ราชันเร้นลับ Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ – ราชันเร้นลับ 1261 : ไม่มีใครเป็นข้อยกเว้น

ราชันเร้นลับ 1261 : ไม่มีใครเป็นข้อยกเว้น

ผ่านไปสักพัก ไคลน์ถามต่อ

“มหาต้นกำเนิดหมายถึงผู้สร้างโลกใบนี้ขึ้นมาและแบ่งร่างให้กลายเป็นทุกสิ่ง?”

อันที่จริง ไคลน์อยากถามว่ามหาต้นกำเนิดเป็นคนเดียวกับแม่มดบรรพกาลหรือไม่ แต่หลังจากไตร่ตรองสักพักก็ปัดตกความเป็นไปได้ดังกล่าว ประการแรก ตัวตนอย่างแม่มดบรรพกาลไม่น่าจะสร้างความกลัวให้กับเทพสุริยันบรรพกาลได้ เพราะแม้แต่เทพธิดารัตติกาลก็ไม่น่าจะทำได้ ประการที่สอง แม่มดบรรพกาลถือกำเนิดในยุคสมัยที่สี่โดยได้รับอิทธิพลจากศิลาเย้ยเทพแผ่นที่สอง นั่นเป็นช่วงเวลาหลังจากซาสเรียหลับใหลไปนอนแล้ว เทวทูตมืดตนนี้จึงไม่น่าจะรู้จักอีกฝ่าย และถึงจะทราบได้จากพลังรู้แจ้ง แต่ซาสเรียก็ไม่มีเหตุผลให้ต้องเอ่ยถึงลำดับ 0 ซึ่งไม่มีตัวตนในประวัติศาสตร์ของยุคสมัยที่สาม

ดวงตาทองเหลืองหลังม่านเงาดำกล่าวขึ้นพร้อมกัน:

“จักรวาล”

หมายความว่ายังไง? ได้ยินคำตอบเสียงล่องลอย ไคลน์เกิดความฉงนอย่างหนัก คล้ายกับเทวทูตมืดซาสเรียไม่ได้ตอบคำถามของตน

แต่เพียงไม่นานมันก็เริ่มเข้าใจอย่างคร่าวว่าอีกฝ่ายสื่อถึงสิ่งใด

มหาต้นกำเนิดมิได้สร้างแค่โลกใบนี้ แต่เป็นทั้งจักรวาล!

หมายความว่า ‘มหาต้นกำเนิด’ คือพระผู้สร้างต้นกำเนิด? ไคลน์หมุนตัวหันไปทางสามครึ่งเทพแห่งเมืองเงินพิสุทธิ์อย่างโคลิน เดอร์ริค และโลเฟียร์จนกระทั่งได้พบว่า อีกฝ่ายกำลังสวมสีหน้าสับสนสุดขีด บางคนขมวดคิ้วพลางวิเคราะห์เนื้อหาของบทสนทนา

ตามประวัติศาสตร์ของเมืองเงินพิสุทธิ์ เทพสุริยันบรรพกาลมีค่าเท่ากับพระผู้สร้างต้นกำเนิด เป็นตัวตนระดับสูงสุดที่ลืมตาตื่นขึ้นมาบนโลกหลังจากหลับใหลไปนานหลายปี จากนั้นก็ตระเวนทวงคืนพระอำนาจมาจากเทพบรรพกาล

จริงอยู่ที่หากพิจารณาในเชิงความหมาย ตำนานของเทพสุริยันบรรพกาลไม่ใช่เรื่องโกหก เพียงแต่เรื่องราวการ ‘ลืมตาตื่น’ ของพระองค์อาจแตกต่างจากสิ่งที่ชาวเมืองเงินพิสุทธิ์จินตนาการไว้

จักรวาล… ไคลน์ไตร่ตรองสักพักก่อนจะถาม

“มหาต้นกำเนิดตื่นขึ้นในร่างของท่านเพราะท่านคือผู้ครอบครองทะเลแห่งความโกลาหล?”

ถ้าอย่างนั้นจะเกิดอะไรขึ้นถ้าเราได้ครอบครองปราสาทต้นกำเนิดในเชิงลึก…

ดวงตาทองเหลืองจ้องไคลน์นานหลายสิบวินาทีก่อนจะตอบ

“ไม่ใช่แค่นั้น… ยิ่งมีลำดับสูงเพียงใดก็ยิ่งเข้าใกล้มหาต้นกำเนิด…”

หมายความว่ามีโอกาสที่มหาต้นกำเนิดจะลืมตาตื่นในร่างของลำดับ 0 หรือไม่ก็ราชาเทวทูต? ได้ยินเช่นนั้น หัวใจไคลน์หล่นไปถึงตาตุ่ม

จากนั้นก็คิดในแง่อื่น:

ยิ่งมีลำดับสูงเพียงใดก็ยิ่งง่ายต่อการถูกใต้ดินกัดกร่อน!

เมื่อรวมกับข้อเท็จจริงที่ว่า ทะเลแห่งความโกลาหลอยู่ใต้ดิน กล่าวคือ ยิ่งมีลำดับสูงเพียงใดก็ยิ่งได้รับอิทธิพลจากทะเลแห่งความโกลาหลมากเท่านั้น ทำให้มีโอกาสที่มหาต้นกำเนิดจะตื่นขึ้นในร่าง? สิ่งที่มังกรจินตภาพแอนเคอร์เวลผนึกไว้ในเมืองแห่งปาฏิหาริย์ที่ซ่อนอยู่ใน ‘การเดินทางของกรอซาย’ แม้จริงแล้วไม่ใช่การกัดกร่อนจากใต้ดิน หากแต่เป็นมหาต้นกำเนิดที่ตื่นขึ้น? ไม่ต้องสงสัยเลยว่าสิ่งนี้คือการกัดกร่อนที่ทรงพลังที่สุดในเชิงศาสตร์เร้นลับ… และต้นตอของตะกอนพลังเกือบทั้งหมดก็มาจาก… พระผู้สร้างต้นกำเนิด… เป็นส่วนหนึ่งของร่างกายพระองค์? กระแสความคิดมากมายแล่นผ่านสมองไคลน์จนทำให้เกิดคำถามมากมาย

จนในที่สุด ชายหนุ่มหวนนึกถึงคำเตือนของดันน์·สมิทก่อนที่ไคลน์จะก้าวเข้าสู่โลกของผู้วิเศษ:

“เราเป็นผู้พิทักษ์ แต่ขณะเดียวกันก็เป็นมดปลวกน่าสมเพชที่ต้องคอยต่อสู้กับอันตรายและความบ้าคลั่งตลอดเวลา”

ในวินาทีนี้ ไคลน์เข้าถึงประโยคดังกล่าวอย่างลึกซึ้งในอีกหนึ่งแง่มุม

ฟู่ว… ชายหนุ่มถอนหายใจเงียบพลางรำพัน

ตะกอนพลังเปรียบดังของขวัญและคำสาป…

มันครุ่นคิดสักพักก่อนจะยิ้มและพูด

“ข้อมูลเหล่านี้จะทำให้ผู้ที่เข้าใจถูกกัดกร่อนหรือไม่”

“ไม่” ดวงตาทองเหลืองจ้องไปทางโคลินและอีกสองครึ่งเทพ “แค่มีโอกาสมากขึ้นที่มหาต้นกำเนิดจะตื่นขึ้นในร่างพวกเจ้า”

ไคลน์ตกตะลึงในทันทีเมื่อได้ยินคำตอบ ในแง่หนึ่ง มันโล่งใจที่เดอะซันน้อยและเจ้าเมืองเงินพิสุทธิ์ไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องนี้มากนัก จึงยังมิอาจเชื่อมโยงบทสนทนาเข้าด้วยกันได้ ลำพังประโยคที่ว่า ‘ยิ่งมีลำดับสูงยิ่งเข้าใกล้มหาต้นกำเนิด’ ยังไม่มากพอจะทำให้ผู้ฟังถูกกัดกร่อน แต่ในอีกแง่หนึ่ง มันสมเพชตัวเองที่มีข้อมูลเกี่ยวกับโลกเหนือธรรมชาติมากมายเหลือเกิน หลังจากได้ทราบเรื่องราว มันสามารถปะติดปะต่อเข้าด้วยกันอย่างละเอียดคมชัด ไคลน์ไม่อยากคิดว่าตนจะได้รับอิทธิพลใดบ้างหากหลุดพ้นจากการคุ้มครองวังราชาคนยักษ์ – อาณาจักรแห่งเทพ

ยิ่งไปกว่านั้น ดูเหมือนปัญหาดังกล่าวจะมิอาจแก้ไขได้ด้วยการผนึกความทรงจำ เพราะตะกอนพลังได้ผสานเข้ากับวิญญาณและร่างกายโดยสมบูรณ์

ลองใช้วิธีเดียวกับมังกรจินตภาพ? แต่อันที่จริง ตอนนี้เรายังไม่ต้องเปลืองสมองกังวลกับเรื่องดังกล่าวมากนัก เพราะอามุนด์กับอาดัมเองก็น่าจะทราบเรื่องเหล่านี้ดี แต่ก็ยังไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นกับพวกเขา… ตราบใดที่ไม่ได้เข้าใกล้ทะเลแห่งความโกลาหล ลำดับ 3 อย่างเราก็ไม่จำเป็นต้องไปกังวล และถึงจะเป็นลำดับ 2 ก็คงไม่ต่างกันมากนัก… ไตร่ตรองสักพัก ไคลน์ตัดสินใจเลิกขบคิดเรื่องดังกล่าวในเชิงลึก เพียงยกมุมปากขึ้นและเปลี่ยนหัวข้อสนทนาไปยังปริศนาการตายของเทพสุริยันบรรพกาล:

“ดังนั้นท่านจึงยินยอมที่จะก่อตั้งกุหลาบไถ่บาปร่วมกับเทพธิดารัตติกาลและวางแผนลอบสังหารตัวเอง… มีเพียงการคืนชีพโดยหลบหนีจากมหาต้นกำเนิดเท่านั้น ท่านจึงจะได้ครอบครองทะเลแห่งความโกลาหลและห้าเส้นทางผู้วิเศษที่เกี่ยวข้องโดยสมบูรณ์?”

บนม่านเงาดำ ดวงตาทองเหลืองคล้ายกับแฝงไว้ด้วยอารมณ์ของมนุษย์

“ใช่… ข้าพบปัญหานี้หลังเดินออกจากทะเลแห่งความโกลาหลได้ไม่นาน จึงจงใจแบ่งบุคลิกบางส่วนออกมาบรรจุลงในตะกอนพลังเส้นทางแฮงแมนที่ผสานเข้ากับอำนาจในขอบเขตเสื่อมทรามจนเกิดเป็นตัวข้าอีกคน จุดประสงค์เพื่อคอยควบคุมทะเลแห่งความโกลาหลโดยที่ร่างต้นไม่ต้องเผชิญความเสี่ยงในการถูกกัดกร่อน… แต่ในท้ายที่สุด มหาต้นกำเนิดยังคงตื่นขึ้นในร่างข้า…”

ที่จริงแล้ว เทวทูตมืดเป็นแค่ ‘ไฟร์วอลล์’ ของเทพสุริยันบรรพกาล? เส้นทางแฮงแมนหมายถึงเส้นทางผู้วิงวอนความลับ? ย้อนกลับไปในตอนนั้น เทวทูตมืดน่าจะทรงพลังอย่างมากเพราะสามารถควบคุมทะเลแห่งความโกลาหลได้บางส่วน… สมแล้วที่เป็นราชาเทวทูต… ไคลน์ถอนหายใจพลางตระหนักถึงความจริงที่ว่า เทพสุริยันบรรพกาลล้มเหลวในการป้องกันมิให้ ‘พระผู้สร้างต้นกำเนิด’ ตื่นขึ้นมาในร่างแม้จะพยายามป้องกันทุกวิถีทางแล้ว และนั่นทำให้ไคลน์เกิดความหวาดผวาเกี่ยวกับอนาคตของตัวเอง

“ดังนั้นข้าจึงเรียกเลโอเดโร โอซาคุส เฮราเบอร์เก้น เมดีซี และโอโรเลอุสมาชุมนุมกันและประกาศก่อตั้งกุหลาบไถ่บาปร่วมราชาเทวทูตและเทพที่อมานีซิสเชิญมา” เสียงของเทวทูตมืดซาสเรียดังกังวานไปทุกทิศ

เข้าใจแล้วว่าทำไมถึงต้องไถ่บาป… เข้าใจแล้วว่าทำไมราชาเทวทูตอย่างเมดีซีและโอโรเลอุสที่ซื่อสัตย์ต่อเทพสุริยันบรรพกาลอย่างมากถึงยอมเข้าร่วมองค์กร… ไคลน์อดไม่ได้ที่จะถามพลางยิ้ม

“แล้วทำไมไม่ชักชวนอามุนด์กับพี่ชาย?”

ในทางทฤษฎี พวกมันควรจะอยู่ฝ่ายเทวทูตมืด

“การถือกำเนิดของพวกเขาเป็นผลลัพธ์จากการทำงานหนักของข้าที่พยายามต่อต้านมหาต้นกำเนิด ข้าเกรงว่าการเชิญพวกเขาเข้าร่วมอาจทำให้เกิดเหตุไม่คาดฝัน” ดวงตาทองเหลืองทั้งหมดหันกลับมาจ้องไคลน์เป็นตาเดียว

ความลับเหล่านี้ทำให้สามครึ่งเทพของเมืองเงินพิสุทธิ์ตกอยู่ในภวังค์เหม่อลอยไปชั่วขณะ แม้กระทั่งโคลิน·อีเลียดที่เคยอ่านเอกสารโบราณมากมายก็ยังต้องเผชิญความปั่นป่วนทางอารมณ์

แบบนี้นี่เอง นึกแล้วเชียวว่าเทพสุริยันบรรพกาลคงตัดสินใจมีทายาทด้วยเหตุผลบางอย่าง… เป็นอีกครั้งที่ไคลน์พยายามข่มตัวเองไม่ให้พูดในสิ่งที่คิดตามที่บุคลิกภาพเสมือนถูกตั้งค่าไว้

ยังไม่ทันที่ไคลน์จะได้ถามต่อ คล้ายกับวิญญาณที่เทวทูตมืดซาสเรียเหลือทิ้งไว้กำลังดำดิ่งลงไปในห้วงความทรงจำ:

“หลังจากเตรียมการทุกสิ่งเสร็จสรรพ ข้าเข้ามาที่นี่และทำการผนึกตำหนัก จากนั้นก็หลับใหลเพื่อกลับไปสู่ร่างต้น เสริมสร้างความแข็งแกร่งของจิตใต้สำนึกเพื่อถ่วงดุลอำนาจกับมหาต้นกำเนิด เปิดโอกาสให้อมานีซิสกับพวกพ้องลงมือ… ในท้ายที่สุด พวกเขาฆ่าข้าสำเร็จ… ตามแผนเดิม ข้าต้องคืนชีพภายในวังราชาคนยักษ์ แต่ขณะกำลังปรองดองกับเอกลักษณ์และตะกอนพลังด้วยวิธีการที่ถูกต้อง เลโอเดโร โอซาคุส และเฮราเบอร์เก้นได้ลงมือทรยศข้าและกัดกินร่างกาย… ข้าไม่มีทางเลือกนอกจากสกัดอารมณ์ที่รุนแรงที่สุดก่อนตายออกมาและเกิดใหม่ภายในศพ สืบทอดตะกอนพลังเส้นทางแฮงแมนและอำนาจในขอบเขตเสื่อมทรามเป็นของตัวเอง…”

เกือบจะตรงตามที่เราคิดไว้ทั้งหมด… วายุสลาตัน สุริยันเจิดจรัส และปัญญาความรู้ทรยศเทพสุริยันบรรพกาลจริงๆ … ไม่น่าแปลกใจว่าทำไมเวทมนตร์นิทานปรัมปรา ‘งานเลี้ยงแห่งการทรยศ’ ของมาดามเฮอร์มิทถึงใช้ได้ผล… เมื่อปริศนาดังกล่าวถูกคลี่คลาย ไคลน์พบว่าหมอกแห่งประวัติศาสตร์ในยุคสมัยที่สามเกือบทั้งหมดถูกปัดเป่า

แต่แน่นอน นั่นยังเป็นแค่ความเชื่อของไคลน์ เพราะปัจจุบันมันยังติดต่อกับสายหมอกแห่งประวัติศาสตร์ไม่ได้

ถอนหายใจใคร่ครวญสักพัก ไคลน์ผุดคำถามใหม่

หากเทวทูตมืดซาสเรียกลับคืนร่างต้นอย่างเทพสุริยันบรรพกาลไปแล้ว และในภายหลังได้วิวัฒนาการเป็นพระผู้สร้างแท้จริงด้วย ‘ร่าง’ ของพระองค์เอง… แล้วใครคือคนที่กำลังหลับใหลบนบัลลังก์เหล็กดำ?

เหตุใดพระผู้สร้างแท้จริงถึงบังคับให้เราเข้ามาในตำหนักเพื่อพบซาสเรีย?

ท่ามกลางกระแสความคิด ชายหนุ่มหันไปมองบัลลังก์เหล็กดำและสำรวจสภาพปัจจุบันของเทวทูตมืดอย่างตั้งใจ

ปีกมายาสีดำหลายคู่ที่คอยปกคลุมร่างซาสเรียไว้เกินกว่าครึ่ง มีการขยับขึ้นลงตลอดเวลาและเผยให้เห็นวัตถุสีเทา

ตำแหน่งของวัตถุสีเทาอยู่บนบัลลังก์เหล็กดำ ซ่อนอยู่ทางขวามือของเทวทูตมืด มอบความรู้สึกเก่าแก่โบราณเหนือพรรณนา

ดวงตาไคลน์หรี่ลงขณะเพ่งจ้อง จนกระทั่งยืนยันได้ว่าวัตถุสีเทาดังกล่าวคือหินประหลาด พื้นผิวของหินสึกกร่อนไปตามกาลเวลา สลักด้วยตัวหนังสือที่ไคลน์ไม่เคยเรียนแต่เข้าใจได้ทันทีที่เห็น

ถ้อยคำดังกล่าวถูกเขียนด้วยรากของภาษาทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นคนยักษ์ เฮอร์มิส ฟุซัคโบราณ และตูทานของทวีปใต้

ลำดับ 3 ปีศาจลึกลับ… ลำดับ 2 ผู้ชี้นำ… ลำดับ 1 แสงแห่งความมืด… ลำดับ 0 ผู้ไร้ตำหนิ… ข้อมูลมากมายพรั่งพรูเข้ามาในความคิดไคลน์จนกระทั่งเริ่มกระจ่าง

ศิลาเย้ยเทพ!

ศิลาเย้ยเทพแผ่นแรก!

ศิลาเย้ยเทพแผ่นแรกที่เกิดจากทะเลแห่งความโกลาหล!

และนี่คงเป็นกุญแจสำคัญที่ช่วยให้เทวทูตมืดสามารถครอบครองทะเลแห่งความโกลาหลได้บางส่วน!

คิดถึงตรงนี้ ไคลน์พบว่าบรรยากาศรอบตัวเงียบจนผิดวิสัย

ดวงตาทองเหลืองที่ซ่อนบนผิวม่านดำคล้ายกับเลือนหายไปแล้ว

ไคลน์เงยหน้าขึ้นตามสัญชาตญาณและเห็นดวงตาคู่หนึ่งที่ซ่อนอยู่ในเงา

เทวทูตมืดซาสเรียที่หลับใหลบนบัลลังก์มายาวนาน บัดนี้ลืมตาตื่นขึ้นแล้ว

โครม! ร่างของอาวุโสโลเฟียร์ทรุดลงและกลายเป็นเงาดำขนาดใหญ่

ด้านหลังเงามีดวงตาที่ว่างเปล่าเจือความเจ็บปวดปรากฏขึ้น

……………………………..

ราชันเร้นลับ Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ

ราชันเร้นลับ Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ

       เป็นเรื่องราวการข้ามโลกของหนุ่มชาวจีนนามว่า โจวหมิงรุ่ย โลกใบที่ชายคนนี้ต้องเผชิญมีลักษณะคล้ายคลึงกับยุควิกตอเรียของยุโรป
ยุคสมัยแห่งจักรกลไอน้ำเฟื่องฟู สุภาพบุรุษขุนนางเดินขวักไขว่ด้วยสูทและเสื้อกั๊กมาดเท่
     แน่นอน เป็นโลกที่มีพลังพิเศษ ผู้วิเศษ และ สัตว์วิเศษ แต่พลังของมนุษย์บนโลกจะไม่เหมือนกับนิยายเรื่องใด ไม่มีจอมยุทธ์ ไม่มีการบังเอิญพบคำภีลับและได้ครอบครองยอดเคล็ดวิชา
ไม่ได้เกิดใหม่พร้อมกับพลังสุดโกง
ไม่เลย ไม่น่าเบื่อและจืดชืดขนาดนั้น
    ในอดีตกาล เผ่าพันธุ์มนุษย์อันต่ำต้อยมิอาจต่อสู้กับเหล่าสัตว์วิเศษในตำนานไหว
หนึ่งในหนทางครอบครอง ‘พลังพิเศษ’ ก็คือการดื่ม ‘โอสถ’
หลังจากมนุษย์ดื่มโอสถและกลายเป็น ‘ผู้วิเศษ’ พวกเขาจะข้ามขีดจำกัดเดิมตามแต่ชนิดโอสถที่ดื่ม
ผู้วิเศษในโลกแบ่งออกเป็น 9 ลำดับ โดยลำดับ 9 จะอ่อนแอที่สุด
หนทางอัพเกรดลำดับก็แสนพิลึก ไม่ใช่การพัฒนาพลังเหมือนนิยายเรื่องใด
แต่เป็นการดื่ม ‘โอสถ’ ที่ ‘ถูกต้อง’ ตามสูตรของลำดับถัดไป
พลังพิเศษไม่สามารถข้ามสายได้ โอสถแต่ละชนิดจะมีสูตรการปรุงที่แตกต่าง
แถมการฝึกฝนพลังของผู้วิเศษก็ยังพิสดารเหนือคำบรรยาย
    เรื่องราวจะยิ่งเข้มข้นขึ้นเมื่อตัวเอกเริ่มทราบว่า อดีตมหาจักรพรรดิของโลกเมื่อร้อยปีก่อนเป็น ‘ผู้เดินทางข้ามโลก’ เหมือนกับเขา แถมยัง… เหลือทิ้งไดอารี่สุดสำคัญไว้ให้ชนรุ่นหลัง แต่ไดอารีถูกเขียนด้วยภาษาจีนที่ไม่มีใครอ่านออกแม้แต่คนเดียว… ยกเว้นโจวหมิงรุ่ย

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท