เอริคกลายเป็นหัวหน้าหน่วยถุงมือแดงในช่วงท้ายสงครามพร้อมกับถูกเลือนเป็นลำดับ 5 จอมอาคมวิญญาณ
มันได้เห็นความตายของอดีตหัวหน้าทีม และอดีตของอดีตหัวหน้าทีมตน จึงตระหนักเป็นอย่างดีว่า การเลื่อนมาอยู่ลำดับบนๆ ไม่ได้ช่วยให้ตัวเองเสี่ยงตายน้อยลง มันจึงไม่เคยลดความระมัดระวังตัว
สำหรับถุงมือแดงซึ่งเป็นหัวกะทิในเหยี่ยวราตรี นี่คือแนวทางปฏิบัติที่ทุกคนยึดถือร่วมกัน เพราะมีบ่อยครั้งที่เหยี่ยวราตรีทั่วไปซึ่งทำคดี ‘ธรรมดา’ โดยไม่เกี่ยวข้องกับศาสตร์เร้นลับ เกิดประมาทจนพลาดท่าและต้องใช้พลังพิเศษเพื่อพลิกสถานการณ์กลับมา ดังนั้น ถุงมือแดงที่ไล่ตามคดีสำคัญซึ่งมีเป้าหมายอันตรายมากกว่า ย่อมมีความระมัดระวังสูงกว่า
ปัจจุบัน เอริคกำลังยืนบนชั้นสี่ของอาคารหมายเลข 14 ถนนไพรอาร์ หันหน้าเข้าหาประตูไม้สีน้ำตาลเข้มที่ปิดสนิท มันมองไปรอบตัวก่อนจะกล่าว:
“มีเหยี่ยวราตรีสองคนหายตัวไปจากที่นี่ พวกเราห้ามประมาทเด็ดขาด”
ในช่วงแรก ผู้เช่าหอพักหลายรายแจ้งปัญหาไปถึงตำรวจ ระบุว่าห้อง 403 มีกลิ่นเหม็นมาก และผู้เช่าห้อง 303 ก็บอกว่ามีเสียงฝีเท้าหนักแน่นอยู่เหนือศีรษะพวกตน
ตำรวจท้องที่ใช้เวลาสองวันก่อนจะส่งคนมาสืบดู แต่หลังจากนั้นก็ไม่มีใครได้ออกจากห้อง 403 อีกเลย
พิจารณาอยู่สักพัก พวกมันส่งต่อคดีความไปยังโบสถ์รัตติกาลทันที แต่เหยี่ยวราตรีสองคนที่ถูกส่งมาตรวจสอบก็หายตัวไปอย่างลึกลับเช่นกัน นับแต่นั้นประตูห้อง 403 ก็ถูกปิดอย่างแน่นหนา
ด้วยเหตุผลข้างต้น อาร์ชบิชอปแห่งมุขมณฑลแคว้นเลียบทะเลจึงส่งทีมของเอริคมาทำคดี และอนุญาตให้เบิกใช้งานสมบัติปิดผนึกระดับ 1
“ครับ หัวหน้า” สมาชิกทีมถุงมือแดงบ้างพยักหน้า บ้างขานรับ
เอริคไม่กล่าวคำใดเพิ่มเติม เพียงยืนจ้องประตูสีน้ำตาลเข้มของห้อง 403 ที่ปิดสนิทสักพัก ก่อนจะยกมือซ้ายที่สวมถุงมือแดงขึ้นมาและใช้ปลายนิ้วเคาะไปยังฟันซี่หนึ่ง
ทันใดนั้นเอง ร่างมายาร่างหนึ่งโผล่ขึ้นมาเบื้องหน้าเอริค จากนั้นก็พุ่งเข้าไปในห้อง 403 ผ่านรอยแยกของประตูราวกับไม่มีมวลสาร
สีหน้าเอริคเผยท่าทีจดจ่อ ประหนึ่งกำลังสำรวจสถานการณ์ภายในห้องผ่านดวงตาของร่างมายา
ร่างดังกล่าวคือวิญญาณธรรมชาติที่เอริคควบคุม มิได้ทรงพลังแต่อย่างใด แต่ก็มีพลังพิเศษ ในยามปรกติจะอาศัยอยู่ในฟันแถวหน้าสุดซี่ซ้าย
จากสถานการณ์ตรงหน้า เอริคเชื่อว่าตนไม่ควรบุ่มบ่ามบุกเข้าไป อันดับแรกต้องตรวจสอบให้ละเอียดเสียก่อน แม้ว่าสมาชิกในทีมของตนจะมีพลังพิเศษที่สอดประสานกัน อีกทั้งยังได้รับความช่วยเหลือจากสมบัติปิดผนึกที่แข็งแกร่ง แต่ถึงอย่างนั้นก็ห้ามประมาท
หากสามารถวิเคราะห์สถานการณ์ด้านในและเตรียมตัวรับมืออย่างถูกต้อง เอริคเชื่อว่าปฏิบัติการนี้จะประสบความสำเร็จได้โดยง่าย
ทันใดนั้นเอง ภายในดวงตาเอริค เส้นเลือดฝอยจำนวนมากทยอยปูดโปน บ้างก็ระเบิดออกทันที
ขณะดวงตาเอริคกำลังแดงก่ำ มันได้ยินเสียงเสียดสีหนักแน่น
ประตูสีน้ำตาลเข้มถูกเปิดออก!
ภายในห้องมีหกคน สามคนสวมเครื่องแบบตำรวจขาวดำ กำลังนั่งบนเก้าอี้พนักสูง เก้าอี้ขายาว และโซฟา สองคนแต่งกายด้วยหมวกทรงกึ่งสูงและเสื้อกันลมสีดำ คนหนึ่งยืนข้างประตู อีกคนหนึ่งยืนริมมุขหน้าต่าง ใบหน้าแนบชิดกับหน้าต่างประหนึ่งกำลังเฝ้ามองถนนด้านล่าง
คนสุดท้ายนั่งอยู่บนเก้าอี้ขายาวริมขอบระเบียง เบื้องหน้ามีกล้องดูดาวหรูหราตั้งอยู่
ผิวหนังของร่างทั้งหกอยู่ในสภาพบวมพองราวกับมีใครฉีดแก๊สเข้าไป บางส่วนของร่างกายปริแตกและเน่าเปื่อย แต่ก็ยังมิได้แห้งผาก ผิวเนื้อกลายเป็นสีน้ำเงินเข้มโดยมีของเหลวสีเหลืองอมดำไหลซึมออกมา
เมื่อสัมผัสได้ว่าประตูเปิดออก ร่างทั้งหกทยอยหันมาจ้องเอริคและคนที่เหลือ
คนแรกคืออดีตเหยี่ยวราตรีที่ยืนด้านข้างประตู ส่วนคนสุดท้ายคือชายในเสื้อเชิ้ตผ้าฝ้ายที่นั่งอยู่ติดกับกล้องดูดาว ลูกตาสีขาวดำของมันข้างหนึ่งแนบติดกับเลนส์กล้อง ส่วนอีกข้างซึ่งเป็นเบ้าตากลวง กำลังจดจ้องมายังหน่วยถุงมือแดงนอกประตู
กลิ่นเหม็นจางซึมเข้าไปในจมูกของเอริคและคนที่เหลือ ความหนาวเย็นที่ยากจะบรรยายแผ่ปกคลุมไปทั่วบริเวณ
เอริครีบยกมือขึ้นมาเคาะฟันตามสัญชาตญาณเพื่อปลดปล่อยดวงวิญญาณเพิ่มเติม จากนั้นก็ใช้พลังพิเศษของ ‘ฝันร้าย’ เพื่อลากเป้าหมายด้านหน้าทั้งหมดเข้าไปในความฝัน
แต่ไม่ว่าจะเคาะฟันสักกี่ครั้งก็ไม่มีวิญญาณใดถูกปลดปล่อย คล้ายกับพลังพิเศษของจอมอาคมวิญญาณเลือนหายไปในพริบตา
ในเวลาเดียวกัน ฝันร้ายคนหนึ่งในหนึ่งถุงมือแดง กำลังประหลาดใจสุดขีดที่ตนมิอาจลากเป้าหมายเข้าสู่ความฝันได้!
ณ ปัจจุบัน นอกเหนือจากสมรรถภาพร่างกายที่เพิ่มขึ้นมาจากโอสถ พลังพิเศษชนิดอื่นของพวกมันล้วนอันตรธานหายไปอย่างน่าฉงน
“หนีเร็ว!” เอริคคำรามต่ำเพื่อออกคำสั่งโดยไม่ลังเล
สำหรับสถานการณ์แปลกประหลาดตรงหน้า มันไม่เคยพบเจอมาก่อน จึงไม่มีทางเลือกใดเหมาะสมไปกว่าการถอนตัวกลับ จากนั้นค่อยเบิกสมบัติปิดผนึกที่เหมาะสมและกลับมาจัดการ
ทว่า สมาชิกในทีมกลับไม่มีใครก้าวขา ราวกับร่างกายไม่ฟังคำสั่งสมองอีกต่อไป
เอริครีบก้มหน้าลงเพื่อสำรวจร่างกายท่อนล่างของตน และพบว่าท่อนขากำลังบวมพอง กางเกงใกล้ปริแตก
นอกจากนั้นยังสัมผัสได้ว่า ผิวหนังของตนทยอยปริแตกและเน่าเปื่อย มีหนองสีเหลืองไหลออกมา
ยังไม่ทันที่มันและหน่วยถุงมือแดงจะได้ปะทะกับเป้าหมาย พวกมันกลับถูกลากเข้ามาใน ‘ฝันร้าย’ อันเงียบสงัด ทำได้เพียงเฝ้ามองตัวเองบวมพองและค่อยๆ เน่าตาย
ทันใดนั้นเอง กระจกตาแดงก่ำของเอริคพลันสะท้อนภาพฝ่ามือธรรมดาข้างหนึ่ง ฝ่ามือดังกล่าวคว้าด้ามจับประตูและดึงกลับ
กึก!
ประตูสีน้ำตาลเข้มของห้อง 403 ถูกปิดสนิทอีกครั้ง ตัดขาดเอริคและหน่วยถุงมือแดงจากสิ่งมีชีวิตภายในห้อง
พวกมันกลับมาควบคุมร่างกายตัวเองได้อีกหน แต่ดูเหมือนว่าท่อนขาจะได้รับบาดเจ็บหนัก ไม่ว่าจะยกเท้าขึ้นหรืองอเข่าก็ล้วนทำได้ยาก
เอริคไม่มัวตรวจสอบอาการบาดเจ็บของตน รีบเลื่อนสายตาไปทางเจ้าของฝ่ามือที่ปิดประตู
อีกฝ่ายเป็นชายหนุ่มที่แต่งกายด้วยหมวกโบราณทรงสูง ชุดคลุมสีดำ ใบหน้าดูธรรมดาเสียจนไม่สร้างความประทับใจใดเลย หากละสายตาไปแค่ไม่กี่วินาทีก็คงลืมแล้ว
“คำแนะนำจากใจของผมก็คือ ให้คุณรีบกลับไปและส่งอาร์ชบิชอปหรืออาวุโสใหญ่มาจัดการคดีนี้แทน แต่แน่นอน คุณยังมีอีกหนึ่งทางเลือก นั่นคือการขอพรจากผม ผมคือนักมายากลพเนจรนามว่าเมอร์ลิน·เฮอร์มิส ความถนัดของผมคือการเล่นกลเพื่อเติมเต็มความปรารถนาของผู้อื่น” ไคลน์หลอกล่อให้คนแปลกหน้าขอพรอย่างชำนาญ
เมื่อสักครู่ ทันทีที่เห็นใบหน้าเน่าเปื่อยบนมุขหน้าต่าง ไคลน์สัมผัสถึงลางร้ายทันที จึงตัดสินใจขึ้นมาตรวจสอบด้วยตัวเอง
เติมเต็มความปรารถนา… เอริคหวนนึกถึงบทเรียนขณะมันเคยศึกษาอยู่ในมหาวิหารศักดิ์สิทธิ์:
ผู้วิเศษลำดับสูงบางตนที่อยู่ในสถานะถูกผนึกหรือถูกคุมขัง จะแสร้งทำตัวเป็นสมบัติวิเศษหรือวัตถุที่ช่วยเติมเต็มความปรารถนาเพื่อให้ตัวเองหลุดพ้นจากปัญหา ตัวอย่างเช่น ตะเกียงวิเศษและบ่อน้ำที่สามารถตอบสนองความต้องการ…
เขาเป็นผู้วิเศษลำดับสูง? แต่ดูไม่เหมือนกำลังถูกคุมขังหรือถูกผนึก… เอริคเหลียวซ้ายแลขวา ไตร่ตรองสองสามวินาทีก่อนจะถาม
“ถ้าเราไม่ขอพร คุณจะไม่แก้ปัญหาที่เกิดขึ้นภายในห้อง?”
ทันทีที่กล่าวจบ มันพบว่านักมายากลพเนจรที่เรียกตัวเองว่าเมอร์ลิน·เฮอร์มิส กำลังเผยสีหน้าครุ่นคิด เผยความลำบากใจไม่น้อย
ไม่กี่วินาทีถัดมา ไคลน์ยกมือขึ้นมาลูบหมวกทรงสูง กึ่งยิ้มกึ่งถอนหายใจ
“ถึงคุณจะไม่ขอพร แต่ผมก็จะแก้ไขปัญหา”
“…การขอพรต้องท่องนามเต็มของคุณหรือไม่” เอริคถามหลังจากมองหน้าสมาชิกคนอื่น
ไคลน์ส่ายศีรษะ
“ไม่ แค่บอกความปรารถนามา”
ยังไม่มากพอที่จะสร้างการเชื่อมโยงในเชิงศาสตร์เร้นลับ… เอริคไตร่ตรองสักพักก่อนจะกล่าวทีเล่นทีจริง
“ถ้าอย่างนั้น ผมปรารถนาให้ความผิดปรกติภายในห้องตรงหน้าถูกแก้ไข จนไม่ส่งผลกระทบต่อสิ่งรอบข้างอีกต่อไป”
ไคลน์ยกมุมปากยิ้ม ปรบมือแผ่วเบาและกล่าว
“ความปรารถนาของคุณกำลังจะเป็นจริง”
โดยไม่รอให้เอริคตอบสนอง ชายหนุ่มยิ้มและพูดต่อ
“ความผิดปรกติภายในห้องจะสะกดตะกอนพลังจนทำให้ไม่สามารถใช้พลังพิเศษที่เกี่ยวข้องกัน แต่นั่นก็ไม่เสมอไป… ในสถานการณ์เช่นนี้ คำแนะนำของผมก็คือ…”
ขณะกล่าว ไคลน์เหยียดแขนซ้าย หยิบลูกแก้วทรงดวงตาออกจากอากาศ ก่อนจะใช้มือขวาบิดเปิดประตูเข้าไปเล็กน้อย
จากนั้นก็โยนลูกแก้วทรงดวงตาเข้าไปในห้อง 403 ผ่านช่องว่าง
ขณะลูกแก้วดังกล่าวลอยไปในอากาศ มันทำการดูดกลืนแสงโดยรอบอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งตัวเองเปล่งแสงเจิดจ้าและบริสุทธิ์ผุดผ่อง ดูคล้ายกับดวงอาทิตย์ขนาดย่อส่วน
วินาทีถัดมา ไคลน์ใช้มือขวาดึงประตูกลับ ด้วยเกรงว่าเอริคและคนที่เหลือจะจ้องมองแสงสว่างด้วยตาเปล่าไม่ไหว
“คำแนะนำของผมก็คือ ใช้สมบัติปิดผนึกระดับ 1 ในขอบเขตสุริยันเพื่อชำระล้างบริเวณโดยรอบ” เมื่อพูดจบ ไคลน์หวนนึกถึง ‘ตราศักดิ์สิทธิ์สุริยันกลายพันธุ์’ ที่อยู่หลังประตูยานิสเมืองทิงเก็น แม้ว่านั่นจะเป็นเพียงสมบัติปิดผนึกระดับ 3 แต่ถ้ามีเวลามากพอก็สามารถขจัดสิ่งมีชีวิตประเภทเน่าเปื่อยได้
ขณะเอริคเตรียมบอกว่า พวกตนก็นำสมบัติปิดผนึกที่คล้ายกันมาด้วย เพียงแต่ไม่มีโอกาสได้ใช้งาน มันเห็นมิสเตอร์เมอร์ลิน·เฮอร์มิสเปิดประตูห้อง 403 เข้าไปอีกครั้ง
ร่างทั้งหกภายในห้องอันตรธานหาย ตะกอนพลังชนิดต่างๆ เริ่มควบแน่นอย่างเชื่องช้า บรรยากาศเย็นยะเยือกและกลิ่นเหม็นรุนแรงถูกแทนที่ด้วยความอบอุ่นอ่อนโยน
“จบแล้ว?” เอริคถามด้วยความลังเล
ไคลน์ส่ายหน้าและยิ้ม
“ยัง ต้นตอของปัญหายังคงอยู่… คุณสืบข้อมูลเกี่ยวกับเจ้าของห้องมาหรือยัง”
เอริคตอบทันที
“เขาเรียกตัวเองว่าจอห์น เป็นนักดาราศาสตร์สมัครเล่น ชอบศึกษาอวกาศด้วยกล้องดูดาวแบบพิเศษในทุกคืน”
ศึกษาอวกาศ… ไคลน์เดินเข้าไปในห้องด้วยมาดเงียบขรึม ก่อนจะออกคำสั่งอย่างเป็นกันเอง
“ตรวจสอบให้ทั่วเพื่อค้นหาเบาะแส”
ด้วยเหตุผลบางประการ เอริครู้สึกว่ามิสเตอร์เมอร์ลิน·เฮอร์มิสมีบรรยากาศคล้ายกับหัวหน้าคนแรกเมื่อครั้งมันเพิ่งเข้าร่วมเหยี่ยวราตรี บุคลิกเปี่ยมไปด้วยความเป็นมืออาชีพ เยือกเย็น และน่าเชื่อถือ
มันพยักหน้าให้สมาชิกคนอื่นในทีมเป็นนัยว่าต้องทำตามคำสั่ง
ส่วนตัวมันคอยเดินตามไคลน์ ในแง่หนึ่งเพื่อให้ความช่วยเหลือ แต่อีกแง่หนึ่งก็เพื่อป้องกันอันตรายที่ไม่คาดฝัน
ไคลน์เพิกเฉยอีกฝ่าย เพียงเดินเข้าไปใกล้กล้องดูดาวที่หรูหรา จากนั้นก็โน้มตัวลงและใช้ดวงตาจ่อเลนส์
อันตราย… เอริคอยากจะเตือน แต่สุดท้ายก็ปิดปากเงียบเมื่อพิจารณาถึงระดับตัวตนของอีกฝ่าย
ขณะเดียวกัน ผ่านกล้องดูดาว ไคลน์เริ่มเห็นอวกาศอันสว่างไสว ดาวแต่ละดวงเปล่งแสงระยิบระยับ
ทันใดนั้นเอง ทัศนวิสัยของมันถูกบดบังด้วยดวงตาขนาดมหึมา
ดวงตาดังกล่าวคล้ายแนบติดกับเลนส์ตรงปลายอีกฝั่งของกล้อง พื้นหลังสีเทาอ่อน รูม่านตาสีเหลืองซีด เส้นเลือดฝอยภายในดวงตาบวมพองและเต็มไปด้วยหนองสีใสที่น่าขยะแขยง
…………………………………………..