข้อมูลดังกล่าวคือบันทึกการสำรวจทะเลหมอกของท่านพ่อในช่วงเวลานั้น… อาศัยพลังพยากรณ์และแผนที่ ฉันสามารถคาดเดาตำแหน่งที่อาจซ่อนความลับของท่านพ่อได้อย่างคลุมเครือ จึงวางแผนที่จะเดินทางไปสำรวจอย่างละเอียดด้วยรุ่งอรุณ… ฉันเองก็ไม่แน่ใจว่าจะได้กลับเมื่อไร หรือบางทีอาจไม่ได้กลับมาอีกแล้ว… จึงอยากฝากฝังวัตถุบางชิ้นและงานบางอย่างให้เธอล่วงหน้า”
แคทลียากล่าวโดยไม่ลังเลหลังจากได้ยิน
“ดิฉันก็จะไปกับท่านด้วย”
“เขาเป็นพ่อของฉัน… นี่คือเรื่องที่ฉันต้องจัดการด้วยตัวคนเดียว” ราชินีเงื่อนงำส่ายหน้าเชื่องช้า
แคทลียาเงียบงันหลายวินาที
“ถ้าท่านไม่กลับมา ดิฉันก็จะทำแบบเดียวกัน”
………………………………………….