World’s Best Martial Artist – ตอนที่ 36

ตอนที่ 36

ตอนที่ 36 ฟางหยวนที่กระตือรือร้น

หลังหวังจินหยางโอนเงินล้านหยวนมาให้เขา ฟางผิงก็มีค่าทรัพย์สินถึง 3.37 ล้าน

การเพิ่มค่าจิตใจและปราณและเลือดให้ถึง 200 เสียค่าทรัพย์สินไปไม่กี่แสนเท่านั้น มันเป็นแค่ทรัพย์สินบางส่วน

เขามีความสุขมาก

แน่นอนความรู้สึกปลื้มปิตินี้อยู่ได้ไม่นานนักก่อนคลื่นความไม่สบายใจจะสาดซัดใส่เขา

“เจ้าหน้าเงินนี่จะปล่อยให้เขาสบายแบบนั้นเลยเหรอ?”

ฟางผิงพึมพำกับตัวเอง คลื่นความไม่สบายใจนี้ต้องมาจากระบบหน้าเงินและไม่ค่อยน่าเชื่อถือนี้แน่นอน

แม้ว่ามันจะเป็นแค่ลางสังหรณ์ แต่ฟางผิงคิดว่ามันน่าเชื่อถือมาก

…..

ฟางผิงมีความสุขมากกับการเพิ่มความมั่งคั่งและทรัพยากร แต่เขาตั้งตาคอยข้อความของหวังจินหยางอย่างยิ่ง

“ฉันส่งของให้นายแล้ว รอรับด้วยล่ะ”

เขาอ่านข้อความสั้นๆนี้ซ้ำแล้วซ้ำอีก

ที่จริงแล้วฟางผิงสนใจเคล็ดวิชามากกว่าเงินอีก

ไม่ใช่ว่าชีวิตก่อนเขาไม่มีเงิน แม้ว่าเขาจะไม่รวย แต่ช่วงไม่กี่ปีนั้น เขาสะสมเงินได้ค่อนข้างมากทีเดียว

ในทางกลับกันเคล็ดวิชา…ฟางผิงไม่เคยเห็นมาก่อนนอกจากของปลอมที่ขายตามท้องถนน

ต่อให้มีคนพบเห็น พวกเขาก็ไม่ฝึกฝนตามเคล็ดเหล่านั้นหรือเชื่อว่ามันเป็นของจริง

พอคิดว่าวันมะรืนของจะมาถึง ฟางผิงก็แทบอดใจรอไม่ได้

…..

หลังเลิกเรียน ฟางผิงก็ปฏิเสธอู๋จื้อเห่าที่ชวนไปฝึกฝนด้วยกัน

ตอนนี้ฟางผิงกำลังทำความคุ้นเคยกับร่างกายตัวเองและทำให้คุ้นชินกับร่างกายที่พัฒนาขึ้น

ไปฝึกกับพวกเขาไม่ได้เป็นประโยชน์นัก

หลังฟางผิงเดินไปไกล ผู้สมัครสอบคนอื่นๆของห้องสี่ก็กล่าวค่อนข้างไม่สบายใจ “ฟางผิงค่อนข้างหยิ่ง”

อู๋จื้อเห่าไม่ได้สนใจมากนัก เขายิ้มแล้วกล่าว “อยู่ของเราเถอะ เขาไม่เคยฝึกกับเรา เขาอาจชินแล้ว”

คนอื่นไม่ได้พูดอะไร

นักเรียนที่พึ่งพูดเมื่อกี้ถามด้วยความสงสัย “จื้อเห่า นายว่าปราณและเลือดเขาสูงแค่ไหนแล้ว?”

มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่รู้เรื่องปราณและเลือดของฟางผิงเพิ่มขึ้นครั้งที่สอง

ในบรรดาสามคนที่อยู่ตอนปราณและเลือดของฟางผิงเพิ่มขึ้นฉับพลัน หยางเจี้ยนเป็นคนปากสว่างที่สุด

หวังจินหยางพูดยืนยันฟางผิงแล้วเช่นกัน ปราณและเลือดของฟางผิงย่อมไม่ต่ำเกินไป

หลังคิดเล็กน้อย อู๋จื้อเห่าก็กล่าว “บางทีน่าจะราวๆ 120 แคลหรือมากกว่านั้น”

“สูงขนาดนั้นเลย?”

บางคนก็ดูอิจฉาและมีแม้แต่ริษยา

ฟางผิงที่แต่ก่อนเป็นคนที่ไม่โดดเด่นมีปราณและเลือดสูงถึง 120 แคล!

ที่สำคัญก็คือผู้สมัครสอบสามคนทั้งโรงเรียนที่ผ่านเกณฑ์นี้มีแค่โจวปินกับนักเรียนชั้นยอดอีกคนจากห้องอัจฉริยะ

ส่วนปัญหาเรื่องคนที่เลือกปกปิดความสามารถของตัวเอง…มันไม่ค่อยเกิดขึ้นนัก

ช่วงหนุ่มสาว นักเรียนส่วนใหญ่มักจะโอ้อวดความสามารถตนเอง

การซ่อนหรือปกปิดความสามารถตนเองเป็นการกระทำที่โง่เขลา

“นี่เป็นแค่การคาดเดาของฉัน แต่มันก็ไม่ไกลจากความจริงเท่าไหร่”

อู๋จื้อเห่ามองคนอื่น “แต่เราไม่ควรเลียนแบบสิ่งที่เขาทำ ไม่งั้นเราคงไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองตายยังไง”

“สอบตกก็ยังดีกว่าเสียชีวิต”

“ต่อให้นายสอบตกครั้งนี้ นายก็ยังแก้ตัวได้ปีหน้า ถ้านายสอบตกอีก นายก็ยังเข้าเรียนคลาสเสริมได้หลังทำงาน”

ทุกคนพยักหน้า พวกเขาไม่มีความกล้าเสี่ยงชีวิตเพื่อเพิ่มโอกาส

…..

ฟางผิงไม่รู้ว่าทุกคนคุยอะไรกัน

ความเย่อหยิ่ง…เขาไม่คิดว่าตัวเองหยิ่ง

ยังไงซะเขาก็ไม่ได้สนิทกับเพื่อนร่วมชั้นพวกนี้นัก

การสอบวิชายุทธก็ใกล้เข้ามาแล้วเหมือนกัน ไม่มีใครรู้ว่าพอถึงตอนนั้น เส้นทางของพวกเขายังบรรจบกันอยู่ไหม ดังนั้นมิตรภาพของพวกเขาจึงไม่เป็นประโยชน์กับเขานัก

ย่านจิ่งหูหยวน

ขณะที่ฟางผิงเปิดประตูบ้าน ฟางหยวนก็เขย่งขาออกมาจากห้องเงียบๆ “ฟางผิง เข้ามา!”

ฟางผิงไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือถอนหายใจดี เขาถามอย่างโง่เขลา “ทำไมน้องถึงทำตัวเหมือนโจรอยู่ในบ้านตัวเองล่ะ?”

“ชู่ว!”

ฟางหยวนเอามือจุ๊ปากแล้วเหลือบมองไปทางสวนด้วยท่าทางลับๆล่อๆ จากนั้นเธอก็กล่าวอย่างโกรธๆ “รีบเข้ามา!”

ฟางหยวนอดหัวเราะไม่ได้ เขาเปลี่ยนรองเท้าแล้วเข้าห้องน้องสาว

พอเดินเข้าไป ฟางหยวนก็ปิดประตูอย่างรวดเร็วและยัดถุงพลาสติกในมือฟางผิง

ก่อนที่ฟางผิงจะได้ตรวจสอบของในถุง ฟางหยวนก็กระซิบ “หนูจะให้นายกึ่งนึง นายจะมาขอเงินหนูอีกไม่ได้นะ!”

“หนูเปลี่ยนเงิน 100 หยวนเป็นเสบียงฉุกเฉินแล้ว ไม่มีเงินเหลือแล้ว!”

“แล้วนายห้ามบอกแม่ด้วย”

“ถ้าเกิด…ถ้าเกิดเดือนนี้หนูไม่เอาเงินค่าขนมแล้วเอาให้นายล่ะ?”

ฟางหยวนไม่ได้ตอบ เขารับถุงมาเปิดดู มันเต็มไปด้วยขนมขบเคี้ยว

ฟางหยวนไม่ใช่คนใช้เงินฟุ่มเฟือยเกินไป แต่มันเป็นเรื่องปกติมากที่เด็กๆจะชอบขนมขบเคี้ยว

พ่อแม่ไม่ค่อยได้ซื้อขนมขบเคี้ยวให้เธอ นอกจากเปลืองเงินแล้ว มันยังไม่ดีต่อสุขภาพด้วย

ฟางหยวนใช้เงินทั้งหมดไปกับขนมขบเคี้ยว

เมื่อเห็นพี่ชายใจกว้าง เธอจึงใช้เงิน 100 หยวนที่มีเพื่อซื้อขนมขบเคี้ยวทั้งหมด จากแต่เดิมวางแผนจะซื้อเพียงสิบแปดหยวนเท่านั้น

ใครจะไปรู้ล่ะว่าพอเธอไปชั้นวางขนม เธอจะดวงตาพร่าพรางไปหมด

พอเธอไปจ่ายเงิน เธอก็พบว่าเธอใช้เงินร้อยหยวนเกือบหมดแล้ว แม้ว่าเธอจะเอาขนมออกไปเกือบครึ่งแล้วก็ตาม

เธอกลัวว่าพี่ชายเธอบ่นว่าเธอใช้เงินสิ้นเปลือง เธอคิดวิธีแก้ปัญหาอยู่พักใหญ่ก่อนจะตัดสินใจแบ่งผลประโยชน์ให้เขา

ถ้าเธอแบ่งให้พี่ชายครึ่งนึง มันคงไม่เป็นปัญหาใช่ไหม?

เมื่อเห็นเธอรู้สึกผิด ฟางผิงก็ยิ้ม เขากล่าว “ไม่เป็นไร เรื่องที่เกิดก็เกิดไปแล้ว แต่พี่ไม่กินของพวกนี้ ทั้งหมดเป็นของน้อง”

“ไม่เอา!”

แม้ว่าสายตาของสาวน้อยจะยังจ้องมองถุงพลาสติก แต่สาวน้อยส่ายหน้าอย่างเด็ดเดี่ยว “นายต้องเอาไปครึ่งนึง ไม่งั้นนายจะฟ้องแม่แน่นอน!”

“พี่ต้องทำแบบนั้นด้วยเหรอ?”

ฟางผิงกลอกตามองบน สาวน้อยคนนี้…เธอคิดว่าพี่ชายของเธอเป็นคนยังไงกัน?

ตอนนี้เขารวยมาก เงิน 100 หยวนไม่สะกิดผิวเขาหรอก

แถมฟางผิงยังไม่ใช่เด็ก เขาไม่ชอบขนมขบเคี้ยวนัก

เขาโยนถุงไว้บนเตียงแล้วกล่าวอย่างอารมณ์ดี “น้องเก็บไว้เถอะ เร็วๆนี้พี่หาเงินได้มาเล็กน้อย”

“ถ้าน้องไม่มีเงิน น้องมาขอพี่ก็ได้”

เขาต้องเปิดเผยอย่างค่อยเป็นค่อยไป

เขาซื้อโทรศัพท์มือถือแล้ว พรุ่งนี้เขาจะไปเช่าบ้านหรือซื้อบ้าน

พ่อแม่เขาไม่ค่อยอยู่บ้าน ดังนั้นจึงไม่เสี่ยงถูกเปิดเผย

ฟางหยวนต่างกัน เธอมักจะอยู่กับเขาตลอดเวลา เปิดเผยรายละเอียดบางอย่างกันไว้ดีกว่า

ฟางหยวนถามสีหน้าแปลกๆ “นายหาเงินได้?”

“อืม”

“เท่าไหร่?”

“น้องไม่ต้องถาม น้องแค่รู้ว่าตอนนี้พี่ชายไม่ขาดเงินก็พอ”

“นายหาเงินได้เท่าไหร่? ทำงานเหรอ?”

“ไม่”

“งั้นนาย…”

ทันใดนั้นฟางหยวนก็นึกเรื่องบางอย่างได้ ซึ่งกระตุ้นให้เธอต่อสู้กับฟางผิง เธอแยกเขี้ยวกางเล็บ

“ฟางผิง นายมันน่ารังเกียจ!”

“นายต้องไปขอลายเซ็นหวังจินหยางแล้วเอาไปขายแน่เลยใช่ไหม! หนูพูดถูกไหม?”

“นี่เป็นความคิดของหนู! เมื่อวานนายไม่ปล่อยให้หนูคุยกับเขา! หนูว่าแล้วมันเป็นแผนนาย!”

“ถุ้ย!”

“นายขโมยความคิดหนู!”

“…”

ฟางหยวนโกรธมาก ตอนเช้าเธอซึ้งใจมากที่พี่ชายเธอมอบเงินให้ตั้งมากมายตั้งร้อยหยวน

กลายเป็นว่าเขาขโมยความคิดของเธอไปและใช้มันทำกำไรมากมาย!

ฟางผิงสับสนงุนงง จินตนาการของสาวน้อยคนนี้อยู่นอกเหนือความเข้าใจ

แต่เขาไม่ได้ปฏิเสธคำพูดของเธอ ตอนนี้ปล่อยให้เธอมโนไปเองดีกว่า

กำไรครั้งนี้ที่จริงเกี่ยวข้องกับหวังจินหยาง

เมื่อฟางผิงไม่ปฏิเสธคำพูดเธอ เธอจึงสันนิษฐานว่าเธอพูดถูกแล้ว เธอถามโดยกลัวว่าเธอจะพลาดโอกาสไป “พูดมา! นายขายได้เท่าไหร่?”

“ไม่มาก”

“1000?” ฟางหยวนเดาดู

“ฮ่าๆ!”

“2000?”

“ฮ่าๆ…”

“…”

ฟางหยวนสูดหายใจด้วยความประหลาดใจ ไม่แปลกใจเลยที่พี่ชายเธอจะใจกว้างขนาดนี้ เขาได้มากกว่า 2000 หยวน!

หลังประหลาดใจครู่นึง แววตาของเธอก็หมุนติ้ว จากนั้นเธอก็กล่าวด้วยรอยยิ้ม “พี่ชาย แบ่งกำไรให้หนูครึ่งนึงไหม?”

“โอ๊ะ พี่ได้ยินผิดใช่ไหม? น้องเรียกพี่ว่าไงนะ?”

ฟางผิงเอามืออังหูราวกับได้ยินคำพูดเธอไม่ชัด

“พี่ชาย! พี่ใหญ่! หนูบอกว่า เราควรแบ่งกำไรกันคนครึ่งไหม? ไม่งั้นหนูเอา 40% ก็ได้…”

สาวน้อยไม่อายเลย ยังไงเขาก็เป็นพี่ชายเธอ

เธอไม่ได้เสียอะไรตอนที่เรียกเขาว่า’พี่ชาย’ พอเธอมีเงินอยู่ในมือ เธอจะเรียกเขาทุกอย่างที่ตัวเองพอใจ

ฟางผิงหัวเราะจนท้องแข็ง เขาโบกไม้โบกมือ “อย่าแม้แต่จะคิด น้องจะเอาเงินมากมายแบบนั้นไปทำไร?”

“พี่จะให้น้องตอนน้องไม่มีเงิน”

“นอกจากนี้น้องต้องเอาใจพี่ อย่าเรียกพี่ว่าฟางผิงเหมือนเราอายุเท่ากัน”

ฟางหยวนไม่พอใจเมื่อเห็นว่าเธอไม่ได้ส่วนแบ่งจากพี่ชาย แต่แล้วเธอก็นึกได้ว่าตอนนี้พี่ชายเธอเป็นคนที่เธอต้องประจบเอาใจแล้ว…

สุดท้ายเธอก็พยักหน้าด้วยรอยยิ้มหวาน ในใจเธอ เธอตัดสินใจ ไม่ช้าก็เร็วเธอจะทำให้ความร่ำรวยของพี่ชายว่างเปล่า!

…..

ฟางหยวนประจบเอาใจฟางผิงอย่างกระตือรือร้นถึงขนาดเลือกตักอาหารชิ้นที่อร่อยที่สุดให้เขาช่วงมื้อค่ำ

พฤติกรรมที่เปลี่ยนไปของสาวน้อยที่โต๊ะอาหารทำให้พ่อแม่ช็อค

พี่น้องสนิทกัน แต่ทั้งสองทะเลาะกันจนเป็นเรื่องปกติ

แต่ฟางหยวนตักอาหารให้พี่ชายตั้งแต่ตอนไหนกัน?

ฟางหมิงหรงอิจฉาเล็กน้อย เขาหยุดดื่มเหล้าแล้วเคาะชามเปล่าของตัวเองจ้องมองฟางหยวนหลายครั้ง

เห็นได้ชัดว่าเขากำลังบอก ‘ลูกตักอาหารให้พี่ชายแล้ว แล้วพ่อล่ะ?’

ฟางหยวนก็สังเกตเห็นเช่นกัน เมื่อเห็นสีหน้าไม่สู้ดีของพ่อ เธอก็ยิ้มหวานตักอาหารใส่ชามพ่อโดยไม่ลืมเติมข้าวใส่ชามหลี่อวี้อิงด้วย

บรรยากาศที่โต๊ะอาหารอบอุ่นขึ้นมาก

อาหารไม่ค่อยดีนัก แต่ทั้งครอบครัวก็ทานกันอย่างมีความสุข

…..

ขณะที่ครอบครัวกำลังอารมณ์ดี ฟางผิงก็เช่นกัน

ตอนเขาฝึกคืนนั้น เขาวิดพื้นได้ 160 ครั้งทั้งๆที่คืนก่อนเธอทำได้ 100 ครั้งเท่านั้น

ฟางหยวนที่เฝ้าดูเขาฝึกฝนเกือบตะโกน’666’ให้กับภาพนี้แล้ว

นอกจากเป็นการประจบแล้ว เธอคิดว่าพี่ชายเธอสุดยอดอย่างแท้จริง

เขาวิดพื้นได้มากกว่าที่เธอจินตนาการไว้เสียอีก

World’s Best Martial Artist

World’s Best Martial Artist

Status: Ongoing

ฟางผิงใช้เวลาครึ่งชั่วโมงในที่สุดก็ตัดสินได้ว่าเขาไม่ได้ฝันไปหรือไม่ได้ถ่ายหนัง…อย่าไร้สาระน่า ถ้าการถ่ายหนังชุบความเป็นหนุ่มของเขากลับมาได้ งั้นกองถ่ายก็คงไปถ่ายทำที่สวรรค์ได้แล้ว!

หลังยืนยันว่าเขากลับมาเกิดใหม่ ฟางผิงก็รู้สึกถึงความตื่นตระหนกก่อนจะค่อยๆยอมรับความจริง

ความจริงอะไรงั้นเหรอ? ความจริงที่ว่าเขากลับมาเกิดใหม่ในร่างตัวเองตอนเด็ก และเนื่องจากเขามีความรู้ของอนาคตติดตัวมาด้วย เขาจะทำวันนี้ให้ดีที่สุดแล้วกลายเป็นผู้ยิ่งใหญ่ในแวดวงธุรกิจ! เขาจะรวย!

นั่นเป็นความคิดของเขาจนกระทั่งเพื่อนเขามาขัดจังหวะ

“สรุปนายจะลงทะเบียนสอบวิชาการต่อสู้ไหม?”

อะไรนะ? พูดเล่นเหรอ? หรือเขาส่งบทผิด? วิชาการต่อสู้คืออะไร? ทำไมถึงมีค่าลงทะเบียนหมื่นหยวน? หัวของเขาเต็มไปด้วยประโยคคำถาม ไม่นานฟางผิงก็ตระหนักว่าเขาอาจไม่ได้โชคดีเหมือนที่เขาคิดไว้ตอนแรก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท