ราชันเร้นลับ Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ – ราชันเร้นลับ 1281 : ผิดปรกติ

ราชันเร้นลับ 1281 : ผิดปรกติ

เมืองเบลดัน ภายในผับแห่งหนึ่ง

รอย ไบลส์ ฟิล และพาชา กำลังนั่งรอบโต๊ะกลมตัวเล็กพลางจิบเบียร์นันวีลล์

พวกมันไม่ได้พูดคุยกันมากนัก ทำเพียงนั่งฟังขี้เมาโต๊ะข้างๆ ถกเถียงเกี่ยวกับพลังพิเศษและเหตุการณ์เหนือธรรมชาติ

“ก่อนหน้านี้ สะอึก! ฉันเห็นเต็มสองตา ไอ้พวกฟุซัคไม่เพียงจะตัวเท่าหมี แต่ยังเสกเปลวไฟออกมาขว้างเหมือนหอกได้ด้วย!”

“บ้าน่า… พลังพิเศษมีจริงงั้นหรือ”

“ฮะฮะ! นั่นเพราะนายยังอ่อนต่อโลกยังไงล่ะ มีวันหนึ่งที่ฉันเมาหลับใกล้กับสุสาน ฉันเห็นคนจากโบสถ์รัตติกาลปรากฏตัวออกมาพร้อมกับผี ใช่แล้ว ผี! พวกมันลอยอยู่กลางอากาศ… น่ากลัวฉิบ!”

ไม่มีใครทราบว่าขี้เมาเหล่านี้เล่าเรื่องจากประสบการณ์ตรงหรือเคยฟังมา แต่ลีลาการเล่าเปี่ยมไปด้วยบรรยากาศปลุกเร้า ละอองน้ำลายกระเด็นไปทุกสารทิศ ใบหน้าแดงก่ำ

“พวกเขาก็เป็นแบบนี้ตลอด พอได้ดื่มก็เริ่มตื่นเต้น ชอบคุยโวโอ้อวดทั้งที่ชีวิตตัวเองจมอยู่กับความทุกข์เป็นส่วนมาก” ไบลส์ซึ่งเป็นคนท้องถิ่นของเบลดันอธิบาย “นับตั้งแต่แหล่งถ่านหินในเมืองเริ่มหมดลง คนหนุ่มสาวก็ทยอยออกจากเบลดันและมุ่งหน้าไปยังคอนสแตนหรือไม่ก็เบ็คลันด์ บรรยากาศของเมืองนี้เริ่มถดถอยและยิ่งทวีความรกร้างลงเรื่อยๆ”

บุรุษผู้มีอายุยังไม่ถึงสามสิบรายนี้เคยทำงานเป็นคนงานเหมืองตั้งแต่ยังเด็ก แม้จะโชคดีที่ไม่ตายในเหมือง แต่ผิวพรรณก็คล้ำขึ้นมาก

กล้ามเนื้อของมันมิได้กำยำใหญ่โต แต่มอบความรู้สึกแข็งเหมือนเหล็กกล้า

รอยซึ่งเป็นหัวหน้ากลุ่ม ยิ้มและกล่าว

“สิ่งที่พวกเขาพูดอาจเป็นเรื่องจริงก็ได้ ไม่ใช่แค่การคุยโม้ สงครามที่เพิ่งจบลงไปได้ทำให้สาธารณชนตระหนักถึงพลังพิเศษมากขึ้น โดยเฉพาะกับเหล่าทหารที่เข้าร่วมโดยตรง ตราบใดที่รอดชีวิตกลับมาได้ พวกเขาก็จะนำประสบการณ์มาเล่าต่อ… ในทำนองเดียวกัน สงครามก็ยังเป็นโอกาสพลิกชีวิตของใครหลายคน คนทั่วไปซึ่งไม่มีทางรู้จักกับพลังพิเศษ ก็ได้กลายเป็นผู้วิเศษเพราะสงคราม”

วิธีการเล่าฟังดูห่างเหินและไกลตัว ราวกับกำลังพูดถึงเรื่องของคนอื่น แต่ความจริงแล้วเป็นประสบการณ์ตรงของพวกมันทั้งสี่

ไบลส์และรอยเป็นทหารที่เข้าร่วมในสงครามปิดล้อมเมืองเบลดันมาก่อน ฟิลเคยถูกกองทัพฟุซัคปล้นทรัพย์สิน แต่โชคดีที่รอดมาได้ พาชาและอดีตเพื่อนร่วมชาติของเธอเข้าร่วมการต่อสู้แบบกองโจร ล่อลวงทหารอินทิสกลุ่มหนึ่งเข้ามาซุ่มโจมตี

พวกมันได้เห็นการตายของพวกพ้องมากมายและมีโอกาสครอบครองพลังพิเศษด้วยเหตุผลที่ต่างกันไป

ในภายหลัง อาศัยความโกลาหลที่เกิดจากสงคราม พวกมันถอนตัวออกจากหน่วยของตัวเองหรือไม่ก็แอบหนีออกมาโดยที่ทางการไม่ทราบ จากนั้นก็ค่อยๆ ทำความรู้จักกันและเป็นเพื่อนที่มีประสบการณ์คล้ายคลึงกัน

ปัจจุบัน พวกมันเดินทางมายังเบลดันซึ่งเป็นเมืองของรอยและไบลส์เพื่อตามหาญาติสนิทและพวกพ้องที่อาจยังมีชีวิตรอด

“ความเป็นจริงของโลกช่างอยู่เหนือจินตนาการไปไกล” พาชาเจ้าของผมยาวสีทองเข้มและดวงตาสีน้ำเงินเข้ม ถอนหายใจอย่างมีอารมณ์

เธอมีอายุเพียงสิบ หน้าตาค่อนข้างดี แต่ใบหน้ากลับซูบผอมจนแทบไม่มีเนื้อส่วนเกิน โหนกแก้มนูนยืนเด่นชัด ทำให้ดูหน้าแก่กว่าอายุจริงพอสมควร

“ในอนาคต พวกเราคงมีชีวิตที่ต่างออกไป” รอยผู้มีรูปลักษณ์ตามแบบฉบับบุรุษชาวโลเอ็น ยกแก้วขึ้นและกล่าว “แด่อนาคตใหม่ที่สดใส…”

ยังไม่ทันสิ้นเสียง ใครบางคนในผับแหกปากกรีดร้อง

รอยและคนที่เหลือซึ่งมีประสบการณ์โชกโชน รีบตื่นตัวและหันไปมองที่ต้นเสียง

พวกมันเห็นชายหนุ่มในเสื้อผ้าธรรมดากำลังนอนเกลือกกลิ้งบนพื้น สีหน้าคล้ายกับเจ็บปวดเหนือพรรณนา

ภายใต้แสงจากโคมไฟผนังสีเหลืองจาง ทุกคนพบว่ากลางแผ่นหลังของชายหนุ่ม เสื้อผ้ามีรอยฉีกขาดเป็นทางยาวพร้อมกับเลือดที่ไหลซึม ประหนึ่งถูกฟาดด้วยแส้หนังก็มิปาน

อย่างไรก็ดี ไม่มีใครในบริเวณใกล้เคียงที่กำลังถือแส้ และท่าทางการกรีดร้องของเหยื่อก็ดูเหมือนจะถูกเฆี่ยนมาแล้วหลายสิบครั้ง

แต่ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง ทำไมถึงไม่มีใครเห็นเหตุการณ์?

“…เขากำลังถือกระเป๋าสตางค์ในมือ… จะเกี่ยวข้องกับความผิดปรกติที่เกิดขึ้นไหม?” ฟิลร่างผอมชำเลืองเล็กน้อยก่อนจะพูดด้วยสีหน้าใคร่ครวญ “ฉันเข้าไปดูดีไหม?”

รอยไตร่ตรองสักพักก่อนจะพยักหน้า

“ระวังตัวด้วย”

ฟิลอืมในลำคอก่อนจะเดินออกจากโต๊ะกลมตัวเล็ก อาศัยความช่วยเหลือจากฝูงชน มันแหวกผ่านเข้าไปใกล้ชายหนุ่มที่ปัจจุบันหยุดเกลือกกลิ้งแต่ยังคงส่งเสียงร้องครวญคราง

ฟิลเหยียดแขนซ้ายอย่างเงียบงัน เป้าหมายคือกระเป๋าสตางค์ที่ดูธรรมดา

“อ๊าก!”

ฟิลแหกปากกะทันหัน มันจ้องมือซ้ายของตนที่ถูกตัดขาดและหล่นลงไปบนพื้น

บริเวณปากแผล เลือดสีแดงพวยพุ่งไปทุกทิศทาง กระเด็นใส่คนรอบข้างในรัศมี

ทุกสิ่งภายในผับหยุดนิ่งทันที บรรดาขี้เมาตกตะลึงในตอนต้นก่อนจะกลืนน้ำลายและหันหลังกลับ รีบเผ่นไปทางประตูหรือมุมห้องสุดชีวิต!

“แปลกมาก… ฉันไม่ได้ถูกใครโจมตี!” ฟิลที่ใกล้จะหมดสติเพราะความเจ็บปวด ยังคงกัดฟันบอกเล่าประสบการณ์ของตนแก่รอย ไบลส์ และพาชา

รอยหรี่ตาลงและออกคำสั่งเสียงเข้ม

“พวกเราหนีออกจากที่นี่กันก่อน!”

จากนั้น มันหันหน้าไปพูดกับไบลส์

“เก็บมือของฟิลขึ้นมาและถนอมเอาไว้ ฉันจำได้ว่าหมอทหารที่เคยพบเป็นชาวเบลดัน หลังออกจากกองทัพ เขากลับมาเปิดคลินิกเอกชนที่นี่… ข…เขารักษาบาดแผลระดับนี้ได้แน่”

หมอทหารที่ชื่อเวเบอร์เองก็เป็นผู้วิเศษ หลังจากเข้าร่วมสงครามภาคใต้ มันค่อยๆ เลื่อนลำดับทีละนิดจนกระทั่งมีฝีมือทางการแพทย์ก้าวข้ามความเป็นจริง กล่าวกันว่าสามารถเย็บแขนขาที่ถูกตัดขาดให้อยู่ในสภาพสมบูรณ์เหมือนเดิมได้

“ตกลง” ไบลส์ขานรับโดยไม่ลังเล

มันก้าวไปข้างหน้าเล็กน้อย หยิบกล่องไม้ออกมา หยิบมือที่ขาดของฟิลบรรจุเข้าไป

ขณะเดียวกัน พาชาใช้ขี้ผึ้งวิเศษที่เธอซื้อเตรียมไว้ ทาลงบนแผลที่แขนฟิลเพื่อห้ามเลือดและพันผ้าทับ

จากนั้นคนทั้งสี่ก็ออกจากผับ

หลังจากสอบถามคนเดินถนนอยู่สักพัก ในที่สุดพวกมันก็พบเวเบอร์คลินิก

คลินิกยังไม่เปิด แต่แสงไฟจากภายในสว่างขึ้นด้วยสีเหลืองจาง

รอยดึงกริ่งประตูอย่างสุภาพ จากนั้นก็ได้ยินเสียงสะท้อนดังมาจากภายใน

แต่ผ่านไปหลายนาทีก็ยังไม่มีใครออกมาทักทาย

“เขาเมาหลับไปแล้ว?” พาชาชำเลืองไปทางฟิลที่กำลังเจ็บปวด พยายามคาดเดาด้วยความสงสัย

รอยส่ายหน้า

“เท่าที่จำได้ เวเบอร์ไม่ใช่ขี้เหล้า นอกจากนิสัยเจ้าชู้ เขาไม่มีพฤติกรรมแย่ๆ ด้านอื่น บางทีเขาอาจกำลัง…”

ขณะกล่าว ชายรูปร่างสันทัดซึ่งใบหน้าเต็มไปด้วยริ้วรอยและร่องหลุม ผลักประตูเข้าไปและพบว่ามันไม่ได้ถูกลงกลอน แค่ปิดไว้เฉยๆ

เมื่อประตูเปิดออก รอย ไบลส์ และคนที่เหลือมองเห็นสองร่าง

ร่างทั้งสองถูกแขวนไว้กึ่งกลางคลินิก ร่างกายโยกเอนเล็กน้อยตามแรงลมที่พัดเข้ามาจากด้านนอก

คนหนึ่งเป็นชายวัยสามสิบในเสื้อนอกสีขาว อีกคนเป็นสตรีอ่อนเยาว์แต่งกายในชุดพยาบาล ร่างกายท่อนล่างเปลือยเปล่า ดวงตาเหลือกถลนจนเกือบหลุดจากเบ้า ปากอ้าค้างไว้ครึ่งหนึ่ง ลิ้นแลบจุกปาก พวกมันถูกแขวนไว้กับเพดานด้วยเชือกล่องหน สีหน้าเปี่ยมไปด้วยความกลัว สิ้นหวัง และสับสน

“เวเบอร์…” รอยจดจำผู้ตายได้

ทันใดนั้น รอย พาชา และไบลส์พลันเย็นไปถึงสันหลัง พวกมันไม่ทราบว่าเหตุใดถึงเกิดเรื่องแบบนี้ และฉากตรงหน้าจะนำพาสิ่งใดมาสู่พวกตน

โครม!

เสียงเก้าอี้ล้มกระแทกพื้นด้านข้าง ปลุกให้รอยและคนที่เหลือได้สติด้วยความตื่นตระหนก

พวกมันมองไปตามเสียงและได้พบสตรีอุ้มลูกคนหนึ่งกำลังยืนสั่นระริก เธอพึมพำด้วยสีหน้าตกใจและสับสน

“พวกมันเป็นชู้กัน…”

ทำไมพวกเราถึงต้องเข้ามาพัวพันกับอะไรแบบนี้? รอยสูดลมหายใจยาว มันตระหนักว่าไม่ควรแช่อยู่ที่นี่นานนัก

รอยรีบออกคำสั่ง

“ออกไปจากที่นี่เร็ว!”

มันมิได้บอกให้พาชาปลอบโยนสตรีลึกลับ และไม่ได้พยายามขโมยยาฆ่าเชื้อกับผ้าพันแผลไปจากคลินิก

ไบลส์และคนที่เหลือต่างพากันกลืนน้ำลายเสียงดัง รีบหันหลังกลับและออกจากคลินิกด้วยความระมัดระวัง

สำหรับฟิล ความสยองขวัญที่เกิดจากความไม่รู้ กำลังครอบงำร่างกายจนมือข้างซ้ายไม่รู้สึกเจ็บปวด

“เกิดอะไรขึ้นกันแน่” หลังจากเลี้ยวเข้าไปในถนนอีกเส้น ฟิลถามด้วยใบหน้ากระตุก

“ฉันจะไปรู้ได้ยังไง!” ไบลส์โพล่งขึ้น คล้ายกับเก็บซ่อนอารมณ์ไว้ไม่อยู่

รอยหันมามอง กล่าวพลางถอนหายใจ

“ใจเย็นก่อน… นี่คงเป็นเหตุการณ์เหนือธรรมชาติที่พวกเราเข้าไม่ถึง”

“ใช่ เหตุการณ์ทั้งหมดเต็มไปด้วยความแปลกประหลาด ไม่มีเหตุผลใดอธิบายได้อีกแล้ว” พาชาพยักหน้าเห็นพ้อง

“ถ้าอย่างนั้นเราควรทำยังไง?” ฟิลถามด้วยสีหน้ากังวล

รอยไตร่ตรองสักพัก

“ตอนนี้คงต้องออกจากเบลดันกันก่อน… วิเคราะห์สิ่งที่เกิดขึ้นและจับทางความผิดปรกติให้ได้… เหตุการณ์ประหลาดเมื่อครู่อาจเกิดขึ้นกับพวกเราอีกในอนาคต ต้องจับหลักการให้ได้จึงจะมีโอกาสรอด”

“อื้อ” ไบลส์สงบลงและเห็นพ้องกับรอย

ขณะเดินไปพลางสนทนา มันเริ่มฉุกคิดบางสิ่ง

“เวเบอร์เล่นชู้ก่อนที่จะถูกแขวนคอ… ฟิลถูกตัดข้อมือเพราะพยายามจะหยิบกระเป๋าสตางค์ นั่นถือเป็นการลักทรัพย์…” พาชาสรุปสาเหตุเบื้องต้นของทั้งสองเหตุการณ์

“…” รอยได้รับแรงบันดาลใจบางอย่าง

“เป็นเพราะทำผิดกฎหมาย ก็เลยต้องเจอเรื่องแบบนี้?”

“จะเป็นไปได้ยังไง?” ไบลส์และฟิลตอบพร้อมกัน

ทันทีที่สิ้นเสียง พวกมันฉุกคิดในสิ่งเดียวกัน ใบหน้าแต่ละคนทยอยดำมืด

“บางทีอาจมีผู้บังคับใช้กฎหมายล่องหนคอยตรวจตราไปรอบเมือง นั่นคือแก่นแท้ของเหตุการณ์เหนือธรรมชาติที่เกิดขึ้น” ไบลส์คิด

รอยอืมในลำคอ

“มีโอกาสเป็นไปได้สูง… หลังจากนี้พวกเราต้องคอยระวังพฤติกรรมของตัวเอง”

พาชาและคนที่เหลือพยักหน้า เดินไปตามถนนโดยมีจุดหมายเป็นด้านนอกเมือง

ไม่นานหลังจากนั้น พวกมันมาถึงจัตุรัสเทศบาลและเห็นคนจำนวนมากกำลังยืนมุงกระดานข่าวสาร

“ประกาศใหม่?” รอยและคนที่เหลือมองหน้ากัน เชื่อว่าเป็นประกาศจากทางการที่เตือนเกี่ยวกับเหตุการณ์เหนือธรรมชาติ

พวกมันตัดสินใจเดินเข้าไปใกล้และอาศัยแสงโคมไฟถนนเพื่ออ่านเนื้อหา

กึ่งกลางกระดานมีกระดาษสีขาวแผ่นหนึ่งติดอยู่ และมีกระดาษสีเหลืองติดอยู่ใต้กระดาษสีขาว คล้ายกับเป็นส่วนขยาย

หลังจากกวาดตาอ่านประกาศอย่างรวดเร็ว รอย พาชา และคนที่เหลือพลันเผยสีหน้าตะลึง คล้ายกับเข้าใจสาเหตุของเรื่องราวแล้ว

อ่านกระดาษสีขาวจบ สายตาชำเลืองไปอ่านกระดาษสีเหลืองต่อ

“ขอสั่งให้ชาวเมืองทุกคนจับกุมคนต่างถิ่นโดยไม่เกี่ยงวิธี”

จับกุมคนต่างถิ่น… รอยและคนที่เหลือเริ่มหายใจลำบาก สัญชาตญาณสั่งให้กวาดตาไปมองกลุ่มคนที่ยืนมุงรอบกระดานข่าวสาร

คล้ายกับสัมผัสได้ว่าถูกจ้องมอง ชาวเมืองต่างหันกลับมามองกลุ่มของรอยโดยพร้อมเพรียง

ภายใต้แสงสีเหลืองสลัว ดวงตาทุกคู่คล้ายกับกำลังส่องแสงประหลาด

…………………….

ราชันเร้นลับ Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ

ราชันเร้นลับ Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ

       เป็นเรื่องราวการข้ามโลกของหนุ่มชาวจีนนามว่า โจวหมิงรุ่ย โลกใบที่ชายคนนี้ต้องเผชิญมีลักษณะคล้ายคลึงกับยุควิกตอเรียของยุโรป
ยุคสมัยแห่งจักรกลไอน้ำเฟื่องฟู สุภาพบุรุษขุนนางเดินขวักไขว่ด้วยสูทและเสื้อกั๊กมาดเท่
     แน่นอน เป็นโลกที่มีพลังพิเศษ ผู้วิเศษ และ สัตว์วิเศษ แต่พลังของมนุษย์บนโลกจะไม่เหมือนกับนิยายเรื่องใด ไม่มีจอมยุทธ์ ไม่มีการบังเอิญพบคำภีลับและได้ครอบครองยอดเคล็ดวิชา
ไม่ได้เกิดใหม่พร้อมกับพลังสุดโกง
ไม่เลย ไม่น่าเบื่อและจืดชืดขนาดนั้น
    ในอดีตกาล เผ่าพันธุ์มนุษย์อันต่ำต้อยมิอาจต่อสู้กับเหล่าสัตว์วิเศษในตำนานไหว
หนึ่งในหนทางครอบครอง ‘พลังพิเศษ’ ก็คือการดื่ม ‘โอสถ’
หลังจากมนุษย์ดื่มโอสถและกลายเป็น ‘ผู้วิเศษ’ พวกเขาจะข้ามขีดจำกัดเดิมตามแต่ชนิดโอสถที่ดื่ม
ผู้วิเศษในโลกแบ่งออกเป็น 9 ลำดับ โดยลำดับ 9 จะอ่อนแอที่สุด
หนทางอัพเกรดลำดับก็แสนพิลึก ไม่ใช่การพัฒนาพลังเหมือนนิยายเรื่องใด
แต่เป็นการดื่ม ‘โอสถ’ ที่ ‘ถูกต้อง’ ตามสูตรของลำดับถัดไป
พลังพิเศษไม่สามารถข้ามสายได้ โอสถแต่ละชนิดจะมีสูตรการปรุงที่แตกต่าง
แถมการฝึกฝนพลังของผู้วิเศษก็ยังพิสดารเหนือคำบรรยาย
    เรื่องราวจะยิ่งเข้มข้นขึ้นเมื่อตัวเอกเริ่มทราบว่า อดีตมหาจักรพรรดิของโลกเมื่อร้อยปีก่อนเป็น ‘ผู้เดินทางข้ามโลก’ เหมือนกับเขา แถมยัง… เหลือทิ้งไดอารี่สุดสำคัญไว้ให้ชนรุ่นหลัง แต่ไดอารีถูกเขียนด้วยภาษาจีนที่ไม่มีใครอ่านออกแม้แต่คนเดียว… ยกเว้นโจวหมิงรุ่ย

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท