ตอนที่ 906 ศิลามาร
หลิ่วหมิงบังคับร่างกายให้หมุนรอบหนึ่ง พร้อมกันนั้นปราณดำบนร่างก็พลุ่งพล่านโถมออกมา ปกป้องทั้งร่างไว้ จากนั้นสายตาก็มองไปยังจุดที่ประกายแสงดุจสายฟ้าพุ่งมา
ตรงนั้นเป็นหน้าผาสีน้ำเงินเข้มแห่งหนึ่งที่อยู่ใกล้ๆ
ดวงตาหลิ่วหมิงเปล่งประกายวูบหนึ่งก็มองเห็นบนหน้าผาชัดเจน ฝั่งตะวันออกกับฝั่งตะวันตกแต่ละฝั่งมีจุดด่างคล้ายขี้ผึ้งกระจายอยู่ไม่น้อยและแผ่ปราณเย็นยะเยือกจางๆ ออกมา
ใกล้กับจุดด่างมีปากโพรงมากมายกระจายอยู่เต็มไปหมด โพรงที่ใหญ่ขนาดเท่าโม่ โพรงที่เล็กขนาดเท่าถังน้ำ มองปราดไปแลดูคล้ายรังผึ้งมหึมา
ยังไม่ทันที่เขาจะปล่อยจิตสัมผัสสำรวจอย่างละเอียดให้กระจ่าง ทันใดนั้นในปากโพรงขนาดค่อนข้างใหญ่โพรงหนึ่งก็มีเสียงหึ่งดังขึ้น เงาสีขาวที่ว่องไวอย่างที่สุดร่างหนึ่งบินออกมาดังฟึบ พุ่งเข้ามาหาเขาอย่างรวดเร็ว
หลิ่วหมิงหน้าถอดสีในทันใด ร่างกายพร่าเลือนวูบหนึ่งก็หายไปจากที่เดิม
เงาสีขาวพุ่งวูบเดียวก็โถมเข้าใส่ความว่างเปล่าแล้วกระแทกบนกำแพงผาสักแห่งอีกด้านหนึ่งอย่างรุนแรง
เปรี้ยง!
หน้าผาสั่นไหวเล็กน้อยครู่หนึ่งราวกับถูกพลังมหาศาลสายหนึ่งโจมตี เกิดหลุมใหญ่ขึ้นมาหลุมหนึ่ง
เงาร่างของหลิ่วหมิงลอยออกห่างไปสิบกว่าจั้ง หางตากระตุกเล็กน้อยอยู่ชั่วครู่
แรงปะทะที่น่าตะลึงเช่นนี้ แม้กายเนื้อของเขาจะแข็งแกร่งอย่างยิ่ง แต่หากหลบไม่ทันเวลา โดนเข้าไปก็คงเจ็บหนักแน่นอน
พร้อมกับที่เศษหินบนหน้าผาร่วงกราว ร่างกายสีขาวแวววาวขนาดครึ่งตัวคนร่างหนึ่งก็เผยออกมา
หลิ่วหมิงหรี่ตาลง
เห็นชัดว่าสิ่งนี้คือปีศาจแมลงที่รูปร่างภายนอกคล้างยุงอย่างมากตัวหนึ่ง รอบร่างไอหมอกสีขาวเวียนวน มองเห็นอยู่เลือนรางว่าทั้งร่างของมันเป็นสีขาวแวววาว ตรงปากของมันมีหนามแหลมน่ากลัวยาวราวสองฉื่อแท่งหนึ่งแลดูประหนึ่งเข็มเรียวที่คมกริบอย่างยิ่งเล่มหนึ่ง ทำให้คนรู้สึกสั่นสะท้านทั้งที่ไร้ลมหนาว
“ยุงน้ำแข็งลึกลับ!”
รูม่านตาของหลิ่วหมิงหดเล็กลง ตอนสนทนาเรื่อยเปื่อยกับอินจิ่วหลิง เขาเคยได้ยินอีกฝ่ายเล่าตำนานเกี่ยวกับปีศาจแมลงชนิดนี้ นี่คือปีศาจแมลงธาตุน้ำแข็งที่สาบสูญไปจากแผ่นดินจงเทียนแล้วชนิดหนึ่ง ปัจจุบันเกรงว่าคงจะพบได้แต่บนแผ่นดินหมานฮวงเท่านั้น
เล่ากันว่าแม้ร่างกายของแมลงชนิดนี้ไม่ใหญ่โต แต่ร่างกายมีพละกำลังมหาศาลอีกทั้งความเร็วน่าตะลึง เชี่ยวชาญการพ่นลมหายใจให้กลายเป็นน้ำแข็ง อีกทั้งพลังไม่ต่ำเตี้ย โดยทั่วไปหลังจากโตเต็มวัยพลังจะอยู่ราวระดับผลึก ส่วนน้อยที่บางส่วนอาจบรรลุถึงระดับแก่นแท้ เป็นหนึ่งในปีศาจแมลงที่รับมือยากที่สุดชนิดหนึ่ง
ดูจากกลิ่นอายที่แผ่ออกมาจากเจ้าตัวนี้ตรงหน้า เห็นชัดว่าเป็นระดับผลึกขั้นกลางแล้ว
สิ่งที่ทำให้คนปวดหัวที่สุดก็คือยุงน้ำแข็งลึกลับนี้มีนิสัยชอบอยู่รวมกันเป็นฝูงอีกด้วย!
หึ่ง หึ่ง หึ่ง!
ทันใดนั้นในโพรงบนหน้าผาซึ่งดูคล้ายรังผึ้งเบื้องล่างก็มีเสียงปีกกระพือดังขึ้นเป็นระลอก จากนั้นลำแสงสีขาวสายแล้วสายเล่าก็ทยอยพุ่งเร็วรี่ออกมาจากในโพรงเหล่านี้ กลางลำแสงแต่ละสายก็คือยุงน้ำแข็งลึกลับตัวหนึ่ง มีมากมายถึงสิบเจ็บสิบแปดตัว!
ในกลุ่มนั้นมียุงน้ำแข็งลึกลับสองตัวสูงกว่าตัวคน ปราณที่แผ่ออกมาแข็งแกร่งกว่าตัวก่อนหน้านี้ไม่น้อย เห็นชัดว่าเป็นยุงน้ำแข็งลึกลับระดับแก่นแท้!
หลิ่วหมิงสีหน้าเปลี่ยนไปทันที เขาเสียพลังเวทจากการไล่ล่าสังหารของปีศาจค้างคาวก่อนหน้านี้ไปไม่น้อย เวลานี้ไม่ใช่จังหวะดีที่จะประมือกับศัตรูที่แข็งแกร่งอีก สิ่งสำคัญที่สุดก็คือหากต่อสู้นานสักหน่อย เกรงว่าอาจจะล่อปีศาจอสูรที่แข็งแกร่งตัวอื่นบริเวณใกล้เคียงมา นั่นจะยิ่งไม่อาจจัดการได้
เขาคิดมาถึงตรงนี้ ปีกสองข้างก็ขยับกลายเป็นแสงสีเงินสายหนึ่งแหวกท้องฟ้าจากไปทันที
ทว่าเสียงหึ่งตามติดมาดั่งเงาตามตัว
หลิ่วหมิงยังไม่ทันหันหลังกลับไปก็สีหน้าเคร่งเครียดแล้ว เมื่อเขาหันหลังกลับไปกวาดสายตาตามองครั้งหนึ่ง
เขาก็เห็นยุงน้ำแข็งลึกลับสิบกว่าตัวนั้นกระพือปีกเรียวเล็กไล่ตามมา พวกมันเร็วยิ่งกว่าค้างคาวกระหายเลือดก่อนหน้านี้ ไม่กี่ลมหายใจก็ย่นระยะห่างเข้ามาใกล้ไม่น้อย
“บัดซบ จะโชคร้ายเกินไปหน่อยแล้ว เพิ่งสลัดปีศาจค้างคาวพวกนั้นหลุด ดันโผล่เข้ามาอยู่ในฝูงปีศาจแมลงเหล่านี้ที่น่ากลัวกว่าเดิม ดูท่ายันต์แหวกมิตินั่นถึงจะยอดเยี่ยมแต่จะใช้ส่งเดชไม่ได้”
หลิ่วหมิงโอดครวญในใจประโยคหนึ่งแล้วพลิกมือเรียกขวดหยกสีขาวใบหนึ่งออกมา เขาเทโอสถสีขาวน้ำนมใสแวววาวเม็ดหนึ่งออกมาจากด้านใน บนนั้นมีลวดลายจิตวิญญาณจางๆ สามสายเห็นเด่นชัด สิ่งนี้ก็คือโอสถเก้าลี้ลับหวนคืนปราณระดับธรรมดาที่อินจิ่วหลิงมอบให้เมื่อตอนนั้น
หลังจากเขากลืนโอสถเม็ดนี้ลงไปอย่างรวดเร็ว ทันใดนั้นปราณเย็นสบายสายหนึ่งก็ไหลลงคอแล้วแผ่ขยายไปทั่วในทะเลจิตวิญญาณดั่งหิมะแรกละลายในฤดูใบไม้ผลิทันที พลังเวทที่เหือดแห้งไปบ้างในร่างจิตวิญญาณเต็มเปี่ยมขึ้นมาไม่น้อยในทันใด
หลิ่วหมิงสูดลมหายใจลึกแล้วกระพือปีกทั้งสองข้างบนแผ่นหลังอย่างแรง ความเร็วในการหนีเพิ่มขึ้นอีกส่วนหนึ่งเพื่อฝืนรักษาระยะห่างกับยุงน้ำแข็งลึกลับ ไม่ให้ถูกย่นระยะเข้ามาใกล้อีก
ผลปรากฏว่าไม่ทันที่เขาจะโล่งอก หลังร่างฉับพลันก็มีเสียงแหวกอากาศดังฉึบ เข็มน้ำแข็งแวววาวผืนหนึ่งพาประกายเย็นเยียบสายแล้วสายเล่าพุ่งเร็วรี่เข้าใส่แผ่นหลังของเขา
หลิ่วหมิงสีหน้าเปลี่ยนไปทันที ปีกเนื้อบนแผ่นหลังกระพืออย่างแรง ทั้งร่างฉับพลันหมุนเปลี่ยนทิศ หลบพ้นเข็มน้ำแข็งเหล่านี้อย่างหวุดหวิด แล้วพุ่งไปยังยอดเขาสูงใหญ่ลูกหนึ่งที่อยู่ใกล้ๆ
เมื่อถูกยอดเขาขวางกั้น ยุงน้ำแข็งลึกลับด้านหลังก็ถูกถ่วงเวลาไปชั่วครู่ ทำให้หลิ่วหมิงได้โอกาสพักหายใจเล็กน้อย หลังจากครุ่นคิดอย่างรวดเร็วเขาก็พลิกมือเรียกธาราลวงวิญญาณออกมาแล้วเปิดยันต์ด้านบนกับจุกขวดออก พร้อมกันนั้นมืออีกข้างหนึ่งก็ตบเบาๆ บนถุงหล่อเลี้ยงวิญญาณ
ปราณดำสายหนึ่งผุดออกมากลายร่างเป็นแมงป่องขนาดเท่าฝ่ามือตัวหนึ่งยืนอยู่บนหัวไหล่ของเขา
“เซียเอ๋อร์ เจ้านำขวดหยกใบนี้มุดลงไปใต้ดิน” หลิ่วหมิงเอ่ยสั่ง
“ทราบแล้ว นายท่าน!”
เซียเอ๋อร์อ้าปากพ่นปราณดำสายหนึ่งออกมาหอบขวดหยกไป ร่างกายพร่าเลือนวูบหนึ่งจากนั้นกลายเป็นลำแสงเส้นหนึ่งพุ่งลงไปยังพื้นดินของภูเขาด้านล่าง
หลิ่วหมิงขยับร่างบินไปยังทิศทางตรงกันข้ามกับเซียเอ๋อร์
กลิ่นธาราลวงวิญญาณทำให้ฝูงยุงน้ำแข็งลึกลับปั่นป่วน ปีศาจแมลงระดับผลึกฉับพลันเปลี่ยนทิศทางไล่ตามเซียเอ๋อร์ที่อยู่ด้านล่างไป
เซียเอ๋อร์เวลานี้เข้าใกล้พื้นดินแล้ว ผิวเปลือกรอบร่างส่องแสงสีน้ำตาลทองวูบหนึ่งแล้วมุดลงไปใต้พื้นดินของภูเขา
“เปรี้ยง” เสียงดังสนั่นดังมาจากเบื้องล่าง!
ยุงน้ำแข็งลึกลับเหล่านั้นเห็นชัดว่าไม่เชี่ยวชาญวิชาดำดินแต่ยังคงพุ่งเข้าชนด้านล่างอย่างไม่ลังเลสักนิด ระหว่างที่ทรายหินปลิวว่อนพวกมันก็พากันหายไปไม่เห็นร่องรอย
แม้เซียเอ๋อร์ล่อยุงน้ำแข็งลึกลับกว่าครึ่งไปแล้ว แต่ยุงน้ำแข็งลึกลับระดับแก่นแท้สองตัวก็ยังคงไล่ตามหลิ่วหมิงมาติดๆ
……
สามวันให้หลัง หลิ่วหมิงนั่งอยู่บนพื้นในถ้ำใต้หน้าผาสีดำแห่งหนึ่ง หน้าอกพองขึ้นยุบลงไม่หยุด ใบหน้าเผยสีหน้าเหนื่อยล้าออกมาเล็กน้อยอย่างเห็นได้ชัด
ระหว่างที่ถูกยุงน้ำแข็งลึกลับซึ่งเหลือไม่กี่ตัวนั่นไล่ตามก่อนหน้านี้ ตอนแรกเขาวางแผนจะล่อยุงน้ำแข็งลึกลับระดับแก่นแท้ทั้งสองตัวไปสังหารในที่ซึ่งไม่มีคน แต่คิดไม่ถึงว่าระหว่างทางกลับพบอสูรกระสาระดับผลึกสิบกว่าตัวกับอสรพิษปักษาสองขาพลังระดับแก่นแท้อีกตัวหนึ่ง
ในสถานการณ์เช่นนี้ หลิ่วหมิงได้แต่ทิ้งแผนการเดิมแล้วหนีเตลิดต่อ หลายวันนี้ไม่เพียงกินโอสถไปไม่น้อย เขายังใช้ยันต์ซ่อนเร้นอันล้ำค่าไปหลายแผ่นกับแผ่นค่ายกลและธงค่ายกลอีกหนึ่งชุด สุดท้ายใช้ภาพสัญลักษณ์เชอฮ่วนซ่อนเร้นกลิ่นอายถึงสลัดหลุดมาได้
ด้วยพลังตอนนี้ของเขา หากต่อสู้กับปีศาจอสูรระดับแก่นแท้สามตัวพร้อมกับระดับผลึกอีกสิบกว่าตัวเข้าจริง ก็พูดไม่ได้ว่าไม่มีโอกาสชนะ แต่กว่าครึ่งคงไม่มีทางรอดมาได้อย่างปลอดภัย
หลิ่วหมิงครุ่นคิดเช่นนี้แล้วพลิกมือเรียกโอสถจินหยวนเม็ดหนึ่งมากินลงไป กระตุ้นฤทธิ์ยาฟื้นพลังเวทอย่างเชื่องช้า
ผ่านไปอีกเกือบครึ่งวัน ตอนที่พลังเวทของเขาฟื้นคืนมาราวเจ็ดแปดส่วนนั่นเอง ทันใดนั้นแสงสีน้ำตาลทองก็สว่างขึ้นเบื้องหน้า สตรีสาวสวมชุดตาข่ายสีดำรูปร่างอรชรคนหนึ่งโผล่ออกมาจากบนพื้นดิน
“เซียเอ๋อร์ ครั้งนี้ลำบากเจ้าแล้ว” หลิ่วหมิงลืมตาขึ้นแล้วเอ่ยพร้อมรอยยิ้มน้อยๆ
สามวันนี้เขากับเซียเอ๋อร์ต่างคนต่างหนีไปคนละทาง ไม่รู้ทิศทางสักนิด ยังดีที่ทั้งสองฝ่ายอยู่ในระยะที่เชื่อมจิตติดต่อกันได้ จึงสัมผัสตำแหน่งคร่าวๆ ของกันและกันได้เลือนราง
“นายท่าน สิ่งนี้มอบให้ท่าน” เซียเอ๋อร์ประคองขวดหยกสีเขียวในมือ มันก็คือธาราลวงวิญญาณนั่นเอง
“ข้าส่งกระแสจิตบอกเจ้าให้โยนธาราลวงวิญญาณทิ้งหลังล่อยุงน้ำแข็งลึกลับออกไปไม่ใช่หรือ?” สายตาของหลิ่วหมิงจับจ้องอยู่บนขวดหยกสีเขียวแล้วขมวดคิ้วเอ่ยขึ้น
“ข้าทราบว่าธาราลวงวิญญาณล้ำค่ายิ่งนัก หลังจากนี้ยามล่าปีศาจอสูรนายท่านอาจใช้ประโยชน์ได้ ดังนั้นจึงนำกลับมาด้วย แต่มันเหลือเพียงหนึ่งส่วนสี่เท่านั้นแล้ว” เซียเอ๋อร์ยิ้มบอก
“ครั้งนี้ลำบากเจ้าแล้วจริงๆ หากไม่ใช่เพราะเจ้าครอบครองพรสวรรค์ในการดำดิน ข้าก็คงไม่กล้าเสี่ยงให้เจ้าทำงานนี้” หลิ่วหมิงมองสีหน้าซีดเซียวบนใบหน้าของสตรีสาว ในใจก็สะเทือนใจเล็กน้อยอย่างไม่รู้สาเหตุ
“นายท่านพูดอะไรเล่า เซียเอ๋อร์ทุ่มเทกำลังให้นายท่านเดิมก็เป็นเรื่องสมควร” สตรีสาวกลับเอ่ยตอบด้วยสีหน้าจริงจัง
“จำไว้ หลังจากนี้หากพบศัตรูแข็งแกร่งที่ต้านทานไม่ได้ ให้ปกป้องความปลอดภัยของตนเองเป็นอันดับแรก” หลิ่วหมิงหยิบธาราลวงวิญญาณไปแล้วเอ่ยสั่งเช่นนี้
“ทราบแล้ว นายท่าน!” เสียงของเซียเอ๋อร์ตอบรับราวกับยุง จากนั้นร่างกายพลันกลายเป็นแสงสีดำสายหนึ่งบินเข้าไปในถุงหล่อเลี้ยงวิญญาณข้างเอวหลิ่วหมิง
หลิ่วหมิงลุกขึ้นยืนจากนั้นเดินไปด้านนอก หลังจากยืนเงียบอยู่ที่ปากถ้ำครู่หนึ่ง เขาถึงตั้งท่าเคล็ดวิชากลายเป็นลำแสงเส้นหนึ่งเหาะเร็วรี่จากไป
……
ณ สถานที่ซึ่งห่างจากจุดที่หลิ่วหมิงอยู่ไกลไม่รู้เท่าไร มีซากหมู่บ้านผุพังที่ครอบครองพื้นที่ขนาดหลายหมู่แห่งหนึ่งอยู่
ทั้งหมู่บ้านตั้งกระจายอยู่บนเชิงเขาเป็นรูปครึ่งวงกลมหันหลังให้หมู่เขา บ้านในหมู่บ้านส่วนใหญ่เป็นบ้านทรงเตี้ยที่ก่อจากศิลาสีเหลืองจำนวนมาก ไม่รู้ว่าถูกกัดกร่อนจากวันเวลามานานเท่าไรจึงมีหลายหลังไม่น้อยแตกร้าวหลุดเป็นชิ้นๆ ถึงขนาดที่บางหลังถล่มลงไปแล้ว สถานที่ไม่น้อยมีรอยดำเป็นแถบ รอบด้านแทบไม่มีหญ้าขึ้นสักต้น
ตรงใจกลางหมู่บ้านมีแท่นศิลาเรียบสีดำขนาดร้อยกว่าจั้งแห่งหนึ่ง กลางแท่นคือรูปสลักสูงสี่ห้าจั้งรูปหนึ่ง แม้แตกเป็นชิ้นๆ ไปบางส่วน แต่หากมองให้ละเอียดก็ยังรู้ได้ว่ารูปสลักรูปนี้เป็นบุรุษอัปลักษณ์ครึ่งมนุษย์ครึ่งปีศาจตนหนึ่งที่แผ่ปราณธาตุดินออกมาเลือนราง
“ศิษย์พี่หลง พวกเราสำรวจที่แห่งนี้อย่างละเอียดแล้วแต่ไม่พบสมบัติล้ำค่าอันใด แล้วก็หาปราณมารไม่พบแม้แต่น้อย”
เงาดำหลายร่างโฉบมาปรากฏตัวกลางแท่นเรียบ มองเห็นอยู่เลือนรางว่าเป็นคนที่สวมเครื่องแต่งกายของศิษย์นิกายปีศาจลี้ลับห้าคน ชายหนุ่มผมเขียวหน้าตาอัปลักษณ์ผู้นั้นที่เป็นหัวหน้าก็คือหลงเซวียน
“ไม่มีทางผิดไปได้ ศิลามารที่นิกายให้พวกเราตามหาน่าจะอยู่ในซากปรักหักพังแถบนี้ พวกเราเพียงไม่อาจหาตำแหน่งที่แน่ชัดได้เท่านั้น ตามหาต่อ ศิลามารนี้สำคัญกับนิกายเรายิ่งนัก ต่อให้ต้องขุดซากปรักหักพังทั้งแถบให้หงายขึ้นฟ้าก็ต้องหาให้พบ!”
หลงเซวียนตำหนิเสียงแผ่วเบาด้วยน้ำเสียงที่ไม่ยอมให้สงสัย เพลิงปราณสีดำลุกโหมทั่วร่างชั่วพริบตาก็กลายเป็นพายุสีดำลูกหนึ่งซัดเสียงดังหวีดหวิวเข้าใส่บ้านโคลนผุพังหลังหนึ่งที่อยู่ใกล้ที่สุด