“พรึ่บ” เปลวเพลิงลุกโชนออกมาจากร่างของอสูรไก่ ทองคำเปลวทำให้อุณหภูมิรอบด้านพุ่งสูงขึ้นในทันใด
จะว่าไปแมงป่องกับไก่เดิมทีก็เป็นสัตว์ที่เกิดมาข่มกันและกันอยู่แล้ว ทันทีที่พบหน้า ต่างฝ่ายย่อมเหมือนเห็นศัตรู
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ บนใบหน้าก็เผยสีหน้าประหลาดใจจางๆ ออกมา
เห็นชัดว่ายามเซียเอ๋อร์เผชิญหน้ากับราชาไก่ทองคำสี่มงกุฎระดับผลึกตัวนี้นางไม่มีความหวาดกลัวแม้แต่น้อย ตรงกันข้ามปราณสีดำพวยพุ่งออกจากร่าง พริบตาเดียวขนาดตัวขยายใหญ่เป็นหนึ่งจั้งกว่าในทันใด ปล้องโค้งกับเหล็กในของส่วนหางเปล่งแสงสีดำระยิบระยับ ร่างกายขยับกลายเป็นเงาดำสายหนึ่งโถมออกไปก่อน
อสูรไก่ทองคำสี่มงกุฎร้อง “กุ๊กๆ” ขณะที่เปลวเพลิงรอบร่างพวยพุ่ง แล้วโถมเข้าประจันหน้ากับแมงป่องกระดูกในทันใด
“ศิษย์น้องหลิ่ว นี่เจ้า…” บุรุษร่างกำยำผมสั้นมองหลิ่วหมิงครั้งหนึ่งแล้วขมวดคิ้ว
“พี่ชิวไม่ต้องใส่ใจ นี่คือจุดประสงค์ที่ข้ายืมอสูรไก่ทองคำสามมงกุฎ” หลิ่วหมิงเอ่ยขึ้นเรียบๆ
เพิ่งเอ่ยจบ เสียงปะทะรุนแรงก็ดังขึ้นกลางอากาศ ทั้งสองฝ่ายพุ่งเข้าชนกัน แสงสองดวงสีแดงกับสีดำปะทะกันอย่างรุนแรงก่อนจะเกี่ยวกระหวัดกันทอแสงระยิบระยับ
ทว่าเพียงหนึ่งลมหายใจ ราชาไก่ทองคำสี่มงกุฎก็กรีดร้องปลิวถอยออกมาแล้วร่วงลงบนพื้นอย่างหนักหน่วง เปลวเพลิงบนร่างสลายหายไปเกินครึ่ง บนปีกข้างซ้ายมีรอยแผลยาวเส้นหนึ่งอย่างเห็นได้ชัดเจน
อีกด้านหนึ่งแสงสีดำกะพริบวูบหนึ่ง เซียเอ๋อร์ยืนมั่นคงอยู่ที่เดิม ปราณสีดำวนเวียนบนร่าง ปากส่งเสียงร้องออกมาอย่างสะใจ
ราชาไก่ทองคำสี่มงกุฎกรีดร้องอย่างโกรธเกรี้ยว หงอนไก่สี่หงอนบนหัวเปล่งแสงสีแดงสว่างจ้า มันอ้าปากพ่นเปลวเพลิงสีม่วงแดงลำยักษ์หนาเท่าชามข้าวหลายเส้นออกมาม้วนตัวเป็นเสาอัคคีสีม่วงแดงต้นหนึ่ง
จุดที่เปลวเพลิงพุ่งผ่าน อุณหภูมิร้อนระอุแผ่กระจาย ผืนดินถูกย่างไหม้เกรียม กระทั่งอากาศรอบข้างก็ราวกับจะลุกติดไฟ บุรุษร่างกำยำผมสั้นเห็นเช่นนี้ก็อดไม่ได้ถอยหลังไปหลายก้าว
หลิ่วหมิงเลิกคิ้ว นี่น่าจะเป็นเพลิงปีศาจแต่กำเนิดของอสูรไก่ทองคำสามมงกุฎที่บุรุษร่างกำยำผมสั้นเอ่ยถึง
เซียเอ๋อร์ไม่ถอยแม้แต่นิด นางกรีดร้อง แสงสีเหลืองทอแสงบนก้ามยักษ์ทั้งสองข้าง ผืนดินปริแยกในทันใด ศิลาก้อนใหญ่น้อยนับไม่ถ้วนพุ่งออกมา ชั่วอึดใจรวมตัวกันเป็นธารก้อนหินมหาศาลโถมชนเสาอัคคีที่อสูรไก่ทองคำสี่มงกุฎพ่นออกมา
เปลวเพลิงสีม่วงแดงอุณหภูมิสูงยิ่งนัก ก้อนหินส่วนใหญ่หลอมละลายเกิดควันสีเทาโขมง แต่ก้อนหินด้านหลังรวมตัวกันมากขึ้นเรื่อยๆ พริบตาเดียวก็ท่วมทับเสาอัคคีสีม่วงแดง
ปังๆ !
ราชาไก่ทองคำสี่มงกุฎกรีดร้อง ร่างกายถูกธารก้อนหินซัดปลิวถอยไปสิบกว่าจั้งแล้วร่วงตกลงบนพื้นอย่างหนักหน่วง ขนนับไม่ถ้วนปลิวว่อนกลางอากาศ แลดูน่าเวทนายิ่งนัก
“พอแล้ว เซียเอ๋อร์!” หลิ่วหมิงถอนหายใจ ส่งกระแสจิตห้ามเซียเอ๋อร์ที่ยังเหมือนจะกระเหี้ยนกระหือรืออยู่
เซียเอ๋อร์ส่งเสียงแผ่วต่ำอย่างได้ใจ ร่างกายหดเล็บในฉับพลันจนกลายเป็นขนาดเท่าฝ่ามืออีกครั้งแล้วเหาะไปเกาะบนหัวไหล่ของหลิ่วหมิง ใช้ก้ามคู่หน้าถูไถลำคอของหลิ่วหมิงอย่างสนิทสนม
บุรุษร่างกำยำผมสั้นด้านข้างที่มองดูอยู่ตาโตอ้าปากค้าง!
แม้ราชาไก่ทองคำสี่มงกุฎตัวนี้ระดับพลังสู้อีกฝ่ายไม่ได้ แต่ตามหลักแล้วเพลิงปีศาจแต่กำเนิดของมันก็ข่มปีศาจอสูรจำพวกแมงป่องได้ แต่แมงป่องสีเงินตัวนี้ของคนแซ่หลิ่วโจมตีสองสามครั้งก็ล้มอสูรไก่ทองคำสี่มงกุฎระดับผลึกตัวนี้ได้
“พี่ชิว เสร็จแล้ว นี่คือหนึ่งแสนหินจิตวิญญาณ อสูรไก่ทองคำตัวนี้เชิญท่านเก็บไปเถิด” หลิ่วหมิงเรียกยันต์เก็บของแผ่นหนึ่งออกมา แล้วส่งถุงสีแดงในมือ รวมทั้งป้ายคำสั่งคืนให้แก่บุรุษร่างกำยำผมสั้น
บุรุษร่างกำยำผมสั้นหัวเราะฝืดเฝื่อนครั้งหนึ่งแล้วรับถุงกับป้ายคำสั่งไป เมื่อเขาทำท่าเคล็ดวิชาท่าหนึ่ง ถุงน้อยสีแดงก็ส่งแสงสีแดงสายหนึ่งออกมาม้วนราชาไก่ทองคำสี่มงกุฎที่คอตกด้วยความหดหู่เข้าไปด้านในในพริบตา
หลิ่วหมิงครุ่นคิดครู่หนึ่ง บนฝ่ามือก็ทอแสง ไข่อสูรสีทองอ่อนฟองหนึ่งปรากฏขึ้น
“พี่ชิว ท่านเป็นศิษย์ผู้ดูแลสวนที่นี่ น่าจะคุ้นเคยกับไข่อสูรของไก่ทองคำสามมงกุฎยิ่งนัก รบกวนท่านดูสิ่งนี้สักหน่อย” หลิ่วหมิงเอ่ยพลางส่งไข่อสูรในมือให้บุรุษร่างกำยำผมสั้น
เซียเอ๋อร์ไม่กลัวแม้กระทั่งราชาไก่ทองคำสี่มงกุฎระดับผลึก ถ้าเช่นนั้นในสิบส่วนก็มีโอกาสแปดถึงเก้าส่วนที่ไข่อสูรฟองนี้จะไม่ใช่ไข่อสูรของอสูรไก่ทองคำสามมงกุฎ
“นี่คือไข่อสูรของอสูรไก่ทองคำสามมงกุฎ…แต่เหมือนจะเป็นไข่ฝ่อฟองหนึ่งนะ” บุรุษร่างกำยำผมสั้นรับไข่อสูรสีทองไป แต่พิจารณาอย่างละเอียดอยู่พักหนึ่งก็เอ่ยขึ้นอย่างหมดความสนใจ
“นี่เป็นสิ่งที่ข้าบังเอิญพบในซากโบราณสถานแห่งหนึ่ง ใกล้ๆ กันมีไข่ฝ่อของอสูรไก่ทองคำสามมงกุฎอีกไม่น้อย แต่ไข่อสูรฟองนี้เหมือนจะมีบางอย่างพิเศษ ข้าจึงนำติดมาด้วย” หลิ่วหมิงเอ่ยอย่างนิ่งสงบ
บุรุษร่างกำยำผมสั้นฟังแล้วก็ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ทันใดนั้นเขาก็ท่องมนตร์ แสงสีขาวจุดหนึ่งโผล่ออกมาจากบนปลายนิ้วจิ้มลงบนไข่อสูรสีทอง
ครู่หนึ่งหลังจากนั้นเขาก็เลื่อนปลายนิ้วออก ในดวงตาเผยความสงสัยแล้วมองสำรวจอย่างละเอียดรอบหนึ่ง แต่ในที่สุดก็ส่งไข่อสูรคืนให้หลิ่วหมิง จากนั้นส่ายศีรษะเอ่ยขึ้นว่า
“ขออภัย ศิษย์น้องหลิ่ว ข้าก็มองความเป็นมาของสิ่งนี้ไม่ออกเช่นกัน มันดูเหมือนไข่อสูรของอสูรไก่ทองคำสามมงกุฎยิ่งนัก แต่ด้านในมีลมปราณประหลาดสายหนึ่งเพิ่มมา บางทีอาจเป็นไข่อสูรกลายพันธุ์ฟองหนึ่ง แต่พลังชีวิตที่อยู่ด้านในน้อยนิดจนน่าจะไม่อาจฟักได้แล้ว” หลิ่วหมิงขมวดคิ้วแน่น กระทั่งคนของสวนอสูรจิตวิญญาณยังมองความเป็นมาของไข่ฟองนี้ไม่ออก ดูท่าหากอยากรู้ความเป็นมาของมันให้ชัดคงยุ่งยากอยู่บ้างแล้ว
ในตอนนี้เองเสียงฝีเท้าก็ดังมาจากไกลๆ พวกหลิ่วหมิงสองคนหันหน้าไปมองอย่างไม่รู้ตัว ก็เห็นผู้เฒ่าใบหน้าดุจอาชาคนหนึ่งที่อยู่นอกสิ่งก่อสร้างหลังหนึ่งใกล้ยอดเขากำลังเดินมาหาทั้งสองคน
“ผู้อาวุโสไป๋ ลุกขึ้นมาเช้าขนาดนี้เชียว” บุรุษร่างกำยำผมสั้นเห็นเช่นนี้ก็หัวเราะร่าทักทายผู้เฒ่าใบหน้าดุจอาชาผู้นี้
หลิ่วหมิงกวาดจิตสัมผัสผ่านร่างคนที่มา คนผู้นี้เป็นผู้ฝึกฝนระดับแก่นแท้ ดูจากเสื้อผ้าบนร่างน่าจะเป็นผู้อาวุโสของสวนอสูรจิตวิญญาณ
“เจ้าเด็กเวร โหวกเหวกโวยวายอยู่ข้างนอกจะให้ข้าทำสมาธิได้อย่างไร” ผู้เฒ่าใบหน้าดุจอาชาถลึงตาใส่บุรุษร่างกำยำผมสั้นอย่างไม่สบอารมณ์ แต่ถ้อยคำเหมือนไม่ได้โกรธจริงจัง
บุรุษร่างกำยำผมสั้นหัวเราะฮ่าๆ ด้วยท่าทางเหมือนไม่ใส่ใจ จากนั้นจึงเอ่ยกับหลิ่วหมิงว่า
“ศิษย์น้องหลิ่ว ท่านนี้คือผู้อาวุโสไป๋ผู้ดูแลสวนอสูรจิตวิญญาณ”
“คารวะผู้อาวุโสไป๋ เมื่อครู่อสูรจิตวิญญาณของข้ารบกวนผู้อาวุโสทำสมาธิ ขออภัยจริงๆ” หลิ่วหมิงประสานมือคำนับแล้วเอ่ยอย่างรู้สึกผิดเล็กน้อย
“เรื่องเล็กๆ” ผู้เฒ่าใบหน้าดุจอาชาโบกมือ จากนั้นสายตาก็เคลื่อนไปหยุดอยู่บนตัวเซียเอ๋อร์ที่เกาะหัวไหล่หลิ่วหมิงอยู่ เขามองสำรวจสองสามครั้ง ในดวงตาก็ทอประกายประหลาดใจวิบวับ
เซียเอ๋อร์รู้สึกถึงสายตาของผู้เฒ่าใบหน้าดุจอาชาก็ส่งเสียงร้องอย่างไม่พอใจเล็กน้อย ก่อนที่ร่างกายจะขยับครั้งเดียวกลายเป็นปราณดำสายหนึ่งมุดเข้าไปในถุงหล่อเลี้ยงวิญญาณข้างเอวหลิ่วหมิง
ผู้เฒ่าใบหน้าดุจอาชาเห็นเช่นนี้ก็รีบเอ่ยปากถามหลิ่วหมิง “เจ้าคือหลิ่วหมิงสินะ?”
“ถูกแล้วข้าคือหลิ่วหมิงศิษย์จากยอดเขาลั่วโยว” หลิ่วหมิงเอ่ยอย่างไม่ปิดบัง
“ที่แท้ท่านก็คือศิษย์พี่หลิ่วที่ได้ฉายาว่าศิษย์อันดับหนึ่งของนิกายสายใน เสียมารยาทแล้ว” บุรุษร่างกำยำผมสั้นได้ยินชื่อ ‘หลิ่วหมิง’ ดวงตาก็เป็นประกายในทันใด
“ฉายาศิษย์อันดับหนึ่งของนิกายสายในคงไม่กล้ารับ ข้าเป็นเพียงศิษย์ธรรมดาคนหนึ่งของนิกายสายในก็เท่านั้น” หลิ่วหมิงยิ้มน้อยๆ เอ่ยตอบ
ผู้เฒ่าใบหน้าดุจอาชาถลึงตาใส่บุรุษร่างกำยำผมสั้นหนหนึ่งคล้ายตำหนิที่เขาสอดปาก จากนั้นจึงหันกลับมาเอ่ยกับหลิ่วหมิงต่อ
“ฮ่าๆ ที่แท้ก็ศิษย์หลานหลิ่วนี่เอง อสูรจิตวิญญาณแมงป่องตัวนี้ของเจ้ามีความสามารถไม่น้อย ไม่รู้ว่าขายต่อให้ข้าได้หรือไม่ เรื่องหินจิตวิญญาณเจ้าไม่ต้องกังวล ขอเพียงไม่ไร้เหตุผลนัก ข้าล้วนให้ตามความต้องการของเจ้าได้”
“ขออภัย ผู้อาวุโสไป๋ อสูรจิตวิญญาณตัวนี้อยู่เคียงข้างศิษย์มาตลอดนับตั้งแต่ศิษย์พลังระดับศิษย์จิตวิญญาณ ข้าไม่ขาย” หลิ่วหมิงได้ยินย่อมส่ายศีรษะ
“เจ้าลองคิดดูอีกที ห้าสิบล้านหินจิตวิญญาณเป็นอย่างไร?” ผู้เฒ่าใบหน้าดุจอาชาหาโกรธไม่ เขากลับให้ราคาที่น่าเหลือเชื่อสำหรับผู้ฝึกฝนระดับผลึกออกมา
“ต่อให้ร้อยล้านหินจิตวิญญาณ ผู้เยาว์ก็ไม่คิดขายขอรับ” หลิ่วหมิงยังคงยืนกรานปฏิเสธ
ผู้เฒ่าใบหน้าดุจอาชาเห็นหลิ่วหมิงจิตใจแน่วแน่ บนใบหน้าก็เผยสีหน้าผิดหวังออกมาทันที ทว่าจากนั้นก็โบกมือเอ่ยขึ้นว่า
“เจ้าเป็นศิษย์ของอินจิ่วหลิงสินะ เห็นแก่หน้าเจ้าหมอนั่น ข้าจะไม่บังคับให้คนลำบากใจ ถ้าเขามาเอาเรื่องข้า กระดูกแก่ๆ นี่ของข้าคงรับไม่ไหว”
“ขอบคุณผู้อาวุโสยิ่งนัก” หลิ่วหมิงโล่งอกแล้วประสานมือคำนับ
“อสูรจิตวิญญาณตัวนี้ของเจ้าติดอยู่ที่ระดับผลึกขั้นปลายนานแล้วสินะ เมื่อครู่ข้าเห็นลมปราณในร่างมันปะปนกันมั่วซั่ว เหมือนมีปราณปีศาจกับไอปีศาจอยู่ด้วย…หากอยากเลื่อนระดับเป็นระดับแก่นเสมือนแล้วผนึกแก่นแท้ เจ้าต้องจัดการพลังจิตวิญญาณที่ปะปนอยู่ในร่างมันสักครั้ง มิเช่นนั้นชั่วชีวิตนี้ของมันก็ได้แต่หยุดอยู่ขั้นนี้” ผู้เฒ่าใบหน้าดุจอาชาคิดอยู่ครู่หนึ่งก็เอ่ยปากขึ้นอีกครั้ง
“ขอบคุณผู้อาวุโสที่แนะนำ” หลิ่วหมิงได้ยินก็ตะลึงไปวูบหนึ่ง แต่จากนั้นก็ค้อมกายคำนับผู้เฒ่า
“ไม่ใช่เรื่องใหญ่ ข้ากับอินจิ่วหลิงนับว่ามีไมตรีกันมานาน ชี้แนะศิษย์ของเขาสักหน่อยไม่นับเป็นอันใด” ผู้เฒ่าใบหน้าดุจอาชาไม่ใช่คนเคร่งจึงเอ่ยด้วยน้ำเสียงขบขัน
“ศิษย์มีข้อสงสัยข้อหนึ่ง อยากขอคำชี้แนะจากอาจารย์ลุงไป๋สักเล็กน้อย…” หลิ่วหมิงกลอกตารอบหนึ่งก็เอาไข่อสูรสีทองออกมาอีกหน
“เมื่อครู่ข้าใช้จิตสัมผัสสำรวจของสิ่งนี้จากไกลๆ แล้ว ความเป็นมาของของสิ่งนี้ ข้าก็บอกไม่ได้ แต่สิ่งที่แน่ใจได้คือมันไม่ใช่ไข่อสูรของอสูรไก่ทองคำสามมงกุฎแน่นอน” ผู้เฒ่าใบหน้าดุจอาชาคล้ายจะล่วงรู้ความคิดของหลิ่วหมิงอยู่แล้วจึงส่ายศีรษะเอ่ยขึ้นทันที
หลิ่วหมิงได้ยินผู้อาวุโสผู้ดูแลสวนอสูรจิตวิญญาณท่านนี้เอ่ยเช่นนี้ ในใจก็อดไม่ได้ยิ้มจืดเจื่อน
“ไม่ทราบว่าศิษย์หลานเคยได้ยินเกี่ยวกับนิกายใหญ่อายุหมื่นปีชื่อ ‘เขาอสูรสวรรค์’ หรือไม่? พวกเขาเลี้ยงดู ซื้อขายและใช้อสูรจิตวิญญาณเป็นหลัก หากพูดถึงความรู้เกี่ยวกับปีศาจอสูรชนิดต่างๆ บนแผ่นดินจงเทียนเรียกได้ว่าพวกเขาเป็นที่หนึ่ง หากศิษย์หลานมีเวลาว่างลองไปสืบหาที่นั่นดูสักหน่อยเป็นอย่างไร” ผู้เฒ่าใบหน้าดุจอาชาลูบหนวดเคราแล้วให้คำแนะนำหลิ่วหมิง
“เขาอสูรสวรรค์หรือ? ศิษย์เคยได้ยินมาบ้าง เหมือนจะเป็นนิกายที่เป็นมิตรกับนิกายเรา” หลิ่วหมิงเหมือนนึกขึ้นได้
“ไม่ผิด แม้นิกายยอดบริสุทธิ์ของเราจะมีสวนอสูรจิตวิญญาณที่ไม่เล็กแต่ก็ไม่ใหญ่แห่งหนึ่งเช่นนี้ ทว่าก็ไม่ได้ชำนาญในเรื่องควบคุมอสูร เขาอสูรสวรรค์แห่งนั้นมีหอหมื่นอสูรที่เก็บหนังสือภาพและข้อมูลเกี่ยวกับอสูรประหลาดนานาชนิดนับแต่โบราณจนถึงปัจจุบันเอาไว้ กระทั่งอสูรบนแผ่นดินหมานฮวงหรือแผ่นดินว่านหมัวก็มีข้อมูลอยู่บ้าง เอาเช่นนี้เถิด เห็นแก่หน้าอินจิ่วหลิง ข้าช่วยคนแล้วย่อมช่วยถึงที่สุด ข้ารู้จักคุ้นเคยกับผู้อาวุโสคนหนึ่งของเขาอสูรสวรรค์ เจ้าจงนำตราชิ้นนี้ไปหาผู้อาวุโสนามฮั่วชั่น ใช้หินจิตวิญญาณเล็กน้อยน่าจะเข้าหอหมื่นอสูรนี่ได้สักครั้ง ส่วนจะหาความเป็นมาของไข่ทองคำฟองนี้ในมือเจ้าพบหรือไม่ก็แล้วแต่โชคชะตาของเจ้า” ผู้เฒ่าใบหน้าดุจอาชาพูดพลางพลิกมือเรียกตราสีน้ำเงินอ่อนชิ้นหนึ่งโยนมาให้หลิ่วหมิง บนตราอันประณีตงดงามเขียนอักษรคำว่า ‘อสูร’ สีทองเอาไว้