ราชันเร้นลับ Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ – ราชันเร้นลับ 1296 : นักดาราศาสตร์สมัครเล่น

ราชันเร้นลับ 1296 : นักดาราศาสตร์สมัครเล่น

เอริคกลายเป็นหัวหน้าหน่วยถุงมือแดงในช่วงท้ายสงครามพร้อมกับถูกเลือนเป็นลำดับ 5 จอมอาคมวิญญาณ

มันได้เห็นความตายของอดีตหัวหน้าทีม และอดีตของอดีตหัวหน้าทีมตน จึงตระหนักเป็นอย่างดีว่า การเลื่อนมาอยู่ลำดับบนๆ ไม่ได้ช่วยให้ตัวเองเสี่ยงตายน้อยลง มันจึงไม่เคยลดความระมัดระวังตัว

สำหรับถุงมือแดงซึ่งเป็นหัวกะทิในเหยี่ยวราตรี นี่คือแนวทางปฏิบัติที่ทุกคนยึดถือร่วมกัน เพราะมีบ่อยครั้งที่เหยี่ยวราตรีทั่วไปซึ่งทำคดี ‘ธรรมดา’ โดยไม่เกี่ยวข้องกับศาสตร์เร้นลับ เกิดประมาทจนพลาดท่าและต้องใช้พลังพิเศษเพื่อพลิกสถานการณ์กลับมา ดังนั้น ถุงมือแดงที่ไล่ตามคดีสำคัญซึ่งมีเป้าหมายอันตรายมากกว่า ย่อมมีความระมัดระวังสูงกว่า

ปัจจุบัน เอริคกำลังยืนบนชั้นสี่ของอาคารหมายเลข 14 ถนนไพรอาร์ หันหน้าเข้าหาประตูไม้สีน้ำตาลเข้มที่ปิดสนิท มันมองไปรอบตัวก่อนจะกล่าว:

“มีเหยี่ยวราตรีสองคนหายตัวไปจากที่นี่ พวกเราห้ามประมาทเด็ดขาด”

ในช่วงแรก ผู้เช่าหอพักหลายรายแจ้งปัญหาไปถึงตำรวจ ระบุว่าห้อง 403 มีกลิ่นเหม็นมาก และผู้เช่าห้อง 303 ก็บอกว่ามีเสียงฝีเท้าหนักแน่นอยู่เหนือศีรษะพวกตน

ตำรวจท้องที่ใช้เวลาสองวันก่อนจะส่งคนมาสืบดู แต่หลังจากนั้นก็ไม่มีใครได้ออกจากห้อง 403 อีกเลย

พิจารณาอยู่สักพัก พวกมันส่งต่อคดีความไปยังโบสถ์รัตติกาลทันที แต่เหยี่ยวราตรีสองคนที่ถูกส่งมาตรวจสอบก็หายตัวไปอย่างลึกลับเช่นกัน นับแต่นั้นประตูห้อง 403 ก็ถูกปิดอย่างแน่นหนา

ด้วยเหตุผลข้างต้น อาร์ชบิชอปแห่งมุขมณฑลแคว้นเลียบทะเลจึงส่งทีมของเอริคมาทำคดี และอนุญาตให้เบิกใช้งานสมบัติปิดผนึกระดับ 1

“ครับ หัวหน้า” สมาชิกทีมถุงมือแดงบ้างพยักหน้า บ้างขานรับ

เอริคไม่กล่าวคำใดเพิ่มเติม เพียงยืนจ้องประตูสีน้ำตาลเข้มของห้อง 403 ที่ปิดสนิทสักพัก ก่อนจะยกมือซ้ายที่สวมถุงมือแดงขึ้นมาและใช้ปลายนิ้วเคาะไปยังฟันซี่หนึ่ง

ทันใดนั้นเอง ร่างมายาร่างหนึ่งโผล่ขึ้นมาเบื้องหน้าเอริค จากนั้นก็พุ่งเข้าไปในห้อง 403 ผ่านรอยแยกของประตูราวกับไม่มีมวลสาร

สีหน้าเอริคเผยท่าทีจดจ่อ ประหนึ่งกำลังสำรวจสถานการณ์ภายในห้องผ่านดวงตาของร่างมายา

ร่างดังกล่าวคือวิญญาณธรรมชาติที่เอริคควบคุม มิได้ทรงพลังแต่อย่างใด แต่ก็มีพลังพิเศษ ในยามปรกติจะอาศัยอยู่ในฟันแถวหน้าสุดซี่ซ้าย

จากสถานการณ์ตรงหน้า เอริคเชื่อว่าตนไม่ควรบุ่มบ่ามบุกเข้าไป อันดับแรกต้องตรวจสอบให้ละเอียดเสียก่อน แม้ว่าสมาชิกในทีมของตนจะมีพลังพิเศษที่สอดประสานกัน อีกทั้งยังได้รับความช่วยเหลือจากสมบัติปิดผนึกที่แข็งแกร่ง แต่ถึงอย่างนั้นก็ห้ามประมาท

หากสามารถวิเคราะห์สถานการณ์ด้านในและเตรียมตัวรับมืออย่างถูกต้อง เอริคเชื่อว่าปฏิบัติการนี้จะประสบความสำเร็จได้โดยง่าย

ทันใดนั้นเอง ภายในดวงตาเอริค เส้นเลือดฝอยจำนวนมากทยอยปูดโปน บ้างก็ระเบิดออกทันที

ขณะดวงตาเอริคกำลังแดงก่ำ มันได้ยินเสียงเสียดสีหนักแน่น

ประตูสีน้ำตาลเข้มถูกเปิดออก!

ภายในห้องมีหกคน สามคนสวมเครื่องแบบตำรวจขาวดำ กำลังนั่งบนเก้าอี้พนักสูง เก้าอี้ขายาว และโซฟา สองคนแต่งกายด้วยหมวกทรงกึ่งสูงและเสื้อกันลมสีดำ คนหนึ่งยืนข้างประตู อีกคนหนึ่งยืนริมมุขหน้าต่าง ใบหน้าแนบชิดกับหน้าต่างประหนึ่งกำลังเฝ้ามองถนนด้านล่าง

คนสุดท้ายนั่งอยู่บนเก้าอี้ขายาวริมขอบระเบียง เบื้องหน้ามีกล้องดูดาวหรูหราตั้งอยู่

ผิวหนังของร่างทั้งหกอยู่ในสภาพบวมพองราวกับมีใครฉีดแก๊สเข้าไป บางส่วนของร่างกายปริแตกและเน่าเปื่อย แต่ก็ยังมิได้แห้งผาก ผิวเนื้อกลายเป็นสีน้ำเงินเข้มโดยมีของเหลวสีเหลืองอมดำไหลซึมออกมา

เมื่อสัมผัสได้ว่าประตูเปิดออก ร่างทั้งหกทยอยหันมาจ้องเอริคและคนที่เหลือ

คนแรกคืออดีตเหยี่ยวราตรีที่ยืนด้านข้างประตู ส่วนคนสุดท้ายคือชายในเสื้อเชิ้ตผ้าฝ้ายที่นั่งอยู่ติดกับกล้องดูดาว ลูกตาสีขาวดำของมันข้างหนึ่งแนบติดกับเลนส์กล้อง ส่วนอีกข้างซึ่งเป็นเบ้าตากลวง กำลังจดจ้องมายังหน่วยถุงมือแดงนอกประตู

กลิ่นเหม็นจางซึมเข้าไปในจมูกของเอริคและคนที่เหลือ ความหนาวเย็นที่ยากจะบรรยายแผ่ปกคลุมไปทั่วบริเวณ

เอริครีบยกมือขึ้นมาเคาะฟันตามสัญชาตญาณเพื่อปลดปล่อยดวงวิญญาณเพิ่มเติม จากนั้นก็ใช้พลังพิเศษของ ‘ฝันร้าย’ เพื่อลากเป้าหมายด้านหน้าทั้งหมดเข้าไปในความฝัน

แต่ไม่ว่าจะเคาะฟันสักกี่ครั้งก็ไม่มีวิญญาณใดถูกปลดปล่อย คล้ายกับพลังพิเศษของจอมอาคมวิญญาณเลือนหายไปในพริบตา

ในเวลาเดียวกัน ฝันร้ายคนหนึ่งในหนึ่งถุงมือแดง กำลังประหลาดใจสุดขีดที่ตนมิอาจลากเป้าหมายเข้าสู่ความฝันได้!

ณ ปัจจุบัน นอกเหนือจากสมรรถภาพร่างกายที่เพิ่มขึ้นมาจากโอสถ พลังพิเศษชนิดอื่นของพวกมันล้วนอันตรธานหายไปอย่างน่าฉงน

“หนีเร็ว!” เอริคคำรามต่ำเพื่อออกคำสั่งโดยไม่ลังเล

สำหรับสถานการณ์แปลกประหลาดตรงหน้า มันไม่เคยพบเจอมาก่อน จึงไม่มีทางเลือกใดเหมาะสมไปกว่าการถอนตัวกลับ จากนั้นค่อยเบิกสมบัติปิดผนึกที่เหมาะสมและกลับมาจัดการ

ทว่า สมาชิกในทีมกลับไม่มีใครก้าวขา ราวกับร่างกายไม่ฟังคำสั่งสมองอีกต่อไป

เอริครีบก้มหน้าลงเพื่อสำรวจร่างกายท่อนล่างของตน และพบว่าท่อนขากำลังบวมพอง กางเกงใกล้ปริแตก

นอกจากนั้นยังสัมผัสได้ว่า ผิวหนังของตนทยอยปริแตกและเน่าเปื่อย มีหนองสีเหลืองไหลออกมา

ยังไม่ทันที่มันและหน่วยถุงมือแดงจะได้ปะทะกับเป้าหมาย พวกมันกลับถูกลากเข้ามาใน ‘ฝันร้าย’ อันเงียบสงัด ทำได้เพียงเฝ้ามองตัวเองบวมพองและค่อยๆ เน่าตาย

ทันใดนั้นเอง กระจกตาแดงก่ำของเอริคพลันสะท้อนภาพฝ่ามือธรรมดาข้างหนึ่ง ฝ่ามือดังกล่าวคว้าด้ามจับประตูและดึงกลับ

กึก!

ประตูสีน้ำตาลเข้มของห้อง 403 ถูกปิดสนิทอีกครั้ง ตัดขาดเอริคและหน่วยถุงมือแดงจากสิ่งมีชีวิตภายในห้อง

พวกมันกลับมาควบคุมร่างกายตัวเองได้อีกหน แต่ดูเหมือนว่าท่อนขาจะได้รับบาดเจ็บหนัก ไม่ว่าจะยกเท้าขึ้นหรืองอเข่าก็ล้วนทำได้ยาก

เอริคไม่มัวตรวจสอบอาการบาดเจ็บของตน รีบเลื่อนสายตาไปทางเจ้าของฝ่ามือที่ปิดประตู

อีกฝ่ายเป็นชายหนุ่มที่แต่งกายด้วยหมวกโบราณทรงสูง ชุดคลุมสีดำ ใบหน้าดูธรรมดาเสียจนไม่สร้างความประทับใจใดเลย หากละสายตาไปแค่ไม่กี่วินาทีก็คงลืมแล้ว

“คำแนะนำจากใจของผมก็คือ ให้คุณรีบกลับไปและส่งอาร์ชบิชอปหรืออาวุโสใหญ่มาจัดการคดีนี้แทน แต่แน่นอน คุณยังมีอีกหนึ่งทางเลือก นั่นคือการขอพรจากผม ผมคือนักมายากลพเนจรนามว่าเมอร์ลิน·เฮอร์มิส ความถนัดของผมคือการเล่นกลเพื่อเติมเต็มความปรารถนาของผู้อื่น” ไคลน์หลอกล่อให้คนแปลกหน้าขอพรอย่างชำนาญ

เมื่อสักครู่ ทันทีที่เห็นใบหน้าเน่าเปื่อยบนมุขหน้าต่าง ไคลน์สัมผัสถึงลางร้ายทันที จึงตัดสินใจขึ้นมาตรวจสอบด้วยตัวเอง

เติมเต็มความปรารถนา… เอริคหวนนึกถึงบทเรียนขณะมันเคยศึกษาอยู่ในมหาวิหารศักดิ์สิทธิ์:

ผู้วิเศษลำดับสูงบางตนที่อยู่ในสถานะถูกผนึกหรือถูกคุมขัง จะแสร้งทำตัวเป็นสมบัติวิเศษหรือวัตถุที่ช่วยเติมเต็มความปรารถนาเพื่อให้ตัวเองหลุดพ้นจากปัญหา ตัวอย่างเช่น ตะเกียงวิเศษและบ่อน้ำที่สามารถตอบสนองความต้องการ…

เขาเป็นผู้วิเศษลำดับสูง? แต่ดูไม่เหมือนกำลังถูกคุมขังหรือถูกผนึก… เอริคเหลียวซ้ายแลขวา ไตร่ตรองสองสามวินาทีก่อนจะถาม

“ถ้าเราไม่ขอพร คุณจะไม่แก้ปัญหาที่เกิดขึ้นภายในห้อง?”

ทันทีที่กล่าวจบ มันพบว่านักมายากลพเนจรที่เรียกตัวเองว่าเมอร์ลิน·เฮอร์มิส กำลังเผยสีหน้าครุ่นคิด เผยความลำบากใจไม่น้อย

ไม่กี่วินาทีถัดมา ไคลน์ยกมือขึ้นมาลูบหมวกทรงสูง กึ่งยิ้มกึ่งถอนหายใจ

“ถึงคุณจะไม่ขอพร แต่ผมก็จะแก้ไขปัญหา”

“…การขอพรต้องท่องนามเต็มของคุณหรือไม่” เอริคถามหลังจากมองหน้าสมาชิกคนอื่น

ไคลน์ส่ายศีรษะ

“ไม่ แค่บอกความปรารถนามา”

ยังไม่มากพอที่จะสร้างการเชื่อมโยงในเชิงศาสตร์เร้นลับ… เอริคไตร่ตรองสักพักก่อนจะกล่าวทีเล่นทีจริง

“ถ้าอย่างนั้น ผมปรารถนาให้ความผิดปรกติภายในห้องตรงหน้าถูกแก้ไข จนไม่ส่งผลกระทบต่อสิ่งรอบข้างอีกต่อไป”

ไคลน์ยกมุมปากยิ้ม ปรบมือแผ่วเบาและกล่าว

“ความปรารถนาของคุณกำลังจะเป็นจริง”

โดยไม่รอให้เอริคตอบสนอง ชายหนุ่มยิ้มและพูดต่อ

“ความผิดปรกติภายในห้องจะสะกดตะกอนพลังจนทำให้ไม่สามารถใช้พลังพิเศษที่เกี่ยวข้องกัน แต่นั่นก็ไม่เสมอไป… ในสถานการณ์เช่นนี้ คำแนะนำของผมก็คือ…”

ขณะกล่าว ไคลน์เหยียดแขนซ้าย หยิบลูกแก้วทรงดวงตาออกจากอากาศ ก่อนจะใช้มือขวาบิดเปิดประตูเข้าไปเล็กน้อย

จากนั้นก็โยนลูกแก้วทรงดวงตาเข้าไปในห้อง 403 ผ่านช่องว่าง

ขณะลูกแก้วดังกล่าวลอยไปในอากาศ มันทำการดูดกลืนแสงโดยรอบอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งตัวเองเปล่งแสงเจิดจ้าและบริสุทธิ์ผุดผ่อง ดูคล้ายกับดวงอาทิตย์ขนาดย่อส่วน

วินาทีถัดมา ไคลน์ใช้มือขวาดึงประตูกลับ ด้วยเกรงว่าเอริคและคนที่เหลือจะจ้องมองแสงสว่างด้วยตาเปล่าไม่ไหว

“คำแนะนำของผมก็คือ ใช้สมบัติปิดผนึกระดับ 1 ในขอบเขตสุริยันเพื่อชำระล้างบริเวณโดยรอบ” เมื่อพูดจบ ไคลน์หวนนึกถึง ‘ตราศักดิ์สิทธิ์สุริยันกลายพันธุ์’ ที่อยู่หลังประตูยานิสเมืองทิงเก็น แม้ว่านั่นจะเป็นเพียงสมบัติปิดผนึกระดับ 3 แต่ถ้ามีเวลามากพอก็สามารถขจัดสิ่งมีชีวิตประเภทเน่าเปื่อยได้

ขณะเอริคเตรียมบอกว่า พวกตนก็นำสมบัติปิดผนึกที่คล้ายกันมาด้วย เพียงแต่ไม่มีโอกาสได้ใช้งาน มันเห็นมิสเตอร์เมอร์ลิน·เฮอร์มิสเปิดประตูห้อง 403 เข้าไปอีกครั้ง

ร่างทั้งหกภายในห้องอันตรธานหาย ตะกอนพลังชนิดต่างๆ เริ่มควบแน่นอย่างเชื่องช้า บรรยากาศเย็นยะเยือกและกลิ่นเหม็นรุนแรงถูกแทนที่ด้วยความอบอุ่นอ่อนโยน

“จบแล้ว?” เอริคถามด้วยความลังเล

ไคลน์ส่ายหน้าและยิ้ม

“ยัง ต้นตอของปัญหายังคงอยู่… คุณสืบข้อมูลเกี่ยวกับเจ้าของห้องมาหรือยัง”

เอริคตอบทันที

“เขาเรียกตัวเองว่าจอห์น เป็นนักดาราศาสตร์สมัครเล่น ชอบศึกษาอวกาศด้วยกล้องดูดาวแบบพิเศษในทุกคืน”

ศึกษาอวกาศ… ไคลน์เดินเข้าไปในห้องด้วยมาดเงียบขรึม ก่อนจะออกคำสั่งอย่างเป็นกันเอง

“ตรวจสอบให้ทั่วเพื่อค้นหาเบาะแส”

ด้วยเหตุผลบางประการ เอริครู้สึกว่ามิสเตอร์เมอร์ลิน·เฮอร์มิสมีบรรยากาศคล้ายกับหัวหน้าคนแรกเมื่อครั้งมันเพิ่งเข้าร่วมเหยี่ยวราตรี บุคลิกเปี่ยมไปด้วยความเป็นมืออาชีพ เยือกเย็น และน่าเชื่อถือ

มันพยักหน้าให้สมาชิกคนอื่นในทีมเป็นนัยว่าต้องทำตามคำสั่ง

ส่วนตัวมันคอยเดินตามไคลน์ ในแง่หนึ่งเพื่อให้ความช่วยเหลือ แต่อีกแง่หนึ่งก็เพื่อป้องกันอันตรายที่ไม่คาดฝัน

ไคลน์เพิกเฉยอีกฝ่าย เพียงเดินเข้าไปใกล้กล้องดูดาวที่หรูหรา จากนั้นก็โน้มตัวลงและใช้ดวงตาจ่อเลนส์

อันตราย… เอริคอยากจะเตือน แต่สุดท้ายก็ปิดปากเงียบเมื่อพิจารณาถึงระดับตัวตนของอีกฝ่าย

ขณะเดียวกัน ผ่านกล้องดูดาว ไคลน์เริ่มเห็นอวกาศอันสว่างไสว ดาวแต่ละดวงเปล่งแสงระยิบระยับ

ทันใดนั้นเอง ทัศนวิสัยของมันถูกบดบังด้วยดวงตาขนาดมหึมา

ดวงตาดังกล่าวคล้ายแนบติดกับเลนส์ตรงปลายอีกฝั่งของกล้อง พื้นหลังสีเทาอ่อน รูม่านตาสีเหลืองซีด เส้นเลือดฝอยภายในดวงตาบวมพองและเต็มไปด้วยหนองสีใสที่น่าขยะแขยง

…………………………………………..

ราชันเร้นลับ Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ

ราชันเร้นลับ Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ

       เป็นเรื่องราวการข้ามโลกของหนุ่มชาวจีนนามว่า โจวหมิงรุ่ย โลกใบที่ชายคนนี้ต้องเผชิญมีลักษณะคล้ายคลึงกับยุควิกตอเรียของยุโรป
ยุคสมัยแห่งจักรกลไอน้ำเฟื่องฟู สุภาพบุรุษขุนนางเดินขวักไขว่ด้วยสูทและเสื้อกั๊กมาดเท่
     แน่นอน เป็นโลกที่มีพลังพิเศษ ผู้วิเศษ และ สัตว์วิเศษ แต่พลังของมนุษย์บนโลกจะไม่เหมือนกับนิยายเรื่องใด ไม่มีจอมยุทธ์ ไม่มีการบังเอิญพบคำภีลับและได้ครอบครองยอดเคล็ดวิชา
ไม่ได้เกิดใหม่พร้อมกับพลังสุดโกง
ไม่เลย ไม่น่าเบื่อและจืดชืดขนาดนั้น
    ในอดีตกาล เผ่าพันธุ์มนุษย์อันต่ำต้อยมิอาจต่อสู้กับเหล่าสัตว์วิเศษในตำนานไหว
หนึ่งในหนทางครอบครอง ‘พลังพิเศษ’ ก็คือการดื่ม ‘โอสถ’
หลังจากมนุษย์ดื่มโอสถและกลายเป็น ‘ผู้วิเศษ’ พวกเขาจะข้ามขีดจำกัดเดิมตามแต่ชนิดโอสถที่ดื่ม
ผู้วิเศษในโลกแบ่งออกเป็น 9 ลำดับ โดยลำดับ 9 จะอ่อนแอที่สุด
หนทางอัพเกรดลำดับก็แสนพิลึก ไม่ใช่การพัฒนาพลังเหมือนนิยายเรื่องใด
แต่เป็นการดื่ม ‘โอสถ’ ที่ ‘ถูกต้อง’ ตามสูตรของลำดับถัดไป
พลังพิเศษไม่สามารถข้ามสายได้ โอสถแต่ละชนิดจะมีสูตรการปรุงที่แตกต่าง
แถมการฝึกฝนพลังของผู้วิเศษก็ยังพิสดารเหนือคำบรรยาย
    เรื่องราวจะยิ่งเข้มข้นขึ้นเมื่อตัวเอกเริ่มทราบว่า อดีตมหาจักรพรรดิของโลกเมื่อร้อยปีก่อนเป็น ‘ผู้เดินทางข้ามโลก’ เหมือนกับเขา แถมยัง… เหลือทิ้งไดอารี่สุดสำคัญไว้ให้ชนรุ่นหลัง แต่ไดอารีถูกเขียนด้วยภาษาจีนที่ไม่มีใครอ่านออกแม้แต่คนเดียว… ยกเว้นโจวหมิงรุ่ย

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท