ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ – ตอนที่ 833

ตอนที่ 833

ตอนที่ 833 แตกคอ
“สหายหลิ่ว รอเรื่องนี้จบ ข้าจะยกเนื้อหนังของอสูรกวางชะมดว่างเปล่าครึ่งหนึ่งให้แน่นอน เวลานี้มีวิชาใดก็โปรดใช้ออกมาเถิด” ทันใดนั้นเสียงแผ่วเบาของผู้เฒ่าอ้วนก็ดังขึ้นข้างหูหลิ่วหมิง

เขาเหล่มองก็เห็นผู้อาวุโสหวงคนนี้นั่งขัดสมาธิอยู่กลางอากาศใต้เกราะแสงสีทอง สิบนิ้วมือแปรเปลี่ยนไม่หยุด ดีดเคล็ดวิชาสายแล้วสายเล่าใส่ม่านแสงสีฟ้าใต้ร่าง

เสียง “ฟุบ” ดังขึ้น ม่านแสงสีฟ้าอ่อนกะพริบวูบหนึ่งแล้วเร้นหายไปทันใด ราวกับว่าไม่เคยปรากฏมาก่อน

จากนั้นมือที่ทำท่าเคล็ดวิชาของผู้เฒ่าอ้วนก็หยุดลง เขาล้วงเลือดเนื้อก้อนหนึ่งซึ่งมีหนังติดอยู่ของกวางชะมดที่เตรียมไว้ก่อนหน้าออกมาจากในกำไลเก็บของประหนึ่งสายฟ้าแลบ โยนเข้าไปในค่ายกลห้วงนทีเบื้องล่างอย่างไม่ลังเลสักนิด

หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ ในดวงตาพลันมีแววตาประหลาดพาดผ่านก่อนจะหายไป ทว่าไม่ทันได้คิดมากนัก สายลมชั่วร้ายก็พัดมาเบื้องหน้า ปีศาจอสรพิษระดับแก่นแท้สองตัวโถมเข้ามาหาเขา

ปีศาจอสรพิษสองตัวนี้ยังไม่ทันโถมมาถึง หมอกพิษสีเขียวสายแล้วสายเล่าก็ถาโถมตามสายลมปีศาจมาถึงก่อน

จมูกของหลิ่วหมิงได้กลิ่นคาวบางอย่าง ดวงตาจึงฉายประกายวูบหนึ่ง แขนเสื้อสะบัด กระบี่น้อยสีทองเล่มหนึ่งบินพุ่งออกมา กลายเป็นรุ้งทองยาวสิบกว่าจั้งซัดออกมา

เสียง “ฟึบๆ” ดังขึ้นหลายครั้ง!

แสงสีทองฉายวาบไม่กี่หนก็แล่นผ่านร่างปีศาจอสรพิษตัวหนึ่งในนั้นไป เกล็ดที่แลดูแข็งหนาอย่างยิ่งกลับถูกแสงกระบี่ฟันแหวกอย่างง่ายดาย

หลังอสรพิษตัวนี้กรีดร้องโหยหวน หางอสรพิษมหึมาก็ตวัดฟาดทันที เสียง “ปัง” ดังขึ้น ราวกับค้อนหนักฟาดลงบนตัวแสงกระบี่ ทำให้แสงกระบี่ที่โจมตีมันสั่นพร่ากระเด็นออกไปทันที

ทว่าบนร่างกายและหางของอสรพิษตัวนี้หนังกลับฉีกเนื้อแตกเลือดไหลริน

เวลานี้ปีศาจอสรพิษอีกตัวก็โถมอย่างแรงมาถึง ปากสีแดงสดอ้ากว้างขย้ำหลิ่วหมิง

ร่างกายของหลิ่วหมิงพร่าเลือนวูบหนึ่งก็แยกออกเป็นสามร่างเหาะถอยไปข้างหลัง เขากวักมือข้างหนึ่ง แสงกระบี่สายเดิมบินวนรอบหนึ่งก็กรีดร้องแหลมเลี้ยวกลับมาทันที

ทันใดนั้นปีศาจอสรพิษที่เลือดไหลโชกอีกตัวหนึ่งก็อ้าปากพ่นน้ำพิษก้อนแล้วก้อนเล่าจู่โจมร่างเงาที่หลิ่วหมิงสร้างขึ้น

หลิ่วหมิงกับปีศาจอสรพิษระดับแก่นแท้สองตัวสู้กันอยู่ชั่วขณะหนึ่ง

อีกด้านหนึ่งเฟิงชิงโม่ร่างกายส่ายเอน มือข้างหนึ่งถือพัดขนนกสีขาวพัดอย่างแรงไม่หยุด ส่วนยันต์ตั้งแล้วตั้งเล่าในมืออีกข้างก็กลายเป็นแสงรัศมีหลากสีสัน สู้กับปีศาจอสรพิษระดับแก่นแท้อีกตัวหนึ่งอยู่อย่างเมามันเช่นกัน ขณะนั้นต่อสู้กันอย่างสูสี

ร่างกายมหึมาของปีศาจงูหมื่นปีตัวนั้นขดอยู่กลางท้องฟ้าไกลออกไป ระหว่างที่ลิ้นอสรพิษฉก ดวงตาสีแดงดั่งโลหิตก็กวาดกลับไปมาระหว่างเนื้ออสูรกวางชะมดในค่ายกลห้วงนทีกับร่างผู้เฒ่าอ้วนที่นั่งขัดสมาธิอยู่ แววตาลังเลจางๆ ปรากฏขึ้นมา

ทันใดนั้นดวงตาปีศาจงูก็ฉายประกายดุร้าย รอบร่างส่องแสงสีดำเจิดจ้า ร่างกายฉับพลันพุ่งออกมา ไม่รู้ว่ามันใช้พลังอันใด หายตัวครั้งหนึ่งก็ตัดผ่านระยะทางหนึ่งลี้กว่า มาปรากฏตัวบนท้องฟ้าเหนือค่ายกลแล้วมุดเข้าไปข้างในทันที

เสียง “พรืด” ดังขึ้นทีหนึ่ง!

ร่างกายใหญ่โตของปีศาจงูม้วนขด ระหว่างที่ลิ้นงูยาวหนึ่งจั้งกว่าฉกออกมาก็รัดเนื้ออสูรกวางชะมดว่างเปล่าบนพื้นเข้าไปในปาก

“มาก็ดี!”

ผู้เฒ่าอ้วนเห็นเช่นนี้ก็ยินดียิ่ง เคล็ดวิชาในมือเปลี่ยนไปทันที แสงสีฟ้าสว่างขึ้นรอบร่างปีศาจงูหมื่นปี ม่านแสงสีฟ้าเจ็ดชั้นสว่างขึ้นตามต่อกัน

จากนั้นยันต์รูปหยดน้ำนับไม่ถ้วนก็ลอยออกมาจากม่านแสงสีฟ้า ค่อยๆ ถักทอในค่ายกลกลายเป็นน้ำทะเลสาบสีฟ้าแห่งหนึ่งทับปีศาจงูหมื่นปีไว้ข้างล่าง

ทว่าค่ายกลห้วงนทีนี้เคยใช้ไปครั้งหนึ่งแล้ว แม้พลังจิตวิญญาณด้านในจะยังใช้ไม่หมด แต่พลังก็สู้ก่อนหน้าไม่ได้อย่างเห็นได้ชัด ปริมาณน้ำในทะเลสาบที่เสกขึ้นมามีไม่ถึงหนึ่งในสามของก่อนหน้านี้ ไม่อาจเติมค่ายกลจนเต็มได้แม้แต่น้อย

ปีศาจงูหมื่นปีฝึกฝนจนถึงระดับแก่นแท้ได้ ย่อมเกิดสติปัญญาขึ้นนานแล้ว เห็นสถานการณ์นี้ไหนเลยจะยังไม่รู้ว่าตนเองติดกับ มันยกหัวคำรามเสียงต่ำ อ้าปากพ่นของเหลวเหนียวหนืดสีเขียวเข้มหลายก้อนใส่ม่านแสงสีฟ้าที่ลอยอยู่กลางอากาศทันที

เสียง “ชี่ๆ” ดังขึ้น!

ม่านแสงสีฟ้าสามชั้นถูกของเหลวสีเขียวเข้มทะลวงผ่านเป็นรูขนาดครึ่งจั้งรูแล้วรู้เล่าอย่างเห็นชัดเจน

เห็นชัดว่าค่ายกลนี้ไม่อาจขังปีศาจงูตัวนี้ได้นานนัก

ผู้เฒ่าอ้วนเห็นสถานการณ์ สีหน้าก็ย่ำแย่ลงอยู่บ้างทันที สายตาเย็นชา ปากเอ่ยท่องมนตร์ พ่นยันต์สีเทาขมุกขมัวเจ็ดตัวออกมาต่อเนื่อง

ยันต์สีเทาเหล่านี้หมุนกลางอากาศจากนั้นทยอยร่วงลงไปในม่านแสงสีฟ้าอ่อน

ในเวลาเดียวกันนี้ เฟิงชิงโม่ที่อยู่อีกด้านก็สะบัดพัดขนนกสีขาวในมือเกิดเป็นมีดวายุสีขาวยาวหลายฉื่อร่อนถี่ยิบเต็มฟ้า บีบปีศาจอสรพิษฝั่งตรงข้ามให้ถอยร่นไปทีละนิด มันร้องโหยหวนไม่หยุด บาดเจ็บทั่วร่าง

“ระเบิด!”

หลังผู้เฒ่าอ้วนขยับริมฝีปากขมุบขมิบส่งกระแสจิตหาเฟิงชิงโม่ เขาก็ตวาดเสียงดังออกมาคำหนึ่ง

บนม่านแสงสีฟ้าอ่อนเจ็ดชั้นมียันต์สีเทาลอยออกมาพร้อมกัน จากนั้นทั้งหมดก็กะพริบวูบวาบระเบิดตัวเองดัง “บึ๊ม” เปล่งแสงสีฟ้าแสบตาออกมา

พริบตานั้นดวงตะวันเจิดจ้าสีฟ้าดวงหนึ่งลอยขึ้นมาจากตรงที่ค่ายกลเดิมอยู่ พลังจิตวิญญาณดุดันซัดออกมาสี่ด้านแปดทิศ จุดที่มันผ่านไปไม่ว่าศิลายักษ์หรือต้นไม้ล้วนถูกตัดสะบั้น ชั่วขณะหนึ่งแสงสีฟ้าผืนใหญ่พุ่งสูงขึ้นไปบนฟ้า วิหคและสัตว์นานาชนิดบริเวณใกล้ๆ พากันวิ่งหนีเตลิดไปไกล

ไม่ทันที่แสงสีฟ้าจะสลายไป เฟิงชิงโม่ก็ทิ้งปีศาจอสรพิษตรงหน้าไปกะทันหัน เขาทะยานร่างกระโจนไปเหนือค่ายกล แขนเสื้อสะบัดทีหนึ่ง เจดีย์สีดำที่เหลี่ยมมุมชัดหลังหนึ่งก็บินออกมา มันหมุนติ้วกลางอากาศรอบหนึ่งแล้วกลายเป็นหอยักษ์สูงสิบว่าชั้นร่วงลงไปเบื้องล่าง

เสียง “เปรี้ยง” ดังขึ้นทีหนึ่ง!

เจดีย์สีดำกระแทกบนพื้นหนักหน่วงจนจมลึกลงไปเกือบครึ่ง ทำให้ทั้งหุบเขาสะเทือนอย่างรุนแรง

“เจดีย์สะกดวิญญาณนี่เป็นต้นแบบอาวุธเวทที่ผู้อาวุโสสูงสุดของนิกายเราหลอมออกมาด้วยตนเอง เมื่อถูกสะกดแล้ว ระดับต่ำกว่าดาราพยากรณ์ไม่อาจดิ้นหลุดออกมาได้เด็ดขาด” เฟิงชิงโม่เห็นเช่นนี้ก็หัวเราะลั่น

ทว่าเป็นเช่นนี้อยู่เพียงไม่กี่ลมหายใจ แสงสีน้ำเงินสายแล้วสายเล่าก็แผ่พุ่งออกมาเป็นลำจากใต้เจดีย์สีดำในพริบตา เสียง “เปรี้ยง” ดังสนั่น เจดีย์ยักษ์ทั้งหลังไหวเอนเล็กน้อย

“เป็นไปไม่ได้”

เฟิงชิงโม่ตกตะลึง ขณะที่กำลังคิดจะใช้วิชาลับอื่นอีก ปีศาจอสรพิษระดับแก่นแท้ที่ถูกเขาบีบจนถอยร่นก่อนหน้านี้ก็อ้าปากพ่นหมอกพิษพุ่งขึ้นมา

เฟิงชิงโม่ไร้หนทาง ได้แต่สะบัดพัดขนนกสู้รบกับปีศาจอสรพิษตัวนี้อีกครั้ง

ผู้เฒ่าอ้วนเห็นเช่นนี้จึงได้แต่ยิงเคล็ดวิชาสายแล้วสายเล่าใส่เจดีย์ยักษ์เพียงลำพัง ด้านนอกเจดีย์หลังนี้เดี๋ยวสว่างเดี๋ยวมืด ต้านทางพลังมหาศาลที่ทะลักออกมาจากเบื้องล่างไว้

ทว่าแม้เป็นเช่นนี้เจดีย์ยักษ์ก็ยังค่อยๆ ถูกดันขึ้นมาจากใต้พื้นทีละน้อย

เสียงดังสนั่นดังขึ้นทีหนึ่ง!

ในที่สุดเจดีย์สีดำทั้งหลังก็ถูกแสงสีน้ำเงินดันขึ้นมา หัวมหึมาของปีศาจงูหมื่นปีปรากฏขึ้นกลางแสงสีน้ำเงิน

“สหายหลิ่ว”

ผู้เฒ่าอ้วนเห็นเช่นนี้พลันตะโกนเรียก

หลิ่วหมิงที่อยู่อีกด้านลอบสังเกตการเคลื่อนไหวของปีศาจงูหมื่นปีอยู่นานแล้ว เมื่อได้ยินคำนี้ก็ไม่พูดพร่ำทะยานร่างผสานเป็นหนึ่งกับแสงกระบี่สีทองกลางท้องฟ้าในพริบตา หลังบินวนรอบหนึ่งก็กลายเป็นรุ้งน่าตะลึงสายหนึ่งบีบปีศาจอสรพิษสองตัวให้ถอยไป จากนั้นพร่าเลือนไปอีกหนกลายเป็นแถบแสงพุ่งลงไปเบื้องล่าง

ปีศาจงูหมื่นปีใต้เจดีย์สีดำไม่ทันป้องกันหัว มันกรีดร้องได้ทีเดียว แถบแสงสีทองก็ทะลวงผ่านคอของมันทิ้งรูเลือดใหญ่หลายฉื่อรูหนึ่งไว้

ปีศาจงูหมื่นปีเจ็บปวดจนกรีดร้องยาว ทั้งร่างแปล่งแสงสีน้ำเงินแล้วพุ่งขึ้นฟ้า เสียง “ฟึบ” ดังขึ้นทีหนึ่งก็กลายเป็นแสงสีน้ำเงินแหวกท้องฟ้าหนีไปไกล

ปีศาจอสรพิษระดับแก่นแท้สามตัวที่เหลือเห็นเช่นนี้ก็หนีตามไปติดๆ พร้อมกับเสียงฟ่อๆ ที่ดังก้องในสายลมประหลาด

บนท้องฟ้าใกล้ๆ แสงสีทองดับลง หลิ่วหมิงที่ถือกระบี่สีทองอยู่ในมือปรากฏร่างออกมา เขาสีหน้าซีดเผือดขณะที่มองปีศาจงูหมื่นปีที่จากไปไกล แต่ไม่มีเจตนาขี่กระบี่ไล่ตามต่อ

ผู้เฒ่าอ้วนเห็นปีศาจงูหมื่นปีตัวนี้บินหนีไปก็โล่งอก ไม่คิดจะไล่โจมตีเช่นกัน

เฟิงชิงโม่กลับโบกพัดขนนกในมือ ขณะที่เขามองเงาปีศาจงูที่อยู่ไกลๆ ใบหน้าก็เผยสีหน้าละโมบนิดๆ ทว่าทันใดนั้นเขาก็นึกบางอย่างขึ้นได้จึงแค่นเสียงเหอะยืนอยู่ที่เดิม

งูตัวนี้ไม่เสียทีเป็นปีศาจอสูรอายุหมื่นปี ค่ายกลห้วงนทีหลายชั้นที่ถูกจุดระเบิดยังทำได้เพียงทำร้ายหนังของมันเท่านั้น เจดีย์สะกดวิญญาณต้นแบบอาวุธเวทที่เฟิงชิงโม่โยนออกมาก็ทำได้แค่ปราบไว้สองสามลมหายใจ จนกระทั่งหลิ่วหมิงเรียกกระบี่บินพลังจิตวิญญาณออกมาใช้วิชากระบี่ร่างเป็นหนึ่งถึงทำร้ายมันบาดเจ็บจนตกใจหนีไปได้อย่างหวุดหวิด

จากเรื่องนี้เห็นได้ว่าพลังของอสูรตัวนี้แข็งแกร่งยิ่งกว่าที่ทั้งสามคนจินตนาการ แม้ศพกับแก่นปีศาจของมันจะมีค่าครองเมืองก็ไม่คุ้มค่าให้พวกเขาเสี่ยงอันตรายไล่ตามไปสังหารต่อ

ในที่สุดหลิ่วหมิงก็เห็นพวกปีศาจงูหมื่นปีหายลับไปตรงขอบฟ้า ตอนนี้เขาถึงหันหน้ามาเอ่ยนิ่งๆ กับผู้เฒ่าอ้วน

“เอาล่ะ ในที่สุดปีศาจตัวนี้ก็ถอยไปแล้ว งานไม่ควรชักช้า สหายเอาวัตถุดิบของอสูรแห่งความว่างเปล่าที่เหลือออกมาเถิด ข้ารับส่วนของตัวเองแล้วก็จะขอตัว”

“ดูท่าสหายหลิ่วจะไม่ค่อยวางใจข้านัก แต่ไม่เป็นไร ในเมื่อสหายคิดจะไปตอนนี้ ข้าย่อมไม่ฝืนรั้งไว้ต่อ แต่ปีศาจงูหมื่นปีตัวนั้นเพิ่งจากไป ดีที่สุดระวังมันจะย้อนกลับมา” ผู้อาวุโสหวงได้ยินคำพูดของหลิ่วหมิงเริ่มแรกอึ้งไปเล็กน้อย แต่จากนั้นแววตาก็เป็นประกาย ตอบรับด้วยใบหน้ายิ้มแย้มทันที

จากนั้นผู้เฒ่าอ้วนก็พลิกมือเรียกยันต์เก็บของแผ่นหนึ่งออกมา โยนไปให้หลิ่วหมิงทันที

หลิ่วหมิงกวักมือข้างหนึ่งด้วยใบหน้าไร้อารมณ์ ยันต์เก็บของก็ลอยละล่องบินมาหาเขาในทันใด ทว่าขณะที่ของกำลังจะร่วงลงในมือ ดวงตาของเขาก็พลันฉายประกายเย็นเยียบ เขาพลิกมือตบ ทันใดนั้นยันต์เก็บของที่บินเข้ามาก็สั่นไหว จากนั้นพุ่งเร็วรี่ไปหาผู้เฒ่าอ้วนอีกครั้งดุจลูกธนู

ผู้อาวุโสหวงพลันเปลี่ยนสีหน้า มือข้างหนึ่งตั้งท่าเคล็ดวิชา

“บึ๊ม”

ยันต์เก็บของกลายเป็นแสงสีแดงดวงหนึ่งกลางท้องฟ้าแล้วระเบิดออก

ในเวลาเดียวกันนั้นหูของหลิ่วหมิงก็ได้ยินเสียงคำรามขึงขังของเฟิงชิงโม่ อากาศรอบตัวเขาบีบแน่น คลื่นความร้อนสีแดงฉานลูกแล้วลูกเล่าโถมเข้าใส่ใบหน้า กลางอากาศฉับพลันปรากฏเปลวเพลิงสีแดงดวงแล้วดวงเล่าขึ้นมา

เพียงพริบตาเขาก็ถูกตาข่ายอัคคีที่เกิดจากเปลวเพลิงสีแดงดวงแล้วดวงเล่าขังไว้ด้านใน

“ค่ายกลเพลิงมายาไร้ลักษณ์ !”

หลิ่วหมิงเลิกคิ้วแล้วมองไปทางเฟิงชิงโม่กับผู้เฒ่าอ้วนสองคนอย่างเย็นชา เขาไม่ถามคำใดกับทั้งสองคนอีก แขนข้างหนึ่งพร่าเลือนวูบหนึ่ง เงาหมัดสีดำอ่อนหนึ่งหมัดก็พุ่งหวีดหวิวออกมา โจมตีบนตาข่ายเพลิงสีแดงฉานใกล้ๆ

“ฟู่”

เงาหมัดยังไม่ทันสัมผัสถูกตาข่ายเพลิงสีแดงฉานแม้แต่น้อยก็พังทลายกลายเป็นปราณดำสายแล้วสายเล่าขณะที่อยู่ห่างจากขอบหนึ่งชุ่นเศษ

“สหายหลิ่ว อ้อไม่ใช่สิ ตอนนี้ควรเรียกเจ้าว่าสหายหลิ่วหมิงถึงจะถูก! แม้ค่ายกลเพลิงมายาไร้ลักษณ์ชุดนี้จะวางอย่างรีบร้อน พลังไม่ถึงหนึ่งในสามของพลังที่แท้จริง แต่มีข้าควบคุมอยู่ เจ้าอยากทลายออกมาย่อมใช้เวลาไม่ใช่แค่เวลาชั่วครู่” เคล็ดวิชาในมือผู้เฒ่าอ้วนเปลี่ยนแปรพักหนึ่ง เขาก็ยิ้มตาหยีมองหลิ่วหมิง

ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ

ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ


เด็กหนุ่มที่เติบโตท่ามกลางนักโทษบนเกาะมฤตยู

หลังหนีออกจากที่คุมขังสำเร็จก็จับพลัดจับผลูเข้าไปในนิกายปีศาจ

และกลายเป็นการเปิดประตูเข้าสู่พิภพอันกว้างใหญ่อย่างที่เขาคาดไม่ถึง

ทว่าภายใต้ความบังเอิญนี้

เขากลับต้องเผชิญหน้ากับวิกฤตถึงชีวิต ที่อาจจะสูญเสียตัวตนกลายเป็นจอมปีศาจอยู่ตลอดเวลา…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท