ราชันเร้นลับ Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ – ราชันเร้นลับ 1257 : อ่อนแอชะมัด

ราชันเร้นลับ 1257 : อ่อนแอชะมัด

ขณะกล่าว ไคลน์ยกมือขวาขึ้น

เศษเนื้อสกปรกสีดำปรากฏขึ้นบนฝ่ามือ ภายในคล้ายกับอัดแน่นไปด้วยความบ้าคลั่งหนักหน่วง

“สิ่งนั้นก็คือ… การกัดเซาะจากแฮงแมน” ไคลน์กล่าวกับ ‘เงา’ ด้วยรอยยิ้ม

สิ่งที่ไคลน์มีแต่ ‘เงา’ ไม่มีคือการกัดเซาะจากพระผู้สร้างแท้จริง เป็นอิทธิพลซึ่งแม้แต่ปราสาทต้นกำเนิดก็มิอาจขจัดได้ในตอนนี้!

ดังนั้นหนึ่งสิ่งที่ไคลน์มั่นใจมากก็คือ หากตนยังไม่ได้พบกับเทวทูตมืดซาสเรีย พระผู้สร้างแท้จริงคงไม่ปล่อยให้คลุ้มคลั่งหรือตายไปง่ายนัก

นั่นคือเหตุผลที่ไคลน์จงใจปล่อยให้ส่วนที่ถูก ‘กัดเซาะ’ ติดเชื้อโรคระบาดทางจิตและแสร้งคลุ้มคลั่ง ตามด้วยการทำเป็นควบคุ้มด้ายวิญญาณของคนรอบตัวส่งเดชเพื่อปกปิดว่าเป้าหมายที่แท้จริงคือนักบุญผู้ชม จนกระทั่งศัตรูเริ่มถูกควบคุมเบื้องต้นในจังหวะที่พยายามโจมตีเข้ามา หุ่นเชิดอัศวินสีเงินที่สบโอกาสจึงชิงลงมือ

และเป็นไปตามที่คาด เมล็ดพันธุ์ของโรคระบาดทางจิตมิได้เกิดการปะทุเมื่อไคลน์นำส่วนที่ถูกพระผู้สร้างแท้จริง ‘กัดเซาะ’ ไปผนึกไว้

ระหว่างนั้น ‘เงา’ ได้รีบสร้างระยะห่างกับไคลน์เนื่องจากกังวลว่าจะติดเชื้อจากโรคระบาดทางจิต ส่งผลให้มันไม่สังเกตเห็นว่าเป้าหมายที่แท้จริงในการควบคุมด้ายวิญญาณคือนักบุญผู้ชม

ตัวเองเป็นคนรอบคอบและรัดกุมเพียงใด ไคลน์จะไม่ทราบเชียวหรือ?

แต่แน่นอน ไคลน์มิอาจคาดเดาได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้างหากตนไปพบกับเทวทูตมืดซาสเรียตามที่พระผู้สร้างแท้จริงต้องการ บางทีโรคระบาดทางจิตที่ถูกผนึกไว้อาจปะทุขึ้นและทำให้ลงเอยด้วยชะตากรรมแบบเดิม แต่ถึงอย่างนั้น ไคลน์มองว่ารีบกังวลไปตอนนี้ก็เปล่าประโยชน์ การเอาชนะอุปสรรคตรงหน้าให้ได้มีความสำคัญมากกว่า

ทันทีที่ได้ยินคำอธิบาย เงาบริสุทธิ์พลันเสกเปลวไฟสีแดงขึ้นมาปกคลุมร่าง

ณ สุดเขตแดนเจิดจรัส ใกล้กับตำหนักราชาคนยักษ์ เปลวไฟจุดหนึ่งลุกโชนขึ้นพร้อมกับการปรากฏตัวของ ‘เงา’

มันไม่ลังเลเลยที่จะเผ่นหนี เอาแต่ก้มหน้าก้มตาถอยกลับไปยังตำหนักบรรทมของซาสเรียโดยไม่แยแสเอ็นยูนและนักบุญสุริยัน!

เมื่อไคลน์ผู้ชดเชยความไม่สมบูรณ์ของดวงวิญญาณด้วย ‘บุคลิกเสมือน’ เห็นฉากดังกล่าวเข้า มันผงะไปครู่หนึ่งก่อนจะอมยิ้มพร้อมกับหนอนวิญญาณสีใสบนใบหน้าอีกฝั่ง ตามด้วยส่ายศีรษะ

เราปอดแหกขนาดนั้นเลย?

ชายหนุ่มสงสัยว่า ‘เงา’ ที่ถูกตัดออกจากร่างต้นได้พรากความรอบคอบและรัดกุมไปเกือบทั้งหมด ส่งผลให้ร่างต้นที่เหลืออยู่ค่อนข้างหุนหันและติดประมาทพอสมควร

เป๊าะ!

ลำแสงสีเงินสว่างพลันระเบิดออกในจุดเดียวกับเปลวไฟสีแดงด้านนอกเขตแดนเจิดจรัส ส่งผลให้ร่าง ‘เงา’ ที่เพิ่งโผล่ขึ้นจากอากาศถูกแยกส่วนและกลายเป็นเศษเนื้อตอตะโก

ไคลน์ไม่มัวเสียเวลารำพัน ตัวมันที่ควบคุมหุ่นเชิดอัศวินสีเงิน พยายามทำนายจุดหมายการกระโจนเพลิงของ ‘เงา’ ผ่านอุปนิสัยส่วนตัวและทรัพยากรที่ยังเหลือ จากนั้นก็ควบแน่น ‘เรเพียร์เงิน’ ล่วงหน้าและจุดระเบิดทันทีที่เปลวไฟก่อตัว

เขตแดนศักดิ์สิทธิ์มิได้มีบาเรียกั้น ทุกคนสามารถผ่านเข้าออกได้อย่างอิสระ รวมไปถึงการส่งพลังไปยังข้างนอก

ทว่า ‘เงา’ ที่ดูเหมือนจะถูกเรเพียร์เงินเล่นงานกลับกลายร่างเป็นเศษกระดาษและเลือนหายไป

เปลวไฟสีแดงลุกโชนขึ้นอีกหลายจุด เงาดำบริสุทธิ์พยายามกระโจนผ่านพวกมันเพื่อไปให้ถึงตำหนักราชาคนยักษ์โดยเร็ว และการกระหน่ำยิงแสงสีเงินจากไคลน์ก็ได้เพียงฉีกป่นเศษกระดาษให้เป็นผุยผง – เส้นทางนักรบตั้งแต่ลำดับ 5 ขึ้นไปจะมีพลังในการมองทะลุภาพลวงตา หากปราศจาก ‘ล่องหนทางใจ’ คอยช่วยสนับสนุน ‘กระดาษคนตัวแทน’ จะเป็นพลังที่หลบหนีได้ดีกว่า ‘ภาพลวงตา’ มีเพียงการดวลกันอย่างดุเดือดของนักทำนายเท่านั้นจึงจะมีการใช้ภาพลวงตาประกอบ

ในไม่กี่วินาทีถัดมา เสาลำแสงเพลิงแดงพวยพุ่งขึ้นฟ้าในตำแหน่งด้านนอกตำหนักราชาคนยักษ์ราวกับมีใครบางคนจุดพลุเพื่อต้อนรับแขก

‘เงา’ เตรียมกระโดดเข้าไปในเปลวไฟลูกดังกล่าวโดยหวังจะเข้าไปซ่อนตัวภายในตำหนักบรรทมของเทวทูตมืด

แต่ทันใดนั้นเอง ร่างหนึ่งโผล่ขึ้นด้านข้างเสาเปลวเพลิงสีแดง

แต่งกายในชุดกันลมสีดำและหมวกทรงกึ่งสูง ใบหน้าซีกขวาปรกติ แต่ซีกซ้ายเต็มไปด้วยหนอนวิญญาณสีใสชอนไช ไม่ใช่ใครนอกจากร่างต้นของไคลน์

มุมปากชายหนุ่มยกโค้งขณะใช้มือขวาดีดนิ้ว

เป๊าะ!

เสาเปลวไฟสีแดงเลือนหายไปทันทีจน ‘เงา’ ถูกบังคับให้เผยตัวตนบนขั้นบันไดที่ปกคลุมด้วยแสงรุ่งอรุณ

ควบคุมไฟ!

การที่ไคลน์สามารถตรงดิ่งมาทางตำหนักราชาคนยักษ์และดักหน้า ‘เงา’ ได้ก่อนก็เพราะว่า นับตั้งแต่ ‘เงา’ คิดเพียงแต่จะหนี ไคลน์ก็ไม่ถูกผูกมัดด้านการ ‘อัญเชิญภาพฉายฯ’ อีกต่อไป! สามารถดึงยุบพองหิวโหยออกมาใช้และเทเลพอร์ตมาดักหน้า!

“รอบคอบเกินไปก็ไม่ใช่เรื่องดี” ไคลน์กล่าวกับเงาก่อนจะเริ่มทำท่าคุกเข่าหนึ่งข้าง

ทันทีที่เข่าติดพื้น ร่างของชายหนุ่มพลันแปรเปลี่ยนเป็นอัศวินสวมเกราะสีเงิน

อัศวินใช้ดาบปักลงบนพื้นในท่าคุกเข่าหนึ่งข้าง เกิดเป็นบาเรียล่องหนที่ผนึกทางเข้าตำหนักบรรทมของเทวทูตมืดซาสเรียโดยสมบูรณ์

ทันใดนั้นเอง ไคลน์เปลี่ยนตำแหน่งกับหุ่นเชิดอีกครั้งพลางจ้อง ‘เงา’ ด้วยสายตาทำนองว่า: ถ้าพังบาเรียได้จะอนุญาตให้เข้าไป

แต่แน่นอน ร่างต้นของชายหนุ่มยังคอยขัดขวางการอัญเชิญภาพฉายฯ และคอยควบคุมด้ายวิญญาณตลอดเวลา

เมื่อสถานการณ์พลิกผัน ศึกระหว่างสามครึ่งเทพแห่งเมืองเงินพิสุทธิ์กับเอ็นยูนและนักบุญสุริยันก็เริ่มแปรเปลี่ยน

โคลิน·อีเลียดคอยตรึงเอ็นยูนที่สูญเสียเกราะดำให้อยู่กับที่โดยมีเดอร์ริคทำตามกลยุทธ์เดิม

บางครั้งเด็กหนุ่มจะใช้เพลิงสุริยันเพื่อสร้างความเสียหายโดยแลกกับอาการบาดเจ็บของเจ้าเมืองเงินพิสุทธิ์ บางครั้งก็ควบแน่นหอกเจิดจรัสและคอยแทรกแซงการโจมตีอย่างแม่นยำ แต่วิธีหลังถูกนำมาใช้ไม่บ่อยนัก เพราะเอ็นยูนสามารถหลบหนีได้ง่ายและยังมีโอกาสทำร้ายพวกเดียวกันโดยไม่ตั้งใจ

หลังจาก ‘เพลิงสุริยัน’ ผ่านไปสามรอบ เอ็นยูนก็ถูกกดดันให้จนตรอกถึงขีดสุด เป็นอีกครั้งที่มันต้องสละปีกสีดำสองคู่สุดท้ายเพื่อสร้างทะเลดำที่ดูดกลืนแสงสว่างทั้งหมด มันสั่งให้ทะเลถาโถมใส่โคลินจนอีกฝ่ายปนเปื้อนเหลวสีดำหนืด การเคลื่อนไหวช้าลงอย่างชัดเจน

ฉวยโอกาสดังกล่าว เอ็นยูนตีฝ่าการรุมล้อมออกมาได้และหลบหอกเจิดจรัสที่ยิงดักพ้นอย่างฉิวเฉียด จากนั้นก็รีบแปลงเป็นเงาดำเพื่อมุ่งหน้ากลับไปยังตำหนักราชาคนยักษ์และร่วมมือกับ ‘เงา’ เพื่อทำลายบาเรีย

ทันใดนั้นเอง ลำแสงสีเงินระเบิดออกจากร่างกายมันพร้อมกับส่งก้อนเนื้อสีแดงเข้มกระจายออกไปทุกทิศ

เป็นการโจมตีจากโลเฟียร์ที่ทั้งแม่นยำและรวดเร็ว

หนึ่งในหกสภาอาวุโสรายนี้ตัดสินใจไม่หลบหลีกการโจมตีจากนักบุญสุริยัน ในวินาทีที่เอ็นยูนกำลังจะหลบหนีสำเร็จ เธอสลับดวงวิญญาณเป็นอัศวินสีเงินพร้อมกับเปลี่ยนเกราะสีดำให้กลายเป็นสีเงินสว่าง

ฉ่า!

หอกเจิดจรัสพุ่งปะทะร่างหญิงสาวจนเธอสั่นสะท้านไปทั้งตัว นอกจากนั้นยังถูกเผาซ้ำด้วยระเบิดดวงอาทิตย์ขนาดย่อส่วน

เศษเลือดเนื้อที่กระจัดกระจายของเอ็นยูนยังไม่สูญเสียชีวิตชีวา พวกมันหลั่งไหลมารวมกันและประกอบเป็นร่างใหม่

แต่ทันใดนั้น ร่างกายโคลิน·อีเลียดที่ถูกปกคลุมด้วยของเหลวสีดำหนืดเกิดระเบิดพร้อมกับสร้างประกายแสงระยิบระยับ แสงเหล่านั้นหมุนวนจนกลายเป็นพายุแสงเกรี้ยวกราด ช่วยให้ชุดเกราะสีเงินกลับมาปรากฏบนผิวหนังอีกครั้งหนึ่ง

วินาทีถัดมา อัศวินสีเงินร่างยักษ์ก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าวพร้อมกับฟาดดาบรุ่งอรุณ เป็นการสั่งให้ ‘พายุแสง’ ที่กำลังห้อมล้อมร่างกายพุ่งตรงไปกวาดล้างก้อนเลือดเนื้อสีแดงที่กำลังประกอบเข้าด้วยกันด้านหน้า..ไอรีนโนเวล

ปีกมายาสีดำปรากฏขึ้นและเลือนหายไป ช่วยทำให้พายุแสงของโคลินสงบลงไปครู่หนึ่ง แต่ทันใดนั้นเอง เพลิงสุริยันจากเดอร์ริคพุ่งลงจากฟากฟ้าและแผดเผาทุกสรรพสิ่งด้วยเปลวไฟศักดิ์สิทธิ์บริสุทธิ์ผุดผ่อง

เมื่อนักบุญสุริยันเห็นฉากตรงหน้า มันทราบทันทีว่าตนคงหลีกหนีจุดจบไม่พ้นหากยังสู้ต่อไป จึงไม่มัวเสียเวลาโจมตีระลอกใหม่ใส่โลเฟียร์ แต่เตรียมสลายเขตแดนเจิดจรัสทิ้งและรีบเผ่นหนี

ทันใดนั้นเอง มันได้ยินเสียงที่เต็มไปด้วยจิตสังหารและการกัดกร่อน:

“เชื่องช้า!”

เป็นโลเฟียร์ที่กัดฟันทนต่อผลข้างเคียงของเขตแดนเจิดจรัสโดยใช้พลังเทเลพอร์ตมายังตำแหน่งใกล้กลับนักบุญสุริยัน จากนั้นก็สลับวิญญาณเป็นปีศาจและเปล่งเสียงภาษากัดกร่อน

วินาทีถัดมา ชุดเกราะสีดำของหญิงสาวแตกละเอียดและร่วงกราวลงพื้น เผยให้เห็นสภาพอันยับเยินของชุดคลุมสีดำที่ปักลวดลายสีม่วง ผิวหนังบางส่วนกำลังยุบพองอย่างน่าสยดสยอง ออร่าของเธอกำลังอ่อนแอสุดขีด

พลัง ‘เชื่องช้า’ ที่ไม่ใช่ระดับครึ่งเทพย่อมมิอาจส่งผลกับนักบุญสุริยันได้นานนัก แต่ก็นับว่าเหลือเฟือในสายตาโคลิน·อีเลียด มันทำการควบแน่น ‘เรเพียร์เงิน’ และเทเลพอร์ตพลังไปยังตำแหน่งของศัตรู

‘เรเพียร์เงิน’ ทะลวงชุดเกราะศักดิ์สิทธิ์ของนักบุญสุริยันทันทีและระเบิดร่างกายของมันจากภายใน

แสงสีเงินเบ่งบานไปทุกทิศประหนึ่งพลุ ร่างกายนักบุญสุริยันระเบิดเละเทะเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย

แปะ! แปะ! แปะ! เลือดเนื้อจำนวนมากตกลงบนพื้นและเลือนหายไปในพริบตา ราวกับพวกมันหวนคืนสู่หน้าประวัติศาสตร์

เมื่อศึกอันยืดเยื้อจบลง สามครึ่งเทพแห่งเมืองเงินพิสุทธิ์ได้ตามไปสมทบที่ด้านหน้าตำหนักราชาคนยักษ์และล้อม ‘เงา’ ไว้ทุกทิศ

‘เงา’ พยายามกระโจนเข้าไปหลบในสายหมอกแห่งประวัติศาสตร์ แต่ทันทีที่ได้เห็นหมอกสีเทา ร่างของมันถูกฝ่ามือที่เต็มไปด้วยหนอนวิญญาณสีใสกดทับทันที

ทั้งไคลน์และ ‘เงา’ ไม่มีใครรีบร้อนวิ่งไปยังประวัติศาสตร์ก่อนยุคสมัยที่หนึ่ง เพราะทั้งคู่ทราบดีว่าอีกฝ่ายจะต้องคอยขัดขวางแน่!

เมื่อไม่มีที่ให้ซ่อนตัว ‘เงา’ ตัดสินใจตีฝ่าไปทางสามครึ่งเทพแห่งเมืองเงินพิสุทธิ์ แต่พลังจำนวนมากของมันก็ถูกไคลน์สลายทิ้งอย่างง่ายดาย แม้กระทั่งกระโจนไฟก็ยังถูกทำลายด้วยควบคุมไฟ เป็นการยากที่จะหลีกหนีจากสถานการณ์แสนสิ้นหวังตรงหน้า

ผ่านไปราวสิบวินาที หลังจากกระดาษคนใบสุดท้ายฉีกขาด ‘เงา’ ก็ถูกเดอร์ริคใช้หอกเจิดจรัสแทงเข้าที่ช่องท้อง

เกิดระเบิดดวงอาทิตย์ขนาดย่อมจากภายใน ร่างของเงาดำบริสุทธิ์พลันซีดจางและเริ่มหลอมละลาย

ไคลน์รู้สึกปวดแปลบประหนึ่งถูกมีดกรีดแทง แต่ทันใดนั้น จิตใจที่ใกล้จะคลุ้มคลั่งกลับผ่อนคลายลงกะทันหัน

มันก้มจ้องฝ่าเท้าและพบว่าภายใต้แสงสว่างรุ่งอรุณ เงาสีดำกำลังทอดยาวออกจากปลายขา

“อ่อนแอชะมัด…” ไคลน์โน้มตัวเล็กน้อยและอดไม่ได้ที่จะจิกกัดตัวเอง เป็นอีกครั้งที่มันได้ตระหนักว่า หากปราศจากพลังปราชญ์โบราณ ปราศจากหุ่นเชิด และปราศจากพลังควบคุมด้ายวิญญาณ ผู้วิเศษเส้นทางนักทำนายจะอ่อนแอกว่าเส้นทางอื่นในลำดับเดียวกันมาก

ดวงวิญญาณของไคลน์กลับมาอยู่ในสภาพสมบูรณ์อีกครั้ง แต่ถึงอย่างนั้นชายหนุ่มก็ยังไม่ลบ ‘บุคลิกเสมือน’ ออกไป และยังไม่คิดจะอัญเชิญมิสจัสติสออกมาแก้ไขในตอนนี้ด้วย เพราะต้องไม่ลืมว่า หลังจากตนถูกเทวทูตมืดกัดกร่อน เอ็นยูนได้รับคุณสมบัติของเส้นทางสุริยัน ผู้ชม วายุ และผู้วิงวอนความลับ หมายความว่าถ้าต้องการเข้าไปในตำหนักราชาคนยักษ์ ไคลน์ก็ต้องระวังอิทธิพลทางจิตเอาไว้ประมาณหนึ่ง และ ‘บุคลิกเสมือน’ ถือเป็นเครื่องป้องกันการโจมตีทางจิตที่ยอดเยี่ยม

ขณะเดียวกัน หนอนแมลงโปร่งใสบนใบหน้าและร่างกายฝั่งซ้ายของไคลน์ได้เปลี่ยนกลับไปเป็นเนื้อหนังอีกครั้ง แต่เนื่องจากยังหลงเหลือความบ้าคลั่งที่แฝงมากับ ‘บุคลิกเสมือน’ บนผิวหนังซีกซ้ายของร่างกายจึงยังคงมีลักษณะโปร่งแสงเล็กน้อยจนสามารถมองเห็นหนอนวิญญาณด้านใน

เมื่อพบว่าเดอร์ริค โลเฟียร์ และโคลินกำลังหันมามอง ไคลน์เหยียดตัวตรงก่อนจะคว้าไม้เท้าแห่งชีวิตออกจากช่องว่างประวัติศาสตร์ จากนั้นก็ชี้ไปทางประตูตำหนักราชาคนยักษ์ที่เปิดอยู่และฉีกยิ้ม:

“เร่งมือกันเถอะ… เทวทูตมืดกำลังรออยู่ข้างใน”

……………………………………………

ราชันเร้นลับ Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ

ราชันเร้นลับ Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ

       เป็นเรื่องราวการข้ามโลกของหนุ่มชาวจีนนามว่า โจวหมิงรุ่ย โลกใบที่ชายคนนี้ต้องเผชิญมีลักษณะคล้ายคลึงกับยุควิกตอเรียของยุโรป
ยุคสมัยแห่งจักรกลไอน้ำเฟื่องฟู สุภาพบุรุษขุนนางเดินขวักไขว่ด้วยสูทและเสื้อกั๊กมาดเท่
     แน่นอน เป็นโลกที่มีพลังพิเศษ ผู้วิเศษ และ สัตว์วิเศษ แต่พลังของมนุษย์บนโลกจะไม่เหมือนกับนิยายเรื่องใด ไม่มีจอมยุทธ์ ไม่มีการบังเอิญพบคำภีลับและได้ครอบครองยอดเคล็ดวิชา
ไม่ได้เกิดใหม่พร้อมกับพลังสุดโกง
ไม่เลย ไม่น่าเบื่อและจืดชืดขนาดนั้น
    ในอดีตกาล เผ่าพันธุ์มนุษย์อันต่ำต้อยมิอาจต่อสู้กับเหล่าสัตว์วิเศษในตำนานไหว
หนึ่งในหนทางครอบครอง ‘พลังพิเศษ’ ก็คือการดื่ม ‘โอสถ’
หลังจากมนุษย์ดื่มโอสถและกลายเป็น ‘ผู้วิเศษ’ พวกเขาจะข้ามขีดจำกัดเดิมตามแต่ชนิดโอสถที่ดื่ม
ผู้วิเศษในโลกแบ่งออกเป็น 9 ลำดับ โดยลำดับ 9 จะอ่อนแอที่สุด
หนทางอัพเกรดลำดับก็แสนพิลึก ไม่ใช่การพัฒนาพลังเหมือนนิยายเรื่องใด
แต่เป็นการดื่ม ‘โอสถ’ ที่ ‘ถูกต้อง’ ตามสูตรของลำดับถัดไป
พลังพิเศษไม่สามารถข้ามสายได้ โอสถแต่ละชนิดจะมีสูตรการปรุงที่แตกต่าง
แถมการฝึกฝนพลังของผู้วิเศษก็ยังพิสดารเหนือคำบรรยาย
    เรื่องราวจะยิ่งเข้มข้นขึ้นเมื่อตัวเอกเริ่มทราบว่า อดีตมหาจักรพรรดิของโลกเมื่อร้อยปีก่อนเป็น ‘ผู้เดินทางข้ามโลก’ เหมือนกับเขา แถมยัง… เหลือทิ้งไดอารี่สุดสำคัญไว้ให้ชนรุ่นหลัง แต่ไดอารีถูกเขียนด้วยภาษาจีนที่ไม่มีใครอ่านออกแม้แต่คนเดียว… ยกเว้นโจวหมิงรุ่ย

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท