World’s Best Martial Artist – ตอนที่ 77

ตอนที่ 77

ตอนที่ 77 เหล่าหวังกลับมา

วันถัดมา

15 มิถุนายน

ณ โรงน้ำชาใกล้ย่านกวนหูหยวน

ฟางผิงมาถึงช้ากว่าหวังจินหยางเล็กน้อย

เป็นหวังจินหยางที่เลือกพบกันที่โรงน้ำชา

จากตัวเลือกสถานที่นัดพบ จะเห็นได้ว่าหวังจินหยางเป็นคนสงบและขาดความมีชีวิตชีวาของคนหนุ่มทั่วไป

…..

ฟางผิงไม่แปลกใจที่ได้เห็นหวังจินหยาง

อย่างไรก็ตามเขาแปลกใจที่ได้เห็นสาวน้อยที่ดูแล้วอายุน้อยกว่าฟางหยวนนิดหน่อย เธอกำลังนั่งอยู่ข้างหวังจินหยาง

หวังจินหยางพาน้องสาวมาด้วยเหรอ?

เขาไม่เคยได้ยินหวังจินหยางพูดเลยว่าเขามีน้องสาวด้วย

เด็กสาวมีดวงตากลมโต ผิวซีดขาว ดูไร้เดียงสา เธอนั่งนิ่งไม่ได้หันมองไปไหน แต่เหม่อมองถ้วยน้ำชาแทน

ฟางผิงชำเลืองมองเธอครั้งนึงและทักทายหวังจินหยาง “พี่หวัง”

“นั่งสิ”

หวังจินหยางพยักหน้าเล็กน้อย เมื่อเขาเห็นฟางผิงมองเด็กสาว แววตาเขาดูเจ็บปวดแวบนึง เขากล่าวเสียงเบา “เธอเป็นลูกสาวของอาจารย์ฉัน หนีหนี่”

“โอ้ สวัสดีหนีหนี่”

ฟางผิงแปลกใจเล็กน้อยที่หวังจินหยางพาลูกสาวอาจารย์มาด้วย

เขาไม่คิดว่าอาจารย์ที่พูดถึงมาจากโรงเรียนมัธยมปลายหรือมหาลัย เขาเดาว่าหนีหนี่คงเป็นลูกสาวของอาจารย์ของหวังจินหยางในหยางเฉิง

เด็กสาวที่ถูกเรียกว่าหนีหนี่เงยหน้ามองฟางผิง…

จากนั้นเธอก็มองถ้วยน้ำชาอีกครั้งและไม่ได้พูดอะไร

แน่นอนฟางผิงไม่ได้คิดมาก โดยเฉพาะอีกฝ่ายยังเป็นเด็ก เขายิ้มและไม่ได้พูดอะไรกับเธออีก เขารู้สึกว่าในเรื่องมารยาทเด็กสาวเทียบไม่ได้กับสาวน้อยครอบครัวเขาเลย

หวังจินหยางไม่ได้ตำหนิเธอ เขาลูบหัวเด็กสาวเบาๆแล้วพูดขึ้นมาอย่างอ่อนโยน “รุ่นพี่จะคุยกับเขาสักหน่อย เขามีน้องสาวที่แก่กว่าเธอไม่กี่ปีด้วย ถ้าเรามีเวลา เราไปหาเธอกัน”

หนีหนี่ที่เงียบมาตลอดเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้งแล้วพูดด้วยน้ำเสียงชัดเจน “ไม่ หนูอยากกลับบ้าน!”

“หนีหนี่ ฟังรุ่นพี่นะ ไม่กี่วันนี้แม่ของเธอติดธุระยุ่งๆ แม่ของเธอจึงบอกให้พี่พาเธอไปเที่ยว ถ้าเรากลับบ้าน รุ่นพี่จะไม่โดนตำหนิเอาเหรอ?”

หวังจินหยางปลอบเด็กน้อยด้วยสีหน้าอ่อนโยน สุดท้ายเธอก็ก้มหน้างุดและไม่พูดอะไร

เขาถอนหายใจอย่างหนัก หวังจินหยางไม่ได้เพิกเฉยต่อฟางผิงนานนัก เขาหันหน้ามาแล้วยิ้ม “ขอโทษนะ”

“ไม่เป็นไรครับ…”

ฟางผิงพอเข้าใจสถานการณ์แล้ว เด็กสาวเป็นลูกสาวอาจารย์ของหวังจินหยางจากมหาลัย

มันคาดไม่ถึงเลย!

ฟางผิงครุ่นคิดเรื่องนี้ในใจ เหล่าหวังประจบเก่งจนพาลูกสาวของอาจารย์ออกมาได้เลยเหรอ ดูเหมือนเหล่าหวังจะสนิทกับอาจารย์คนนี้นะ

อาจารย์ในมหาลัยวิชายุทธต่างก็เป็นผู้เยี่ยมยุทธ

ที่เหล่าหวังพัฒนาได้อย่างรวดเร็วเป็นเพราะเรื่องนี้งั้นเหรอ?

ขณะที่ฟางผิงคิดไปเรื่อยเปื่อย หวังจินหยางก็จ้องมองเขาอย่างตั้งใจและกล่าวด้วยรอยยิ้มเยือกเย็น “น่าสนใจ นายขัดเกลากระดูกครั้งที่สองแล้วเหรอ?”

เมื่อเขาพูดจบ เด็กสาวข้างเขาก็เงยหน้าขึ้นมา เห็นได้ชัดว่าเธอรู้เรื่องที่พวกเขาคุยกัน

ฟางผิงพูดถ่อมตน “มันเป็นเรื่องบังเอิญ ผมพึ่งขัดเกลาเสร็จไม่นาน ทั้งหมดนี้ต้องขอบคุณน้ำยาเสริมสร้างร่างกายที่พี่หวังส่งมา…”

“ทั้งหมดมาจากความขยันของนาย ไม่ต้องมาขอบคุณฉันหรอก ถ่อมตัวมากไปมันเกินจำเป็น”

หวังจินหยางส่ายหน้า แต่เมื่อเขาพูดขึ้นมา สายตาเขาดูเฉียบคม “ตอนต้นเดือนเมษา ตอนที่เราพบกันครั้งแรก นายยังธรรมดาอยู่เลย!”

หวังจินหยางใช้คำว่า’ธรรมดา’อธิบายตัวฟางผิงโดยไม่รู้สึกว่าใช้คำผิดเลย

“ตอนนี้ เวลาผ่านไปแค่สองเดือน แต่นายก็ขัดเกลากระดูกไปสองครั้งแล้ว!”

“ฉันต้องบอกเลย ฟางผิง นายทำให้ฉันประหลาดใจมาก”

“ตอนจบเรื่องหวงปิน ฉันก็รู้แล้วว่านายไม่ทำตัวธรรมดานานนัก”

“ฉันคิดว่าความยอดเยี่ยมของนายจะเปล่งประกายตอนเข้ามหาลัยหรือหลังเรียนจบ”

“แต่นายทำได้เกินความคาดหมายของฉัน เราไม่ได้เจอกันแค่ช่วงสั้นๆ แต่นายทำให้ฉันทึ่ง!”

นับตั้งแต่ที่ฟางผิงจัดการหวงปิน หวังจินหยางก็รู้สึกว่ารุ่นน้องเขาคนนี้จะโดดเด่นเข้าสักวันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

เขาไม่คิดเลยว่าฟางผิงจะขัดเกลาสองครั้งสำเร็จในเวลาสองเดือนหลังจากนั้น

ตอนที่เขาขัดเกลากระดูกรอบสองเสร็จ ปราณและเลือดเขามาถึง 180แคล

แม้ทุกคนจะต่างกัน แต่มันก็คงไม่มาก ฟางผิงน่าจะทำรอบสองเสร็จตอนปราณและเลือดประมาณ 180แคล นี่หมายความว่าปราณและเลือดปัจจุบันเขาคงมากกว่านั้นแล้ว

บุคคลเช่นนี้หาได้ยากกว่าผู้ฝึกยุทธขั้นหนึ่งเสียอีก

ไม่ใช่ทุกคนที่จะขัดเกลากระดูกซ้ำสองได้ จากที่เขารู้ จากจำนวนนักศึกษากว่า 4000 คนในมหาลัยวิชายุทธหนานเจียง มีน้อยกว่าห้าคนเสียอีกที่ทำได้

นอกจากนี้ พวกเขายังทำสำเร็จได้หลังเข้ามหาลัย พวกเขาใช้ประโยชน์จากทรัพยากรที่ทางมหาลัยจัดหาให้และใช้เวลาไปมากมาย

เขาก็ถือว่าเร็วแล้ว เขาขัดเกลากระดูกสองครั้งตอนปีหนึ่งเทอมหนึ่ง

มีนักศึกษาสองคนที่รอจนถึงปีสามกว่าจะทะลวงเป็นผู้ฝึกยุทธได้ มันเป็นเพราะพวกเขาอยากขัดเกลากระดูกครั้งที่สองให้สำเร็จ มันใช้เวลาและทรัพยากรไปมาก ทางมหาลัยมอบทรัพยากรให้พวกเขาต่อก็เพราะพวกเขามีหวังทำสำเร็จ

สีหน้าของหวังจินหยางดูสงบ แต่เขารู้สึกภาคภูมิใจ

มีไม่กี่คนนักในมหาลัยวิชายุทธหนานเจียงที่เขาประเมิณไว้สูง

หนีหนี่เหมือนจะเข้าใจรุ่นพี่ของเธอ เพราะเธอเงยหน้ามองฟางผิงอีกครั้ง

เด็กสาวรู้สึกลังเลเล็กน้อยในตอนแรก แต่เธอก็อ้าปากถาม “คุณ…คุณขัดเกลากระดูกสองครั้งในสองเดือนเหรอ?”

ก่อนที่ฟางผิงจะได้ตอบ หวังจินหยางก็ยิ้ม “น่าจะเป็นแบบนั้นนะ หนีหนี่ อันที่จริงเขาเป็นรุ่นพี่เธอครึ่งนึง หรือควรเป็นรุ่นน้อง?”

“ทั้งเคล็ดเสริมสร้างและจวงกงต่างก็ฝึกฝนใต้คำแนะนำของพี่”

“ถ้าให้นับจริงๆ เธอควรเรียกเขาว่าศิษย์หลาน…”

หวังจินหยางมองฟางผิงเชิงขอโทษ เขาไม่ได้ตั้งใจจะเอาความดีความชอบหรือดูถูกฟางผิง

นับตั้งแต่ที่อาจารย์เขาติดอยู่ในถ้ำใต้ดินและถูกรายงานว่าหายสาบสูญ ลูกสาวเขาก็ซึมเซาหดหู่

มันหาได้ยากที่เธอสนใจอะไรสักอย่าง หวังจินหยางทำได้แต่ใช้โอกาสนี้ทำให้เธออารมณ์ดี

เป็นไปตามคาด สาวน้อยอยากหัวเราะให้กับคำว่า’ศิษย์หลาน’ แต่สุดท้ายเธอก็ก้มหน้าลงอย่างอายๆ

ฟางผิงไม่ได้คิดมาก ยังไงที่หวังจินหยางพูดมาก็เป็นความจริง

เขาได้รับการชี้แนะจากหวังจินหยางทั้งการบ่มเพาะและจวงกง

เขายังสังเกตอีกว่าอีกฝ่ายพยายามทำให้เด็กสาวอารมณ์ดี

เมื่อเห็นแบบนั้น เขาก็หัวเราะและพูดสนับสนุนอีกฝ่าย “พี่หวังพูดถูก ผมควรเรียกหนีหนี่ว่าอาจารย์ลุง?”

“หรืออาจารย์ป้าดี?”

เด็กสาวกลั้นเสียงหัวเราะไม่ได้อีก เธอหัวเราะคิกคักเบาๆก่อนจะเอามือปิดปาก เธอลดหัวลง ไม่กล้าสบตาทั้งสอง

หวังจินหยางดีใจกับภาพนี้ เขาแอบยกนิ้วโป้งให้ฟางผิงแสดงความขอบคุณ

เมื่อเห็นเด็กสาวก้มหน้างุดอย่างขวยเขิน หวังจินหยางก็หยุดแกล้งเธอ เขากลับมาหัวข้อเดิม “นายขัดเกลากระดูกซ้ำเสร็จแล้ว นายอยากทะลวงเลยหรืออยากรอไปก่อน?”

“พี่หวัง ผมขัดเกลากระดูกได้อีกเหรอ?”

“ทำได้!”

หวังจินหยางตอบเป็นเชิงยืนยัน แต่เขาก็พูดต่อ “มีบางคนที่ขัดเกลากระดูกสามครั้ง”

“แต่นายน่าจะสัมผัสได้ ยิ่งปราณและเลือดสูงเท่าไหร่ มันจะเป็นภาระต่อร่างกายนายหนักขึ้นเท่านั้น!”

“ในขั้นเตรียมผู้ฝึกยุทธ ปราณและเลือดสูงจะเป็นประโยชน์ต่อการทะลวงในอนาคต”

“แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าปราณและเลือดที่สูงไม่มีสิ้นสุดจะเป็นเรื่องดี!”

“ถ้าน้ำล้นแก้ว น้ำก็จะหก ถ้านายขัดเกลากระดูกได้สามครั้ง นายก็ทำไป แต่ถ้านายรู้สึกว่าร่างกายเครียดจนเกินไป นายก็อย่าฝืน!”

“การขัดเกลากระดูกสามครั้งมีประโยชน์จำกัด ฉันไม่ได้ทำ ฉันเลยไม่มีประสบการณ์กับตัว”

“อย่างไรก็ตาม ฉันรู้จักคนนึงที่ขัดเกลากระดูกสามครั้ง เขามาจากมหาลัยวิชายุทธเซี่ยงไฮ้”

“เขาเคยได้ชื่อว่าเป็นอัจฉริยะ อย่างไรก็ตามเขายืนกรานอยู่ขั้นเตรียมผู้ฝึกยุทธ เพราะเขาอยากขัดเกลากระดูกครั้งที่สาม แม้ว่าเพื่อนร่วมชั้นจะทะลวงสู่ขั้นสองไปแล้ว แต่เขาก็ยังอยู่ขั้นเตรียมผู้ฝึกยุทธอยู่”

“หลังเขาขัดเกลากระดูกเสร็จ เขาก็คิดว่าตนเองจะตามเพื่อนๆทันในเวลาไม่นาน”

“แต่แล้วเขาก็คิดผิด แม้ว่าเขาจะขัดเกลากระดูกได้เร็วกว่าคนอื่น แต่ข้อได้เปรียบเล็กน้อยมาก มันไม่คุ้มกับทรัพยากรและเวลาที่เขาลงทุนไปเลย”

“เป้าหมายสูงสุดของการฝึกยุทธขั้นแรกก็เพื่อขัดเกลากระดูกในร่างกายให้สมบูรณ์”

“ไม่ว่านายจะขัดเกลาหลังเป็นผู้ฝึกยุทธหรือขัดเกลาในขั้นกึ่งผู้ฝึกยุทธ ผลสุดท้ายก็เหมือนกัน”

“อย่าพยายามทำให้เหนือคนอื่นเพียงเพื่อประโยชน์เล็กน้อย…”

การเอาชนะคนอื่นในด้านวิชายุทธไม่จำเป็นต้องแสดงถึงความแข็งแกร่ง ถ้ามันฝืน มันก็เป็นการเสียเวลาและเสียเงินโดยสูญเปล่า การเป็นเตรียมผู้ฝึกยุทธอันดับหนึ่งจะมีประโยชน์อะไร?

หวังจินหยางที่ขัดเกลากระดูกสองครั้งสำเร็จขั้นสามในเวลาหนึ่งปี บางทีเขาอาจทะลวงเป็นขั้นสี่ในเวลาไม่นาน

ขณะที่เขาเป็นขั้นสี่ เหล่าคนที่ฝืนตัวเองขัดเกลากระดูกสองหรือสามครั้งก็ยังเป็นเตรียมผู้ฝึกยุทธอยู่เลย

ล้าหลังไปก้าวเดียวก็อาจอยู่ห่างไกลกันคนละโลก พวกเขาจะตามเขาทันจริงหรือ?

ถ้ามันไม่กระทบต่ออนาคต มันก็ทำได้ แต่ถ้ามันมีผลกระทบ ปล่อยวางได้ก็ควรปล่อยวาง

“พี่หวังขอบคุณสำหรับคำเตือน ผมเข้าใจ ถ้าทำไม่ได้ ผมจะไม่ฝืนตัวเอง”

ฟางผิงขอบคุณเขา คำเตือนของหวังจินหยางมีความหมาย อย่างน้อยที่สุดหวังจินหยางก็ทำให้เขาเข้าใจว่ายิ่งเหนือกว่ายิ่งได้เปรียบไม่ใช่ความจริงเสมอไป

ยิ่งกว่านั้นหวังจินหยางยังเตือนด้วยว่า ถ้าปราณและเลือดของกึ่งผู้ฝึกยุทธสูงเกินไปจนควบคุมไม่ได้ มันจะเป็นอันตรายเมื่อทะลวงเป็นผู้ฝึกยุทธ

ทั้งสองคุยกันเรื่องการฝึกฝนอยู่สักครู่ ฟางผิงอยากถามเรื่องตัวเลือกมหาลัย แต่จู่ๆหวังจินหยางก็พูดขึ้น “ตอนนี้อย่าพึ่งกังวลเรื่องมหาลัยที่จะสมัคร ดื่มน้ำชาสักถ้วย เดี๋ยวเราจะไปโรงยิมของเมืองกัน”

“ห๊ะ?”

ฟางผิงงุนงงเล็กน้อย ไปทำอะไรที่โรงยิมของเมืองล่ะ?

“ฉันอยากเห็นว่านายฝึกเคล็ดวิชาต่อสู้คืบหน้าไปถึงไหนแล้ว”

หวังจินหยางอธิบาย “นี่เกี่ยวข้องกับตัวเลือกมหาลัยของนาย”

“เคล็ดวิชาต่อสู้เกี่ยวข้องกับตัวเลือกมหาลัยเหรอครับ?”

ฟางผิงพอปะติดปะต่อได้ แต่เขาก็รู้สึกสับสนงุนงงในเวลาเดียวกัน เขาพยายามทำความเข้าใจว่าหวังจินหยางหมายถึงอะไร

หวังจินหยางไม่ได้อธิบายต่อ มหาลัยชั้นยอดมีจุดแข็งของมหาลัยชั้นยอด มหาลัยธรรมดาก็มีจุดแข็งของมหาลัยธรรมดา

อย่างน้อยภารกิจที่ยากยิ่งจะไม่ปรากฏในมหาลัยวิชายุทธธรรมดา

สองมหาลัยดังเป็นเจ้าของทรัพยากรมากมาย มีอาจารย์ระดับสูง มีโอกาสมากมาย

แต่ผลประโยชน์ทุกอย่างต้องใช้ความพยายาม

ฟางผิงอาจเป็นอัจฉริยะด้านการบ่มเพาะ แต่อาจไม่ใช่ในด้านวรยุทธ

มีคนที่เป็นแบบนั้น ถ้าเขาแนะนำให้ฟางผิงสมัครสองมหาลัยดังโดยไม่ผ่านการไตร่ตรองให้ดี และถ้าขาดพรสวรรค์ในด้านวรยุทธ มันอาจมีความเสี่ยงที่ฟางผิงจะเสียชีวิตในเวลาอันสั้น

คนที่ไม่มีความสามารถเชิงยุทธที่เข้ากับขั้นพลัง พวกเขาจะเหมาะกับงานบนโต๊ะที่ปลอดภัยมากกว่า ถ้าพวกเขาต้องลงไปถ้ำใต้ดิน พวกเขาจะตายเป็นกลุ่มแรก

หวังจินหยางจิบชาอย่างใจเย็น แม้ว่าฟางผิงจะมีคำถามมากมายอยากถาม แต่เขาก็ทำได้แต่ดื่มชาอยู่เงียบๆ

หนีหนี่ที่อยู่ข้างๆ แม้เธอจะอายุยังน้อย แต่เธอก็รู้อะไรต่างๆมากกว่า

เธออาจรู้ว่าจะทำอะไรต่อไป เพราะสีหน้ามืดมนของเธอเปล่งประกาย เธอกระพริบดวงตากลมโต มองฟางผิงด้วยสีหน้าเห็นใจ

ฟางผิงกำลังดื่มด่ำกับชา เขาจึงไม่ได้สังเกต

ในทางกลับกันหวังจินหยางสังเกตเห็นสีหน้าของเธอ เขาลูบหัวเธอ ใช้นิ้วชี้แตะริมฝีปากส่งสัญญาณให้เธอเงียบ

เด็กสาวหัวเราะออกมาเสียงใส เมื่อฟางผิงเงยหน้าขึ้นมามอง เธอก็ก้มศีรษะลงทันที ไม่กล้าสบตาเขา

World’s Best Martial Artist

World’s Best Martial Artist

Status: Ongoing

ฟางผิงใช้เวลาครึ่งชั่วโมงในที่สุดก็ตัดสินได้ว่าเขาไม่ได้ฝันไปหรือไม่ได้ถ่ายหนัง…อย่าไร้สาระน่า ถ้าการถ่ายหนังชุบความเป็นหนุ่มของเขากลับมาได้ งั้นกองถ่ายก็คงไปถ่ายทำที่สวรรค์ได้แล้ว!

หลังยืนยันว่าเขากลับมาเกิดใหม่ ฟางผิงก็รู้สึกถึงความตื่นตระหนกก่อนจะค่อยๆยอมรับความจริง

ความจริงอะไรงั้นเหรอ? ความจริงที่ว่าเขากลับมาเกิดใหม่ในร่างตัวเองตอนเด็ก และเนื่องจากเขามีความรู้ของอนาคตติดตัวมาด้วย เขาจะทำวันนี้ให้ดีที่สุดแล้วกลายเป็นผู้ยิ่งใหญ่ในแวดวงธุรกิจ! เขาจะรวย!

นั่นเป็นความคิดของเขาจนกระทั่งเพื่อนเขามาขัดจังหวะ

“สรุปนายจะลงทะเบียนสอบวิชาการต่อสู้ไหม?”

อะไรนะ? พูดเล่นเหรอ? หรือเขาส่งบทผิด? วิชาการต่อสู้คืออะไร? ทำไมถึงมีค่าลงทะเบียนหมื่นหยวน? หัวของเขาเต็มไปด้วยประโยคคำถาม ไม่นานฟางผิงก็ตระหนักว่าเขาอาจไม่ได้โชคดีเหมือนที่เขาคิดไว้ตอนแรก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท