ราชันเร้นลับ Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ – ราชันเร้นลับ 1359 : เช้าตรู่

ราชันเร้นลับ 1359 : เช้าตรู่

ขณะไคลน์มองตรงไปข้างหน้า เปลวไฟสีแดงเข้มลุกท่วมร่างและกลืนกินชายหนุ่ม

เมื่อเปลวไฟกระจัดกระจาย ร่างของไคลน์ก็หายไปจากวิหารนักบุญแซมมวล

ภายในห้องว่างของโรงแรมธรรมดาแห่งหนึ่ง ไคลน์ก้าวออกจากเปลวไฟที่ลุกไหม้กลางอากาศ ลงมือประกอบพิธีกรรมสังเวยและรับมอบ

ผ่านไปสักพัก บานประตูมายาที่เกิดจากแสงเทียนพลันเปิดกว้าง เครื่องประดับโบราณบินออกจากความมืดมิดไร้ก้นบึ้ง ตกลงบนแท่นบูชา

เครื่องประดับชิ้นดังกล่าวดูคล้ายกับทำจากทองคำ ลักษณะภายนอกเหมือนกับนกรูปร่างผอมเพรียว รายล้อมด้วยปีกเปลวไฟสีซีด ดวงตาสีทองแดงอัดแน่นด้วยแสงสว่างหลายชั้น คล้ายกับด้านในมีประตูมายาซ่อนอยู่

ไคลน์กล่าวขอบคุณเทพธิดารัตติกาลด้วยความจริงใจ สิ้นสุดพิธีกรรม จากนั้นก็หยิบเครื่องประดับทองคำรูปนกขึ้นมา

ดูเหมือนจะเป็นรูปลักษณ์ของเกรจารี ต้นตระกูลฟีนิกซ์ในตำนาน…

นอกเหนือจากเส้นทางของพระองค์ เทพมรณาตนนี้น่าจะมีอำนาจในขอบเขตเส้นทางผู้ฝึกหัดด้วย เป็นข้อมูลที่ยืนยันได้จากซากปรักหักพังของเมืองหนึ่งในดินแดนเทพทอดทิ้งซึ่งนับถือฟีนิกซ์…

เข้าใจแล้วว่าทำไมเทพบรรพกาลส่วนใหญ่ยากที่จะควบคุมอารมณ์ และใกล้บ้าคลั่งกันทุกคน ไม่สิ พวกท่านคงสลับไปมาระหว่างภาวะบ้าคลั่งโดยสมบูรณ์กับการมีเหตุมีผล… ก่อนศิลาเย้ยเทพแผ่นที่หนึ่งจะปรากฏ เหล่าสัตว์วิเศษทั้งหมดล้วนปราศจากแนวคิดเกี่ยวกับเส้นทางผู้วิเศษ มีเพียงสัญชาตญาณการรวมตัว ขยายพันธุ์ และทดลองแบบส่งเดช… ไคลน์ถอนหายใจขณะตรวจสอบเครื่องประดับทองคำรูปนก

ในฐานะเจ้าของปราสาทต้นกำเนิด ชายหนุ่มสามารถสัมผัสถึงความเชื่อมโยงระหว่างเครื่องประดับชิ้นนี้กับแม่น้ำอันธการนิรันดร์

นี่คือเหตุผลที่มันสามารถบรรจุน้ำจากแม่น้ำอันธการนิรันดร์? แต่บางที น้ำจากแม่น้ำอันธการนิรันดร์ อาจไม่ใช่น้ำจริงๆ แต่เป็นสัญลักษณ์ในเชิงนามธรรม… ไคลน์ไตร่ตรองกับตัวเอง ก่อนจะโยนเครื่องประดับทองคำรูปนกเข้าไปในปราสาทต้นกำเนิด และผนึกมันไว้ในกองขยะเพื่อป้องกันเหตุไม่คาดฝัน

บนยอดเขานอกเมืองบายัม

วิญญาณมารเทวทูตสีชาดยืนมองชายฝั่งค่อยๆ ส่องสว่าง ดวงอาทิตย์สีส้มกลมดิกบรรจงยกตัวขึ้นจากเส้นขอบฟ้า

ผ่านไปสักระยะ ชายหนุ่มซึ่งแต่งกายด้วยชุดคลุมสีดำทรงโบราณและหมวกปลายแหลม ปรากฏตัวขึ้นด้านข้าง

ชายคนดังกล่าวเล่นแว่นตาผลึกสักพักก่อนจะสวมไว้ที่ตาขวา ไม่ใช่ใครนอกจากอามุนด์ ชายผู้กลายเป็นมิสเตอร์ข้อผิดพลาด

เซารอน·ไอน์ฮอร์น·เมดีซีเหล่ไปมองอามุนด์และกล่าว

“ดูเหมือนว่า สิ่งที่เจ้าใช้เป็นเครื่องสังเวยคือร่างต้นจริงๆ”

“ถ้าไม่ใช่ร่างต้น ข้าจะขโมยพิธีกรรมและแทนที่เบเทลได้อย่างไร?” อามุนด์ตอบด้วยรอยยิ้ม “ในฐานะนักวางแผน เจ้าน่าจะมองออกแต่แรก”

วิญญาณมารเทวทูตสีชาดพ่นลมหายใจ

“ข้าจะมั่นใจได้อย่างไรว่าเจ้าไม่ได้ใช้เล่ห์เหลี่ยมกับข้า? บางที เจ้าอาจอ่านการคาดเดาของข้าออกก็ได้?”

อามุนด์ยิ้ม ไม่ได้ตอบกลับตรงๆ เพียงหยิบมงกุฎประหลาดซึ่งปกคลุมไปด้วยสนิมและเลือดออกมา

“นี่เป็นรางวัล” มันโยนวัตถุดังกล่าวให้เซารอน·ไอน์ฮอร์น·เมดีซี

หลังจากวิญญาณมารเทวทูตสีชาดรับมงกุฎประหลาดไปถือ มันแสดงท่าทีตกตะลึง

“น่าทึ่งมากที่เจ้าไม่ผิดสัญญา”

“การทำในสิ่งตรงข้ามกับความคาดหวังของผู้คน ถือเป็นการหลอกลวงรูปแบบหนึ่ง” อามุนด์ขยับแว่นตาข้างขวาและกล่าวพลางยิ้ม “ข้าเฝ้ารอวันที่เจ้ากลายเป็นนักบวชสีชาดและกลืนกิน ‘แม่มด’ นั่น เมื่อเวลานั้นมาถึง ข้าอยากเห็นรูปลักษณ์ใหม่”

กล่าวจบ อามุนด์เผยรอยยิ้มบิดเบี้ยวซึ่งเจือความขบขันโดยไม่ปกปิด

เซารอน·ไอน์ฮอร์น·เมดีซีเงียบไปสักพักก่อนจะพูด

“ข้าไม่คิดว่ามันจะต่างจากปัจจุบันสักเท่าไร”

ปากเปื้อนเลือดถูกเปิดขึ้นบนแก้มทั้งสองข้าง แต่ก็ปิดกลับไปอย่างรวดเร็ว

อามุนด์ขยับกรอบแว่นตาข้างขวา มองไปยังอีกฟากของทะเลพลางกล่าว

“สถานการณ์ฝั่งทวีปตะวันตกช่างน่าสนใจ”

ยังไม่ทันสิ้นเสียง ร่างของมิสเตอร์ข้อผิดพลาด อดีตเทวทูตกาลเวลา ส่องสว่างก่อนจะเลือนหายไป

วิญญาณมารเทวทูตสีชาดมองไปยังทิศทางเดียวกับอามุนด์ พลางโยนมงกุฎประหลาดในมือเล่น

บนแก้มทั้งสองข้าง ปากเปื้อนเลือดปรากฏขึ้นอีกครั้ง แต่ละข้างต่างกล่าวออกมา:

“หลังจากดูดซับตะกอนพลังก้อนนี้เสร็จ เจ้าควรออกห่างจากแบนชี”

“หากเจ้าต้องการให้หน้าอกพองออกและร่างกายบวม จะอยู่ต่อก็ไม่ว่าอะไร”

เมดีซียกมุมปาก

“นี่เป็นสิ่งที่พวกเจ้าต้องการไม่ใช่หรือ?”

ขณะหันหน้าเข้าหาแท่นบูชาซึ่งเต็มไปด้วยวัสดุและวัตถุวิเศษ ไคลน์ยกมือขวาขึ้นพร้อมกับดีดนิ้ว

โต๊ะรกเบื้องหน้ากลายเป็นว่างเปล่าและสะอาดสะอ้านทันที สิ่งของทั้งหมดถูกส่งกลับไปยังตำแหน่งเดิมของพวกมัน

นี่คือปาฏิหาริย์ที่เกิดจากการสั่งสมความปรารถนาของไคลน์

เมื่อเทียบกับผู้ชี้นำปาฏิหาริย์และบริวารเร้นลับคนอื่น ปาฏิหาริย์ของเรามีความหลากหลายและใช้งานได้สะดวกกว่ามาก มีทั้งการสร้างบ้าน ตกแต่งภายใน คัดแยกขยะ อนุรักษ์สิ่งแวดล้อม และอื่นๆ … ไคลน์จ้องมองแท่นบูชาที่เก็บกวาดเรียบร้อยพลางขำกับตัวเอง

จากนั้น มันเปิดประตูห้องพักโรงแรมและเดินออกไปที่ถนน

มันต้องการเสริมสร้างความเป็นคนและรักษาเสถียรภาพของจิตใจ ด้วยการกลับสู่โลกความเป็นจริงและดำรงชีวิตในสังคมมนุษย์ ปัญหาในปัจจุบันของชายหนุ่มค่อนข้างรุนแรง หากให้มิสจัสติสลงมือรักษาทันทีโดยไม่กำราบเจตจำนงของราชันสวรรค์ฟ้าดินเสียก่อน เกรงว่าจิตแพทย์ส่วนตัวของตนอาจได้รับอาการทางจิตไปด้วย แต่แน่นอน หากมิสจัสติสเลื่อนเป็นลำดับ 2 ผลกระทบก็จะไม่ร้ายแรงสักเท่าไร

ปัจจุบัน เบ็คลันด์ถูกบูรณะกลับมาใหม่ จำนวนคนเดินถนนกลับมาใกล้เคียงจุดสูงสุดอีกครั้ง ทันทีที่ไคลน์เปิดประตูโรงแรมออกไป เสียงมากมายดังเข้ามาในโสตประสาททันที

“เดี๋ยว! รอก่อน!”

“ปลาทะเลสดจากท่าเรือพริสต์ เนื้อเยอะก้างน้อย เหมาะแก่การทอดในกระทะ!”

“เบียร์ขิงสูตรพิเศษเสริมพร้อมมัฟฟินกับมันฝรั่งทอด!”

“ซุปหอยนางรมสดร้อนๆ!”

“ผักสดที่สุดเท่าที่เคยมี!”

เสียงส่วนใหญ่ดังมาจากพ่อค้าแม่ค้าหาบเร่บนถนน บางส่วนดังมาจากผู้โดยสารที่พยายามวิ่งตามรถม้าสาธารณะจนชนเข้ากับคนเดินถนน ช่วงเวลาแห่งความวุ่นวายยามเช้าตรู่ถูกปกคลุมไปด้วยเสียงเอะอะและภาพความโกลาหล

หลังจากได้ยินเสียงตะโกนที่ทั้งคุ้นและไม่คุ้นเคย ไคลน์จ้องมองฉากตรงหน้าอย่างเงียบงัน ไม่มีการขยับตัวหลายนาที

จนกระทั่งสังเกตเห็นหัวขโมยรายหนึ่งย่างกรายเข้าใกล้ ชายหนุ่มรีบสอดมือล้วงกระเป๋าเสื้อขนสัตว์สีดำ เดินเข้าไปในร้านกาแฟที่ใกล้ที่สุด

“กาแฟคุณภาพดีหนึ่งแก้ว สตูเนื้อแกะกับถั่วลันเตา ขนมปังข้าวโอ๊ตหนึ่งก้อน” ไคลน์กล่าวกับเจ้าของร้านกาแฟราคาถูก

“ทั้งหมดสิบเอ็ดเพนนี” เจ้าของร้านตอบหลังจากคิดเลขในใจ

ตามด้วยเสริม

“ข้าวของราคาขึ้นทุกอย่าง”

ไคลน์ไม่กล่าวคำใด หยิบธนบัตรหนึ่งซูลจากกองขยะบนปราสาทต้นกำเนิด ยื่นให้เจ้าของร้าน

มันเลือกนั่งโต๊ะริมหน้าต่างซึ่งค่อนข้างสะอาด ดึงทิชชูสองสามแผ่นออกมารอง

ถัดมา ไคลน์กางกระดาษจดหมาย หยิบปากกาหมึกซึมสีแดงเข้มออกมาถือ

หลังจากดื่มด่ำทิวทัศน์ถนนยามเช้าและคนเดินถนนสักพัก ในที่สุดชายหนุ่มก็ลงมือเขียน:

“ถึงมิสเตอร์อะซิก”

“สาเหตุที่ผมไม่ได้เขียนจดหมายถึงคุณเมื่อหนึ่งเดือนก่อน เป็นเพราะผมต้องนอนนิ่งๆ สักระยะ ไม่ต้องกังวล ผมไม่ได้บาดเจ็บตรงไหน แต่เป็นเงื่อนไขของพิธีกรรม…”

“เมื่อตื่นขึ้นและกลับเข้าสังคมมนุษย์อีกครั้ง ผมมีโอกาสได้เดินไปตามท้องถนน และหวนนึกถึงช่วงชีวิตเมื่อครั้งทิงเก็นขึ้นมา”

“ในตอนนั้น ยามเช้ามักเอะอะวุ่นวายเสมอ ผู้คนจำนวนมากเร่งรีบออกจากบ้านเพื่อไปต่อแถวตามโรงงานหรือบริษัทต่างๆ พ่อค้าแม่ค้าหาบเร่มารวมกันบนถนนเพื่อขายผัก อาหารปรุงสุก และผลไม้ซึ่งน่ากังขาในคุณภาพ เนื่องจากมีราคาต่ำจนน่าตกใจ”

“ผมมักจะคอยระวังกระเป๋าสตางค์ของตัวเอง แทรกตัวไปตามฝูงชนจนกระทั่งถึงป้าย รอเดินทางด้วยรถม้าสาธารณะพร้อมกับผู้คน”

“ผมทำงานที่บริษัทหนามทมิฬ อาคารหมายเลข 36 ถนนซุตแลนด์ มีเพื่อนร่วมงานที่ยอดเยี่ยม:”

“ดันน์·สมิทเป็นหัวหน้าและผู้นำของที่นี่ เขาเปี่ยมไปด้วยประสบการณ์ ใจดี และมีความรับผิดชอบสูง นิสัยอ่อนโยน ทำงานเก่ง และรักสมาชิกในทีมทุกคนมาก ข้อเสียเพียงอย่างเดียวก็คือ ความจำของเขาค่อนข้างแย่ หากไม่ใช่เรื่องสำคัญ แค่หันหลังกลับก็คงจะลืมแล้ว คำพูดติดปากของเขาก็คือ ‘เดี๋ยวก่อน ยังมีอีกเรื่อง’ แต่แน่นอน อาการความจำสั้นของเขามีสาเหตุ: เขาสูญเสียพวกพ้องมากเกินไป จึงหวังให้ทุกคนยังคงดำรงอยู่ภายในความฝัน ดังนั้น เขามักหลงลืมว่าส่วนใดเป็นความจริง และส่วนใดเป็นความฝัน”

“ลุงนีลล์เป็นครูศาสตร์เร้นลับคนแรกของผม ทักษะที่มีประโยชน์ที่สุดที่เขาสอนผมก็คือ ‘การเบิกงบ’ ลุงนีลล์มักจะคิดค้นพิธีกรรมเวทมนตร์สุดประหลาดเพื่อขอความช่วยเหลือจากเทพธิดาเสมอ บ้างสำเร็จ แต่บ้างเกิดอุบัติเหตุอันน่าขบขัน จนถึงวันนี้ ผมยังจดจำพวกมันได้ทั้งหมด เขาเป็นคนจิตใจดี ไม่คิดทำร้ายใครแม้ในยามไล่ล่าความฝันสูงสุดของชีวิต”

“เลียวนาร์ดเป็นนักกวีผู้มาพร้อมความลับ ตอนแรกผมคิดว่าเขาเป็นคนลึกลับ เป็นยอดฝีมือที่ต้องคอยเฝ้าจับตามอง แต่ในภายหลัง พบได้ทราบว่าหมอนั่นเป็นแค่ชายหนุ่มมักง่าย ไม่ละเอียด ใจร้อน หัวรั้น เป็นกันเอง และเอาสบายเข้าว่า แถมยังไม่มีพรสวรรค์ด้านกวีเลยสักนิด ทำได้แค่ท่องจำอย่างหนักเพื่อให้สวมบทบาทอย่างมีประสิทธิภาพ แต่เขาก็มีข้อดีอยู่บ้าง เป็นคนค่อนข้างกล้าหาญ สัญชาตญาณเฉียบแหลม และอนุมานเก่งในบางเรื่อง แต่ก็แค่บางเรื่องจริงๆ”

“ฟรายเป็นผู้วิเศษที่ดูเย็นชาจนคนอื่นไม่กล้าเข้าใกล้ แต่อันที่จริง เขามีความรับผิดชอบสูง กระตือรือร้น และมักยื่นมือเข้าหาคนที่ต้องการความช่วยเหลือเสมอ”

“โคเฮนรี่เป็นชายร่างเล็ก ตอนแรกอยู่ฝ่ายพลเรือน แต่ตอนหลังรวบรวมความกล้าสมัครเข้าทีมหลัก เขาฉลาดมาก ไม่เคยปฏิเสธคดี และทุกครั้งที่เล่นไพ่จะเล่าเรื่องคู่หมั้นให้ฟังเสมอ”

“โรแซนอยู่แผนกต้อนรับของบริษัทรักษาความปลอดภัยหนามทมิฬ เธอสดใสร่าเริง ขี้เล่นเล็กน้อย เป็นที่รักของทุกคน สำหรับพวกเรา เธอเปรียบดังน้องสาวคนเล็ก เธอรักพวกเราทุกคน แต่ขณะเดียวกันก็เกลียดทุกคนเช่นกัน เพราะพ่อของเธอเคยเป็นผู้วิเศษที่สละชีพอย่างกล้าหาญขณะออกปฏิบัติหน้าที่ บางที ภายในใจของเธอ สมาชิกทีมหลักคงเปรียบดังคนไข้ซึ่งถูกวินิจฉัยว่าเป็นโรคร้าย”

“มาดามโอเรียนน่าเป็นนักบัญชี เคยตกเป็นเหยื่อในคดีเหนือธรรมชาติ เป็นคนละเอียดและอ่อนโยน แสดงหาชีวิตที่ดี เธอเป็นคนไม่พูดมาก แต่จะคอยดูแลทุกคนเสมอ และไม่เคยเรื่องมากเกี่ยวกับการเงิน ยกตัวอย่างเช่น เธอแทบไม่เคยปฏิเสธคำร้องขอเบิกเงินสุดเหลวไหลของลุงนีลล์ ไม่ว่าเหตุผลที่เขียนมาจะไร้สาเหตุเพียงใดก็ตาม มาดามโอเรียนน่าจะโยนทั้งหมดให้หัวหน้าตัดสินใจเสมอ”

“มาดามซิก้า·ทีรอน เจ้าของผมสีขาวตามธรรมชาติสุดหายาก และยังเป็นนักเขียนที่ไม่ประสบความสำเร็จสักเท่าไร เป็นคนที่มีบุคลิกน่าหลงใหล นิสัยเงียบขรึม ดูไม่เหมือนผู้วิเศษที่ต่อสู้ในความมืดสักเท่าไร นอกจากนั้นยังกล้าหาญและเด็ดเดี่ยว ขณะกำลังทำภารกิจเสี่ยงตาย เธอไม่แม้แต่จะสั่นกลัว”

“มาดามรอยัลเป็นคนที่คล้ายกับฟรายมาก ทั้งคู่ต่างพูดน้อย แต่เอาใส่ใจเพื่อนร่วมงานเสมอ ใช่แล้ว ยกเว้นเวลาเล่นไพ่”

“ไบร์ทเป็นอัจฉริยะด้านการเขียนรายงาน เป็นสุภาพบุรุษสุดโรแมนติก รักภรรยามากแม้จะแต่งงานกันมาแล้วสิบห้าปี ผมคิดว่าเขามีชีวิตที่ดีเพราะคติประจำใจของเขาคือ ยิ่งรู้น้อย ยิ่งอายุยืน”

“ซีซาร์·ฟรานซิสเป็นคนขับรถม้าของพวกเรา แม้จะอยู่ฝ่ายพลเรือน แต่เขากลับต้องเผชิญอันตรายบ่อยครั้ง หัวหน้ามักมอบหมายให้เขาเป็นคนออกไปซื้อวัตถุดิบและข้าวของเครื่องใช้ให้ทีม เขาเก่งในการทำตัวไม่เป็นจุดสนใจ บางที นั่นอาจเป็นสาเหตุที่เขาอายุยืน”

“มีหลายครั้งที่ผมคิดว่า หากเหตุการณ์ดังกล่าวไม่เกิดขึ้นในภายหลัง ปัจจุบันผมคงยังทำงานอยู่ที่ทิงเก็น เข้างานตรงเวลาทุกวัน ผลัดกันเข้าเวรใต้ดิน บ้างก็ออกไปทำคดีข้างนอก บ้างก็กลับมาเล่นไพ่กับเพื่อน หาโอกาสพาเบ็นสันกับเมลิสซ่าไปดูละครสัตว์เป็นครั้งคราว หากวันไหนกลับบ้านเร็วกว่าปรกติ ผมจะศึกษาเกี่ยวกับการทำอาหาร นั่นเป็นงานอดิเรกที่ผมถนัดมาก เมื่อถึงวันหยุดสุดสัปดาห์ ผมจะแวะไปเยี่ยมคุณและสนทนาเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ในแง่มุมต่างๆ …”

“น่าเสียดายที่ชีวิตมักผลักเราไปข้างหน้าเสมอ ต้องเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงซ้ำแล้วซ้ำเล่า”

ราชันเร้นลับ Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ

ราชันเร้นลับ Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ

       เป็นเรื่องราวการข้ามโลกของหนุ่มชาวจีนนามว่า โจวหมิงรุ่ย โลกใบที่ชายคนนี้ต้องเผชิญมีลักษณะคล้ายคลึงกับยุควิกตอเรียของยุโรป
ยุคสมัยแห่งจักรกลไอน้ำเฟื่องฟู สุภาพบุรุษขุนนางเดินขวักไขว่ด้วยสูทและเสื้อกั๊กมาดเท่
     แน่นอน เป็นโลกที่มีพลังพิเศษ ผู้วิเศษ และ สัตว์วิเศษ แต่พลังของมนุษย์บนโลกจะไม่เหมือนกับนิยายเรื่องใด ไม่มีจอมยุทธ์ ไม่มีการบังเอิญพบคำภีลับและได้ครอบครองยอดเคล็ดวิชา
ไม่ได้เกิดใหม่พร้อมกับพลังสุดโกง
ไม่เลย ไม่น่าเบื่อและจืดชืดขนาดนั้น
    ในอดีตกาล เผ่าพันธุ์มนุษย์อันต่ำต้อยมิอาจต่อสู้กับเหล่าสัตว์วิเศษในตำนานไหว
หนึ่งในหนทางครอบครอง ‘พลังพิเศษ’ ก็คือการดื่ม ‘โอสถ’
หลังจากมนุษย์ดื่มโอสถและกลายเป็น ‘ผู้วิเศษ’ พวกเขาจะข้ามขีดจำกัดเดิมตามแต่ชนิดโอสถที่ดื่ม
ผู้วิเศษในโลกแบ่งออกเป็น 9 ลำดับ โดยลำดับ 9 จะอ่อนแอที่สุด
หนทางอัพเกรดลำดับก็แสนพิลึก ไม่ใช่การพัฒนาพลังเหมือนนิยายเรื่องใด
แต่เป็นการดื่ม ‘โอสถ’ ที่ ‘ถูกต้อง’ ตามสูตรของลำดับถัดไป
พลังพิเศษไม่สามารถข้ามสายได้ โอสถแต่ละชนิดจะมีสูตรการปรุงที่แตกต่าง
แถมการฝึกฝนพลังของผู้วิเศษก็ยังพิสดารเหนือคำบรรยาย
    เรื่องราวจะยิ่งเข้มข้นขึ้นเมื่อตัวเอกเริ่มทราบว่า อดีตมหาจักรพรรดิของโลกเมื่อร้อยปีก่อนเป็น ‘ผู้เดินทางข้ามโลก’ เหมือนกับเขา แถมยัง… เหลือทิ้งไดอารี่สุดสำคัญไว้ให้ชนรุ่นหลัง แต่ไดอารีถูกเขียนด้วยภาษาจีนที่ไม่มีใครอ่านออกแม้แต่คนเดียว… ยกเว้นโจวหมิงรุ่ย

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท