ภาพฉายเทพธิดารัตติกาลกล่าวอย่างใจเย็น
“สำหรับท่านหรือพวกท่าน เราไม่มีทางเอาชนะหรือหยุดยั้ง ทำได้เพียงต่อต้านและกำราบ”
บางที เมื่อถึงจุดหนึ่ง ความประมาทหรือเหม่อลอยแม้เพียงเล็กน้อย ก็อาจทำให้พวกเรากลายเป็น ‘ท่าน’ โดยไม่รู้ตัว… บนเส้นทางผู้วิเศษ อันตรายมักตามติดเราในทุกลมหายใจ ไม่รู้ว่าจะถูกดึงเข้าสู่ก้นเหวตอนไหน… ไคลน์เสริมคำพูดของเทพธิดารัตติกาลในใจ
มันไตร่ตรองสักพัก ก่อนจะถาม
“ในตอนที่ผมถือกำเนิด คุณทำอะไรบางอย่างใช่ไหม?”
ภาพฉายของเทพธิดารัตติกาลซึ่งดูคล้ายผสานเข้ากับสภาพแวดล้อม พยักหน้ารับเล็กน้อย:
“ฉันใช้เอกลักษณ์ของอันทีโกนัสสร้างอิทธิพลทางอ้อมกับปราสาทต้นกำเนิด เพื่อ ‘แผลง’ ตำแหน่งของตะกอนพลังที่ถือกำเนิดมาพร้อมคุณ เข้ากับดินแดนเทพทอดทิ้ง”
อย่างที่คิด… ไคลน์ถอนหายใจเงียบ ตามด้วยขมวดคิ้วถาม
“เอกลักษณ์ของอันทีโกนัสสามารถส่งอิทธิพลทางอ้อมกับปราสาทต้นกำเนิด?”
เสียงที่ภาพฉายเทพธิดารัตติกาลเปล่งออกมา ฟังดูชวนฝันเหนือพรรณนา
“เขาคลุ้มคลั่งและเสียสติไปแล้ว… กล่าวคือ จิตใต้สำนึกของเขามิอาจระงับเจตจำนงของราชันเร้นลับไว้ได้ จิตของคนทั้งสองจึงถูกเย็บเข้าด้วยกัน หลงเหลือเพียงสัญชาตญาณดิบ ความกระหายเลือด และความบ้าคลั่ง… เนื่องจากราชันเร้นลับคืออดีตเจ้าของปราสาทต้นกำเนิด อันทีโกนัสในปัจจุบันจึงสามารถสร้างอิทธิพลทางอ้อมผ่านตัวตนดังกล่าวได้โดยธรรมชาติ”
เข้าใจแล้วว่าทำไมเทพธิดารัตติกาลถึงมีข้อมูลของปราสาทต้นกำเนิดมากกว่าโรซายล์ ในแง่หนึ่ง พระองค์เกิดจากปราสาทต้นกำเนิด และในอีกแง่หนึ่ง พระองค์ทรงคุมขังอันทีโกนัสที่เสียสติและคลุ้มคลั่ง… ไคลน์ซึ่งเริ่มกระจ่าง ยิงคำถามต่อ
“ทำไมในกรณีของคุณกับโรซายล์ถึงไม่มีตะกอนพลังถือกำเนิดขึ้นมาพร้อมกัน?”
เพราะหากเป็นเช่นนั้น ทั้งโรซายล์และเทพธิดารัตติกาลย่อมต้องเลือกเส้นทางนักทำนาย ผู้ฝึกหัด หรือไม่ก็นักจารกรรมแน่นอน
ภาพฉายเทพธิดารัตติกาลกล่าวเสียงเรียบ
“นั่นคือเหตุผลที่ฉันกล่าวว่า ราชันเร้นลับสูญเสียพลังไปมากมาย จนมิอาจควบคุมหลายปัจจัยให้เป็นไปตามความต้องการ… หลังจากเผชิญความล้มเหลวสองครั้งติดต่อ ดูเหมือนว่าปราสาทต้นกำเนิดจะเกิดการเปลี่ยนแปลงบางอย่าง… นี่ถือเป็นโชคดีสำหรับคุณ เพราะยิ่งเข้าใกล้วันสิ้นโลก เจตจำนงที่หลงเหลือของราชันเร้นลับก็ยิ่งเจือจางลง จนกระทั่งเหลือเพียงตราประทับทางจิตที่พยายามลืมตาตื่น… หากคุณถือกำเนิดในยุคสมัยที่สี่ คุณจะกลายเป็น ‘พระองค์’ ทันทีที่เลื่อนเป็นบริวารเร้นลับ”
นั่นเพราะไคลน์เลื่อนเป็นลำดับ 1 ด้วยตะกอนพลังของ ‘ม่าน’ ซึ่งราชันสวรรค์ฟ้าดินเป็นเหลือทิ้งไว้โดยตรง แต่ในทางกลับกัน ตะกอนพลังในร่างของเทวทูตอย่างอันทีโกนัสและซาราธ เคยผ่านกระบวนการทำให้จิตใต้สำนึกเจือจางลงเป็นจำนวนนับไม่ถ้วน ไม่ว่าจะด้วยฝีมือผู้วิเศษหรือสัตว์วิเศษ
ไคลน์สัมผัสได้อย่างเลือนรางว่า เทพธิดารัตติกาลมีข้อสันนิษฐานเกี่ยวกับความตายของราชันสวรรค์ฟ้าดินประทานโชค แต่พระองค์จงใจไม่พูดออกมา ส่งผลให้ไคลน์ตัดสินใจไม่ถาม เปลี่ยนไปสนทนาในหัวข้ออื่นแทน:
“อันทีโกนัสปรองดองกับเอกลักษณ์ของเดอะฟูลด้วยวิธีใด”
ภาพฉายในความฝันของเทพธิดารัตติกาลไม่ปิดบัง เธอเปล่งเสียงแผ่ว
“ขอความช่วยเหลือจากอาดัมและอามุนด์… ในสมัยนั้น พวกเขาคอยสนับสนุนอลิสต้า·ทูดอร์เหมือนกัน”
“ใช้พลังของม้าไม้ชะตากรรม?” ไคลน์โพล่งเข้าประเด็นหลังจากนำคำใบ้ของวิล·อัสตินมาคิดประกอบ
ภาพฉายของเทพธิดารัตติกาลซึ่งเปรียบดังผืนนภายามราตรีเดินได้ ส่งเสียงคล้ายกับกำลังปลอบประโลมสภาพแวดล้อม:
“พวกเขาจับตัวครึ่งเทพจากจักรวรรดิโซโลมอนมาหนึ่งคน ให้อาดัมสะกดจิตในเชิงลึก ปลูกฝังความทรงจำบางอย่าง ทำให้อีกฝ่ายเชื่อโดยสนิทใจว่าตนคืออันทีโกนัส… จากนั้น อามุนด์ทำการขโมยตัวตนและชะตากรรมของอันทีโกนัสไป โดยที่อันทีโกนัสใช้อำนาจการ ‘แผลง’ เพื่อผสานตัวตนและชะตากรรมในมืออามุนด์เข้ากับ ‘เหยื่อ’ … หลังจากครึ่งเทพแห่งจักรวรรดิโซโลมอนดำรงอยู่ในสภาวะอันทีโกนัสไปได้สักพัก ชายคนนั้นก็เกิดความปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะปรองดองกับเอกลักษณ์ของเดอะฟูล… ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเขาคลุ้มคลั่ง และในวินาทีนั้นเอง อันทีโกนัสตัวจริงได้ยกเลิกการ ‘แผลง’ ส่งผลให้ตัวตนกับชะตากรรมของอันทีโกนัสกลับมาอยู่ในมืออามุนด์ จากนั้นอามุนด์ได้ยุติการขโมย เป็นการส่งคืนตัวตนและชะตากรรมกลับสู่เจ้าของเดิม”
ตั้งใจฟังสักพัก ไคลน์เสริมด้วยสีหน้าครุ่นคิด
“ด้วยวิธีดังกล่าว ผลลัพธ์จึงเทียบเท่า ‘อันทีโกนัสปรองดองกับตะกอนพลังล้มเหลวจนคลุ้มคลั่ง’ และ ‘อันทีโกนัสยังคงสบายดี’ เกิดเป็นการดำรงอยู่ของสองชะตากรรมที่ขัดแย้งกันบนโลกความจริง จึงนับว่าชะตากรรม ‘ถูกปั่นหัว’ ในระดับหนึ่ง…”
ยังไม่ทันสิ้นเสียง ไคลน์สังเกตเห็นอันตราย จึงถามด้วยความสงสัย
“วิธีนี้จะไม่เป็นปัญหาจริงหรือ?”
“เสี่ยงมาก” ภาพฉายความฝันของเทพธิดารัตติกาลตอบอย่างใจเย็น “การแบกรับชะตากรรมไม่ใช่เรื่องง่าย หากดึงชะตากรรมกลับคืนร่างต้นไม่ประจวบเหมาะกับจังหวะที่อีกฝ่ายใกล้คลุ้มคลั่งพอดิบพอดี ผลลัพธ์จะออกมาล้มเหลว: หากดึงกลับเร็วเกินไป พิธีกรรมจะไม่สัมฤทธิผล; หากดึงกลับช้าเกินไป อันทีโกนัสต้องแบกรับชะตากรรมคลุ้มคลั่งและตกอยู่ในสภาพเดียวกับเหยื่อ”
ถูกเผง การแบกรับชะตากรรมแทน ต้องเผชิญความเสี่ยงที่จะแถมมากับชะตากรรม… ไม่อย่างนั้น อามุนด์คงขโมยชะตากรรมของเราไปนานแล้ว กลายเป็นเจ้าของปราสาทต้นกำเนิดคนใหม่… ไคลน์พึมพำเงียบ เริ่มวิเคราะห์พิธีกรรมของอันทีโกนัสเพื่อหาส่วนที่เลียนแบบได้
ภายใต้สมมติฐานที่ว่า การประกอบพิธีกรรมตามปรกตินั้นยากจะทำให้สำเร็จ อีกทั้งเวลาก็ยังกระชั้นชิดเข้ามา ดูเหมือนว่าการ ‘ประกอบพิธีกรรมทางลัด’ เพื่อปรองดองกับเอกลักษณ์ของเดอะฟูล จะเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดแล้ว
หากได้เป็นฮาล์ฟฟูล ประสิทธิภาพในการควบคุมปราสาทต้นกำเนิดของเราจะเพิ่มขึ้น ระดับตัวตนและความแข็งแกร่งจะทัดเทียมเทพแท้จริงเป็นอย่างน้อย และด้วยสถานะดังกล่าว ต่อให้ไม่มีโอกาสชนะเทพสองเส้นทางอย่างอามุนด์ แต่ก็คงพอจะปกป้องตัวเองและอดทนรอให้ความช่วยเหลือมาถึง… ไคลน์ร่างแผนประกอบพิธีกรรมเบื้องต้น ขณะเดียวกันก็คำนึงถึงจุดแข็งที่ตนจะได้รับหากพิธีประสบความสำเร็จ
ชายหนุ่มเตรียมจะขอให้เทพธิดารัตติกาลช่วยกำราบบรรพชนตระกูลอันทีโกนัส จากนั้นก็ใช้พลังของปราสาทต้นกำเนิดขโมยตัวตน ชะตากรรม และจิตใต้สำนึกของอีกฝ่าย
ด้วยวิธีดังกล่าว ภายในร่างไคลน์จะประกอบไปด้วย: จิตใต้สำนึกของไคลน์เอง เจตจำนงของราชันสวรรค์ฟ้าดิน จิตใต้สำนึกของบรรพชนอันทีโกนัส และหลักยึดเหนี่ยวจากชาวเมืองเงินพิสุทธิ์ใหม่ จันทราใหม่ และหมู่เกาะรอสต์ กล่าวคือ ไคลน์จะกลายเป็นอันทีโกนัสในระดับหนึ่ง ซึ่งต้องแบกรับชะตากรรมที่ต้องเสียสติและคลุ้มคลั่ง
สาเหตุที่อันทีโกนัสเสียสติ เป็นเพราะจิตใต้สำนึกของมันมิอาจกำราบเจตจำนงของราชันสวรรค์ฟ้าดินไว้ได้ ส่งผลให้จิตของทั้งสองถูกเย็บติดกันเป็นหนึ่งเดียว ดังนั้น เมื่อจิตใต้สำนึกของอันทีโกนัสถูกย้ายเข้ามาในร่างไคลน์ ไม่ต้องสงสัยเลยว่า เหตุการณ์ในอดีตจะเกิดขึ้นซ้ำรอยอีกครั้ง เนื่องจากเจตจำนงของราชันสวรรค์ฟ้าดินในร่างไคลน์ก็แข็งแกร่งไม่ต่างจากในร่างอีกฝ่าย
กล่าวคือ ไคลน์มิอาจเลี่ยงชะตากรรมที่ต้องเสียสติและคลุ้มคลั่ง แต่อย่างน้อยก็มั่นใจได้ว่า จะไม่มีผลข้างเคียงด้านอื่นนอกเหนือจากนี้ และภายใต้สภาวะดังกล่าว จิตใต้สำนึกของไคลน์ซึ่งมีหลักยึดเหนี่ยวมากกว่าอันทีโกนัส ย่อมกลายเป็นจิตหลักโดยยังหลงเหลือสติสัมปชัญญะอย่างเจือจาง
ถึงตรงนี้ ไคลน์จะใช้ตัวตนของอันทีโกนัสเพื่อปรองดองกับเอกลักษณ์ของเดอะฟูล แต่ในแง่ของชะตากรรม อันทีโกนัสได้ปรองดองกับเอกลักษณ์มานานแล้ว การพยายามปรองดองจึงไม่เกิดผลลัพธ์ใด
นี่คือการปั่นหัวชะตากรรม
หลังจากพิธีกรรมสิ้นสุด ไคลน์จะยกเลิกการ ‘ขโมย’ เพื่อฟื้นฟูตัวตนและชะตากรรมกลับคืนมา ไม่หลงเหลือจิตของอันทีโกนัสซึ่งเป็นบ่อเกิดความบ้าคลั่ง เปลี่ยนตัวเองกลายเป็นฮาล์ฟฟูลโดยสมบูรณ์
ปัญหาของแผนการนี้มีอยู่สองจุด: หนึ่งคือ ต้องรักษาสภาพจิตใจของตัวเองไว้ให้มั่นคง หากพลาดเพียงเล็กน้อย ไคลน์อาจเสียสติจนไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้เลย จุดที่สอง หลังจากขโมยจิตใต้สำนึกของอันทีโกนัสมาใส่ในร่างตัวเอง ไคลน์ยังไม่แน่ใจว่า เจตจำนงของราชันสวรรค์ฟ้าดินในร่างหลักของอันทีโกนัส จะลืมตาตื่นขึ้นในระดับใด และสร้างการเปลี่ยนแปลงมากน้อยแค่ไหน ในแง่นี้ มันทำได้เพียงขอให้เทพธิดารัตติกาลช่วยกำราบ
คล้ายกับภาพฉายของเทพธิดารัตติกาลคาดเดาความคิดชายหนุ่ม:
“หากคุณต้องการขโมยชะตากรรมของอันทีโกนัส ควรทำให้เขาตกอยู่ในสภาวะหลับใหลชั่วนิรันดร์เสียก่อน… ฉันสามารถช่วยได้ แต่จำเป็นต้องใช้สื่อกลางเพื่อให้มั่นใจในผลลัพธ์ ต้องไม่ลืมว่านี่คือเทวทูตผู้ปรองดองกับเอกลักษณ์ของเดอะฟูลเรียบร้อยแล้ว”
“สื่อกลางแบบไหน” ไคลน์ถามด้วยสีหน้าครุ่นคิด
ภาพฉายของเทพธิดารัตติกาลเผยรอยยิ้ม
“น้ำจากแม่น้ำอันธการนิรันดร์”
อย่างที่คิด… สำหรับไคลน์ คำตอบเช่นนี้มิใช่ของแปลกใหม่ ยังคงอยู่ภายใต้ขอบเขตการคาดเดา และรู้สึกว่าทุกสิ่งทุกอย่างเริ่มเป็นรูปเป็นร่างมากขึ้น
มันครุ่นคิดสักพัก
“แค่น้ำจากแม่น้ำใช่ไหม?”
ภาพฉายในความฝันเทพธิดารัตติกาลพยักหน้ารับแผ่วเบา
“ตัวคุณในตอนนี้ยังมิอาจนำแม่น้ำอันธการนิรันดร์ออกมาได้ทั้งหมด เมื่อเข้าไปในส่วนลึกของเมืองกัลเดรอนแล้วจะเข้าใจเอง… หากมีคำถามเพิ่มเติม ไว้กลับมาค่อยถามก็ยังไม่สาย”
โดยไม่รอคำตอบจากไคลน์ เธอเสริม
“สำหรับคุณ ที่นั่นมีอันตรายซึ่งค่อนข้างน่ากังวล ควรรอให้สภาพจิตใจเกิดเสถียรภาพก่อนลงมือสำรวจ”
“ตกลง” แม้ใครจะยังไม่ทราบต้นตอของปัญหา แต่มันทราบดีว่า สถานะในปัจจุบันของตนยังไม่เหมาะแก่การผจญภัย โดยเฉพาะการผจญภัยที่เกี่ยวข้องกับ ‘แก่นแท้แห่งต้นกำเนิด’
ภาพฉายของเทพธิดารัตติกาลกล่าวต่อ
“เมื่อคุณตื่นขึ้น จงประกอบพิธีกรรมสังเวยและรับมอบ ฉันจะส่งวัตถุที่สามารถตักน้ำในแม่น้ำอันธการนิรันดร์ไปให้”
ไคลน์พยักหน้ารับ กล่าวโดยไม่เวิ่นเว้อ
“อาดัมคือส่วนหนึ่งของเทพสุริยันบรรพกาล เป็นหนึ่งในตัวตนของเขา”
เทพธิดารัตติกาลปราศจากการผันผวนทางอารมณ์ เพียงกล่าวด้วยเสียงนุ่มนวลและผ่อนคลาย
“ตอนนี้เขาไปถึงดินแดนเทพทอดทิ้งและเผชิญหน้ากับพระผู้สร้างแท้จริงแล้ว”
เร็วมาก… หลังจากผงะไปเล็กน้อย ไคลน์เริ่มพบว่านั่นสมเหตุสมผล
อาดัมยอมเปิดเผยความลับ เพราะความลับนั้นไม่มีค่าอีกต่อไป
ภาพฉายของเทพธิดารัตติกาลยังคงเล่าต่อ
“เกี่ยวกับอาดัม ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นหลังจากนี้ กว่าบทสรุปจะออกมาก็คงกินเวลานาน คุณยังไม่จำเป็นต้องใส่ใจ”
หลังจากไคลน์ผงกศีรษะ ภาพฉายตรงหน้าพลันพร่ามัวในทันที กอวานิลลารัตติกาลและบุปผาหลับใหลข้างฝ่าเท้าชายหนุ่มทยอยลอยขึ้นไปในอากาศ ก่อนจะผสานเป็นหนึ่งเดียวกับความมืด
มันลืมตาขึ้น มองเห็นห้องโถงอันมืดมิดซึ่งมีแสงบริสุทธิ์ส่องลอดช่องว่างบนกำแพง อย่างหลังดูคล้ายกับดวงดาวท่ามกลางค่ำคืนอันสุขสงบ
…………………………………………