บทที่ 16 รหัสมอร์ส
หลังพักทานอาหารเที่ยงถานเสี่ยวเทียนและฉู่ถิงไปพบกันและทบทวนที่สวนหลังบ้านตามปกติ
ถานเสี่ยวเทียนไม่เข้าใจว่าทำไมฉู่ถิงถึงสอบได้คะแนนน้อยลงทั้งที่พวกเขามาทบทวนบทเรียนด้วยกันทุกวัน ไม่มีใครรู้ความสามารถของฉู่ถิงดีไปกว่าเขา เธอมักจะก้าวไปข้างหน้าและไม่เคยถอย
“เกิดอะไรขึ้น มาคุยกันหน่อยสิ!” เพื่อที่จะช่วยฉู่ถิงฝึกพูดภาษาอังกฤษไปได้ การสนทนาระหว่างทั้งสองจึงเป็นภาษาอังกฤษทั้งหมด
“ไม่ใช่เรื่องของนาย!” ฉู่ถิงแสร้งทำเป็นจริงจัง แต่รอยยิ้มที่มุมปากของเธอกลับทรยศต่อเธอ จากนั้นเธอก็ถอนหายใจออกมา
เด็กโง่คนนี้ใช้วิธีนี้เถียงกับพ่อแม่ของเธอ
ถานเสี่ยวเทียนถอนหายใจจากก้นบึ้งของหัวใจ แน่นอนว่าเขารู้ดีว่าฉู่ถิงรักเขามากแค่ไหน แต่มันยากเหลือเกินที่เขาจะตอบรับความรู้สึกของเธอ เพราะความรักของเด็กมัธยมปลายมันน้อยมากเหลือเกินที่จะจบลงด้วยดี ยิ่งไปกว่านั้นแรงจูงใจแต่แรกของเขาก็แค่ต้องการที่จะให้ฉู่ถิงติวให้เขาก็เท่านั้น
เขาไม่รู้ว่าเขาควรจะมีความรักดีไหม..
ในวันแรกของการเกิดใหม่ เขามีความทะเยอทะยานว่าในชีวิตนี้เขาจะใช้ชีวิตสบายๆ และอิสระและไม่ถูกจำกัด มีเพียงความรักเท่านั้นที่เป็นพื้นที่ต้องห้ามที่เขาไม่ต้องการจะแตะต้อง
ฉันจะรู้ได้ยังไงว่าฉันจะไม่โดนคนรักฆ่าตายอีกครั้ง?
โลกนี้แสนกว้างใหญ่ และหญิงสาวก็มีมากมายราวกับก้อนเมฆ แต่…
ทันทีที่ระฆังโรงเรียนดังขึ้น ฉู่ถิงก็รีบจัดกระเป๋านักเรียนอย่างรวดเร็วและหันหลังกลับไปขยิบตาให้ถานเสี่ยวเทียน
ถานเสี่ยวเทียนเข้าใจและปฏิเสธจางต้าเผิงและหม่าเหว่ยที่ชวนไปดูหนังเรื่อง “Peach” ของหลี่หลี่เจิ้นในห้องวิดีโอ
ฉู่ถิงรอเขาอยู่ที่มุมบันไดมานานแล้ว เมื่อเห็นว่าเขาลงมาแล้ว เธอก็รีบวิ่งเข้าไปหาด้วยความตื่นเต้นและคร่ำครวญว่า “ทำไมลงมาข้างล่างช้าจัง เร็วเข้า แม่ฉันยอมปล่อยให้ฉันไปติวกับนายที่ห้องสมุดแล้ว”
ถานเสี่ยวเทียนไม่ตอบ จากนั้นเขาก็หันหลังเดินกลับขึ้นบันไดไป
เมื่อเห็นถานเสี่ยวเทียนหันหลังกำลังจะจากไป ฉู่ถิงก็ถามออกมาด้วยน้ำเสียงเศร้าหมอง “นายเป็นอะไร? นายไม่อยากติวกับฉันแล้วเหรอ? ถ้านายไม่ต้องการติวกับฉันแล้วก็พูดมาเถอะ ฉันจะไม่รบกวนนายอีกต่อไป” เธอกำลังร้องไห้
“เราไปกันเถอะ!” ถานเสี่ยวเทียนหันกลับมาโชว์ฟันสีขาวของเขา “ฉันพนันได้เลยว่าแม่ของเธอจะต้องแอบตามเรามาแน่นอน ถ้าทายถูก เธอต้องเลี้ยงข้าวกล่องฉันหนึ่งเดือนนะ”
ใบหน้าเล็กๆ ของฉู่ถิงมืดครึ้มทันที และความตื่นเต้นของเธอก่อนหน้านี้ก็หายไปด้วยเช่นกัน
ตามที่ถานเสี่ยวเทียนคาดไว้ หลินว่านหงแอบตามพวกเขาอย่างลับๆ และแม้กระทั่งในห้องอ่านหนังสือของห้องสมุด เธอก็เข้าไปซ่อนตัวอยู่หลังตู้หนังสือเพื่อแอบดูลูกสาวของเธอ
เรื่องนี้ไม่สามารถช่วยได้จริงๆ เพราะหลินว่านหงนั้นไม่ต้องการให้ลูกสาวของตัวเองเข้าใกล้คนธรรมดาอย่างถานเสี่ยวเทียนมากเกินไป แต่เธอก็กังวลว่ามันจะส่งผลต่อเกรดของลูกสาวเธอ ดังนั้นเธอจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องตัดสินใจยอมให้ลูกสาวของเธอออกมาติวกับ
ปากเล็กๆ ของฉู่ถิงมุ่ยเต็มไปด้วยความขุ่นเคือง เธอไม่กล้าแม้แต่จะกระซิบกับถานเสี่ยวเทียน
ตึก ตึกๆ ตึก ตึก…
นิ้วของถานเสี่ยวเทียนเคาะลงบนโต๊ะเป็นจังหวะ
ฉู่ถิงไม่สนใจเพราะยังงอนอยู่
ตึก ตึก ตึกๆ…
คราวนี้ฉู่ถิงได้ยินและเงยหน้าขึ้นมองถานเสี่ยวเทียนด้วยความสับสน
ถานเสี่ยวเทียนพูดเป็นภาษาอังกฤษอย่างเงียบๆ ว่า “หัวหน้าห้อง เธอเคยได้ยินคำว่า [รหัสมอร์ส] ไหม?”
ฉู่ถิงลังเล “ใช่โทรเลขที่ใช้ในหนังสงครามไหม?”
ตึกๆ ตึกๆ ตึก…
ถานเสี่ยวเทียนเคาะอีกครั้ง “นี่หมายความว่าอย่าโกรธ”
ดวงตาที่สวยงามของฉู่ถิงเปล่งประกาย
ถานเสี่ยวเทียนยิ้ม “ถ้าเธออยากเรียนรู้ ฉันจะสอนเธอเอง!”
หลินว่านหงซ่อนตัวอยู่หลังชั้นหนังสือและฟังลูกสาวคุยกับถานเสี่ยวเทียน แม้ว่าเธอจะได้ยินไม่ชัด แต่เธอก็ยังสามารถรู้ได้ว่ามันเป็นภาษาอังกฤษ
สำหรับหลินว่านหงแล้วนี่ถือเป็นช่วงเวลาที่น่าอึดอัดที่สุด แต่เพราะว่าถานเสี่ยวเทียนนั้นสามารถฝึกพูดภาษาอังกฤษได้จริงๆ หลินว่านหงยอมตกลงที่จะให้ทั้งสองได้ทบทวนบทเรียนร่วมกัน
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็วไม่ก็ถึง 4 ทุ่ม หมดเวลาทบทวนบทเรียนแล้ว ฉู่ถิงออกมาจากห้องสมุดไปพร้อมกับกระเป๋านักเรียน วันนี้เธอได้เรียนรู้อะไรมากมาย ไม่เพียงแต่เธอจะได้ทบทวนบทเรียนตามที่วางแผนไว้เท่านั้น แต่เธอยังได้เรียนรู้จังหวะของ A, B, C และ D ในรหัสมอร์สอีกด้วย
ต่อจากนี้ไปแม้ว่าแม่ของเธอจะมานั่งอยู่ข้างๆ เธอก็จะสามารถคุยกับถานเสี่ยวเทียนได้ตามปกติ
แต่เขาซึ่งเป็นเพียงนักเรียนมัธยมปลายนั้นรู้ [รหัสมอร์ส] ได้อย่างไร?
เด็กโง่ฉู่ถิงไม่ได้นึกถึงคำถามที่สำคัญที่สุดเลย จนกระทั่งเธอเข้าไปในบ้าน
วันสุดท้ายของชั้นม.ปลายปี 3 คืออะไร?
มันคือวันเวลาที่คุณทำเครื่องหมายบนปฏิทินรอไว้เป็นปี แต่ยิ่งวันนั้นใกล้เข้ามามากเท่าไหร่ คุณก็ยิ่งเริ่มเข้าใจความหมายของสำนวนที่ว่า ‘กาลเวลาช่างสดใส เพียงพริบตา ความเยาว์วัยกลับสิ้นลง’ มากขึ้นเท่านั้น
เข้าสู่เดือนมิถุนายน อากาศเริ่มร้อนขึ้นทุกวันๆ เหมือนกับหัวใจของนักเรียนที่เริ่มร้อนรน
เหรินชูเฟินมีประสบการณ์มากในเรื่องนี้ดี เธอบอกให้นักเรียนสองสามคนที่ไม่ได้รับแรงกดดันจากการสอบเข้าวิทยาลัยไปซื้อไอติมวันละสองครั้งตอนเที่ยงและบ่ายสามโมงเพื่อทำให้ชั้นเรียนเย็นลง
หม่าเหว่ยยอมรับภารกิจนี้อย่างภาคภูมิ เขาทำงานนี้อย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยเพื่อสนับสนุนเพื่อนในชั้นเรียนทุกๆ คน
แต่ทุกๆ ครั้งที่ถานเสี่ยวเทียนและจางต้าเผิงรับไอติมจากเขา เขาจะพูดอย่างดุร้ายว่า “พวกนายทั้งสองคนจะต้องทำให้ดีที่สุดเพื่อฉัน! อย่าลืมว่าอาจารย์หม่าคนนี้ทำเพื่อพวกนายมากขนาดไหน… เมื่อพวกนายประสบความสำเร็จ ในอนาคตจงอย่าลืมกตัญญูต่ออาจารย์หม่าคนนี้ด้วย”
และหลังจากพูดจบเขาก็ถูกทั้งสองคนทุบตีทุกครั้ง
การสอบจำลองครั้งที่สี่สิ้นสุดในกลางเดือนมิถุนายน ฉู่ถิงกลับขึ้นสู่สามอันดับแรกอีกครั้ง ส่วนถานเสี่ยวเทียนก็ขยับขึ้นไปอีก 9 อันดับเป็นอันดับที่ 39 โดยมีคะแนนแต่ละวิชาคือ 118 คะแนนสำหรับภาษาจีน 51 คะแนนสำหรับคณิตศาสตร์ 196 คะแนนในสาขาศิลปศาสตร์ครอบคลุมและวิชาภาษาอังกฤษ 146 คะแนน รวมคะแนนทั้งหมด 511 คะแนนซึ่งมากกว่ามาตรฐานไป 31 คะแนน
หลังจากจบการสอบจำลองครั้งที่สี่ นักเรียนม.ปลายปี 3 ทุกๆ คนจะต้องศึกษาด้วยตนเองจนกว่าการสอบเข้าวิทยาลัยจะมาถึง ในช่วงเวลานี้นักเรียนชั้นม.ปลายปี 3 มาโรงเรียนหรือจะอยู่ที่บ้านก็ได้เพื่อให้นักเรียนปรับสภาพจิตใจและเตรียมพร้อมสำหรับการสอบของจริง
นักเรียนหลายคนไม่สามารถทนทบทวนบทเรียนต่อไปได้ โดยเฉพาะพวกที่อันดับต่ำๆ พอเลิกเรียนก็จะรีบวิ่งไปที่ห้องเกม ห้องบิลเลียดและห้องวิดีโอเพื่อผ่อนคลายทันที…
ถานเสี่ยวเทียนนั้นยังคงเป็นราวกับหุ่นยนต์เช่นเคย แม้ว่าตอนนี้ทางโรงเรียนจะปล่อยให้นักเรียนเป็นอิสระแล้ว แต่เขาก็ยังตื่นนอนตั้งแต่ 6 โมงเช้าเพื่อไปวิ่งที่โรงเรียนและท่องจำบันทึกวิชาต่างๆ ของฉู่ถิง ตอนนี้เขาท่องจำบันทึกของเธอได้สองครั้งแล้ว เขาจะต้องท่องจำมันให้ได้สามครั้งก่อนการสอบเข้าวิทยาลัยจะมาถึง
การกระทำแบบนี้ของเขาทำให้จางต้าเผิงและหม่าเหว่ยหวาดกลัวอย่างมาก ถึงขนาดที่ทั้งคู่คิดว่าถานเสี่ยวเทียนกำลังป่วยร้ายแรง
นายเป็นนักเรียนสายกีฬา ด้วยคะแนนของนายในตอนนี้นายสามารถเข้าวิทยาลัยการกีฬาได้สบายๆ ทำไมนายถึงต้องทำขนาดนี้ หรือว่า… นายต้องการจะไล่ตามฉู่ถิงงั้นเหรอ? ไม่เอาน่าเพื่อนนายเครียดเกินไปแล้ว
ทั้งสองคนลากถานเสี่ยวเทียนออกไปเพื่อผ่อนคลาย อันธพาลน้อยทั้งสามคนไปที่ห้องเล่นเกม จากนั้นก็ไปต่อที่ห้องบิลเลียดและไปต่อกันอีกหลายที่…
อันธพาลน้อยทั้งสามเล่นกันทั้งวันและในวันรุ่งขึ้นใบหน้าของจางต้าเผิงก็กลายเป็นสีดอกกุหลาบอย่างเห็นได้ชัด หม่าเหว่ยเองก็เดินกะเผลกเช่นกัน สิ่งนี้ไม่ต้องถามก็รู้ว่าทั้งสองคนถูกครอบครัวทุบตี มีเพียงถานเสี่ยวเทียนเท่านั้นที่กำลังถือตำราภาษาจีนและท่องมันต่อไป