ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ – ตอนที่ 1106 ชาติก่อนและชาตินี้

ตอนที่ 1106 ชาติก่อนและชาตินี้

หากเป็นดังเช่นหลัวโหวกล่าวจริง  หลิ่วหมิง  ที่อยู่ตรงหน้าคนนี้ย่อมมีระดับพลังและความสามารถเหมือนกับตนทุกประการ

แม้ก่อนนี้เขาจะเคยจำลองศัตรูทุกคนที่เคยพบในดวงตามายา แต่กลับไม่เคยยืนอยู่ตรงข้ามกับ  ตนเอง  และต้องคิดหาทุกวิธีเพื่อล้ม  ตนเอง  เฉกเช่นวันนี้มาก่อน

อินหลิวที่อยู่ด้านข้างเห็นทุกสิ่งที่กระจกฉาย รวมถึง  หลิ่วหมิง  ที่เพิ่งปรากฏตัวออกมา แต่ไม่เผยสีหน้าประหลาดใจแม้แต่น้อย เขามองดูด้วยสีหน้าเรียบเฉย

ทว่าเมื่อเขามองเห็นภาพบางอย่าง คิ้วก็ขยับเล็กน้อย ในที่สุดก็ทำหน้าครุ่นคิด

หลิ่วหมิงไม่มีเวลาสนใจอินหลิวที่อยู่ด้านข้าง ความคิดกำลังแล่นเร็วจี๋ ใคร่ครวญถึงการโจมตีแต่ละอย่างที่  ตนเอง  อาจจะโจมตีมารวมถึงวิธีรับมือที่เหมาะสม พร้อมกันนั้นในร่างก็ลอบรวบรวมพลังเวท หาก  ตนเอง  ที่อยู่เบื้องหน้าเคลื่อนไหวแม้เพียงนิดก็จะส่งการโจมตีออกไปสยบอีกฝ่ายก่อนอย่างไม่ลังเลแม้แต่น้อย

ทว่า  หลิ่วหมิง  ที่อยู่ฝั่งตรงข้ามกลับมองด้วยแววตาเหยียดหยัน ยืนนิ่งไม่ขยับอยู่ฝั่งตรงข้ามไม่ไกลนัก

ทั้งสองคนคุมเชิงกันอยู่เช่นนี้

จนกระทั่งกระจกสีเทาเปล่งแสงอีกครั้ง ลำแสงสีเทาสายหนึ่งพุ่งพรวดออกมาล้อมร่างกายของอินหลิวเอาไว้

หลิ่วหมิงเลิกคิ้ว สมาธิส่วนใหญ่ยังคงจดจ่ออยู่กับตนเองอีกคนที่อยู่ตรงหน้า แต่ปลายหางตาเหลือบมอง

ปรากฏว่าอินหลิวผู้นี้ไม่ได้พยายามหลบหลีกอย่างเสียเปล่าเช่นนั้นเหมือนหลิ่วหมิงเมื่อตอนแรก และไม่มีสีหน้าหวาดหวั่นแม้แต่น้อย เขาเพียงยืนนิ่งอยู่ที่เดิมปล่อยให้แสงสีเทาล้อมตนเองเอาไว้

อึดใจต่อมากระจกสีเทาตรงหน้าก็มีแสงเรืองรองเคลื่อนไหว หลังจากนั้นก็มีภาพเหตุการณ์ภาพแล้วภาพเล่าปรากฏขึ้นมา นั่นย่อมเป็นเรื่องราวชีวิตของอินหลิว

หลิ่วหมิงมองเพียงชั่วแวบก็หันกลับมามองอินหลิว ใบหน้าเผยสีหน้าไม่ยากจะเชื่อ

อินหลิวกลับเพ่งมองภาพเหตุการณ์ในกระจกนิ่ง สีหน้าเรียบเฉย ในดวงตามีประกายประหลาดบางอย่างเลือนราง

ภาพที่ปรากฏขึ้นในกระจกคือหมู่เขาสูงตระหง่านที่ทอดยาวต่อกันแห่งหนึ่ง เมฆหมอกสีขาวลอยล่องเวียนวนอยู่รอบหมู่เขาที่ซ้อนสลับเป็นชั้นๆ บนยอดเขาเขียวชะอุ่นมีหออาคารและตำหนักอันหรูหราหลังแล้วหลังเล่าเห็นเด่นชัด

เห็นชัดยิ่งว่าเป็นสถานที่อันเยี่ยมยอดสำหรับการฝึกฝนสักแห่งบนโลกมนุษย์ที่ซึ่งปราณจิตวิญญาณแห่งฟ้าดินรวมตัวกันอยู่

ในลานกว้างของเรือนปลายหลังคาโค้งแห่งหนึ่งบนยอดเขาเขียวขจี เด็กหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาสวมชุดสีเทาผู้หนึ่งกำลังนั่งขัดสมาธิหันหน้าเข้าหาดวงตะวันอยู่บนหินเขียวก้อนยักษ์ เขาสูดลมหายใจเข้าออกอย่างมีจังหวะ ฝึกฝนอย่างนิ่งสงบ

หน้าตาของเด็กหนุ่มชุดเทาคล้ายกับอินหลิวอยู่หลายส่วน หลิ่วหมิงผู้ล่วงรู้อิทธิฤทธิ์ของค่ายกลอนธการก่อเกิดอยู่แล้ว ในใจย่อมรู้กระจ่างว่าเด็กหนุ่มผู้นี้ก็คืออินหลิวในอดีต เขาก็เป็นเผ่ามนุษย์ผู้หนึ่งเช่นกัน

สิ่งที่ทำให้หลิ่วหมิงตกตะลึงที่สุดก็คือเขาจิตวิญญาณแห่งนี้ดูคุ้นตายิ่งนัก มันเหมือนกับเทือกเขาหมื่นวิญญาณ ส่วนยอดเขาเขียวขจีที่เด็กหนุ่มชุดเทาอยู่ก็คือยอดเขาเมฆาเขียวที่เขาเคยไปเยือนครั้งหนึ่งตอนแรกเข้านิกายยอดบริสุทธิ์

เมื่ออินหลิวเห็นภาพเหล่านี้ตรงหน้า ในดวงตาก็มีแววตาหวนคะนึงปรากฏขึ้นเลือนราง แต่สีหน้าเขากลับนิ่งสงบคล้ายกำลังมองคนที่ไม่เกี่ยวข้องกับตนอย่างสิ้นเชิงคนหนึ่ง

หลิ่วหมิงฝืนกดความตกตะลึงในใจตนเองไว้แล้วมองดูต่อไป

ภาพในกระจกเปลี่ยนไปไม่หยุด เขามองดูภาพเด็กหนุ่มชุดเทาฝึกฝน เลื่อนระดับและฝึกปรือฝีมือภาพแล้วภาพเล่า ในใจหลิ่วหมิงยิ่งตกตะลึง เขายิ่งแน่ใจว่าคนผู้นี้เป็นศิษย์ของยอดเขาเมฆาเขียวของนิกายยอดบริสุทธิ์อย่างแท้จริง

ผ่านไปไม่นานภาพก็เปลี่ยนไปอีกครั้ง เด็กหนุ่มชุดเทาเติบโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว เขากลายเป็นชายหนุ่มผู้หล่อเหลาสง่างามที่ปรากฏตัวอยู่ในตำหนักใหญ่สีทองอร่ามแห่งหนึ่ง

ข้างกายเขามีชายหนุ่มที่สวมเสื้อผ้าแตกต่างกันยืนอยู่สิบกว่าคน แต่ละคนบรรยากาศไม่ธรรมดา เต็มเปี่ยมไปด้วยพลัง

ทุกคนกำลังจดจ่อสมาธิตั้งใจฟังผู้เฒ่าผมขาวใบหน้าเยาว์วัยที่ถือแส้นักพรตนั่งอยู่บนตำแหน่งประมุขในห้องโถงเอ่ยอะไรบางอย่าง

เหนือศีรษะของผู้เฒ่ามีป้ายมหึมาแผ่นหนึ่งแขวนอยู่ บนนั้นเขียนตัวอักษรแบบโบราณอันทรงพลังไว้สามตัวว่า  วังเจดีย์ 

ด้านหลังผู้เฒ่ามีแท่นบูชาสี่เหลี่ยมผืนผ้าปูผ้าแพรต่วนสีเหลืองแท่นหนึ่ง บนแท่นมีโคมสำริดโบราณขนาดเล็กดวงแล้วดวงเล่ามากถึงสิบเจ็ดสิบแปดดวง โคมน้อยแต่ละดวงล้วนมีเปลวเพลิงขนาดเท่าเมล็ดถั่วอยู่ดวงหนึ่ง สีสันแตกต่างกันไป

ต่อจากนั้นภาพก็เปลี่ยนผันอีกครั้ง หุบเขาสีเขียวหยกอันเขียวขจีลูกหนึ่งปรากฏขึ้นตรงหน้า

ด้านในหุบเขาเต็มไปด้วยเสียงสกุณาบุปผาบานสะพรั่ง เป็นทิวทัศน์ของแดนสวรรค์อันสงบสุขตัดขาดจากโลกภายนอก นอกจากกระท่อมฟางหยาบๆ ไม่กี่หลังกับสวนสมุนไพรไม่กี่หมู่ก็มีทะเลสาบสีฟ้าใสแห่งหนึ่ง ใจกลางทะเลสาบคือตาน้ำพุขนาดยักษ์ที่มีน้ำพุใสแจ๋วผุดออกมาไม่หยุด

ทะเลสาบเชื่อมกับธารน้ำสายหนึ่งซึ่งมีสะพานหินโค้ง หนึ่งบุรุษหนึ่งสตรีกำลังยืนอิงแอบกัน พวกเขาดูเหมือนชายหญิงวัยเยาว์สองคนที่กำลังอยู่ในห้วงรัก

ชายหนุ่มใบหน้าขาวผ่องไร้หนวดเครา บนศีรษะปักปิ่นเงินยาวหลายชุ่นเล่มหนึ่ง อาภรณ์สีครามบนร่างพลิ้วไหวตามสายลม บนแผ่นหลังคือกระบี่ยาวไร้ฝักเล่มหนึ่ง หน้าตาองอาจยิ่งนัก ส่วนหญิงสาวสวมอาภรณ์สีขาวพิสุทธิ์ ผมยาวจรดบั้นเอว หน้าตางดงามหมดจด เหมือนนกน้อยอิงแอบในอ้อมอกของชายหนุ่ม

เวลานี้เขากำลังชี้มือข้างหนึ่งไปที่น้ำพุใสใจกลางทะเลสาบและพูดบางอย่างด้วยท่าทางกระตือรือร้น ความตื่นเต้นยินดีล้นออกมาในคำพูดและสีหน้า ส่วนหญิงสาวก็เหมือนจะถูกเขาหยอกล้อจนอารมณ์ดีจึงปิดปากหัวเราะคิกคักไม่หยุด

เมื่ออินหลิวที่อยู่หน้ากระจกสีเทาเห็นภาพนี้ ดวงตาทั้งสองข้างก็เหม่อลอยเล็กน้อยอย่างหาได้ยากก่อนจะถอนหายใจออกมาเบาๆ

แต่หลิ่วหมิงเห็นแล้วกลับมองตาค้าง หุบเขาน้อยสีเขียวหยกแห่งนี้ไม่ใช่ที่อื่น แต่มันคือ  หุบเขาน้ำพุเงิน  ที่หลงเหยียนเฟยเคยพาเขาไปเยือน

ทันใดนั้นเขาก็สัมผัสบางอย่างได้เลือนรางจึงรีบรั้งสายตากลับมามอง  ตนเอง  ที่อยู่ด้านหน้า เขาจับจ้องมันไม่ละสายตา ดวงตาทอประกายเลือนรางก่อนจะถอยหลังไปสองสามก้าวอย่างเงียบเชียบ

ผลปรากฏว่า  หลิ่วหมิง  ที่อยู่ฝั่งตรงข้ามกลับก้าวมาข้างหน้าสองสามก้าวดุจเดียวกัน จากนั้นก็หยุดแล้วมองมาทางตน

หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ ในใจก็สบายใจขึ้นเล็กน้อยแล้วใช้หางตาเหลือบมองภาพบนกระจกสีเทาอีกครั้ง

ยามนี้บนบานกระจกฉายภาพการต่อสู้อันดุเดือดอย่างยิ่งฉากหนึ่ง ทิวทัศน์เบื้องหลังคือพื้นที่มืดสลัวที่มีหมอกสีเทาหม่นคล้ายจะเป็นถ้ำบางแห่ง

 อินหลิว  สะบัดกระบี่ยาวในมือจนเกิดเป็นประกายเย็นเยียบกลุ่มหนึ่ง เงากระบี่ซ้อนกันหลายชั้น สู้รบกับผีร้ายเกราะดำผมเผ้ารกรุงรังที่มีปราณสีดำวนเวียนอยู่รอบตัวตนหนึ่ง

แสงดาบเงากระบี่ สายลมหนาวประกายโลหิตพัวพันกันอยู่กลางอากาศไม่หยุด เสียงระเบิดดังขึ้นต่อเนื่องไม่ขาดสาย

ทันใดนั้นก็มีเสียงแหวกอากาศดังลั่น เส้นไหมสีเขียวมากมายเป็นผืนถาโถมออกมาจากทั่วทุกสารทิศครอบลงมาหา  อินหลิว 

 อินหลิว  เดิมทีพลังสูสีทัดเทียมกับผีร้ายเกราะดำ แต่เมื่อพบการลอบจู่โจมอย่างไม่ทันตั้งตัวเช่นนี้ สีหน้าจึงเปลี่ยนไปทันที เขาสูดลมหายใจเข้าโดยสัญชาตญาณ รอบร่างเปล่งแสงสีครามชั้นหนึ่งออกมาฝืนรับการโจมตีนี้ไว้

เสียง  ฉึบ  ดังขึ้นหลายครั้ง!

แสงเรืองรองรอบร่างของ  อินหลิว  ทอแสงวูบวาบ เขาพลาดพลั้งเสียหลักวูบเดียวก็ร่วงลงไปอย่างรวดเร็ว

ผีร้ายเกราะดำเห็นเช่นนี้ ร่างกายจึงดิ่งลงมา ฝ่ามือสองข้างพร่าเลือนวูบหนึ่งส่งการโจมตีออกไป พริบตาเดียวก็สร้างเงาฝ่ามือสีดำแถบหนึ่งพุ่งพรวดไปเบื้องล่าง

 อินหลิว  เห็นเช่นนี้ ดวงตาพลันทอประกายเย็นเยียบ เคล็ดกระบี่ที่มือเปลี่ยนท่าทันที

เกิดเสียงกังวานใส! แสงกระบี่ส่องสว่าง!

เงากระบี่สีครามผืนใหญ่กลายเป็นคลื่นกระบี่ชั้นแล้วชั้นเล่าประจันหน้ากับเงาฝ่ามือสีดำที่กดลงมาด้านล่าง

เสียง  ปัง   ปัง  ดังขึ้นติดๆ กัน!

แสงสีครามกับสีดำกลางอากาศเปล่งแสงเจิดจ้าส่องบริเวณที่เดิมมืดสลัวจนสว่างไสว

ผนังถ้ำสี่ทิศแปดทางถูกปลายคลื่นพลังกวาดจนฝุ่นฟุ้งก้อนหินปลิวว่อน

ทว่าแม้  อินหลิว  จะต้านการโจมตีของผีร้ายเกราะดำเอาไว้ได้ แต่ความเร็วที่ร่วงลงมาก็เพิ่มขึ้นหลายเท่า แรงสะท้อนกลับยิ่งทำให้เขาไม่อาจตั้งหลักได้แม้แต่น้อย สุดท้ายจึงไม่ทันระวังร่วงลงไปในพายุหมุนปราณสีดำมหึมาลูกหนึ่งแล้วหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย

ภาพเปลี่ยนไปอีกครั้ง ภาพถัดมาที่ปรากฏคือแท่นบูชาที่ก่อจากศิลายักษ์สีดำนับไม่ถ้วนแห่งหนึ่ง รอบด้านมีหมอกสีดำขมุกขมัว

ทันใดนั้นอสนีบาตก็ร้องคำรามสายฟ้าแลบแปลบปลาบบนท้องนภา ระลอกคลื่นสายหนึ่งก่อตัวขึ้นกลางอากาศ ปราณสีดำนับไม่ถ้วนรวมตัวกันจากทั่วทุกสารทิศกลายเป็นพายุหมุนปราณสีดำลูกหนึ่ง

ต่อจากนั้นแสงสีครามเส้นหนึ่งก็พุ่งออกจากพายุหมุนร่วงดิ่งลงมาหน้าแท่นบูชา

 ปัง  เสียงดังสนั่น แผ่นดินยุบลงไปเป็นหลุม ภายในหลุมคือ  อินหลิว  ที่นอนแผ่หลาทั้งที่มือยังถือกระบี่ยาวสีครามเอาไว้ ท่าทางเหมือนหมดสติ…

หลิ่วหมิงมองภาพตรงหน้าแล้วอดไม่ได้ยิ้มจืดเจื่อนในใจ นี่ไยจึงเหมือนภาพตอนตนเข้ามาในยมโลกเมื่อตอนนั้น!

ทว่าภาพถัดมากลับทำให้เขาเปลี่ยนสีหน้าอย่างมากอีกครั้ง

ท่ามกลางไอหมอกสีดำทั่วท้องฟ้ากับสายลมแรงสีดำที่โถมเข้าปะทะ ชายหนุ่มผู้สวมอาภรณ์สีเทาในมือถือกระบี่ยาวสีครามหน้าตาเหมือนเผ่ายมโลกไม่ผิดเพี้ยนผู้หนึ่งกำลังพุ่งเร็วจี๋ไปด้านหน้าพร้อมกับแสงสีน้ำเงินเรืองๆ รอบร่าง!

แต่ดูจากวิชาที่เขาใช้เห็นชัดว่าเขาเป็นผู้ฝึกฝนเผ่ามนุษย์คนหนึ่งอย่างไม่ต้องสงสัย ไม่ต้องพูดมาก คนผู้นี้ก็คือ  อินหลิว  นั่นเอง

ต่อจากนั้นภาพเนินเศษศิลา ป่าวงกตใบไม้เลือด ค่ายกลตะวันระอุ หุบเขาวาโยแยกร่าง…ภาพทุกสิ่งที่หลิ่วหมิงเพิ่งพบเจอเหล่านี้ก็ฉายขึ้นมา!

หลังจากนั้นก็กลับกลายเป็นภาพท้องฟ้าเหนือเนินดินน้อยอันรกร้างยิ่งนักแห่งหนึ่ง สองเท้าของ  อินหลิว  เหยียบอยู่บนศีรษะของผีร้ายหน้าตาดุร้าย รอบร่างมีปราณสีดำชั้นแล้วชั้นเล่าวนเวียนไม่หยุด

 เคล็ดวิชากระดูกดำ!  หลิ่วหมิงจ้องปราณสีดำจางๆ รอบร่าง  อินหลิว  อย่างไม่ละสายตา ในใจตกตะลึง นี่เป็นภาพยามปราณสีดำก่อตัวรอบร่างหลังฝึกฝนเคล็ดวิชากระดูกดำได้ขั้นหนึ่งชัดๆ

ฝั่งตรงข้ามของ  อินหลิว  ยังมีผีร้ายหน้าตาโหดเหี้ยมที่มีเขาสองข้างบนหัว สูงเจ็ดแปดจั้งอีกตนยืนอยู่ ในมือของมันถือกระบองยักษ์สีดำขลับยาวสิบกว่าจั้งแท่งหนึ่งลากกับพื้นพลางคำรามเสียงดังใส่  อินหลิว 

 นี่มันราชาผี…อินหลิว…ลิ่วยิน…ปรมาจารย์ลิ่วยิน…  แม้ก่อนหน้านี้หลิ่วหมิงจะคาดเดาในใจไว้บ้างแล้ว แต่เมื่อเห็นภาพสุดท้ายก็อดไม่ได้โพล่งออกมา น้ำเสียงมีความตื่นเต้นแฝงอยู่นิดๆ

ทันทีที่อินหลิวได้ยินคำนี้ ร่างกายพลันสะท้านเฮือกหันมามองหลิ่วหมิงเงียบๆ จากนั้นจึงเลื่อนสายตากลับไปยังกระจกสีเทาอีกครั้งโดยไม่พูดคำใด

ภาพบนกระจกสีเทายังดำเนินต่อไป ครั้งนี้เป็นหุบเขาที่มีหมอกปั่นป่วนแห่งหนึ่ง  อินหลิว  ผู้สีหน้าซีดเผือดกำลังขี่กระบี่อย่างรวดเร็วขณะที่ร่างกายโงนเงน เขาดูเหมือนบาดเจ็บหนัก น่าจะกำลังถูกศัตรูแข็งแกร่งตนใดไล่ล่าสังหารอยู่

ปรากฏว่าเมื่อทะลุผ่านจุดที่เมฆหมอกรายล้อมกลับถูกรอยแยกมิติที่ปรากฏขึ้นกะทันหันเส้นหนึ่งกลืนหายเข้าไปอย่างไร้ร่องรอย

หลังจากนั้นชายหนุ่มก็ปรากฏตัวบนเกาะมหึมาแห่งหนึ่ง หลิ่วหมิงตกตะลึง เกาะแห่งนี้คือบ้านเกิดของเขา เกาะอวิ๋นชวน

ภาพในกระจกเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว มันฉายภาพยาม  อินหลิว  ท่องไปบนเกาะอวิ๋นชวนภาพแล้วภาพเล่า แต่ข้างกายเขามีผียักษ์หน้าตาดุร้ายที่มีเขาคู่บนศีรษะตนหนึ่งกับโครงกระดูกที่มีเปลวเพลิงสีทองเป็นประกายในเบ้าตาสองข้างร่างหนึ่งอยู่ด้วย

สุดท้ายเมื่อ  อินหลิว  กำราบศัตรูแข็งแกร่งทั้งหมดในแดนสมุทรรอบด้านสำเร็จ ค้นหาสถานที่นับไม่ถ้วนจนทั่วทุกแห่งก็ยังหาทางกลับบ้านไม่พบ เขาจึงกลับไปยังเกาะยักษ์ยามแรกเริ่มอย่างหมดหนทางแล้วตั้งรกรากอยู่บนยอดเขาแห่งหนึ่ง

ไม่นานหลังจากนั้นเขาก็ก่อตั้งสำนักขนาดเล็กแห่งหนึ่งแล้วเริ่มเปิดรับศิษย์ ที่แห่งนั้นก็คือนิกายปีศาจ!

นิกายภายใต้การนำของเขาเจริญรุ่งเรืองขึ้นทุกวันจนใหญ่โตขึ้นเรื่อยๆ นั่นเป็นภาพแห่งความรุ่งเรืองถึงขีดสุด

เวลาปีแล้วปีเล่าผันผ่าน ชายหนุ่มค่อยๆ แก่ชรา สุดท้ายอายุขัยก็หมด ภาพสุดท้ายบนบานกระจกหยุดลงตรงช่วงเวลาก่อนที่ชายหนุ่มจะละสังหาร

หลิ่วหมิงรั้งสายตากลับมาก่อนจะสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง จากนั้นหันหน้าไปมองอินหลิว แววตาแปลกใจเต้นระริกในดวงตา

 

ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ

ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ


เด็กหนุ่มที่เติบโตท่ามกลางนักโทษบนเกาะมฤตยู

หลังหนีออกจากที่คุมขังสำเร็จก็จับพลัดจับผลูเข้าไปในนิกายปีศาจ

และกลายเป็นการเปิดประตูเข้าสู่พิภพอันกว้างใหญ่อย่างที่เขาคาดไม่ถึง

ทว่าภายใต้ความบังเอิญนี้

เขากลับต้องเผชิญหน้ากับวิกฤตถึงชีวิต ที่อาจจะสูญเสียตัวตนกลายเป็นจอมปีศาจอยู่ตลอดเวลา…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท