ราชันเร้นลับ Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ – ราชันเร้นลับ 1263 : พิทักษ์ครั้งสุดท้าย

ราชันเร้นลับ 1263 : พิทักษ์ครั้งสุดท้าย

หลังจากชะงักไปเล็กน้อย แสงสีเงินสว่างของมหาสมุทรสายฟ้าเริ่มแผ่มาปกคลุมบาเรียล่องหนที่ช่วยปกป้องโคลิน เดอร์ริค และโลเฟียร์

บาเรียที่คอยต้านรับอสรพิษสายฟ้าสีเงินเริ่มสั่นสะเทือนรุนแรง รอยปริแตกที่คล้ายกิ่งไม้เริ่มปรากฏบนบาเรียจนเกิดคำถามว่าพวกมันจะต้านรับการโจมตีได้อีกนานแค่ไหน

ทันใดนั้นเอง ไคลน์ที่แต่งกายด้วยหมวกทรงกึ่งสูงและชุดกันลมสีดำ โผล่ขึ้นด้านหลังเทวทูตมืดซาสเรียในจุดที่ไม่ถูกปกคลุมโดยผืนป่าสายฟ้า

มันเป็นราวกับเครื่องจักรที่แม่นยำและไร้หัวใจ โดยปราศจากความลังเล ไคลน์กระแทกปลายไม้เท้าดวงดาวใส่ด้านข้างของวิญญาณมารประเภทพิเศษ ตามด้วยการจินตนาการข้อมูลพลังบางชนิดไว้ในหัว

ก่อนหน้านี้ไคลน์เคยลองทดสอบแล้ว ภายในวังราชาคนยักษ์ไม่สามารถ ‘ท่องเที่ยว’ ได้ไกลนัก หากต้องการเคลื่อนย้ายตำแหน่งต้อง ‘บลิงค์’ ระยะสั้นหลายครั้งแทน ไคลน์จึงละทิ้งความคิดที่จะส่งเทวทูตมืดออกไปนอกวังราชาคนยักษ์และขโมยศิลาเย้ยเทพ จากนั้นก็หลบหนีด้วยการเปิดประตูด้านหลัง

เมื่ออัญมณีบนหัวไม้เท้าทยอยส่องแสง ดวงตาที่ลุกไหม้ด้วยเปลวไฟสีดำของซาสเรียพลันปิดสนิท

มันถูกไคลน์ลากเข้าสู่ความฝัน!

เดิมทีนี่คือพลังพิเศษลำดับ 7 ของเส้นทางรัตติกาล แต่พลังที่ไคลน์เลียนแบบนั้นมาจากการใช้งานของบริวารอำพรางอาเรียนน่า ประมุขแห่งสำนักชีรัตติกาล เป็นพลังสำหรับลากเป้าหมายเข้าสู่ความฝันในระดับเทวทูต!

ในโลกความฝันอันพร่ามัว เทวทูตมืดซาสเรียที่แต่งกายในชุดคลุมสีดำปักลวดลายซับซ้อนและติดเครื่องประดับหลายชิ้น ปรากฏตัวท่ามกลางดินแดนอันรกร้าง

ดวงตาของมันยังคงเย็นชา แตกต่างจากดวงตาเหม่อลอยที่ผู้วิเศษปรกติมักเป็นขณะถูกลากเข้าความฝัน

เส้นทางผู้ชมเองก็เป็นหนึ่งในเส้นทาง ‘ทะเลแห่งความโกลาหล’ และลำดับ 5 กับลำดับ 3 ก็มีชื่อว่า ‘นักท่องฝัน’ และ ‘นักสานฝัน’ !

ผ่านไปสักพัก ดวงตาของซาสเรียแปรเปลี่ยนเป็นสีทอง รูม่านตากลายเป็นทรงรีแนวตั้ง

‘ม่าน’ สีดำผืนหนาโผล่ขึ้นมาบดบังด้านหน้าซาสเรียจนไคลน์มองไม่เห็นร่างกายที่ใหญ่โตทัดเทียมคนยักษ์

เงาดำบังร่างซาสเรียไว้โดยสมบูรณ์ ยากจะคาดเดาว่าดวงตาสีทองของอีกฝ่ายซ่อนอยู่ในตำแหน่งใดหลังม่าน

ทันใดนั้นเอง ม่านดำแยกออกเป็นสองฝั่ง เผยให้เห็นทะเลที่คล้ายกับอัดแน่นไปด้วยความลับมากมายซึ่งมีสีที่ยากอธิบาย

บึ้ม!

เมื่อไคลน์ที่เป็นเจ้าของความฝันเห็นภาพดังกล่าว สติของมันพลันระเบิดก่อนจะได้คิดวิเคราะห์สิ่งใด คล้ายกับสมองกำลังถูกต้มในน้ำที่เดือดพล่าน

มุมปากไคลน์ขดขึ้นตามสัญชาตญาณ บุคลิกเสมือนที่ถูกสร้างขึ้นเริ่มแหลกสลาย ทันใดนั้น ชายหนุ่มแหกปากกรีดร้องขณะที่หนอนแมลงสีใสทยอยชอนไชออกจากแก้มซ้ายทีละหนึ่ง ขณะเดียวกัน เนื้อบนแก้มขวาเริ่มยื่นออกมาในลักษณะไม้เลื้อย เหยียดยาวไปหาหนอนวิญญาณบนแก้มฝั่งซ้าย

โลกแห่งความฝันที่ถูกฝืนสร้างขึ้นแตกสลายทันที สติของเทวทูตมืดกลับสู่โลกความจริง

ทว่า ในช่วงเวลาสั้นๆ ที่ซาสเรียถูกลากเข้ามาในความฝัน มหาสมุทรสายฟ้าบนโลกความจริงเริ่มเลือนหาย เปิดโอกาสให้สามครึ่งเทพแห่งเมืองเงินพิสุทธิ์อย่างโคลิน เดอร์ริค และโลเฟียร์ได้มีโอกาสตอบโต้

โคลิน·อีเลียดเหยียดตัวตรงพร้อมกับแทงดาบรุ่งอรุณในมือขวาไปข้างหน้า เป็นการเทเลพอร์ต ‘เรเพียร์เงิน’ ไปยังตำแหน่งของซาสเรียในพริบตา ทางด้านโลเฟียร์ที่พยายามขัดขืนการครอบงำของเงา ‘ผ้าคลุม’ สั่งให้วิญญาณมารอัศวินสีเงินฟันดาบเสยขึ้นเพื่อสร้างพายุประกายแสง สำหรับเดอร์ริค เด็กหนุ่มควบแน่นหอกเจิดจรัสและแทงใส่เทวทูตมืดจนเกิดเสียงปริแตก

ทันใดนั้น ซาสเรียแผ่แสงสว่างบริสุทธิ์ผุดผ่องออกจากร่างประหนึ่งตัวมันคือสุริยันเจิดจรัสที่เสด็จเยือนลงมา

ท่ามกลางแสงสว่างอันเจิดจ้า หอกเจิดจรัสเริ่มหลอมละลาย พายุแสงเริ่มสงบนิ่ง และลำแสงสีเงินเริ่มจางลง โดยการโจมตีหลังสุดสร้างความเสียหายได้เพียงออร่าของเป้าหมาย มิอาจทำอันตรายใดกับร่างต้น

ฉากที่ดูคล้ายกับเทพเสด็จเยือนสร้างความตกตะลึงให้เดอร์ริคและโลเฟียร์เป็นอย่างมาก พวกมันเกิดความรู้สึกอยากจะก้มศีรษะคำนับอย่างแรงกล้า สำหรับวิญญาณมารอัศวินสีเงิน มันถูกแสงแดดแผดเผาและสลายไปอย่างรวดเร็ว

ทันใดนั้น ดวงตาซาสเรียปิดลงอีกครั้ง

ด้านหลังเทวทูตมืด ไคลน์ซึ่งถูก ‘แสงแดดแผดเผา’ เล่นงานจนหนอนวิญญาณเริ่มระเหยออกจากร่าง ยังคงกัดฟันทนความเจ็บปวดอย่างเต็มกลืนพลางเล็งปลายไม้เท้าดวงดาวมายังวิญญาณมารซึ่งเป็นร่างอวตารของราชาเทวทูต

เป็นอีกครั้งที่มันเลียนแบบพลังพิเศษที่ใช้ลากเป้าหมายเข้าสู่ความฝัน!

แต่ไม่เหมือนกับคราวก่อน ทันทีที่ไคลน์เข้าสู่ความฝัน มันระดมพลังปราสาทต้นกำเนิดและเปลี่ยนตัวเองให้กลายเป็นบานประตูแห่งแสงที่บางจุดมีสีน้ำเงินเข้ม ประตูแสงดังกล่าวเกิดจากการก่อตัวของลูกบอลแสง โดยที่ในแต่ละลูกมีหนอนโปร่งใสและโปร่งแสงดีดดิ้นอยู่ด้านใน

เฉกเช่นไคลน์ เทวทูตมืดซาสเรียทำการเผยพลังบางส่วนของทะเลแห่งความโกลาหล เริ่มจากการกลายเป็นเงาสีดำหนา จากนั้นก็ทำการเปิด ‘ม่าน’ เพื่ออัญเชิญ ‘ทะเล’ ที่อัดแน่นไปด้วยสีสันและความลับที่มนุษย์อธิบายไม่ได้ให้มาปรากฏภายในความฝัน

ไคลน์และซาสเรียลืมตาขึ้นอย่างเงียบงันในความฝัน จากนั้น ต่างคนต่างพุ่งประจัญเข้าหากันเต็มกำลัง

คนหนึ่งปกคลุมด้วยเงาแผ่นบาง ส่วนอีกคนมีใบหน้าบิดเบี้ยวจนน่าเกลียด หนอนวิญญาณจำนวนมากกำลังชอนไชออกมาจากร่างกาย

ตอนนี้บุคลิกเสมือนของไคลน์ได้แตกสลายโดยสมบูรณ์แล้ว

ฉวยโอกาสในจังหวะที่ซาสเรียยังไม่กลับเป็นปรกติ โลเฟียร์ซึ่งถูกผ้าคลุมห่อหุ้มร่าง กะพริบดวงตาสีเทาหนึ่งครั้ง จากนั้นร่างกายที่สูงกว่าสองเมตรเริ่มยุบพองและขยายออก ขาทั้งสองข้างที่ปราศจากผิวหนังโดยมีเพียงเลือดสีแดงสดไหลเวียน ย่างกรายไปข้างหน้าพร้อมกับอาศัยกระแสลมช่วยให้กระโจนไปถึงร่างเทวทูตมืด

ดวงตาของหญิงสาวเริ่มเผยความบ้าคลั่ง เกรงว่าอีกไม่นานวิญญาณคงถูกกัดกร่อนจนคลุ้มคลั่งโดยสมบูรณ์

แต่ทันใดนั้นเอง ดวงตาโลเฟียร์เปลี่ยนกลับมาเปี่ยมไปด้วยสติและความมุ่งมั่น

เธอทราบเป็นอย่างดี ตอนนี้ตัวเองกำลังทำอะไร สถานะปัจจุบันเป็นเช่นไร และชะตากรรมจะเป็นอย่างไร

ท่ามกลางเสียงสายลม ร่างที่ปกคลุมด้วยเงาดำของโลเฟียร์ร่อนลงมาประชิดตัวเทวทูตมืด

ก้อนเลือดเนื้อเงาดำที่สูงกว่าสองเมตรเริ่มขยายขนาดจนกระทั่งพันธนาการทั้งสองร่างเข้าด้วยกัน

โคลินทราบเจตจำนงของโลเฟียร์ทันที โดยไม่รอให้อีกฝ่ายตะโกนบอก มันรีบออกคำสั่งด้วยเสียงคำรามต่ำ:

“โจมตี!”

บึ้ม!

ดาบยาวรุ่งอรุณสองเล่มในมือโคลินฟันผ่านห้วงมิติโดยพร้อมเพรียง เกิดเป็นคลื่นแสงสีเงินถาโถมเข้าใส่ร่างเทวทูตมืดและโลเฟียร์ที่กำลังพัวพันกลายเป็นหนึ่ง

ได้ยินคำสั่งจากเจ้าเมือง เดอร์ริคกัดริมฝีปากจนเลือดไหลพร้อมกับกางแขนออกโดยไม่ลังเล

ลูกบอลแห่งแสงที่รายล้อมด้วยเปลวเพลิงศักดิ์สิทธิ์ปรากฏขึ้นจากความว่างเปล่าจนทำให้ตำหนักที่ปกคลุมด้วยเงาดำพลันสว่างไสว แสงสีขาวบริสุทธิ์แผ่ปกคลุมร่างโลเฟียร์และเทวทูตมืดพร้อมกับหลอมละลายเนื้อหนังของพวกมัน

เพลิงสุริยัน!

ท่ามกลางแสงสว่างเจิดจ้า ดวงตาสีเทาซีดของโลเฟียร์เผยความเจ็บปวดแสนสาหัส จากนั้น เธอเปล่งเสียงอันล่องลอยและกังวาน

“ฉันไม่เคยทรยศเมืองเงินพิสุทธิ์…”

ยังไม่ทันสิ้นเสียง เลือดเนื้อและ ‘ผ้าคลุม’ สีดำที่โลเฟียร์ใช้โอบกอดร่างเทวทูตมืดพลันขยายใหญ่

บึ้ม!

ร่างกายที่หมดสภาพของโลเฟียร์กระเด็นออกไปไกลก่อนจะกระแทกพื้น ผ้าคลุมเงาดำฉีกขาดเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยและร่วงลงมาอย่างเชื่องช้า

เทวทูตมืดซาสเรียกลายร่างเป็น ‘ทะเล’ สีดำเหนียวข้นที่เปี่ยมล้นไปด้วยออร่าเสื่อมทราม ทะเลดังกล่าวทำการดูดกลืนประกายแสงสีเงินและเพลิงสุริยันที่ยังหลงเหลือเข้าไปจนหมด

จากนั้นก็เปลี่ยนกลับไปเป็นรูปลักษณ์เก่า – มนุษย์ที่สูงราวกับคนยักษ์ แต่งกายในชุดคลุมสีดำปักด้ายเงินลวดลายซับซ้อน แต่ปีกสีดำบนแผ่นหลังบางลงจากเดิมมาก

ทันใดนั้น ดวงตาของมันแปรเปลี่ยนเป็นสีทอง รูม่านตากลายเป็นทรงรีแนวตั้ง

พายุลมกระโชกล่องหนโผล่ขึ้นรอบตัวซาสเรีย จากนั้นก็พัดพาห้วงความคิดอันเข้มข้นไปยังทุกซอกมุมตำหนัก

ช่วงชิงจิตใจ!

หอกเจิดจรัสที่เดอร์ริคพยายามควบแน่นอีกครั้งพลันเลือนหาย เด็กหนุ่มทำได้เพียงยืนแน่นิ่งในตำแหน่ง สำหรับโคลิน แม้มันจะมีจิตใจเข้มแข็ง แต่ก็ยังต้องเผชิญกับความบ้าคลั่ง ป่าเถื่อน กระหายเลือด ที่มีบ่อเกิดจากการเผยร่างสัตว์ในตำนาน สิ่งเดียวที่ทำได้คือการรีบเบี่ยงเบนสมาธิไปทางอื่น ไม่อย่างนั้นอาจคลุ้มคลั่งโดยสมบูรณ์ในอีกไม่กี่วินาทีถัดไป สำหรับไคลน์ แม้จะฟื้นฟูหนอนวิญญาณกลับเข้าร่างได้หลายส่วน แต่มันก็ยังต้องเผชิญความหวาดกลัวอย่างท่วมท้นที่นำพามาโดย ‘ช่วงชิงจิตใจ’ ร่างกายชายหนุ่มสั่นสะท้านจนยากที่จะใช้งานไม้เท้าดวงดาวได้ถนัดมือ

ร่างกายโลเฟียร์กำลังทรุดโทรมสุดขีด และประกอบกับการที่ดวงวิญญาณถูกกัดกร่อนไปเกือบหมด ยิ่งเป็นการยากที่เธอจะฟื้นฟูกลับมาได้ หญิงสาวทำได้เพียงกลิ้งไปบนพื้นด้วยความทุรนทุรายจนเกิดเป็นเมือกเลือดสีแดงข้น

ทันใดนั้นเอง เทวทูตมืดซาสเรียยกมือซ้ายขึ้น ดวงตาสีทองของมันถูกแทนที่ด้วยดวงอาทิตย์ขนาดย่อมสองดวง

ลำแสงเส้นแล้วเส้นเล่ากระหน่ำยิงใส่ร่างกายโลเฟียร์จากด้านบน ทำลายดวงวิญญาณและแผดเผาร่างเนื้อของหญิงสาว

ออร่าของโลเฟียร์เลือนหายอย่างรวดเร็ว ดวงตาสีเทาซีดสูญเสียความแวววาว

ศพของเธอที่กลายเป็นก้อนเลือดเนื้อเริ่มขดงอ ท่อนแขนไร้ผิวหนังที่ชุ่มไปด้วยเลือดสีแดงขยับเพื่อโอบกอดกะโหลกศีรษะมนุษย์ ‘บนหน้าอก’ และกดเข้าไปในร่างกาย

ท่ามกลางการโหมกระหน่ำจาก ‘แสงแดด’ และเปลวเพลิงศักดิ์สิทธิ์ที่แผดเผา โลเฟียร์ยังค้างอยู่ในท่าเดิมไม่แปรเปลี่ยน ไม่อนุญาตให้กะโหลกศีรษะมนุษย์สีขาวได้รับความเสียหายใด

ลำแสงอีกหนึ่งเส้นถูกยิงลงมาเพิ่ม โลเฟียร์อดไม่ได้ที่จะร่างกายสั่นกระตุก แต่ในท้ายที่สุดก็ยังคงสภาพในท่าขดตัวเอาไว้

ผ่านไปสักพัก ก้อนเลือดเนื้อที่บิดเบี้ยว น่าขยะแขยง และยุบพองตลอดเวลาได้ไหลลงมาปกคลุมกะโหลกศีรษะมนุษย์ที่มีสภาพหมองหม่นและทรุดโทรม จากนั้นก็หยุดความเคลื่อนไหวโดยสมบูรณ์

ระหว่างที่เทวทูตมืดกำลังเข่นฆ่าโลเฟียร์ ไคลน์อาศัยความพิเศษส่วนตัวและประสบการณ์ในอดีตเอาชนะความหวาดกลัวอันเกิดจากผลของ ‘ช่วงชิงจิตใจ’ แต่ภายในใจอดไม่ได้ที่จะเกิดความสิ้นหวัง

ทั้งที่พวกมันพยายามอย่างสุดความสามารถ แต่กลับสร้างบาดแผลให้เทวทูตมืดได้เพียงรอยขีดข่วน มิหนำซ้ำปัจจุบันยังมาเสียเทวทูตไปอีกหนึ่งคน สถานการณ์หลังจากนี้คงมีแต่จะยิ่งแย่ลง

ต้องทำยังไง… ขณะไคลน์ใช้ยุบพองหิวโหยเปลี่ยนตำแหน่ง สมองของมันรีบคิดหาจุดอ่อนของศัตรู

แก่นแท้ของมันคือวิญญาณมาร… วิญญาณมาร… เมื่อไคลน์หายตัวมาโผล่ในตำแหน่งอื่น มันฉุกคิดบางสิ่งได้พร้อมกับจ้องไปทางแผ่นศิลาบนบัลลังก์เหล็กดำ!

วิญญาณมารบางตนอาจมีตะกอนพลัง แต่เกือบทั้งหมดจะไม่มี พลังวิญญาณของพวกมันมาจากแหล่งอื่นเช่นโลกวิญญาณ วิญญาณมารสามารถดำรงอยู่ได้โดยการพึ่งพาสิ่งยึดเหนี่ยว อาจเป็น ‘เขตแดน’ ที่มันถือกำเนิดหรือบางสิ่งที่สำคัญเป็นพิเศษ หลักการพื้นฐานก็คือ วิญญาณมารจะใช้สิ่งดังกล่าวเป็นสื่อกลางในการติดต่อกับโลกวิญญาณและดึงพลังออกมาใช้เพื่อดำรงตัวตน

แล้ววิญญาณมารตรงหน้าที่ถือกำเนิดจากจิตตกค้างของเทวทูตมืดและอาจผสมผสานเข้ากับ ‘มหาต้นกำเนิด’ เล็กน้อย นำพลังมาจากไหน?

ที่นี่คือดินแดนเทพทอดทิ้งที่ถูกตัดขาดจากโลกวิญญาณและยากจะใช้พลังบางชนิดได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ไคลน์สามารถใช้พลังเทเลพอร์ตได้เพราะอาศัยความพิเศษของอาณาจักรแห่งเทพ แต่วังราชาคนยักษ์ย่อมไม่มีทางให้วิญญาณมารยืมใช้พลังของเส้นทางผู้ชม สุริยัน แฮงแมน นักอ่าน และทรราชได้แน่ และคุณสมบัติพิเศษที่เคยเป็นของเทวทูตมืดซาสเรีย ปัจจุบันดำรงอยู่กับพระผู้สร้างแท้จริง ซึ่งไม่ใช่ที่นี่เช่นกัน

ดังนั้น คำตอบของปริศนาที่ว่าวิญญาณมารนำพลังมาจากไหนจึงไม่ซับซ้อน:

ทะเลแห่งความโกลาหล!

และในตำหนักเงาแห่งนี้ สิ่งเดียวที่เกี่ยวข้องกับทะเลแห่งความโกลาหลคือศิลาเย้ยเทพ!

เมื่อไคลน์หันไปมองบัลลังก์เหล็กดำ ชายหนุ่มพบว่าโคลิน·อีเลียดเองก็กำลังจ้องไปทางเดียวกัน

…………………………………….

ราชันเร้นลับ Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ

ราชันเร้นลับ Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ

       เป็นเรื่องราวการข้ามโลกของหนุ่มชาวจีนนามว่า โจวหมิงรุ่ย โลกใบที่ชายคนนี้ต้องเผชิญมีลักษณะคล้ายคลึงกับยุควิกตอเรียของยุโรป
ยุคสมัยแห่งจักรกลไอน้ำเฟื่องฟู สุภาพบุรุษขุนนางเดินขวักไขว่ด้วยสูทและเสื้อกั๊กมาดเท่
     แน่นอน เป็นโลกที่มีพลังพิเศษ ผู้วิเศษ และ สัตว์วิเศษ แต่พลังของมนุษย์บนโลกจะไม่เหมือนกับนิยายเรื่องใด ไม่มีจอมยุทธ์ ไม่มีการบังเอิญพบคำภีลับและได้ครอบครองยอดเคล็ดวิชา
ไม่ได้เกิดใหม่พร้อมกับพลังสุดโกง
ไม่เลย ไม่น่าเบื่อและจืดชืดขนาดนั้น
    ในอดีตกาล เผ่าพันธุ์มนุษย์อันต่ำต้อยมิอาจต่อสู้กับเหล่าสัตว์วิเศษในตำนานไหว
หนึ่งในหนทางครอบครอง ‘พลังพิเศษ’ ก็คือการดื่ม ‘โอสถ’
หลังจากมนุษย์ดื่มโอสถและกลายเป็น ‘ผู้วิเศษ’ พวกเขาจะข้ามขีดจำกัดเดิมตามแต่ชนิดโอสถที่ดื่ม
ผู้วิเศษในโลกแบ่งออกเป็น 9 ลำดับ โดยลำดับ 9 จะอ่อนแอที่สุด
หนทางอัพเกรดลำดับก็แสนพิลึก ไม่ใช่การพัฒนาพลังเหมือนนิยายเรื่องใด
แต่เป็นการดื่ม ‘โอสถ’ ที่ ‘ถูกต้อง’ ตามสูตรของลำดับถัดไป
พลังพิเศษไม่สามารถข้ามสายได้ โอสถแต่ละชนิดจะมีสูตรการปรุงที่แตกต่าง
แถมการฝึกฝนพลังของผู้วิเศษก็ยังพิสดารเหนือคำบรรยาย
    เรื่องราวจะยิ่งเข้มข้นขึ้นเมื่อตัวเอกเริ่มทราบว่า อดีตมหาจักรพรรดิของโลกเมื่อร้อยปีก่อนเป็น ‘ผู้เดินทางข้ามโลก’ เหมือนกับเขา แถมยัง… เหลือทิ้งไดอารี่สุดสำคัญไว้ให้ชนรุ่นหลัง แต่ไดอารีถูกเขียนด้วยภาษาจีนที่ไม่มีใครอ่านออกแม้แต่คนเดียว… ยกเว้นโจวหมิงรุ่ย

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท