World’s Best Martial Artist – ตอนที่ 60

ตอนที่ 60

ตอนที่ 60 ผ่าน

หลังประเมิณร่างกายก็มาถึงช่วงรอฟังผลที่ทรมาณที่สุด

จินเค่อหมิงยังไม่ได้จ่ายเงินทั้งหมด ถานเจิ้นผิงเคยถามให้ฟางผิงครั้งนึงและได้คำตอบว่า “เงินที่เหลือต้องรอจนกว่าผลจะถูกประกาศออกมาอย่างเป็นทางการ…”

ฟางผิงเข้าใจ ดังนั้นเขาจึงไม่ได้กังวลเลย

…..

วันที่ 3 มาถึงในพริบตา

เดิมทีฟางผิงคิดว่าเขาจะมีชื่อเสียง!

แต่วันนี้มาถึง เขาก็รู้ว่าเขาคิดมากเกินไป

เพราะการประเมิณร่างกายไม่ใช่เกาเข่า มันไม่ได้มีพวกรายชื่อเกียรติยศอะไรพวกนั้น

การประกาศเป็นกระบวนการที่เรียบง่ายมาก

กระทรวงศึกษาและมหาลัยผู้ฝึกยุทธทุกแห่งจะประกาศเกณฑ์ขั้นต่ำล่วงหน้า

โรงเรียนมัธยมปลายทุกแห่งจะได้ใบแจ้งผล ถ้าใครอยากตรวจผลสอบต้องไปหาอาจารย์

คนที่ผ่านจะได้ไปสอบขั้นต่อไป

คนที่ตกจะเดินทางกลับช่วงบ่าย

การประกาศผลส่วนตัวแบบนี้ไม่ได้ทำให้ฟางผิงมีชื่อเสียงได้ง่ายเลย

เขาจะสร้างชื่อให้ตัวเองด้วยปราณและเลือดได้หลังเกาเข่าจบ แต่เขาจะไม่ได้โดดเด่นกว่าคนอื่นนัก เขาจะถูกบดบังโดยผู้เข้าสอบที่เป็นผู้ฝึกยุทธแล้ว

หลังเข้าใจวิธีประกาศผล ทุกคนก็แต่งกายแล้วออกมาจากห้อง ฟางผิงรู้สึกค่อนข้างหงุดหงิด “ฉันอุส่ารอฟังคำสรรเสริญ กลายเป็นว่าเราจะรู้แต่ผลของตัวเองเท่านั้น!”

ท่าทางของเขาไร้สาระมาก!

อู๋จื้อเห่าเบื่อยิ่งกว่าเดิม “นายเป็นใครเขาถึงจะประกาศให้นาย? 125แคลไม่ต่ำ แต่มันก็ไม่ได้สูงสุดในโรงเรียนเรา! นายต้องการอะไรอีก?”

ฟางผิงส่ายหน้าและหัวเราะเบาๆ “ฉันไม่ได้ต้องการอะไร ฉันไม่ได้อยากให้คนอื่นรู้”

“ฉันแค่อยากให้นายรู้!”

เจ้านี่ไม่ยอมเชื่อว่าเขามีปราณและเลือด 149แคล

ต่อให้เขาไม่อยากเผชิญกับความจริง ฉันก็จะแหกตาเขาบังคับให้ดู!

แต่อันที่จริงฟางผิงไม่ได้สนใจความเห็นของคนอื่นนัก เขาแค่หยอกเล่นเฉยๆ

…..

มีผู้เข้าสอบจากโรงเรียนมัธยมปลายอันดับหนึ่งมากมายที่มาตรวจผล ดังนั้นไปตรวจที่ห้องอาจารย์จึงไม่เหมาะนัก

ทางโรงเรียนได้เช่าห้องประชุมเล็กๆในโรงแรมเพื่อการนี้ และบอกให้นักเรียนมารอในห้องประชุม

ณ เวลา 8.30 น.

ผู้สมัครสอบทุกคนมาถึงห้องประชุมแล้ว

หยางเจี้ยนพึมพำ “ฉันต้องผ่าน ฉันต้องผ่าน ไม่งั้นฉันจบเห่แน่…”

คนอื่นๆไม่ได้สนใจเขา ทุกคนต่างก็รออาจารย์มาอย่างใจจดใจจ่อ

ไม่นาน อาจารย์สองสามคนจากโรงเรียนมัธยมปลายอันดับหนึ่งก็เข้ามาในห้องประชุม

พวกเขาไม่เสียเวลา เมื่อเข้ามาในห้อง รองอาจารย์ใหญ่ที่รับผิดชอบนำนักเรียนมาสอบครั้งนี้ก็ประกาศเสียงดัง “นักเรียน เกณฑ์ปีนี้เกินความคาดหมายของเราอย่างสิ้นเชิง!”

“มันสูงขึ้นมากเมื่อเทียบกับปีที่แล้ว!”

“คนที่ไม่ผ่านไม่ต้องผิดหวังไป!”

อาจารย์พูดกันไว้ก่อนเพื่อเพิ่มความมั่นใจให้พวกเขา

รองอาจารย์ใหญ่พูดต่อหลังห้องประชุมเงียบลง “กระทรวงศึกษาประกาศค่าเกณฑ์ต่ำสุดคือ 112แคล!”

“สูงขนาดนั้นเลย?”

“ล้อกันแล้วแล้ว ปีก่อน 112แคลพอเข้ามหาลัยได้เลยนะ!”

“ไม่ต่างอะไรกับการผลักคนไปอยู่ขอบเหวเลย!”

“ฉันคิดว่าเกณฑ์ 110แคลเสียอีก ตอนนี้เป็น 112แคลแล้ว ฉันจบแล้ว!”

“…”

นักเรียนระเบิดทันทีหลังประกาศออกมา

มันสูงเกินไป!

เกณฑ์ปีก่อนคือ 108แคล ตอนนี้มันเพิ่มขึ้นมา 4แคล! ซึ่งในอดีตมันเป็นไปไม่ได้เลย

รองอาจารย์ใหญ่เข้าใจความเสียใจและความโกรธเคืองของนักเรียน เขากล่าวเพิ่มความมั่นใจ “จะโทษพวกเธอทั้งหมดก็ไม่ได้ เหตุผลหลักคือจำนวนผู้สมัครสอบปีนี้”

“มาตรฐานการกินอยู่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ซึ่งหมายความว่าค่าปราณและเลือดโดยเฉลี่ยก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน”

“อาจารย์ขอพูดซ้ำ เส้นทางทุกสายล้วนบรรจบอยู่เส้นทางเดียวกัน”

“ถ้าเธอเข้ามหาลัยวิชายุทธไม่ได้ ก็ยังมีเส้นทางมากมายก้าวเดินได้…”

“จากนี้ อาจารย์จะประกาศชื่อคนที่สอบผ่าน”

“ทุกคน โปรดเตรียมตัวสอบปฏิบัติในวันที่ 7 ด้วย ผ่านการประเมิณร่างกายไม่ใช่ตั๋วเข้ามหาลัย การสอบขั้นตอนต่อไปก็กำจัดผู้เข้าสอบไปจำนวนมากเช่นกัน…”

จากนั้นรองอาจารย์ใหญ่ก็ยิ้ม “ปีนี้โรงเรียนมัธยมปลายอันดับหนึ่งทำได้อย่างยอดเยี่ยม ในหมู่ผู้เข้าสอบ ฟางผิงกับอู๋จื้อเห่าจากห้องสี่ โจวปินจากห้องหนึ่ง ถานเทา ถานห่าว เฉินเจี๋ยจากห้องสอง ประสบความสำเร็จอย่างมาก!”

“อันดับหนึ่งในโรงเรียนของเราและเมืองรุ่ยหยางคือฟางผิง ด้วยปราณและเลือด 149แคล!”

“…”

ทั้งห้องเงียบสนิท สายตาของทุกคนหันไปมองฟางผิง

อู๋จื้อเห่าที่นั่งอยู่ข้างฟางผิงยิ่งตกตะลึง อาจารย์บอกว่าปราณและเลือดเขาสูงขนาดไหนนะ?

ฟางผิงชำเลืองมองเขา สมน้ำหน้าไม่เชื่อฉันเอง!

ตอนนี้นายตกใจไหมล่ะ?

มันน่าเสียดายที่เขาไม่ได้รับคำสรรเสริญที่ควรได้

ทุกคนช็อค แต่ก็นั่นแหละ มันไม่ได้เกี่ยวข้องกับพวกเขา มีแค่ไม่กี่คนที่สนใจ อย่างมากพวกเขาก็แค่จำชื่อของฟางผิงไว้

เมื่อฟางผิงเข้ามหาลัยวิชายุทธอย่างเป็นทางการ ผู้เข้าสอบปีหน้าก็อาจรู้สึกชื่นชมและอิจฉาเขา

แต่นักเรียนปีเดียวกันแทบไม่รู้สึกแบบนั้น

ทุกคนสอบปีเดียวกัน ยิ่งเขาเก่งแค่ไหน พวกเขาก็ยิ่งรู้สึกว่าตัวเองห่วยเท่านั้น

ด้วยเหตุนี้มันจึงเป็นเรื่องยากที่จะคาดหวังให้คนอื่นชื่นชมหรือประจบเรา

มันก็เหมือนกับสถานการณ์เกาเข่าชีวิตก่อน คนที่พูดถึงคนได้ที่หนึ่งจะเป็นคนนอกเสมอ ไม่ใช่ผู้เข้าสอบปีเดียวกัน

“ที่หนึ่งเจ๋งมาก!”

“สอบได้สูงขนาดนั้น! สุดยอด!”

คนนอกมักจะพูดทำนองนี้

แต่คนที่สอบปีเดียวกันไม่ใช่ ยิ่งพวกเขาทำข้อสอบได้แย่เท่าไหร่ พวกเขาก็จะสนใจน้อยลงเท่านั้น การให้ความสนใจมันก็ไม่ต่างอะไรจากตอกย้ำความล้มเหลวของตัวเอง

ผู้ที่ได้คะแนนสูงก็ไม่สนใจเช่นกัน พวกเขาก็อาจคิดว่า’สูงกว่าฉันนิดหน่อยเอง ถ้าฉันไม่ทำพลาด ฉันคงได้ที่หนึ่งไปแล้ว’อะไรทำนองนั้น

นักเรียนที่เอาไปคุยส่วนใหญ่จะเป็นนักเรียนกลางๆ

ซึ่งสถานการณ์ก็คล้ายกับตอนนี้

ทุกคนช็อคกับปราณและเลือด 149แคลของฟางผิง แต่ให้ตาย พวกเขาก็ไม่พูดอะไร

ทุกคนดูไม่แยแสจนฟางผิงรู้สึกว่าอาจารย์ประกาศค่าปราณและเลือดเขาผิด อย่าง 119แคลแทนที่จะเป็น 149แคล

…..

มันไม่สำคัญหรอกคนอื่นไม่พูดถึง อู๋จื้อเห่าดูเหมือนโลกกำลังแตกสลาย

แม้แต่หลังรองอาจารย์ใหญ่พูดชื่อเขาและประกาศว่าเขาปราณและเลือด 120แคล เขาก็ยังไม่ได้สติกลับมา

อู๋จื้อเห่าไม่คิดจะสนใจนัก เขามองฟางผิงอย่างขมขื่น “นายไม่ได้โกหกฉันจริงเหรอ?”

“นายคิดว่าไง?”

“นายบอกว่าปราณและเลือดฉัน 125แคลไม่ใช่เหรอ?”

ฟางผิงกล่าวด้วยความรำคาญ “ฉันบอกนายแล้วว่าปราณและเลือดฉัน 149แคล นายไม่เชื่อฉันเอง บ้าเอ้ย ตอนที่ฉันบอก นายคิดว่าฉันพูดเล่นไม่ใช่ไง? นายจะให้ฉันทำไง?”

“มันไม่สูงไปหน่อยเหรอ?”

“มันเป็นเพราะนายอ่อนแอเอง…”

“จุก!”

อู๋จื้อเห่าซึม เขาคิดว่าเขาทำได้ไม่เลวเหมือนกัน แต่ฟางผิงจำเป็นต้องมาโจมตีเขาแบบนี้ด้วยเหรอ?

ชื่อคนอื่นที่สอบผ่านก็ถูกประกาศเช่นกัน

ปีนี้ห้องสี่ทำได้ดีที่สุด

ปราณและเลือดฟางผิงอยู่ที่ 149แคล ส่วนอู๋จื้อเห่า 120แคล หยางเจี้ยน 116แคล และหลิวรั่วฉี 115แคล…

มีสี่คนผ่านจากผู้เข้าสอบแปดคน!

ฟางผิงได้ที่หนึ่งของโรงเรียน ส่วนอู๋จื้อเห่าได้ที่หก

มีนักเรียนหกคนจากโรงเรียนมัธยมปลายอันดับหนึ่งที่เกิน 120แคล ห้องอัจฉริยะห้องหนึ่งแย่สุด โจวปินปราณและเลือดถึง 128แคล แต่เขาเป็นคนเดียวในห้อง

ห้องสองมีสามคน รวมถึงพี่น้องถาน

ผู้เข้าสอบที่มีถึง 120แคลที่เหลือต่างก็มาจากห้องสาม

แต่ห้องหนึ่งมีหลายคนที่ผ่านการประเมิณร่างกาย

มีผู้เข้าสอบ 56 คนจากโรงเรียนมัธยมปลายอันดับหนึ่งที่ผ่านเกณฑ์ 112แคล ซึ่งเป็นจำนวนที่ไม่น้อยเลย

จากผู้สอบ 300 คน มีทั้งหมด 56 คนที่สอบผ่าน

ในโรงเรียนมัธยมปลายอื่นทั้งหมดในเมืองหยางเฉิง มีผู้เข้าสอบกว่า 1200 คน จำนวนคนที่ผ่านทั้งหมดใกล้เคียงกับจำนวนผู้ที่สอบผ่านของโรงเรียนมัธยมปลายอันดับหนึ่ง

รวมแล้วมีนักเรียนเข้าสอบ 1500 คน แต่การประเมิณร่างกายเพียงอย่างเดียวก็คัดคนไปกว่า 90%

ด้วยจุดประสงค์เพิ่มกำลังใจให้นักเรียน รองอาจารย์ใหญ่จึงพูดข่มโรงเรียนอื่นและชื่นชมโรงเรียนตนเอง แถมเขายังเปิดเผยผลของโรงเรียนอื่นด้วย

เมืองหยางเฉิง มี 110 คนที่ผ่านการประเมิณร่างกาย

เมื่อเทียบกับปีก่อน จำนวนมันเพิ่มขึ้น ผู้เข้าสอบจากโรงเรียนมัธยมปลายอันดับหนึ่งก็กินไปครึ่งนึงแล้ว อัตราสอบผ่านก็สูงกว่าโรงเรียนอื่น

หลังอ่านรายชื่อแล้ว คนที่ไม่มีชื่อติดก็เศร้าเสียใจ

ผู้หญิงบางคนถึงกับสะอื้นเบาๆ

“ฉันไม่ผ่านประเมิณร่างกายด้วยซ้ำ ฉันคิดยังไงเนี่ยถึงมาสอบวิชายุทธ?”

“พ่อแม่ฉันต้องประหยัดเงินส่งฉันมาสอบหวังว่าฉันจะสอบผ่าน ฉันจะกล้าไปเจอหน้าพ่อแม่ได้ไง?”

“ฮึก ฮึก…”(เสียงสะอื้น)

เสียงสะอื้นทำให้ผู้ที่สอบผ่านจิตตกเช่นกัน อารมณ์ในห้องประชุมหนักอึ้งไปชั่วขณะ

ทว่าพวกอาจารย์ชินแล้ว มันเป็นแบบนี้ทุกปี

ร้องไห้ คร่ำครวญ สิ้นหวัง…

พวกเขาเคยสัมผัสกับความรู้สึกเหล่านี้มาก่อน

บางคนก็มองโลกในแง่ร้ายและเดินบนเส้นทางที่ไม่อาจหวนกลับ

สิ่งที่อาจารย์ทำได้อย่างมากก็คือพยายามเพิ่มความมั่นใจให้นักเรียนอย่างเต็มที่

เหล่าคนที่ผ่านรวมถึงฟางผิงไม่มีอารมณ์ฉลอง หลังรองอาจารย์ใหญ่ประกาศเลื่อนการประชุม พวกเขาก็ไม่อยู่นานนักและค่อยๆออกห้องประชุมไป

…..

หลังฟางผิงออกห้องประชุม โทรศัพท์เขาก็สั่น

เขารับสาย ปลายสายเป็นฟางหยวน

ฟางหยวนถามอย่างรวดเร็ว “ประกาศผลยัง?”

เธอกระตือรือร้นยิ่งกว่าฟางผิงเสียอีก!

ฟางผิงบอกเธอว่าเขาผ่านตั้งแต่สองวันก่อนแล้ว แต่เวลาต่อมาฟางหยวนก็ได้รู้ว่าผลสอบยังไม่ออกมา

เธอรู้ได้ยังไงงั้นเหรอ?

‘คำโกหก’ของเธอถูกเพื่อนสนิทหักล้างเมื่อเธอพยายามบอกข่าวดี

วันที่ 1 ผลยังไม่ประกาศเลย!

วันนั้นฟางหยวนถึงกับอยากไปรุ่ยหยางเพื่อสังหารฟางผิงด้วยตัวเอง!

ในเมื่อผลยังไม่ประกาศ เขาจะรู้ผลได้ยังไง?

แน่นอน เธอย่อมไม่ยอมรับความพ่ายแพ้ เธอบอกอย่างมั่นใจว่าพี่ชายเธอผ่านเกณฑ์ปราณและเลือดแล้ว

เธอเดิมพันกับเพื่อนสนิทเธอ ถ้ากลายเป็นว่าเธอไม่ได้โกหก เธอจะได้บีบแก้มเพื่อนร้อยทีจนหน้าบวมเหมือนหมู

ถ้ามันกลับกัน เธอจะโดนลงโทษร้ายแรงกว่า เธอจะถูกบีบแก้มถึง 200 ที!

นอกจากนี้ในอนาคตนอกจากฉายา ‘แก้มบวม’ จะมีฉายา ‘ขี้โกหก’ เพิ่มด้วย

เพราะงั้นฟางหยวนจึงสนใจผลสอบของฟางผิงมากกว่าพ่อแม่เสียอีก

“ประกาศแล้ว ปราณและเลือดพี่ 149แคล”

ฟางผิงไม่รอให้น้องสาวโต้เถียงกลับมา เขาพูดต่อ “มันเป็นความจริง พี่ไม่ได้โกหกน้อง”

“ไม่ใช่ว่าเพื่อนน้องมีพี่สาวที่มาสอบเหมือนกันเหรอ?”

“น้องก็บอกให้เธอไปถามพี่สาวสิ ตอนนี้พี่ชายของน้องเป็นคนดังแล้ว ต่อให้พวกเขาจะอิจฉาพี่ แต่พวกเขาไม่ได้ประโยชน์ที่จะโกหกเรื่องปราณและเลือดพี่หรอก”

“อย่าโทรมาถามเรื่องนี้พี่อีก เด็กโง่ น้องถามพี่ไปกี่ครั้งแล้ว?”

“มันเป็นความจริง พี่จะตอบเป็นครั้งสุดท้าย 149แคล!”

“จริงๆเหรอ?” ฟางหยวนชะงักด้วยความตกใจ จากนั้นเธอก็ตะโกนอย่างตื่นเต้น “นายไม่ได้โกหกฉันจริงๆใช่ไหม?”

“ไม่ได้โกหก น้องไปบีบแก้มเธอได้แล้ว น้องจะรอจนพี่กลับก็ได้ นอกจากพี่ ไม่มีใครบีบแก้มน้องได้!”

“…”

ฟางหยวนไม่สนใจที่เขาพูด เธอหัวเราะคิกคักแล้วก็วางสาย

ฟางผิงอดหัวเราะไม่ได้เหมือนกัน เขาเดินไปได้ไม่ไกลนักก่อนจะเห็นถานเจิ้นผิงกำลังโบกมือให้

หัวใจเขาเต้นตุบตับด้วยความตื่นเต้น เงินที่เหลือมาถึงแล้ว!

World’s Best Martial Artist

World’s Best Martial Artist

Status: Ongoing

ฟางผิงใช้เวลาครึ่งชั่วโมงในที่สุดก็ตัดสินได้ว่าเขาไม่ได้ฝันไปหรือไม่ได้ถ่ายหนัง…อย่าไร้สาระน่า ถ้าการถ่ายหนังชุบความเป็นหนุ่มของเขากลับมาได้ งั้นกองถ่ายก็คงไปถ่ายทำที่สวรรค์ได้แล้ว!

หลังยืนยันว่าเขากลับมาเกิดใหม่ ฟางผิงก็รู้สึกถึงความตื่นตระหนกก่อนจะค่อยๆยอมรับความจริง

ความจริงอะไรงั้นเหรอ? ความจริงที่ว่าเขากลับมาเกิดใหม่ในร่างตัวเองตอนเด็ก และเนื่องจากเขามีความรู้ของอนาคตติดตัวมาด้วย เขาจะทำวันนี้ให้ดีที่สุดแล้วกลายเป็นผู้ยิ่งใหญ่ในแวดวงธุรกิจ! เขาจะรวย!

นั่นเป็นความคิดของเขาจนกระทั่งเพื่อนเขามาขัดจังหวะ

“สรุปนายจะลงทะเบียนสอบวิชาการต่อสู้ไหม?”

อะไรนะ? พูดเล่นเหรอ? หรือเขาส่งบทผิด? วิชาการต่อสู้คืออะไร? ทำไมถึงมีค่าลงทะเบียนหมื่นหยวน? หัวของเขาเต็มไปด้วยประโยคคำถาม ไม่นานฟางผิงก็ตระหนักว่าเขาอาจไม่ได้โชคดีเหมือนที่เขาคิดไว้ตอนแรก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท