สำหรับผู้วิเศษระดับครึ่งเทพ ดวงวิญญาณของพวกมันจะแข็งแกร่งกว่าปรกติเนื่องจากเกิดการเปลี่ยนแปลงเชิงคุณภาพ ถึงแม้จะตายไป แต่ดวงวิญญาณก็จะคงสภาพไว้ได้ชั่วขณะ เว้นเสียแต่ศัตรูจงใจทำลายดวงวิญญาณ ครึ่งเทพที่ยังมีความปรารถนาอันแรงกล้าเนื่องจากบางสิ่งยังไม่ถูกสะสางสามารถคงสภาพดวงวิญญาณไว้ได้นานกว่าปรกติ กลมกลืนไปกับสภาพแวดล้อมและโลกวิญญาณหรือแม้กระทั่งโลกแห่งความตาย จนกระทั่งกลายเป็นวิญญาณมารในที่สุด
ดังนั้นแม้ออร่าของโคลินจะเลือนหายไป แต่ในสภาพสวมชุดเกราะสีเงินพังยับเยินขณะนั่งบนบันไดของเทพบรรพกาล มันยังคงได้ยินเสียงเรียกจากเดอร์ริค และสามารถหันหน้าไปจ้องครึ่งเทพหนุ่มที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะพลางยิ้มและกล่าว:
“เมื่อเทียบกับอาวุโสในอดีต โลเฟียร์และผมถือว่าโชคดีแล้วที่ได้ตายที่นี่”
ได้ยินคำพูดดังกล่าว เดอร์ริคเปิดปากคล้ายกับต้องการกล่าวบางสิ่ง แต่เด็กหนุ่มสัมผัสได้ว่ามีพลังงานบางอย่างกดทับหัวใจและปิดกั้นลำคอไว้
ไม่ไกลออกไป ไคลน์ยกไม้เท้าดวงดาวขึ้นและพยายามใช้ ‘เริ่มต้นใหม่’ ของวิล·อัสตินเพื่อช่วยโคลิน·อีเลียด แต่กลับต้องล้มเหลวหลายครั้งติดต่อกัน หรือต่อให้สำเร็จก็ไม่เกิดการเริ่มต้นใหม่ใดๆ ทั้งสิ้น เนื่องจากพลังที่เลียนแบบมีระดับต่ำกว่าต้นฉบับมาก แถมบริเวณโดยรอบยังเกี่ยวข้องกับเอกลักษณ์โดยตรง – ร่างต้นของอามุนด์ที่เสด็จเยือน
เขาตายไปแล้ว เปลี่ยนให้เป็นหุ่นเชิดไม่ได้… ทำได้แค่เปลี่ยนให้เป็นวิญญาณมาร แต่แทบไม่เคยมีวิญญาณมารตนใดรักษาความเป็นมนุษย์ไว้ได้ กระทั่งเทวทูตมืดซาสเรียก็ไม่เป็นแบบนั้น… ข้อยกเว้นเพียงหนึ่งเดียวคือเทวทูตสีชาดสามสหายเมดีซี แต่นั่นเป็นเพราะพวกมันออกจาก ‘ถิ่น’ ของตัวเองและไปยังท่าเรือแบนชี… เจ้าเมืองคงไม่เต็มใจเลือกเส้นทางนี้… สำหรับชาวเมืองเงินพิสุทธิ์ การเป็นวิญญาณมารหมายถึงคำสาป… ไคลน์ถอนหายใจเงียบพลางมองไปรอบตัว พยายามสำรวจตำหนักคนยักษ์ที่เงามืดจางหายไป
โคลิน·อีเลียดจ้องหน้าเดอร์ริคก่อนจะถอนหายใจและกล่าว
“เมื่อกลับไป คุณจะกลายเป็นหนึ่งในหกสภาอาวุโส… ผมทราบดี หากเทียบกับอายุ นี่เป็นความรับผิดชอบที่หนักหนาเกินตัว แต่ชาวเมืองเงินพิสุทธิ์ทุกคนต้องพร้อมแบกรับชะตากรรมอันยิ่งใหญ่ตลอดเวลา”
เดอร์ริคพยักหน้าหนักแน่นพร้อมกับกล่าวเสียงขึ้นจมูก
“ครับ ท่านเจ้าเมือง!”
โคลินยิ้มอย่างอ่อนโยน:
“ไม่ต้องกังวลว่าพวกเขาจะเข้าใจผิด ผมจะบอกความลับเรื่องหนึ่งให้คุณทราบ… ทั่วทั้งเมืองเงินพิสุทธิ์ มีเพียงผมและฮอยต์ที่รู้เรื่องนี้… หลังจากกลับไป รีบบอกสิ่งนี้กับฮอยต์ทันที เขาจะได้เข้าใจว่าการตายของโลเฟียร์และผมไม่เกี่ยวข้องกับคุณ หาไม่แล้ว คุณจะไม่มีทางได้ทราบความลับดังกล่าวจากผม”
กล่าวถึงตรงนี้ โคลิน·อีเลียดมองขึ้นไปทางเกอร์มัน·สแปร์โรว์พร้อมกับพยักหน้า
“นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ทุกคนในเมืองเงินพิสุทธิ์สามารถเปลี่ยนความเชื่อเป็นมิสเตอร์ฟูลได้ตามใจชอบ”
เดอร์ริคไม่ตื่นเต้นเลยสักนิด เพียงพยักหน้าเป็นนัยว่าทราบดี
โคลินถอนสายตากลับ ใบหน้าที่อ่อนเพลียอย่างชัดเจนของมันถูกเสริมด้วยความเคร่งขรึมเจือขื่นขม
“ความลับดังกล่าวเกี่ยวข้องกับสมบัติปิดผนึกระดับเทพชิ้นที่สองในเมืองเงินพิสุทธิ์ของเรา… ชื่อของมันคือ ‘พระกรุณาแห่งธรณี’”
เดอร์ริคเช็ดน้ำตาด้วยแขนพลางตั้งใจฟังคำสั่งเสียของเจ้าเมือง
โคลินถอนหายใจและพูดท่อ
“เป็นเพราะสิ่งนี้ หญ้าผิวดำจึงเจริญเติบโตรอบเมืองเงินพิสุทธิ์และช่วยให้พวกเราไม่ถูกกลืนกินในยุคมืด…”
ทันใดนั้น รูม่านตาเดอร์ริคขยายออกเล็กน้อย ความเศร้าในใจสลายไปบางส่วน
มันยังจำได้แม่นยำ หนังสือเรียนระบุไว้ชัดเจนว่าการค้นพบหญ้าผิวดำคือจุดเปลี่ยนสำคัญในประวัติศาสตร์เมืองเงินพิสุทธิ์ เด็กหนุ่มเชื่อว่าหากปราศจากอาหารที่ปลอดภัยชนิดนี้ เมืองเงินพิสุทธิ์คงกลายเป็นแดนสวรรค์สำหรับสัตว์ประหลาดนานแล้ว
เด็กหนุ่มครุ่นคิดหลายสิ่งทันที และในที่สุดก็เข้าใจว่าเหตุใดเห็ดที่มิสเตอร์เวิร์ลมอบให้จึงถือเป็นอีกหนึ่งพัฒนาการก้าวใหญ่ของเมืองเงินพิสุทธิ์ แตกต่างไปจากคำอธิบายดั้งเดิมในหนังสือเรียน
ดวงตาโคลินกวาดไปทั่วใบหน้าเด็กหนุ่มก่อนจะกล่าวด้วยเสียงทุ้มต่ำ
“แต่เป็นเพราะเหตุผลดังกล่าว พวกเราจึงต้องแบกรับชะตากรรมที่ถูกสาป มีเพียงบุคคลที่ถูกฆ่าโดยญาติสนิทเท่านั้นจึงจะไม่กลายเป็นวิญญาณมารอันน่าสะพรึง… ‘ความอุดมสมบูรณ์’ มีราคาเสมอ”
สีหน้าเดอร์ริคชะงักงันไปทันที
การต้องฆ่าพ่อแม่ตัวเองได้สร้างบาดแผลทางใจที่ไม่มีวันสมานแก่เดอร์ริค เด็กหนุ่มเอาแต่โทษคำสาปสุดแสนร้ายกาจของดินแดนที่ทวยเทพทอดทิ้งมาโดยตลอด แต่ตอนนี้ เจ้าเมืองกลับบอกความจริงที่ตรงกันข้ามกับสิ่งที่เชื่อ คำสาปดังกล่าวช่วยมอบอาหารสำหรับประทังชีวิตให้ผู้คน!
ดวงตาของโคลิน·อีเลียดที่ดูอ่อนเพลียกำลังเผยอาการเหม่อลอย คล้ายกับหวนนึกถึงบิดา มารดา พี่ชาย น้องสาว บุตรชายคนโต ลูกสาว และหลายคนโตที่มันฆ่าด้วยมือตัวเอง
เสียงของมันเริ่มล่องลอย
“โลเฟียร์เคยกล่าวไว้ว่า หากออกจากเมืองเงินพิสุทธิ์ ผู้ตายจะไม่กลายเป็นวิญญาณมาร… ผมไม่ได้บอกเธอว่านั่นเป็นความจริง เพราะ ‘พระกรุณาแห่งธรณี’ ปกคลุมพื้นที่กว้างขวาง คนที่ใกล้ตายส่วนมากมักออกไปจากขอบเขตไม่ทันเวลา… นี่คือความลับที่เจ้าเมืองทุกคนจะได้ทราบ ผมทำงานอย่างหนักเพื่อสำรวจและต่อสู้เสมอมา โดยหวังว่าชนรุ่นหลังจะไม่ต้องเผชิญความเจ็บปวดแบบเดียวกันอีก”
เจ้าเมืองเงินพิสุทธิ์ที่เห็นได้ชัดว่าชราลงมาก ถอนหายใจเชื่องช้า โดยไม่เปิดโอกาสให้เดอร์ริคได้รับปาก มันกล่าวหลังจากฉุกคิดบางสิ่ง:
“นอกจากนั้น อย่าเพิ่งปักใจเชื่อสถานการณ์ของกุหลาบไถ่บาปที่ถูกบันทึกไว้ในตำหนักดังกล่าว”
เห? ไคลน์ชะงักการกวาดสายตา ส่วนเดอร์ริคเผยสีหน้าสับสน
โคลิน·อีเลียดเสริมเสียงเข้ม
“พระแม่ธรณีไม่มีทางเป็นราชินีคนยักษ์โอมีเบล่าไปได้… โอมีเบล่าเสียชีวิตนานแล้ว พระศพของพระองค์ถูกเก็บไว้ในเมืองเงินพิสุทธิ์ในนาม ‘พระกรุณาแห่งธรณี’ …”
นี่มัน… รูม่านตาไคลน์พลันเบิกกว้างเมื่อได้ยิน ความเย็นเยียบแผ่ซ่านไปถึงแผ่นหลัง
ราชินีคนยักษ์ตัวจริงเสียชีวิตในเมืองเงินพิสุทธิ์เมื่อนานมาแล้วและกลายเป็นสมบัติปิดผนึก เช่นนั้นแล้วใครคือพระแม่ธรณีคนปัจจุบัน?
…
ภายใน ‘อาณาจักร’ อันมืดมิดที่เต็มไปด้วยบุปผาจันทราและวานิลลาราตรี ดาบยาวของคนยักษ์สนธยาฟาดเข้าใส่เคียวยักษ์สีดำสนิทและชะงักค้างกลางอากาศ
ท่ามกลางความมืดมิดที่กระจัดกระจายจากการต่อสู้อันดุเดือดของทวยเทพ กระแสเวลาคล้ายกับหยุดไหลกะทันหัน ไม่ว่าจะเป็นคนยักษ์ที่อาบแสงสนธยาและแต่งกายด้วยชุดเกราะสีเงินซึ่งมอบความรู้สึกผุกร่อน หรือหมาป่าอสูรร่างมนุษย์ที่มีหกแขนในชุดดวงดาว ทั้งสองฝ่ายต่างดูคล้ายกับภาพเขียนสีน้ำมันที่ถูกแช่แข็งเอาไว้
ทันใดนั้นเอง ไม้เท้าสีน้ำตาลเข้มถูกสอดเข้าไปในหัวใจของคนยักษ์สนธยาจากด้านหลัง ดูดกลืนพลังชีวิตของทวยเทพอย่างหิวกระหาย คล้ายกับเป็นการกระชากอีกฝ่ายกลับมายังพื้นโลกเพื่อหวนคืนสู่อ้อมกอดมารดา
ไม้เท้าสีตาลเข้มอันนี้กำลังถูกสตรีร่างยักษ์อวบอิ่มถือไว้ในมือ บนร่างกายของเธอมอบบรรยากาศประหนึ่งปลายฤดูใบไม้ร่วงซึ่งมีดอกไม้แห้งเหี่ยว หญ้า และเห็ดประดับประดา
คนยักษ์สนธยาบรรจงหันศีรษะกลับมาจ้องหน้าสตรีที่ถือทารกมายาไว้ด้วยมือข้างหนึ่ง จากนั้นก็กล่าวด้วยเสียงเจือความเจ็บปวด
“ลิ…ลิ…ธ…?”
ทันใดนั้นเอง หมาป่าอสูรที่แต่งกายในเดรสดวงดาวซึ่งมีศีรษะเป็นมนุษย์สตรีเกิดหัวเราะในลำคอเสียงแผ่ว เครื่องประดับรูปนกทองคำถูกปล่อยออกมาบินทะลุเข้าไปในช่องว่างกะบังหมวกของคนยักษ์สนธยา จากนั้นก็ย้ายพระจันทร์สีแดงที่ถือด้วยมือสองข้างไปยังสตรีร่างอวบอิ่ม
วินาทีถัดมา ร่างกายบางส่วนของคนยักษ์สนธยาพลันทรุดลง ส่งผลให้แสงสีส้มอมแดงจำนวนมากเจาะทะลุความมืดมิดเบื้องล่างลงไปยังโลกแห่งความจริง
บ้างตกลงไปในสนามรบและคร่าชีวิตทหารจำนวนมาก บ้างปะทะกับภูเขา บ้างสร้างทะเลสาบที่ทำให้สิ่งมีชีวิตทุกชนิดแก่ชรา บ้างรวมเข้ากับสัตว์ที่โชคดีบางชนิดและเปลี่ยนให้เป็นสัตว์ประหลาดที่บ้าคลั่งแต่ทรงพลัง และส่วนที่เหลือปกคลุมบรมมหาราชวังสนธยาด้านนอกกรุงนักบุญมิลลอม จนกระทั่งแสงสีส้มอมแดงที่คล้ายกับถูกแช่แข็งสลายไป
ในเทือกเขาอมานด้า ด้านนอกมหาวิหารสุขสงบ เทพหายนะเซียอาและสัตว์ในตำนานตนอื่นที่กำลังร่วมมือกับเทวทูตอินทิสและฟุซัคล้อมโจมตี สัมผัสได้ถึงบางสิ่งจนต้องชะงักพฤติกรรมโดยพร้อมเพรียง
บนท่อนยาวไม้สีเข้มที่มีลักษณะเป็นแขน ดวงตาสีแดงก่ำจำนวนมากกลอกไปมาทีละหนึ่งก่อนที่เทพหายนะเซียอาจะเดินเข้าไปในความว่างเปล่าและหลบหนีเข้าสู่โลกวิญญาณทันที
ด้านนอกกรุงเบ็คลันด์ ภายในวิหารเล็กๆ ที่ไม่มีใครสังเกตเห็น
นักบวชท่าทางเคร่งศาสนาที่แต่งกายในชุดคลุมสีขาวเรียบง่าย เจ้าของเคราสีทองอ่อน ลืมตาขึ้นพร้อมกับเผยให้เห็นความไร้เดียงสาของเด็ก
มันหยิบโอสถสีทองออกจากแขนเสื้ออย่างใจเย็น คลายเกลียวฝาพร้อมกับเทของเหลวภายในเข้าปาก
…
สงครามจบลงทั้งอย่างนั้น
หากไม่ได้เห็นด้วยตาตัวเอง ไม่ได้สัมผัสด้วยร่างกายตัวเอง ออเดรย์จะไม่มีวันเชื่อว่าสงครามจบลงทั้งอย่างนั้น
เมื่อค่ำคืนอันมืดมิดกลืนกินแสงสนธยาจนหมดและเลือนหายไปด้วยตัวเอง อัศวินสีเงินด้านหน้าออเดรย์ออกอาการคล้ายกับถูกกระทบกระเทือนทางจิตใจอย่างหนัก หรือต่อให้ฟืนคืนสติกลับมา มันก็เลิกสนใจเป้าหมายตรงหน้า เอาแต่ล่าถอยด้วยท่าทางน่าเวทนาและเข้าใจได้ยาก
เฉกเช่นอัศวินสีเงิน เทวทูตและนักบุญในกองทัพผสมอินทิสฟุซัคต่างพากันล่าถอย ส่งผลให้กองทหารที่มีผู้วิเศษเป็นแกนนำแตกกระเจิงทันที
อย่างไรก็ตาม บรรดาครึ่งเทพ ผู้วิเศษลำดับต่ำถึงกลาง รวมถึงทหารธรรมดาของโลเอ็นไม่พยายามไล่ตามไป เพราะพวกมันต่างกำลังสับสน ฉงน และงุนงงไม่ต่างกัน
ออเดรย์เดินกลับไปที่เมืองและพบว่าชาวเมืองที่รอดชีวิตทยอยเดินออกจากบ้าน หลุมหลบภัย และกำบัง หลายคนเอาแต่จ้องมองฉากที่ดูคล้ายป่าดงดิบโบราณด้วยสายตาเหม่อลอย
ไม่มีใครส่งเสียงเชียร์ ตะโกน หรือระเบิดอารมณ์ มีเพียงสีหน้ามึนงงและดวงตาที่ว่างเปล่า ไม่มีใครทราบว่าเหตุใดสงครามจึงหยุดลงกะทันหัน
มีคนจำนวนไม่น้อยที่เคยถูกช่วยเหลือโดยกองทุนการกุศล มีหลายใบหน้าที่คุ้นตาออเดรย์ แต่สภาพของทุกคนแทบมิได้ต่างไปจากตอนที่ต่อแถวรอรับอาหารมากนัก
ออเดรย์เฝ้ามองสถานการณ์อย่างเงียบงันก่อนจะเดินกลับไปยังเขตราชินี กลับไปที่คฤหาสน์ของเธอ
เธอเห็นบิดา มารดา พี่ชายคนโต แม่บ้าน พ่อบ้าน และสาวใช้มองออกไปนอกหน้าต่างด้วยท่าทีสับสน เป็นสีหน้าที่ไม่ต่างจากคนเดินถนนสักเท่าไร
ด้วยเหตุผลบางประการ ประโยคหนึ่งผุดขึ้นในใจออเดรย์:
คนตาย ตายโดยไม่รู้ว่าใครฆ่า คนรอด รอดโดยไม่รู้ว่าใครช่วย
…
แสงสนธยาสีส้มแดงที่พุ่งลงมาทำให้พายุสายฟ้าสงบ ก่อนที่มันจมลงในทะเลสีน้ำเงินเข้มที่มองไม่เห็นก้นบึ้ง เฉียดเรือ ‘รุ่งอรุณ’ ไปเล็กน้อย
ราชินีเงื่อนงำแบร์นาแดตใช้สมบัติปิดผนึกระดับ 0 ได้ทันเวลาเพื่อช่วยให้เรือของเธอรอดพ้นจากภัยพิบัติ
หญิงสาวขมวดคิ้วเล็กน้อยคล้ายกับสัมผัสถึงบางอย่าง แต่สีหน้าดังกล่าวก็คลายออกในเวลาไม่นาน จากนั้นก็สั่งให้รุ่งอรุณแล่นต่อไปบนน่านน้ำอันตราย ปะทะเข้ากับภัยอันตรายนานาชนิดเช่นลมพายุ คลื่นยักษ์ ฟ้าผ่า และสัตว์ทะเล
ในสภาพแวดล้อมที่มืดมิด สายตาแบร์นาแดตคล้ายกับมองทะลุผ่านสิ่งกีดขวางและเห็นแสงที่เธอต้องการไล่ตาม
แม้จะมีอุปสรรคมากขึ้น แต่เธอก็ไม่หยุดเข้าใกล้สิ่งนั้น
…
ภายในตำหนักราชาคนยักษ์ บนขั้นบันไดที่ฉาบด้วยแสงสีส้ม
หลังจากบอกเล่าความลับเสร็จ โคลิน·อีเลียดกล่าวกับเดอร์ริค
“ไปเปิดประตูสิ ผมอยากเห็นว่าแสงแดดด้านนอกเป็นเช่นไร…”
“ครับ!” ดวงตาเดอร์ริคแดงก่ำอีกครั้ง ริมฝีปากเม้มแน่นก่อนจะลุกขึ้นยืน
มันวางค้อนยักษ์ในมือลง และภายใต้สายตาให้กำลังใจจากไคลน์ เด็กหนุ่มอ้อมบัลลังก์เหล็กดำอย่างสุขุมจนกระทั่งมาถึงประตูสีเทาน้ำเงิน
เดอร์ริคยืนจ้องสักพักก่อนจะโน้มตัวลง เหยียดมือออกไปกดด้านข้างของประตู
จากนั้นก็เกร็งกล้ามเนื้อและผลักออกไปเต็มแรง
ทันใดนั้นเอง คล้ายกับมันมองเห็นบิดามารดา เห็นเพื่อนร่วมรบที่ตายไปอย่างโจชัวและแอนเทียน่า โลเฟียร์ในชุดคลุมสีดำปักด้ายม่วง และโคลิน·อีเลียดเจ้าของผมหงอกสีเทาขาว
ทุกคนยืนด้านข้างขณะเด็กหนุ่มใช้มือสัมผัสประตู จากนั้นก็ร่วมส่งแรงไปพร้อมกับเดอร์ริค
หยดน้ำสีใสไหลลงจากใบหน้าเดอร์ริค เสียงเสียดสีอันหนักแน่นดังขึ้นข้างใบหู
ช่องว่างปรากฏขึ้นพร้อมกับแสงแดดสีทองที่ส่องผ่านเข้ามาจากด้านนอก
ช่องว่างขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งทะเลสีทองปรากฏในการมองเห็นของเดอร์ริคและโคลิน
ได้เห็นฉากตรงหน้า มุมปากโคลิน·อีเลียดยกขึ้นแผ่วเบาเมื่อขณะอาบแสงแดดอันอบอุ่น รอยยิ้มของมันแฝงไว้ด้วยความสดใสและโหยหาในขณะที่ร่างกายค่อยๆ ‘ระเหย’ ไป
แสงสว่างคือคำตอบของทุกสิ่ง
(จบภาคหก)