ตอนที่ 44 สมมติฐานของอู๋จื้อเห่า
เมื่อมีครั้งแรกก็ต้องมีครั้งที่สองตามมา
ไม่กี่วันถัดมา ฟางผิงมักไปดูพี่น้องถานฝักจวงกง
ไม่กี่วันมานี้เป็นประโยชน์กับเขามาก
พี่น้องถานเป็นกันเองมากเช่นกัน ตราบใดที่เขาไม่รบกวนการฝึกของพวกเขา เขาดูได้ตามใจชอบ
พอพวกเขาพัก ฟางผิงก็จะถามคำถามและทั้งสองจะตอบคำถามตามสมควรเช่นกัน
จวงกงเป็นความลับกึ่งเปิดเผย มันไม่ได้มีอะไรให้ฉวยโอกาส
ทุกอย่างขึ้นอยู่กับเวลาและความพรากเพียร!
อย่างไรก็ตามสิ่งที่พวกเขาไม่รู้ก็คือ ฟางผิงไม่ใช่คนธรรมดา
เมื่อคนอื่นฝึกจวงกงนานๆ พวกเขาต้องผลาญปราณและเลือดมากมาย แถมยังรู้สึกเหนื่อยล้าทางจิตอีกด้วย พวกเขาไม่มีทางเลือกนอกจากต้องหยุดพัก
ปกติแล้วพวกเขาจะใช้เวลาวันนึงถึงสองวันเพื่อฟื้นฟูจนสมบูณณ์
แล้วฟางผิงล่ะ?
ถ้าเขาปราณและเลือดหมด เขาก็แค่ฟื้นฟูด้วยทรัพย์สิน!
ถ้าจิตใจต่ำลง เขาก็แค่ฟื้นฟูด้วยทรัพย์สิน!
ขณะที่พี่น้องถานอยู่ขั้นยืนมั่นคงแล้ว พวกเขาทำจวงกงได้แค่ครึ่งชั่วโมงในแต่ละวันเท่านั้น
ไม่ใช่ว่าพวกเขาทำต่อไม่ไหว มันแค่ใช้ปราณและเลือดกับจิตใจมากเกินไป และต้องหยุดพักไปหลายวัน
ปราณและเลือดเป็นเรื่องนึง อย่างน้อยมันก็ฟื้นฟูได้ด้วยอาหารเสริมและเม็ดยา
อย่างไรก็ตาม เมื่อผู้ฝึกยุทธขั้นต่ำผลาญค่าจิตใจจนหมด มันแทบไม่มีทางฟื้นกลับมา
แล้วฟางผิงล่ะ?
ด้วยอัตราความคืบหน้าของเขา ถ้าเขาทนได้ 20 นาทีก็ถือเป็นปาฏิหาริย์แล้ว
อย่างไรก็ตามเขาใช้ค่าทรัพย์สินไม่ต่างกับน้ำ
ในแต่ละวัน เมื่อเขาถึงบ้าน เขาก็จะเริ่มบ่มเพาะตั้งแต่หนึ่งทุ่มเป็นต้นไป
หลังบ่มเพาะ’เคล็ดเสริมสร้าง’ครึ่งชั่วโมง เขาก็จะฝึกจวงกงกว่า 4 ชั่วโมง!
ฟางผิงแทบไม่พักเลยจนถึงเที่้ยงคืน
ถ้าไม่ใช่เพราะเขาต้องนอนหลับพักผ่อนบ้าง ฟางผิงคงฝึกจวงกงยันเช้า
ค่าปราณและเลือดกับค่าจิตใจเขาเต็มเปี่ยมอยู่เสมอ และเขาก็ฝึกจวงกงอย่างต่อเนื่องเป็นประจำ ฝึกฝนรอบนึงของเขามีผลเท่ากับพี่น้องถานฝึกฝนครึ่งเดือนหรือแม้แต่หนึ่งเดือนเต็ม!
ไม่กี่วันต่อมา ฟางผิงก็พบว่าตัวเองเกือบถึงขั้นแรกแล้ว
…..
คืนวันเสาร์ มันเป็นเวลาที่ฟางผิงไปขอคำแนะนำจากสองพี่น้องอีกครั้ง
ถานห่าวยังไม่ได้คิดมาก แต่สายตาของถานเทาเปลี่ยนไป
เจ้าหมอนี่น่าสะพรึง!
สองวันก่อน เขายังถามความรู้พื้นฐานอยู่เลย แต่ตอนนี้เขาพูดถึงปัญหาเข้าสู่ขั้นแรกยืนมั่นคงแล้ว
หลังอดกลั้นพักใหญ่ ถานเทาก็อดถามไม่ได้ “ฟางผิง นายคงไม่ได้กำลังบรรลุใช่ไหม?”
ถานห่าวอ้าปากค้าง เขาพูดตามตรง “บรรลุ?”
ฟางผิงหัวเราะอย่างกระอักกระอ่วน “ป่าว ฉันแค่ถามเฉยๆ”
“ที่จริงฉันฝึกจวงกงมาพักนึงแล้ว แต่ไม่เคยมีใครอธิบายให้ฉันฟังมาก่อน ฉันเลยไม่ค่อยรู้เรื่อง”
“พอมีพวกนายมาช่วยสอน ฉันก็กลับไปทำความเข้าใจใหม่ และฉันก็เข้าใจจุดที่ไม่เข้าใจมาก่อน ฉันได้ประโยชน์มามากจริงๆ!”
“ฉันยังไม่ได้บรรลุ แต่ฉันคิดว่ามันใกล้แล้ว”
“ฉันต้องขอบคุณพวกนายสองคนจริงๆ ถ้านายมีเวลา ฉันจะพาพวกนายไปเลี้ยงข้าวสักมื้อ”
ไม่ว่าพี่น้องถานจะไม่สนใจ หรือพวกเขามีน้ำใจเฉยๆ แต่พวกเขาก็ช่วยฟางผิงมากมาย
ถ้าไม่มีสองพี่น้อง ฟางผิงคงไม่มีใครชี้ให้เห็นถึงการเคลื่อนไหวที่ผิดพลาดของเขา เขาตัวคนเดียวคงต้องใช้เวลาหลายเดือนกว่าถึงขั้นแรก
“สรุปนายกำลังจะบรรลุ…”
ถานเทาพึมพำ เมื่อเขามองฟางผิงอีกครั้ง แววตาเขาก็ส่อประกายอิจฉา
ตราบใดที่อีกฝ่ายไม่ได้บรรลุมาถึงขั้นเดียวกับพวกเขา ต่อให้ฟางผิงมีปราณและเลือดสูงกว่า สองพี่น้องก็ไม่สนใจ
มันไม่สำคัญหรอกว่าปราณและเลือดสูงกว่ากี่แคล!
ยังไงเสียพวกเขาก็มีพ่อเป็นผู้ฝึกยุทธ ดังนั้นพวกเขาจึงมีความรู้มากกว่าคนอื่น
จวงกงของพวกเขามาถึงขั้นแรกแล้ว เมื่อพวกเขาเข้ามหาลัยวิชายุทธและเรียนรู้’เคล็ดเสริมสร้าง’ พวกเขาจะมีอาจารย์และเข้าถึงทรัพยากรของมหาลัย
โอกาสที่พวกเขาจะกลายเป็นผู้ฝึกยุทธในหนึ่งปีมีสูงมาก
อย่างไรก็ตาม ฟางผิงมีปราณและเลือดสูงกว่าพวกเขาเล็กน้อย ตราบใดที่ปราณและเลือดไม่สูงเกินไป แล้วมันจะสำคัญอย่างไร?
แม้แต่โจวปินที่มีปราณและเลือด 125แคล พวกเขายังไม่ใส่ใจเลย
เมื่อพวกเขาเข้ามหาลัย พวกเขาต้องเริ่มฝึกจวงกงตั้งแต่เริ่มต้น กว่าพวกเขาจะบรรลุถึงขั้นยืนมั่นคงและบ่มเพาะ’เคล็ดเสริมสร้าง’ ไม่รู้ว่าพวกเขาต้องใช้เวลานานเท่าไหร่
ก่อนคนอื่นจะมีโอกาสบรรลุ มีโอกาสสูงที่พวกเขาสองพี่น้องจะกลายเป็นผู้ฝึกยุทธและเสริมสร้างแขนขาไปแล้ว
อย่างไรก็ตามนั่นคืออดีต!
ตอนนี้ฟางผิงกำลังบรรลุขั้นแรกแล้ว นั่นหมายความว่าเขายืนอยู่บนจุดสตาร์ทเส้นเดียวกับพวกเขา
ถานเทาจมอยู่กับความอิจฉาอยู่ครู่นึงก่อนจะกล่าวอย่างสุภาพ “โอ้ นายไม่ต้องเลี้ยงเราหรอก พวกเรายุ่งกันมาก”
“ทำไมเราไม่รอจนจบสอบวิชายุทธก่อนล่ะ? จากนั้นเราค่อยไปกินข้าวด้วยกัน”
ปราณและเลือดของฟางผิงไม่ต่ำ แถมเขายังวิชาวัฒนธรรมศึกษายังไม่เลวด้วย
มีโอกาสสูงมากที่เขาจะเข้ามหาลัยวิชายุทธ
เมื่อพวกเขาสอบผ่าน พวกเขาจะเป็นนักศึกษามหาลัยวิชายุทธ ถ้าแบบนั้น เลี้ยงอาหารกันและสร้างความสัมพันธ์กันก็เป็นความคิดที่ดี
ตอนนี้พวกเขาไม่มีเวลาว่างกัน ฟางผิงก็ยุ่งมาก
หลังขอบคุณครั้งสุดท้าย ฟางผิงก็จากไป
เมื่อฟางผิงเดินลับสายตาไป สองพี่น้องก็เดินลงมาชั้นล่างและมองอู๋จื้อเห่า
ถานห่าวที่หยาบกระด้างคว้าคอเสื้ออู๋จื้อเห่าแล้วกล่าวอย่างเคืองๆ “เสี่ยวอู๋จื่อ นายหลอกปู่ห่าวอีกแล้ว!”
อู๋จื้อเห่าดูสับสนงุนงงมาก และความสับสนเขาก็เปลี่ยนเป็นความโกรธ “ไปไกลเลย หรือนายจะเอา! นายคิดว่าฉันจะกลัวพวกนายสองคนเหรอ? ถ้าแน่จริงก็มาเจอฉันตัวต่อตัวเลย!”
“ตัวต่อตัวบ้านนายสิ!”
ถานห่าวสบถ แต่ไม่นานเขาก็ปล่อยไป เขาพูดด้วยน้ำเสียงกลัดกลุ้มเล็กน้อย “นายบอกไม่ใช่เหรอว่าครอบครัวฟางผิงมีฐานะไม่ดี?”
“แต่ช่วงนี้จวงกงเขาพัฒนาขึ้นเร็วมาก แถมเขายังเปี่ยมไปด้วยปราณและเลือด”
“พูดตามเหตุผล มันไม่น่าเป็นไปได้เลย”
อู๋จื้อเห่าโกรธ “แค่นั้น?”
ช่วงก่อน เขาก็สงสัยและสับสนกับเรื่องนี้เหมือนกัน
อย่างไรก็ตามตอนนี้อู๋จื้อเห่าพอเข้าใจบ้างแล้ว
ขณะที่คนอื่นไม่สนใจ อู๋จื้อเห่าก็พูดเสียงเบา “ฉันคิดว่าเจ้าหนูนี่มีคนสนับสนุน!”
“ใคร?”
“รุ่นพี่หวัง!”
แววตาของอู๋จื้อเห่าเปล่งประกาย “ครั้งก่อนตอนที่รุ่นพี่หวังมาโรงเรียน ฟางผิงมาขอเบอร์รุ่นพี่หวัง”
“ฉันคิดว่าพวกเขาเจอกันด้วย!”
“ฉันไม่รู้ว่าพวกเขาคุยอะไรกัน แต่ฉันคิดว่ามีโอกาสสูงที่เขาได้รุ่นพี่หวังมาสนับสนุน”
“ไม่งั้นนายคิดว่าเขาจะพัฒนาเร็วขนาดนี้ได้เหรอ?”
“นายพูดถึงรุ่นพี่หวังจินหยางเหรอ?”
สองพี่น้องสบตากันและพบความตกใจของสายตาของกันและกัน!
อู๋จื้อเห่าไม่รู้รายละเอียด แต่พ่อของพวกเขาเป็นผู้ฝึกยุทธ พวกเขาจึงรู้ข้อมูลภายในบ้าง
เมื่อไม่กี่วันก่อน ยอดอัจฉริยะเมืองหยางเฉิงในรอบสิบปีได้สังหารผู้ฝึกยุทธขั้นสองสูงสุดด้วยตัวคนเดียว!
หวังจินหยางอายุเท่าไหร่เชียว?
เขาเป็นเด็กใหม่ของมหาลัย อายุ 19 เท่านั้น!
ถ้าเขาสังหารผู้ฝึกยุทธขั้นสองสูงสุดได้ หวังจินหยางต้องมีขั้นพลังสูงแค่ไหน?
ขั้นสองสูงสุด? ขั้นสาม?
แม้แต่พ่อเขายังบอกเลยว่า ตอนพวกเขาเข้ามหาลัยวิชายุทธหนานเจียงได้ พวกเขาต้องเลียรองเท้าเขาให้มากที่สุด
ใช่แล้ว ไม่ใช่ตีสนิท แต่เป็นเลียรองเท้า
ถ้าหวังจินหยางอยู่ระดับที่น่าเหลือเชื่อแบบนี้ตั้งแต่ปีหนึ่ง งั้นก็มีโอกาสสูงที่เขาจะไปถึงขั้นกลางตอนจบการศึกษา!
เมื่อคนแบบนี้จบการศึกษาและเข้าสู่โลกการเมือง อย่างน้อยที่สุดเขาจะได้เป็นระดับผู้บัญชาการ
ระดับเมืองคือผู้บัญชาการ
ระดับมณฑลคือผู้สำเร็จราชการ
เมืองหยางเฉิงเป็นแค่เมืองระดับเทศมณฑล ไม่มีใครเป็นระดับผู้สำเร็จราชการสักคน
(ผู้แปล : เขตปกครองจีนมี 5 ระดับ มณฑล จังหวัด เทศมณฑล(อำเภอ) ตำบล หมู่บ้าน)
ด้วยประสบการณ์อีกสองสามปี มันเป็นไปได้ที่หวังจินหยางจะกลายเป็นผู้สำเร็จราชการ
พวกเขาจะประจบคนระดับนั้นได้อย่างไร?
สองพี่น้องอิจฉาจนหน้าเขียว เจ้าฟางผิงมันประจบรุ่นพี่หวังได้จริงเหรอ?
เมื่อเขาเห็นสีหน้าพวกเขา อู๋จื้อเห่าก็พูดเสียงเบา “เอ่อ นั่นคือสิ่งที่ฉันคือ มันเป็นไปได้ค่อนข้างมาก”
“เพราะงั้นต่อให้พวกนายสองคนจะอิจฉาแค่ไหนก็ไม่มีประโยชน์ นอกจากนี้ลุงถานก็เป็นผู้ฝึกยุทธเหมือนกัน ไม่มีอะไรให้พวกนายอิจฉาหรอก”
“ฉันต่างหากที่ควรอิจฉา!”
“แกไม่รู้อะไรเลย!”
ถานห่าวด่าอีกฝ่าย ต่อให้พ่อเขาอยู่ตรงนี้ ตาแก่ก็อาจไม่กล้าพูดว่าหวังจินหยางอยู่ระดับเดียวกับตนด้วยซ้ำ
คนนึงเป็นผู้ฝึกยุทธขั้นหนึ่งที่อายุเกือบห้าสิบ ส่วนอีกคนเป็นผู้ฝึกยุทธขั้นสองหรือแม้แต่ขั้นสามที่อายุสิบเก้าปี
พวกเขาจะเทียบกันได้ไง?
ตาแก่ฝากความหวังทั้งหมดกับสองพี่น้อง ส่วนตัวเอง นอกจากบ่มเพาะทุกวันเพื่อไม่ให้ปราณและเลือดเสื่อมถอย เขาก็ไม่ได้ขยันบ่มเพาะอีก
การบ่มเพาะต้องใช้เงินเข้าใจมั้ย?!
ถ้าทั้งสามบ่มเพาะโดยอาศัยเงินอันน้อยนิดของตาแก่ พวกเขาคงล้มละลายไปนานแล้ว
แต่หวังจินหยางนั้นต่างกัน เขายังเด็ก มีขั้นพลังสูง และเขายังเป็นนักศึกษาด้วย ซึ่งหมายความว่าเขาได้รับทรัพยากรได้ง่ายกว่า
ฟางผิงมีหวังจินหยางสนับสนุน เขาอาจได้กินเม็ดยาเติมเต็มปราณและเลือดไม่ต่างจากลูกกวาด
“ทำไมรุ่นพี่หวังถึงชอบฟางผิงล่ะ?”
“เฮ้ คงไม่ใช่เพราะฟางผิงไปต้อนรับเขาตอนนั้นใช่ไหม? บ้าเอ้ย ถ้าเรารู้ เราคงไปแทนแล้ว!”
“น่าเสียดาย!”
“…”
สองพี่น้องถอนหายใจ อู๋จื้อเห่าก็พูดขึ้นมาอย่างหดหู่ยิ่งขึ้น “อย่าพูดถึงอีกเลย ฉันก็ไปเหมือนกัน แต่ฉันก็ไม่ได้อะไรเลย”
เขาเดาว่ามันเป็นเพราะปราณและเลือดของฟางผิงเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วหลังทานเม็ดยาไป มันอาจเป็นสาเหตว่าทำไมหวังจินหยางถึงมองเขาต่างออกไป
แน่นอน มันอาจเกี่ยวข้องกับความกล้าหาญของฟางผิงเช่นกัน
เจ้าหมอนั่นกล้าโทรหาหวังจินหยาง อู๋จื้อเห่ารู้สึกชื่นชม
ผู้ฝึกยุทธต้องต่อสู้เพื่อทุกสิ่งอยู่เสมอ!
หลายคนเคยได้ยินเรื่องนี้ แต่มีคนหนุ่มสาวไม่กี่คนที่เข้าใจ
ตอนนี้อู๋จื้อเห่าเริ่มมองเห็นความจริงเบื้องหลังรำไร ถ้าฟางผิงไม่มีความกล้าโทรหาหวังจินหยางในตอนนั้น เขาอาจไม่ได้รับการสนับสนุนจากหวังจินหยาง
สมมติฐานของเขาไม่ได้ถูกต้องทั้งหมด แต่ผลลัพธ์เหมือนกัน
มันเป็นความจริง ถ้าไม่ใช่เพราะสายนั้น ฟางผิงคงไม่เป็นอย่างทุกวันนี้
อย่างไรก็ตามในขณะเดียวกันฟางผิงได้เตรียมแลกเปลี่ยนผลประโยชน์กัน
ถ้าอู๋จื้อเห่าเป็นคนโทร ไม่ว่าหวังจินหยางจะใจกว้างแค่ไหน อย่างมากเขาก็คงมอบคำแนะนำให้ไม่กี่คำเท่านั้น ไม่ได้สนับสนุนเขาเหมือนอย่างฟางผิง
…..
แน่นอนฟางผิงไม่รู้ว่าอู๋จื้อเห่าคาดเดาอย่างไร
แต่นี่เป็นส่วนหนึ่งของแผนฟางผิงเช่นกัน
เขาไม่ได้ตั้งใจปกปิดทุกอย่าง เขาเคยคิดเรื่องนี้มาก่อน เขาจึงกำหนดแพะรับบาปขึ้นมาและวางแผนโยนทุกอย่างให้หวังจินหยาง
แต่นั่นเป็นหลังสอบวิชายุทธ ไม่ใช่ตอนนี้
อู๋จื้อเห่ากับคนอื่นๆกำลังคิดถึงเรื่องนี้ ถ้าฟางผิงรู้ เขาก็ไม่ปฏิเสธ
เมื่อออกจากยิม ฟางผิงไม่ได้กลับบ้าน เขาไปย่านกวนหูหยวนแทน
ไม่กี่วันมานี้ ของทุกอย่างถูกส่งมาแล้ว และฟางผิงก็ให้คนมาวางของทุกอย่างเช่นกัน
ตอนเที่ยง ฟางผิงได้จ้างแม่บ้านมาทำความสะอาดห้อง
ตอนนี้กลางคืนแล้ว ห้องใหม่สะอาดเรียบร้อยมาก
หลังเขาเดินไปรอบๆห้อง ฟางผิงก็ถอดแจ็คเก็ตแล้วนั่งขัดสมาธิบนพื้นเพื่อบ่มเพาะ’เคล็ดเสริมสร้าง’
ช่วงสองสามวันมานี้ เขาหาข้ออ้างบอกว่าเขาฝึกปรืออยู่ที่โรงเรียน เพราะงั้นพ่อแม่เขาจึงไม่ได้ผิดสังเกตเลยแม้ว่าเขาจะกลับบ้านดึกทุกวันก็ตาม
…..
ครึ่งชั่วโมงต่อมา เขาบ่มเพาะ’เคล็ดเสริมสร้าง’เสร็จแล้ว
ตั้งแต่ที่เขาได้เคล็ดวิชามา มันผ่านไปแค่อาทิตย์เดียวเท่านั้น
อย่างไรก็ตามความสามารถของฟางผิงเพิ่มขึ้นเร็วมาก
ทรัพย์สิน : 3240000
ปราณและเลือด : 129แคล
จิตใจ : 150เฮิรตซ์
ค่าทรัพย์สินเขาเป็นตัวเลขกลมๆเพราะไม่นานมานี้พ่อแม่เขาให้ค่าขนมค่าข้าวมาสองร้อยหยวน
จริงๆแล้วฟางผิงไม่ได้อยากรับเงินมา แต่หลังคิดเล็กน้อย เขาก็ตัดสินใจไม่ปฏิเสธ
ถ้าเขาไม่รับเงินมา พ่อแม่เขาคงเป็นห่วงยิ่งขึ้น
เขารับมาไว้ก่อน รอหลังสอบวิชายุทธเสร็จ เขาค่อยเผยไพ่ออกมามันก็ยังไม่สายเกินไป
เมื่อสุดสัปดาห์ก่อน ก่อนที่เขาจะได้เคล็ดวิชามา ฟางผิงมีทรัพย์สินมากกว่า 3.37 ล้าน
เวลานั้น ปราณและเลือดเขามี 124แคล
หนึ่งสัปดาห์ต่อมา ปราณและเลือดเขาเพิ่มมา 5 แคล และค่าจิตใจเขาเพิ่มมา 10เฮิรตซ์!
จากความเร็วที่ฟางผิงใช้ค่าทรัพย์สินในอดีต ค่าทรัพย์สิน 15,000ก็ควรพอแล้ว
อย่างไรก็ตามครั้งนี้ฟางผิงใช้ค่าทรัพย์สินไปมากกว่า 130,000 มันเพิ่มขึ้นมาเกือบสิบเท่า
แต่กระนั้นฟางผิงก็ยังค่อนข้างพอใจ แต่ก่อนเขาไม่ได้ใช้ค่าทรัพย์สินนัก แต่เพิ่มขีดจำกัดสูงสุดก็เป็นไปได้ยากเช่นกัน เขาต้องอาศัยการฝึกฝนร่างกายเอง และร่างกายเขารับไม่ค่อยไหว
แต่ตอนนี้เขามีเคล็ดเสริมสร้างและฝึกจวงกง ขณะที่เขาผลาญค่าปราณและเลือดกับค่าจิตใจ ร่างกายและกระดูกในร่างก็แข็งแกร่งขึ้นเช่นกัน
ทรัพย์สินเขาไม่เพียงช่วยให้ค่าปราณและเลือดกับค่าจิตใจเขาเพิ่มเท่านั้น แต่มันยังช่วยเพิ่มความแข็งแกร่งโดยรวมให้เขาด้วย
มันช่วยลดเวลาให้เขามากมาย ทรัพย์สินไม่กี่แสนถือว่าคุ้มแล้ว
“ยังเหลือเวลาอีก 11 วันกว่าจะถึงประเมิณร่างกาย ฉันสงสัยว่าตอนนั้นฉันจะเพิ่มปราณและเลือดได้เท่าไหร่นะ…”
วันนี้วันที่ 19 เมษายนแล้ว และฟางผิงก็สัมผัสได้เช่นกันว่ายิ่งปราณและเลือดเขาสูงเท่าไหร่ มันก็เพิ่มขึ้นได้ยากเท่านั้น
เมื่อวานเขามาถึง 129แคล วันนี้แม้ว่าเขาจะบ่มเพาะทั้งวัน ปราณและเลือดสูงสุดก็ยังไม่เพิ่ม
‘ดูเหมือนฉันต้องรอจนกว่าจวงกงมาถึงขั้นแรก ฉันถึงบ่มเพาะ’เคล็ดเสริมสร้าง’ควบคู่ไปด้วยได้ พอถึงตอนนั้น ความเร็วคงเพิ่มขึ้น
‘ไม่กี่วันข้างหน้าจวงกงคงบรรลุขั้นแรกแล้ว’
ฟางผิงแอบวาดแผนในใจ หลังเขาล้างหน้าแปรงฟัน เขาก็หยิบกระเป๋าเป้และเดินกลับย่านจิ่งหูหยวน