World’s Best Martial Artist – ตอนที่ 70

ตอนที่ 70

ตอนที่ 70 ใครโกง?

ตอนกลางดึกของวันที่ 11 พฤษภาคม ถ้ำใต้ดินชวนสู่เกิดการสั่นสะเทือนและมีปรมาจารย์หลายท่านรีบทำการระงับการแรงสั่นสะเทือนไว้

อย่างไรก็ตามคืนนั้น ฟางผิงไม่ได้สังเกตเห็นความผิดปกติ จนกระทั่งตอนเช้า เมื่อฟางผิงไปโรงเรียน เขาถึงรู้ข่าวนี้จากบทสนทนาของเพื่อนๆ

โชคดีที่มีการแจ้งข่าวล่วงหน้าจากเหล่าปรมาจารย์ ประชาชนจึงอพยพได้ทันเวลา มันจึงช่วยลดจำนวนการบาดเจ็บล้มตายได้มากมาย มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่ปฏิเสธไม่ยอมอพยพที่ได้รับผลกระทบ แม้ว่าจะมีการบาดเจ็บล้มตายไม่มาก แต่ทรัพย์สินเสียหายอย่างหนักหน่วง

…..

ฟางผิงโล่งอกเมื่อได้ยินว่ามีการบาดเจ็บล้มตายไม่มากนัก และขอบเขตยังไม่กว้างเหมือนชีวิตก่อน

ดูเหมือนทั้งสองโลกจะแตกต่างกันจริงๆ

แม้จะมีความคล้ายคลึงกันมาก แต่มันก็ไม่ได้เหมือนกันซะทีเดียว

ไม่น่าแปลกใจที่แผ่นดินไหวครั้งนี้จะเหมือนกับครั้งก่อน

เมื่อนักข่าวไปถึงที่เกิดเหตุ บริเวณนั้นก็มีปรมาจารย์คอยช่วยชีวิตคนที่เหลืออยู่แล้ว

กองทัพเร่งเดินทางไปยังพื้นที่ประสบภัย เริ่มเก็บกวาดซากอาคารถล่ม เตรียมบูรณะหลังเกิดภัยพิบัติ

เมื่อมีปรมาจารย์คอยช่วยเหลือผู้คน มีกองทัพออกมาบูรณะ ผู้คนก็สงบลง

แม้ว่าพื้นที่ประสบภัยมีความเสียหายร้ายแรง ผู้คนที่ประสบภัยก็ยังมองโลกในแง่ดี มีความกระตือรือร้นต่องานบูรณะหลังภัยพิบัติ

หลังเกิดแผ่นดินไหว ทั่วทุกส่วนของประเทศก็มีข่าวลือ’ปีศาจจุติ’เกิดขึ้น

อย่างไรก็ตามรัฐบาลได้ใช้มาตรการปราบปรามอย่างรุนแรงกับข่าวลือนี้ นอกจากผลกระทบที่เกิดขึ้นในบางพื้นที่ ประชาชนไม่ได้ให้ความสนใจนัก

แม้คนส่วนใหญ่จะไม่รู้สึกผิดปกติ รวมถึงเรื่องแผ่นดินไหวด้วยเพราะการช่วยเหลือที่ทันท่วงที จึงไม่ค่อยมีคนพูดเรื่องนี้นัก

แต่ฟางผิงตระหนักถึงอะไรบางอย่างอย่างคลุมเครือ

หลังเกิดแผ่นดินไหว บรรยากาศในเมืองหยางเฉิงเหมือนจะตึงเครียดกว่าเดิม

ทั้งถนนสายหลักและตรอกเล็กซอยน้อย เขาพบเห็นตำรวจลาดตระเวนบ่อยกว่าเดิม

ในเมืองหยางเฉิงมีผู้ฝึกยุทธไม่มากนัก แต่ฟางผิงก็พบเห็นผู้ฝึกยุทธแปลกหน้าที่หน้าประตูโรงเรียน

จนกระทั่งถึงวันที่ 15 พฤษภาคม ผู้สำเร็จราชการแห่งหนานเจียงกลับมา บรรยากาศที่ตึงเครียดจึงค่อยๆหายไป

…..

ฟางผิงติดต่อหวังจินหยางอีกครั้งตอนวันที่ 17 พฤษภา

ครั้งนี้เป็นหวังจินหยางโทรมาเอง ก่อนหน้านี้เขาโทรหาเหล่าหวังไม่ได้ สุดท้ายฟางผิงจึงส่งข้อความไปและไม่ได้โทรหาอีก

น้ำเสียงที่เหนื่อยล้าของหวังจินหยางดังมาจากปลายสาย

“ในช่วงไม่กี่วันมานี้ฉันมีภารกิจต้องทำ มันไม่สะดวกที่จะพกโทรศัพท์ไปด้วย…” เขาอธิบายสั้นๆ

หลังอธิบายสาเหตุที่ไม่ได้รับสาย หวังจินหยางก็เอ่ยถาม “นายพูดในข้อความบอกว่าอยากฝึกฝนเคล็ดวิชาต่อสู้ใช่ไหม?”

ณ ย่านกวนหูหยวน

ฟางผิงหลีกเลี่ยงฟางหยวนที่กำลังตกแต่งห้องตัวเองอย่างมีความสุขแล้วเดินไปที่ข้างหน้าต่าง “เอ่อ พี่หวังบอกเองไม่ใช่เหรอว่าการต่อสู้จริงเป็นสิ่งสำคัญ? ผมเลยอยากฝึกวรยุทธ แต่ไม่มีใครแนะนำผม…”

หวังจินหยางขมวดคิ้วเล็กน้อย

“แน่นอน วรยุทธต้องฝึก! อย่างไรก็ตามการบ่มเพาะปราณและเลือดและขัดเกลากระดูกควรเป็นสิ่งสำคัญที่สุดของนาย”

“ถ้านายไม่ได้เป็นผู้ฝึกยุทธ ฉันไม่แนะนำให้นายฝึกเคล็ดวิชาต่อสู้ ไม่งั้นมันจะขัดขวางการพัฒนาของนาย”

“มันไม่สายเกินไปที่จะฝึกเคล็ดวิชาต่อสู้หลังทะลวงเป็นผู้ฝึกยุทธและเข้าร่วมกับมหาลัยวิชายุทธ…”

เมื่อได้ยินแบบนั้น ฟางผิงก็รู้ว่าหวังจินหยางยังไม่รู้เรื่องผลการประเมิณร่างกายแน่นอน หลังคิดเล็กน้อย ฟางผิงก็ตอบ “พี่หวัง ปราณและเลือดผม 149แคลแล้วตอนที่ประเมิณร่างกายครั้งก่อน”

“สองวันก่อน ผมขัดเกลากระดูกขั้นต้นเสร็จ ปราณและเลือดผมทะลวงผ่าน 150แคลแล้ว”

“ตอนนี้ผมยังไม่พร้อมทะลวงเป็นผู้ฝึกยุทธ แถมความเร็วการเพิ่มปราณและเลือดและขัดเกลากระดูกเพิ่มขึ้นช้ามาก ผมคิดว่าผมจะลองฝึกเคล็ดวิชาต่อสู้ดู…”

“อะไรนะ?”

หวังจินหยางที่ใจเย็นมาตลอดรู้สึกตกใจ อันที่จริงช่วงนี้เขามีหลายเรื่องที่ต้องจัดการ เขาจึงค่อนข้างใจร้อน ไม่ต้องพูดถึงเลยว่าจางชิงหนานยังไม่ได้กลับมาจึงทำให้เขากังวล

ประธานก็ยังอยู่ในถ้ำใต้ดินเช่นกัน และแม้ว่าเขาจะไม่ได้รับตำแหน่งอย่างเป็นทางการ แต่หวังจินหยางก็ทำหน้าที่เป็นประธานจัดการเรื่องทุกอย่างของสมาคมวิถียุทธแล้ว

หวังจินหยางเห็นข้อความของฟางผิงสักพักแล้วเช่นกัน แต่เมื่อเทียบกับเรื่องอื่น เรื่องของฟางผิงเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อย ไม่ใช่แค่นั้น ชายคนนี้ยังดูเหมือนตั้งเป้าหมายไว้สูง คิดจะฝึกฝนเคล็ดวิชาต่อสู้ เพราะงั้นเขาจึงรอจนกระทั่งจัดการเรื่องอื่นๆเสร็จถึงได้โทรหาฟางผิงในวันนี้

แต่เมื่อเขาได้ยินว่าฟางผิงขัดเกลากระดูกขั้นต้นเสร็จแล้ว เขาก็อึ้ง

“นายกำลังจะบอกว่านายขัดเกลากระดูกเสร็จแล้ว?” เขาถามอย่างไม่อยากจะเชื่อ

นับตั้งแต่ที่เขาพบกับฟางผิงมันนานแค่ไหนเชียว?

หวังจินหยางพบฟางผิงตอนแรกตอนต้นเดือนเมษายน เวลานั้นปราณและเลือดของฟางผิงมีไม่เกิน 120แคล แม้แต่หลังจากที่เขาบังเอิญทานเม็ดยาไป มันก็ยังอยู่ประมาณ 120แคล ตั้งแต่ตอนนั้นมามันผ่านไปเดือนเดียวเท่านั้น

ด้วยเวลาเพียงหนึ่งเดือนเล็กน้อย ฟางผิงบอกว่าตนเองทะลวงขีดจำกัดปราณและเลือดและขั้นตอนขัดเกลากระดูกขั้นต้นไปแล้ว ตอนนี้เขากระทั่งเริ่มเตรียมฝึกฝนเคล็ดวิชาต่อสู้อีกด้วย…

หวังจินหยางเคยคิดว่าตนเองเห็นโลกมาทั้งหมดแล้ว!

ไม่ใช่ว่าเขาไม่เคยเจออัจฉริยะ เขาก็ถือว่าเป็นอัจฉริยะเหมือนกัน ตอนที่เขาเข้ามหาลัยวิชายุทธ ปราณและเลือดเขามีประมาณ 120แคลเท่านั้น ซึ่งมันไม่ได้สูงเลย มันเหมือนกับตอนที่ฟางผิงกินเม็ดยาเข้าไปโดยบังเอิญ

ด้วยทรัพยากรและโอกาสที่ได้มาทั้งหมด เขาถึงได้ใช้เวลาสามเดือนในการเพิ่มปราณและเลือดจาก 120แคลเป็น 150แคล! ความเร็วการก้าวหน้านี้เพียงพอให้ทุกคนช็อคและเลื่อมใสยำเกรง

หวังจินหยางใช้เวลาพักใหญ่เลยกว่าจะทะลวงสู่ขั้นหนึ่ง กว่าเขาจะทะลวงสำเร็จ มันก็ผ่านไปเกือบเทอม

หลังทะลวงสู่ขั้นหนึ่ง เขาก็ก้าวหน้าอย่างก้าวกระโดดจนมาถึงขั้นสองแล้วก็เป็นขั้นสาม หวังจินหยางกลายเป็นเจ้าของสถิติก้าวหน้าได้เร็วที่สุดของมหาลัยวิชายุทธหนานเจียง

สำหรับเตรียมผู้ฝึกยุทธแล้ว การเติมเต็มปราณและเลือดเป็นงานที่ยาก มันแตกต่างจากการขัดเกลากระดูกที่ไม่สามารถเร่งหรือเพิ่มความเร็วได้

สำหรับการขัดเกลากระดูก ความเร็วสามารถเพิ่มขึ้นได้ถ้าหากเรามีทรัพยากรเพียงพอและถ้าหากเรามีปราณและเลือดแข็งแกร่งพอ

ในทางกลับกันแม้ว่าจะมีทรัพยากรมากมาย การเพิ่มปราณและเลือดก็ต้องทำอย่างช้าๆหรือร่างกายอาจได้รับบาดเจ็บระหว่างกระบวนการเนื่องด้วยข้อจำกัดทางร่างกาย

ตอนนี้ฟางผิงกำลังบอกเขาว่าตัวเองสั่งสมปราณและเลือดเสร็จแล้ว…

ฟางผิงสังเกตน้ำเสียงของหวังจินหยางฟังดูประหลาดใจ และมีแม้แต่ภาคภูมิใจเล็กน้อย เขายิ้มแล้วกล่าว “ทั้งหมดต้องขอบคุณพี่หวัง ถ้าไม่ใช่พี่หวังมอบหนังสือเคล็ดบ่มเพาะกับเม็ดยาให้ผมครั้งก่อน…”

หวังจินหยางตัดบท

“ไม่จำเป็นต้องเอาเรื่องนั้นมาพูดหรอก ตกลงปราณและเลือดของนายเกินขีดจำกัดแล้ว และยังขัดเกลากระดูกขั้นต้นเสร็จแล้วจริงๆงั้นเหรอ?”

“ครับ”

“เนื่องจากปราณและเลือดของนายมาถึง 150แคลและขัดเกลากระดูกเสร็จแล้ว นายหาโอกาสทะลวงเป็นผู้ฝึกยุทธได้”

“แน่นอน ความเสี่ยงจากการแปลงสภาพเป็นผู้เหนือมนุษย์ในครั้งแรกนั้นค่อนข้างสูง”

“ถ้านายรอจนกว่าเข้ามหาลัยวิชายุทธค่อยทะลวงได้ แต่มันก็ไม่ได้หมายความว่านายจะกลายเป็นผู้ฝึกยุทธตอนนี้ไม่ได้ สำหรับคนอย่างเรา มันมีความเสี่ยง แต่ความเสี่ยงไม่ได้มากอย่างที่นายคาดคิด”

“ยังไงนายก็กล้าหาญไม่กลัวตาย มันก็ไม่ใช่ว่านายทะลวงเองไม่ได้…”

สีหน้าของฟางผิงมืดลง ไม่กลัวความตาย? หมายความว่าไงกัน?

หวังจินหยางไม่ได้สนใจว่าฟางผิงคิดอะไร เขารีบพูดเสริม “แต่ตอนนี้นายพูดเรื่องแนวคิดเคล็ดวิชาต่อสู้ ฉันคิดว่านายคงได้อ่านสิ่งที่ฉันบอกไว้ในหนังสือ”

“150แคลเป็นขีดจำกัดของคนธรรมดา แต่มันไม่ใช่ขีดจำกัดที่เราใฝ่หา!”

“สำหรับเตรียมผู้ฝึกยุทธ ยิ่งนายเพิ่มปราณและเลือดได้เท่าไหร่ มันก็จะยิ่งเป็นประโยชน์ในภายหลัง”

“เหตุผลที่ทำไมฉันถึงขัดเกลากระดูกได้สำเร็จอย่างรวดเร็วเป็นเพราะฉันมีปราณและเลือดสูง”

“ตอนที่ฉันเป็นเตรียมผู้ฝึกยุทธ ฉันขัดเกลากระดูกสองครั้งเพื่อที่จะได้เพิ่มปราณและเลือดและเพิ่มความแข็งแกร่งของร่างกาย…”

“ขัดเกลากระดูกสองครั้ง?”

“ถูกต้อง ขัดเกรากระดูกทั้งตัวสองครั้ง คนธรรมดาส่วนใหญ่จะทำได้ครั้งเดียวโดยไม่อาจทำต่อไปได้อีก”

“ตอนที่ฉันขัดเกลากระดูกสำเร็จเป็นครั้งที่สอง มันเป็นการขัดเกลากระดูกทั้งร่าง”

“ดังนั้นกระดูกแขนขาฉันจึงขัดเกลาได้เร็วกว่าคนอื่นๆ นอกจากนี้ปราณและเลือดฉันยังแข็งแกร่งกว่า ทะลวงขั้นได้เร็วกว่า ไม่ใช่แค่แขนขาเท่านั้น แต่การขัดเกลากระดูกลำตัวตอนขั้นสามของฉันก็เร็วกว่าคนอื่นเช่นกัน”

“ขัดเกลากระดูกสองครั้ง มีข้อกำหนดอะไรไหม? ผมพบว่าความเร็วการเสริมสร้างกระดูกตอนนี้เป็นไปได้ช้ามาก…”

“กินยา! ยาเสริมสร้างกระดูก! ยาเสริมสร้างกระดูกช่วยเพิ่มความเร็วการขัดเกลากระดูกของนายได้”

“ไม่ใช่แค่นั้น ถ้านายมีเงิน นายจะซื้อน้ำยาเสริมสร้างร่างกายได้ และใช้มันมาอาบ มันจะช่วยเพิ่มความแข็งแกร่งของร่างกาย”

“เม็ดยาเสริมสร้างกระดูกมีไว้ขัดเกลากระดูก น้ำยาเสริมสร้างร่างกายมีไว้เพิ่มความแข็งแกร่งร่างกาย เม็ดยาปราณและเลือดมีไว้เติมเต็มปราณและเลือด”

“เมื่อทำตามนี้ นายจะมาถึง 150แคลได้อย่างรวดเร็ว”

“พอนายมาถึงเกณฑ์ทุกอย่าง นายย่อมขัดเกลากระดูกรอบสองได้…”

ฟางผิงรีบถาม “ผมจะซื้อน้ำยาเสริมสร้างร่างกายได้ที่ไหน? แล้วพี่หวัง หลังขัดเกลากระดูกรอบที่สอง ปราณและเลือดจะสูงเท่าไหร่?”

“นายหาน้ำยาเสริมสร้างร่างกายในเมืองหยางเฉิงไม่เจอหรอก เพราะมีคนไม่มากที่ใช้มัน”

แม้ว่าน้ำยาเสริมสร้างร่างกายจะเพิ่้มความแข็งแกร่งร่างกายได้ แต่สำหรับเตรียมผู้ฝึกยุทธส่วนใหญ่ มันไม่ใช่เรื่องความแข็งแกร่งของร่างกายไม่พอ แต่เป็นปราณและเลือดของพวกเขาไม่พอมากกว่า!

การฝึกฝนประจำวันก็เพียงพอที่จะทนต่อการเพิ่มขึ้นของปราณและเลือดแล้ว

คนที่มักจะใช้มันเป็นคนที่อยากบำรุงระดับปราณและเลือดที่สูงขึ้น พวกเขามักจะมีปราณและเลือดและความแข็งแกร่งของร่างกายที่สูงจนขีดจำกัด

พอมาถึงจุดนี้ น้ำยาเสริมสร้างร่างกายจะเป็นสิ่งเดียวที่พวกเขาใช้เพิ่มความแข็งแกร่งของร่างกายได้ ช่วยให้พวกเขาปรับตัวให้เข้ากับปราณและเลือดที่สูงขึ้นได้

หลังพูดจบ เขาก็ครุ่นคิดและพูดว่า “เอาแบบนี้ไหม ฉันจะจัดหาน้ำยาเสริมสร้างร่างกายให้นายจากมหาลัย แต่มันไม่ใช่ถูกๆ ฉันจำเป็นต้องให้นายออกเงินเอง ช่วงนี้การบ่มเพาะของฉันใช้เงินไปมาก ฉันเลย…” เหล่าหวังพูดอย่างอายๆ

ครั้งก่อนเขาได้รับน้ำใจจากฟางผิง ถ้าเป็นเวลาอื่น เขาคงมอบน้ำใจให้ฟางผิงบ้างเหมือนกัน

อย่างไรก็ตามตอนนี้เขาไม่มีเงินเลยจริงๆ

เขาพึ่งทะลวงสู่ขั้นสามมาไม่นาน เขาใช้ทรัพยากรทั้งหมดไปแล้ว

รางวัลที่เขาได้รับจากการทำภารกิจสำเร็จไม่ใช่น้อยๆ แต่เขาจำเป็นต้องเอาไปใช้บ่มเพาะ นอกจากนี้เขายังต้องเก็บไว้เป็นทุนสำรองอีก

ไม่ใช่แค่นั้น จางชิงหนานยังไม่กลับมา แม้ว่ามหาลัยวิชายุทธจะแตกต่างจากมหาลัยในอดีตที่ไม่มีอาจารย์คนไหนทุ่มเทให้ใครโดยเฉพาะ แต่จางชิงหนานเป็นอาจารย์ที่ปรึกษาของหวังจินหยาง และก็เป็นจางชิงหนานที่สอนเคล็ดบ่มเพาะให้เขา สอนจวงกงให้เขา และสอนเคล็ดวิชาต่อสู้ให้เขา

เขาต้องดูแลเรื่องที่เกี่ยวกับจางชิงหนาน

ดังนั้นในเวลานี้ หวังจินหยางจึงแจ้งให้ฟางผิงทราบอย่างชัดเจนแม้ว่าจะรู้สึกอับอายเล็กน้อยก็ตาม

ในทางกลับกันฟางผิงไม่ได้คิดมากนัก ความสัมพันธ์ของเขากับหวังจินหยางเกิดขึ้นจากข้อตกลงในตอนแรก แค่หวังจินหยางยังคงให้คำแนะนำเขาต่อ มันก็น่าแปลกใจพอแล้ว

“งั้นผมขอฝากด้วยครับพี่หวัง” ฟางผิงกล่าวทันที “แต่ผมไม่รู้ว่าต้องใช้เงินเท่าไหร่ถึงตอบสนองกับการบ่มเพาะของผม”

“เนื่องจากมีคนไม่มากนักที่ใช้มัน มันจึงมีราคาไม่แพงนัก แถมยิ่งแลกเปลี่ยนจากมหาลัย มันก็ยิ่งถูกลง สำหรับตอนนี้ฉันให้นายได้สามขวดห้าแสนหยวน”

“ตกลง ผมจะโอนเงินให้คุณภายหลัง”

ฟางผิงไม่ลังเลเรื่องนี้เลย เพราะเขาไม่มีปัญหาที่จะเพิ่มปราณและเลือด สิ่งที่เป็นปัญหากับฟางผิงคือความแข็งแกร่งของร่างกายและกระดูก ปราณและเลือดสามารถใช้เพื่อเร่งความเร็วขัดเกลากระดูกได้ แต่สำหรับความแข็งแกร่งร่างกาย มันสามารถเติมเต็มได้ช้าๆด้วยปราณและเลือดและการฝึกฝน

ขณะที่พวกเขาคุยกัน ฟางผิงก็พลันนึกถึงบทสนทนาก่อนหน้านี้ “พี่หวัง ปราณและเลือดเท่าไหร่ถึงต้องเริ่มขัดเกลากระดูกเป็นครั้งที่สอง?”

“180แคล แน่นอนนี่เป็นเพียงประสบการณ์ส่วนตัวของฉัน ฉันไม่มั่นใจความเห็นของคนอื่น”

“การบ่มเพาะจะแตกต่างกันไปสำหรับแต่ละคน”

“นายจะรู้เมื่อมาถึงจุดนี้”

หวังจินหยางไม่ได้พูดอะไรอีก สุดท้ายเขาก็พูดขึ้น “เกี่ยวกับการฝึกเคล็ดวิชาต่อสู้ มันไม่สามารถอธิบายได้อย่างชัดเจนด้วยคำพูดสองสามประโยค”

“เดี๋ยวฉันจะส่งวีดีโอเคล็ดวิชาต่อสู้ให้นาย รวมถึงวีดีโอชี้แนะจากศาสตราจารย์ของมหาลัยวิชายุทธ และก็มีความเห็นส่วนตัวของฉันด้วย…”

หลังพูดจบ หวังจินหยางก็เตือน “เรื่องอื่นอย่างเคล็ดเสริมสร้างและจวงกงไม่ได้นับว่าเป็นความลับ แต่คลิปวีดีโอฝึกฝนเคล็ดวิชาต่อสู้ จำไว้ว่าอย่าทำมันหลุดไป!”

“เคล็ดวิชาต่อสู้คืออะไร? เห็นได้ชัดว่ามันเป็นศาสตร์แห่งการสังหาร!”

“แม้ว่าจะมีปราณและเลือดสูง มีขั้นพลังสูง มันก็ไม่ได้หมายถึงอำนาจทำลายล้าง”

“อย่างไรก็ตามเมื่อฝึกฝนเคล็ดวิชาต่อสู้ได้ถึงขั้นนึง พวกเขาจะมีอำนาจทำลายล้างสูง ดังนั้นเรื่องนี้ไม่ควรหลุดออกไป”

“ปราณและเลือดของนาย และขัดเกลากระดูกมาถึงขั้นนี้แล้ว นายจะเข้ามหาลัยวิชายุทธได้แน่นอน เพราะงั้นฉันถึงยกเว้นกฏและสอนนายล่วงหน้า…”

“พี่หวังผมเข้าใจ ไม่ต้องห่วง ผมจะเก็บเป็นความลับแน่นอน!”

“เอาล่ะ…”

หวังจินหยางไม่ได้ถามว่าฟางผิงเพิ่มปราณและเลือดได้เร็วขนาดนี้ได้ยังไง

ทุกคนมีโอกาสเป็นของตัวเอง สำหรับหวังจินหยางที่มาถึงขั้นสามได้ในหนึ่งปีก็เป็นสัตว์ประหลาดในสายตาคนอื่นเช่นกัน

ฟางผิงเพิ่มปราณและเลือดได้อย่างรวดเร็วอาจเป็นเพราะเขาได้รับผลประโยชน์อย่างอื่นหรือเป็นไปได้ว่าเขาเป็นอัจฉริยะ ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องถามเรื่องนี้ให้ชัดเจน

หวังจินหยางไม่ได้ถามความลับฟางผิง และฟางผิงก็ไม่ได้ถามเขาเช่นกัน ยกตัวอย่าง ภารกิจที่หวังจินหยางไปทำคราวนี้คืออะไร? หรือหวังจินหยางมีปราณและเลือดมากเท่าไหร่ตอนที่เขาเป็นเตรียมผู้ฝึกยุทธ? อย่างน้อยที่สุด มันต้องเป็น 180แคลแน่นอน

ครั้งก่อนถานเจิ้นผิงพูดว่าเมื่อพวกเขากลายเป็นผู้ฝึกยุทธตอนแรก ปราณและเลือดของพวกเขาจะมีประมาณ 170-180แคล ซึ่งหมายความว่าตอนหวังจินหยางเป็นเตรียมผู้ฝึกยุทธ ปราณและเลือดของเขาไม่ได้ต่ำไปกว่าเหล่าคนที่พึ่งกลายเป็นผู้ฝึกยุทธเลย

ฟางผิงพบว่ามันจินตนาการได้ยากว่าหวังจินหยางเพิ่มปราณและเลือดให้สูงกว่า 180แคลได้อย่างรวดเร็วได้อย่างไรโดยไม่มีความช่วยเหลือของระบบ!

ฟางผิงสัมผัสด้วยตัวเองแล้วว่า ยิ่งปราณและเลือดสูงแค่ไหน มันก็เพิ่มขึ้นได้ยากเท่านั้น

ตอนวันที่ 3 พฤษภา ปราณและเลือดฟางผิงมาถึง 152แคล

ด้วยการโกงของระบบ ด้วยเวลาครึ่งเดือน ปราณและเลือดของฟางผิงก็มีเพียง 160แคลเท่านั้น

หลังผ่านมาครึ่งเดือน ฟางผิงก็เพิ่มปราณและเลือดและความแข็งแกร่งของจิตใจได้อย่างมีนัยสำคัญ

ทรัพย์สิน : 4,650,000

ปราณและเลือด : 160แคล

จิตใจ : 179เฮิรตซ์

ฟางผิงพอใจกับค่าสถานะเหล่านี้ แต่เมื่อเทียบกับหวังจินหยาง มันก็พูดยากแล้วว่าใครกันที่เป็นคนโกง

World’s Best Martial Artist

World’s Best Martial Artist

Status: Ongoing

ฟางผิงใช้เวลาครึ่งชั่วโมงในที่สุดก็ตัดสินได้ว่าเขาไม่ได้ฝันไปหรือไม่ได้ถ่ายหนัง…อย่าไร้สาระน่า ถ้าการถ่ายหนังชุบความเป็นหนุ่มของเขากลับมาได้ งั้นกองถ่ายก็คงไปถ่ายทำที่สวรรค์ได้แล้ว!

หลังยืนยันว่าเขากลับมาเกิดใหม่ ฟางผิงก็รู้สึกถึงความตื่นตระหนกก่อนจะค่อยๆยอมรับความจริง

ความจริงอะไรงั้นเหรอ? ความจริงที่ว่าเขากลับมาเกิดใหม่ในร่างตัวเองตอนเด็ก และเนื่องจากเขามีความรู้ของอนาคตติดตัวมาด้วย เขาจะทำวันนี้ให้ดีที่สุดแล้วกลายเป็นผู้ยิ่งใหญ่ในแวดวงธุรกิจ! เขาจะรวย!

นั่นเป็นความคิดของเขาจนกระทั่งเพื่อนเขามาขัดจังหวะ

“สรุปนายจะลงทะเบียนสอบวิชาการต่อสู้ไหม?”

อะไรนะ? พูดเล่นเหรอ? หรือเขาส่งบทผิด? วิชาการต่อสู้คืออะไร? ทำไมถึงมีค่าลงทะเบียนหมื่นหยวน? หัวของเขาเต็มไปด้วยประโยคคำถาม ไม่นานฟางผิงก็ตระหนักว่าเขาอาจไม่ได้โชคดีเหมือนที่เขาคิดไว้ตอนแรก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท