World’s Best Martial Artist – ตอนที่ 84.2

ตอนที่ 84.2

ตอนที่ 84 สวัสดี เซี่ยงไฮ้

ณ เซี่ยงไฮ้

ไม่ว่าจะเป็นชีวิตนี้หรือชีวิตก่อน ที่แห่งนี้ก็เป็นเมืองหลวงทางการค้าของประเทศอย่างแท้จริง

ศูนย์กลางเศรษฐกิจ ศูนย์กลางธุรกิจทั้งหมดนี้ล้วนเป็นสมญานามที่มอบให้แก่มหานครเซี่ยงไฮ้เท่านั้น

ทุกเส้นทางล้วนนําพามาสู่เมืองนี้ มันเป็นสถานที่ที่มีความใฝ่ฝันของผู้คนนับไม่ถ้วน!

เมื่อฟางผิงก้าวลงจากรถไฟ เขาก็สัมผัสได้อย่างชัดเจนถึงความแตกต่างระหว่างความคึกคักของมหานครและเมืองหยางเฉิง

ฟางผิงไม่ใช่บ้านนอกเข้ากรุง และก็ไม่ใช่ว่าเขาไม่เคยมาเซี่ยงไฮ้มาก่อน

กระนั้น เมื่อเขาก้าวลงจากรถไฟ ฟางผิงก็ยังรู้สึกถึงแรงกดดัน

“มีผู้ฝึกยุทธเยอะมาก!”

ทันทีที่ฟางผิงก้าวลงจากชานชาลา เขาก็สัมผัสถึงแหล่งที่มาของปราณและเลือดพลุ่งพล่านอย่างน้อยเจ็ดถึงแปดคน

ฟางผิงก็ไม่ได้เก็บงําปราณและเลือดเช่นกัน พริบตานั้นก็มีหลายคนมองมาทางเขา

ไม่ได้

เมื่อพวกเขาเห็นรูปลักษณ์ที่อ่อนเยาว์ของฟางผิง แววตาของบางคนที่อยู่ในฝูงชนก็เบิกกว้าง

เขาเป็นผู้ฝึกยุทธ?

ไม่ใช่แค่นั้น เขายังเป็นเตรียมผู้ฝึกยุทธที่ก้าวข้ามขีดจํากัดและตั้งเป้าขัดเกลากระดูกหลายครั้งด้วย?

ด้วยอายุเท่านี้ แต่มีปราณและเลือดเข้มข้นและทรงพลังก็ระบุสถานะของเขาแล้ว

ขณะที่ฟางผิงมองไปรอบๆ ตํารวจรถไฟในชุดเครื่องแบบตํารวจก็เดินมาหาเขา

เมื่อมีคนแปลกหน้าเดินเข้ามาใกล้ ฟางผิงก็บอกได้เลยว่าเขาไม่ใช่ผู้ฝึกยุทธ กระนั้นปราณและเลือดของอีกฝ่ายก็ไม่แย่นัก อย่างน้อยที่สุดก็มากกว่า 130แคล

ตํารวจรถไฟอายุราวสามสิบ หลังจากที่เขาเดินมาหาฟางผิง เขาก็พูดอย่างใจเย็น “คุณครับ ผมขอดูบัตรประชาชนได้ไหม?”

ฟางผิงขมวดคิ้วเล็กน้อย แต่เขาก็ส่งบัตรประชาชนให้ตํารวจโดยไม่ได้พูดอะไร

ชายคนนั้นใช้เครื่องมือในมือป้อนเลขบัตรประชาชนของฟางผิง

ไม่นาน ชายคนนั้นก็ยิ้มแล้วกล่าว “คุณฟาง นี่เป็นครั้งแรกที่คุณมาเซี่ยงไฮ้ใช่ไหม?”

“ใช่ ผมเป็นเด็กใหม่มหาลัยวิชายุทธเซี่ยงไฮ้ ผมมาล่วงหน้าเพื่อสัมผัสกับบรรยากาศ”

“คุณช่วยแสดงจดหมายรับเข้าเรียนได้ไหม?”

ฟางผิงขมวดคิ้วอีกครั้ง เขากล่าวอย่างไม่พอใจ ”มันจําเป็นเหรอ?”

“โปรดอย่าเข้าใจผิดครับคุณฟาง เนื่องจากคุณเป็นนักศึกษามหาลัยวิชายุทธเซี่ยงไฮ้ นั่นหมายความว่าคุณจะอาศัยอยู่เซี่ยงไฮ้ถึงสี่ปี”

” นอกจากนี้ เซี่ยงไฮ้เป็นมหานครแห่งเศรษฐกิจ ซึ่งทําให้มันมีความสําคัญอย่างยิ่ง”

“ผู้ฝึกยุทธมีพลังเหนือมนุษย์ มีพลังทําลายล้างสูงมาก ซึ่งเซี่ยงไฮ้ไม่ได้ห้ามผู้ฝึกยุทธแต่อย่างใด แต่คุณต้องลงทะเบียนการมาถึง”

“นอกจากนี้ ผู้ฝึกยุทธบางคนยังพกอาวุธติดตัว ถ้าไม่มีใบอนุญาตวิชายุทธ ผู้ฝึกยุทธจะไม่ได้รับอนุญาตให้พกอาวุธติดตัว”

หลังจากนั้น ตํารวจก็อธิบายต่อ ” แต่ก่อน นักศึกษาจากทุกมหาลัยวิชายุทธมักจะมาถึงและลงทะเบียนก่อนไม่กี่วัน”

”เวลานั้น ทางมหาลัยจะส่งตัวแทนมาจัดการทุกอย่างให้”

“อย่างไรก็ตามคุณมาคนเดียวและมาก่อนเวลา ดังนั้นเราจะต้องเตรียมใบอนุญาตวิชายุทธชั่วคราวให้คุณ…”

ฟางผิงเข้าใจ ผู้ฝึกยุทธไม่ต่างอะไรกับอาวุธร่างมนุษย์ที่มีความสามารถเหนือกว่าบุคคลธรรมดา ดังนั้นผู้ฝึกยุทธจึงไม่ต่างจากอาวุธปืนมีชีวิตมากนัก

ถ้าคนแบบนี้ถูกปล่อยไปโดยไม่มีการควบคุม มันอาจเกิดความโกลาหลได้ง่าย

เซี่ยงไฮ้มีผู้ฝึกยุทธมากมาย มันมีทั้งข้อดีข้อเสีย การลงทะเบียนแบบนี้อาจไม่ช่วยอะไรมากนัก แต่อย่างน้อยมันก็แสดงให้เห็นว่าพวกเขาก็ข้อจํากัด

เมื่อเขาคิดได้แบบนั้น ฟางผิงก็กล่าวด้วยความรู้สึกกลัดกลุ้มเล็กน้อย ” ผมยังไม่ได้เป็นผู้ฝึกยุทธ ผมต้องลงทะเบียนด้วยเหรอ?”

” คุณยังไม่ได้เป็นผู้ฝึกยุทธ?”

ตํารวจประหลาดใจเล็กน้อย แต่ไม่ช้าเขาก็คิดอะไรบางอย่างได้ เขารีบกล่าวเสริม ” คนที่มีปราณและเลือดสูงกว่าขีดจํากัดจะต้องลงทะเบียนเช่นกัน”

” ตกลง เราลงจะลงทะเบียนตรงนี้เลยเหรอ?”

“ย่อมไม่ใช่ โปรดมากับผม เราจะไปลงทะเบียนที่สํานักงานวิชายุทธของสถานี”

“มันใช้เวลาเพียงชั่วครู่ คุณจะไม่เสียเวลามากนัก”

“เมื่อคุณมีใบอนุญาตวิชายุทธ คุณจะไปได้ทุกที่ตามต้องการ”

“ถ้าคุณต้องการความช่วยเหลือ คุณสามารถติดต่อกับมหาลัยวิชายุทธเซี่ยงไฮ้ คุณจะคุยกับ สมาคมวิถียุทธก็ได้เช่นกัน พวกเขาจะให้ความช่วยเหลือกับคุณ”

“สมาคมวิถียุทธ?”

(ผู้แปล : อันนี้เป็นสมาคม ส่วนของมหาลัยขอเปลี่ยนเป็นชมรมแทนนะครับ)

ฟางผิงไม่เคยได้ยินองค์กรแบบนี้มาก่อน ดังนั้นเขาจึงอดถามไม่ได้

ตํารวจเป็นกันเองมากเช่นกัน เขายิ้มและอธิบาย “มันเป็นสมาคมที่ไม่เป็นทางการของผู้ฝึกยุทธ ถือเป็นองค์กรกึ่งทางการ”

” บทบาทหลักของพวกเขาคือการให้ความช่วยเหลือผู้ฝึกยุทธที่ไม่ใช่คนท้องที่ ช่วยเหลือพวกเขาให้ปรับตัวเข้ากับชีวิตในเซี่ยงไฮ้ให้เร็วขึ้น”

” ที่จริงสมาชิกสมาคมวิถียุทธเป็นผู้มีอิทธิพลจากมหาลัยวิชายุทธทั่วประเทศ และพวกเขาทํางานกับรัฐบาลท้องถิ่น…”

ทั้งสองคุยไปเดินไป ไม่นานฟางผิงก็เห็นสํานักงานวิชายุทธที่มุมสถานี

มันค่อนข้างใหญ่ อย่างน้อยในสัดส่วนของสถานี มันก็กินพื้นที่ไปค่อนข้างมาก!

พวกเขาเรียกมันว่าสํานักงาน แต่มันใหญ่พอๆกับศูนย์ให้บริการทั่วไป มีหลายคนเดินเข้าออก และอยู่รอบๆ แต่มีไม่กี่คนเท่านั้นที่มีตํารวจรถไฟคอยบริการอย่างฟางผิง

ระหว่างทางมา ฟางผิงก็รู้ว่าตํารวจคนนี้ชื่ออะไร

เขาชื่อเฉินจือชวน เขาเป็นส่วนหนึ่งของระบบรักษาความปลอดภัยสาธารณะ แต่เขายังรับผิดชอบในการทักทายและแนะนําผู้ฝึกยุทธที่พึ่งมาถึงเซี่ยงไฮ้เช่นกัน

ฟางผิงค่อนข้างสนใจ เมื่อเขาเห็นว่ายังเหลืออีกหลายคิวกว่าจะถึงตาพวกเขา ฟางผิงก็เอ่ยถาม “พี่ใหญ่เฉิน คุณรู้ได้ไงว่าผมอาจเป็นผู้ฝึกยุทธ?”

เฉินจือชวนมีปราณและเลือดไม่น้อย เขาอาจมีประมาณ 130แคล

อย่างไรก็ตามฟางผิงมีปราณและเลือดสูงกว่ามาก ดังนั้นเฉินจือชวนควรสัมผัสอะไรจากเขาได้ยาก เพราะยังไงเสียฟางผิงก็ไม่ได้ตั้งใจระเบิดปราณและเลือดออกมา

แถมเวลานั้น พวกเขายังอยู่ห่างกันค่อนข้างไกล แต่เฉินจือชวนเดินตรงมาหาเขาเลย

ระหว่างทางเฉินจือชวนได้คุยกับฟางผิงเล็กน้อย ตอนนี้พวกเขาเริ่มรู้จักกันมากขึ้นหน่อย เขาจึงเริ่มพูดกับฟางผิงเป็นทางการน้อยลง เขาหัวเราะออกมา ” ง่ายมาก ความจริงทุกคนต้องเดินผ่านชานชาลาหลังลงจากรถไฟ”

“ผมมั่นใจว่าคุณเคยใช้ห้องวัดปราณและเลือดมาก่อนใช้ไหม? ทางเข้าออกไปชานชาลาของสถานีล้วนมีสิ่งที่คล้ายกับห้องวัดปราณและเลือด”

“ถ้าปราณและเลือดคุณเกินขีดจํากัด เซ็นเซอร์ก็จะทํางาน จากนั้นมันจะส่งสัญญาณมายังตัวรับที่เราพกติดตัว”

”เข้าใจแล้ว มันฟังดูไฮเทคไม่เบาเลย…”

ฟางผังรู้สึกประทับใจ แต่เฉินจือชวนกล่าวเสียงเบา “ที่จริงมันได้ผลกับผู้ฝึกยุทธขั้นต่ําเท่านั้น”

“เมื่อคุณมาถึงขั้นกลาง เซ็นเซอร์ก็จะสัมผัสถึงคุณไม่ได้”

ฟางผิงเลิกคิ้วเล็กน้อย นั่นหมายความว่าผู้ฝึกยุทธขั้นกลางไม่ต้องลงทะเบียนใช่ไหม?

ราวกับอ่านความคิดเขาออก เฉินจือชวนกล่าวพร้อมกับเสียงหัวเราะ ”พูดตามตรง มีผู้ฝึกยุทธขั้นกลางไม่มากนักที่ขึ้นรถไฟ ผมเห็นแค่หยิบมือเดียวเท่านั้นในแต่ละปี”

“นอกจากนี้ เมื่อพวกเขามาถึงขั้นกลาง ข้อมูลของพวกเขาจะบันทึกไว้เป็นอย่างดี”

“ถ้าพวกเขาขึ้นรถไฟมา เราจะทราบตัวตนพวกเขาจากรายละเอียดบนตัว…”

ฟางผิงอยากถาม ถ้าเกิดพวกเขาใช้ข้อมูลของคนอื่นมาซื้อตั๋วล่ะ? จะเป็นยังไง?

แต่หลังลองคิดดู ฟางผิงก็ตระหนักว่าถ้าผู้ฝึกยุทธขั้นกลางอยากปกปิดตัวตน พวกเขาย่อมมีวิธีต่อให้พวกเขาไม่ขึ้นรถไฟมา พวกเขาก็ขับรถมาได้อย่างง่ายดายหรือบางคนก็เดินมาได้ด้วยซ้ํา

ขณะที่พวกเขาคุยกันต่อ หนึ่งในเคาน์เตอร์ลงทะเบียนก็ว่าง

เฉินจือชวนพาฟางผิงไปเคาน์เตอร์อย่างเร่งรีบ ซึ่งมีหญิงสาวแต่งกายอย่างเป็นมืออาชีพรออยู่หลังเคาน์เตอร์แล้ว

เมื่อเธอเห็นฟางผิง หญิงสาวก็กล่าวด้วยน้ําเสียงอ่อนโยน ” คุณคะ ฉันขอบัตรประชา ชนหรือใบอนุญาตวิชายุทธของคุณหน่อยได้ไหม?”

“ถ้าคุณไม่มีใบอนุญาตวิชายุทธ ใช้บัตรประชาชนก็ได้”

ฟางผิงหยิบบัตรประชาชนออกมา เขากล่าวและส่ายหน้า “ผมไม่มีใบอนุญาตวิชายุทธ และผมก็ไม่ได้เป็นผู้ฝึกยุทธเช่นกัน”

“คุณฟางเป็นเด็กปีหนึ่งมหาลัยวิชายุทธเซี่ยงไฮ้” เฉินจือชวนให้ข้อมูลเธอ

เมื่อหญิงสาวชุดเครื่องแบบรู้เรื่องนี้ เธอก็ตรวจสอบบัตรประชาชนของฟางผิง อย่างไรก็ตาม เธอไม่ได้ขอจดหมายรับเข้าของฟางผิง กลับกันเธอจ้องมองคอมพิวเตอร์ อ่านข้อมูลบางอย่างแทน

หลังจากนั้นสักพัก เธอก็หัวเราะขึ้นมาเบาๆ ” คุณฟาง คุณฟังทะลวงผ่านขีดจํากัดเหรอ?”

บนหน้าจอคอมพิวเตอร์แสดงข้อมูลบางอย่างของฟางผิง รวมถึงผลการประเมิณร่างกายของเขาด้วย

“ใช่”

“ถ้าเป็นแบบนั้น คุณฟาง ถ้าคุณไม่คิดมาก คุณช่วยทําการทดสอบง่ายๆกับเราได้ไหม?”

เมื่อหญิงสาวกล่าวจบ เธอก็ลุกขึ้นยืนและเชิญฟางผิงมายืนบนอุปกรณ์เล็กๆข้างเคาน์เตอร์ลงทะเบียน

ฟางผิงชําเลืองมอง มันคล้ายกับเครื่องมือวัดส่วนสูงน้ําหนักบนท้องถนน แต่มันซับซ้อนกว่าและใหญ่กว่าเล็กน้อย

ไม่เหมือนกับห้องวัดปราณและเลือด มันไม่ได้ถูกปิดมิด มันถูกปกปิดครึ่งเดียวเท่านั้น

มันอาจเป็นอุปกรณ์วัดปราณและเลือด พอเขาคิดแบบนั้น ฟางผิงก็เดินไปยืนบนนั้นโดยไม่ทักท้วง

หลังจากเขาขึ้นไปเหยียบไม่นาน แสงไฟสีแดงสองดวงที่เหมือนไฟแสดงสถานะข้างเครื่องก็สว่างขึ้น

สีหน้าของหญิงสาวกับเฉินจือชวนเปลี่ยนไปเล็กน้อย หญิงสาวชุดเครื่องแบบยึดมั่นในการกระทํามากกว่าคําพูด เธอจึงไม่ได้พูดอะไร

อย่างไรก็ตามเฉินจือชวนอ้าปากค้าง “คุณขัดเกลากระดูกสองครั้ง? มหาลัยวิชายุทธเซี่ยงไฮ้เป็นแหล่งรวมอัจฉริยะจริงๆ”

” หืม?”

ฟางผังกล่าวอย่างสับสนุนงง ”มันตรวจจับได้ด้วยเหรอ?”

“มันระบุแบบคร่าวๆ ไฟสีแดงหนึ่งดวงหมายถึงปราณและเลือดเกิน 150แคล”

“ไฟสีแดงสองดวงบ่งบอกว่าคุณเป็นผู้ฝึกยุทธขั้นหนึ่ง”

“แต่คุณยังไม่ได้เป็นผู้ฝึกยุทธ ซึ่งหมายความว่าคุณต้องเป็นเตรียมผู้ฝึกยุทธที่ขัดเกลากระดูกสองครั้ง เตรียมผู้ฝึกยุทธที่ขัดเกลากระดูกสองครั้งมีปราณและเลือดใกล้เคียงกับผู้ฝึกยุทธขั้นหนึ่งที่ทะลวงมาใหม่ๆ”

เฉินจือชวนอธิบายอย่างใจเย็น และกล่าวด้วยความอิจฉาเล็กน้อย ” คุณฟาง เมื่อคุณเข้ามหาลัยวิชายุทธเซี่ยงไฮ้ คุณอาจมาถึงขั้นสองหรือแม้แต่ขั้นสามได้ในเวลาไม่นาน”

” ผมก็หวังว่าจะเป็นแบบนั้นนะ” ฟางผิงกล่าวพร้อมกับเสียงหัวเราะ

จากนั้นหญิงสาวก็กลับมานั่งที่ เธอหยิบบัตรออกมาหนึ่งใบ มันมีขนาดพอๆกับบัตรประชาชนและเริ่มทํางาน

ด้วยความร่วมมือของฟางผิง หลังถ่ายรูปเสร็จ ไม่เกินห้านาทีฟางผิงก็ถือใบอนุญาตวิชายุทธใบใหม่ในมือ

“ชื่อ : ฟางผิง

เพศ : ชาย

ที่อยู่ : มณฑลหนานเจียง เมืองหยางเฉิง เขตหูซิน ย่านจึงหูหยวน บล็อค 6 ห้อง 101

(ผู้แปล : ที่อยู่เก่า)

สถาบัน : มหาลัยวิชายุทธเซี่ยงไฮ้

ระดับ : ขั้นหนึ่ง”

ฟางผิงตรวจสอบสิ่งที่เรียกว่า”ใบอนุญาตวิชายุทธเล็กน้อย มันคล้ายกับบัตรประชาชน แถมยังมีรูปเขาด้วย ถ้าจะบอกว่ามันต่างกันตรงไหนก็คือ มันเรียบง่ายกว่าเล็กน้อย

หญิงสาวชุดเครื่องแบบแนะนําเขา “คุณฟาง นี่เป็นแค่ใบอนุญาตวิชายุทธชั่วคราว เมื่อคุณเข้ามหาลัยอย่างเป็นทางการ ทางมหาลัยจะมอบใบอนุญาตวิชายุทธให้คุณเอง”

” แล้ว ขั้นหนึ่งตรงนี้หมายความว่ายังไงเหรอ?”

ฟางผิงชี้ไปที่ระดับของเขา เขายังไม่ได้เป็นผู้ฝึกยุทธสักหน่อย

หญิงสาวอธิบายอีกครั้ง ” เตรียมผู้ฝึกยุทธที่ขัดเกลากระดูกสองครั้งจะได้รับสิทธิประโยชน์เหมือนกับผู้ฝึกยุทธขั้นหนึ่ง”

” ท้ายที่สุดแล้ว ไม่ว่าจะเป็นปราณและเลือดหรืออํานาจทําลายล้าง คุณก็ไม่ต่างจากผู้ฝึกยุทธขั้นหนึ่งที่ทะลวงขั้นใหม่มากนัก”

“สําหรับสามขั้นแรก ผู้ฝึกยุทธจะถูกตัดสินจากปราณและเลือด หลังจากนั้นมันจะมีการกําหนดเฉพาะทางแบบอื่น”

” เมื่อคุณเข้ามหาลัยวิชายุทธ คุณจะเห็นว่าความรู้นี้เป็นสิ่งธรรมดาในมหาลัยเช่นกัน”

อันที่จริงหญิงสาวพบว่าฟางผิงแปลกๆเล็กน้อย

ปกติแล้วถ้าคนที่เป็นเตรียมผู้ฝึกยุทธที่ขัดเกลากระดูกสองครั้งก่อนเข้ามหาลัยวิชายุทธ นั่นหมายความว่าพวกเขาต้องมีผู้ฝึกยุทธอยู่ที่บ้าน และมันต้องเป็นบุคคลทรงพลังอีกด้วย

อย่างไรก็ตามเห็นได้ชัดว่าฟางผิงไม่รู้เรื่องพื้นฐานพวกนี้เลย

มันแสดงให้เห็นว่าเขามีความรู้ทํานองนี้ไม่มากพอ หรือเขาจะเป็นคนประเภทที่สนใจแต่การฝึกฝนอย่างเดียว?

เธอมีคําถามมากมายในใจ แต่หญิงสาวก็ไม่ได้ถามอะไรมาก

งานของพวกเขามีแค่ลงทะเบียนให้ผู้มาใหม่เท่านั้น

ทุกอย่างนอกเหนือจากนี้มันไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาต้องสนใจ

เมื่อลงทะเบียนเสร็จ หญิงสาวก็ยิ้มให้เขาอย่างเป็นมืออาชีพ “คุณฟาง ใบอนุญาตของคุณเสร็จแล้ว ฉันหวังว่าคุณจะพึงพอใจ”

” ขอบคุณ”

ฟางผิงขอบคุณเธอแล้วมองเฉินจือชวน เฉินจือชวนก็ยิ้มและรีบพูด ”คุณลงทะเบียนเสร็จแล้ว ใบอนุญาตวิชายุทธชั่วคราวใช้งานได้หลายอย่าง มันสะดวกกว่าบัตรประชาชนด้วยซ้ํา”

“คุณใช้มันเป็นบัตรประชาชนได้ แต่มันใช้งานได้เพียงสามเดือน แน่นอนพอถึงตอนนั้น ทางมหาลัยคงทําให้คุณแล้ว”

หลังจากครุ่นคิดเล็กน้อย เฉินจือชวนก็พูดเสริม “ถ้าคุณอยากพกอาวุธเย็น คุณจําเป็นต้องทําใบอนุญาตอาวุธเย็นเช่นกัน คุณไปทําได้ที่สมาคมวิถียุทธ”

“เข้าใจแล้ว ขอบคุณอีกครั้งครับพี่ใหญ่เฉิน”

ฟางผิงพูดขอบคุณอีกครั้ง ใบอนุญาตที่เฉินจือชวนพูดถึงย่อมเหมือนกับใบอนุญาตอาวุธปืน ดังนั้นฟางผิงจึงเข้าใจโดยไม่ต้องการคําอธิบายมากนัก

” ด้วยความยินดี”

หลังบอกลาเฉินจือชวน ฟางผิงก็ถือกระเป๋าเดินทางเดินออกจากสถานี

เมื่อเขาออกมาจากสถานี ฟางผิงก็รู้สึกอยากหัวเราะ เขารู้สึกเหมือนผู้ฝึกยุทธไม่ใช่คนทั่วไปอีกต่อไป

หลังออกจากสถานี เขาจําเป็นต้องมีใบอนุญาตใหม่

เขาเงยหน้าขึ้น มองออกไปไกลสุดสายตา มีตึกระฟ้าก่อตัวเป็นปาคอนกรีต มีรถยนต์เคลื่อนตัวเหมือนสายน้ํา และคนสัญจรไปมาต่างก็สับฝีเท้าอย่างเร่งรีบ

เมื่อเทียบกับเมืองหยางเฉิง เซี่ยงไฮ้เหมือนเป็นคนละโลก

“ก่อนอื่น ฉันต้องไปมหาลัยวิชายุทธ ดูว่าฉันจะเช่าที่พักใกล้ๆได้ไหม พอได้ที่พัก ฉันจะเริ่มคิดหาวิธีหาเงิน”

ฟางผิงกําหนดแผนการ เขาต้องอยู่คนเดียวในต่างเมืองโดยไม่มีเพื่อนหรือครอบครัว ดังนั้นเขาจึงต้องพึ่งพาตนเองทุกอย่าง

ถ้าเป็นนักเรียนมัธยมปลายธรรมดาๆที่พึ่งจบมาคงรู้สึกทําอะไรไม่ถูก

แต่ฟางผิงไม่ได้ทําอะไรไม่ถูก เขาแค่รู้สึกเหงา

ตอนนี้เขาอยู่ไกลบ้าน เขาไม่มีพ่อแม่คอยเป็นห่วง ไม่มีน้องสาวพล่ามอยู่ข้างหู เขาไม่คุ้นชินมาก

” พอเจอกันครั้งหน้า หน้ากลมจะผอมลงไหมนะ…”

ฟางผิงพึมพําขณะลากกระเป๋าเดินทางหายเข้าไปในฝูงชน เขาไม่มีทางยอมให้น้องสาวเปลี่ยนลุค!

World’s Best Martial Artist

World’s Best Martial Artist

Status: Ongoing

ฟางผิงใช้เวลาครึ่งชั่วโมงในที่สุดก็ตัดสินได้ว่าเขาไม่ได้ฝันไปหรือไม่ได้ถ่ายหนัง…อย่าไร้สาระน่า ถ้าการถ่ายหนังชุบความเป็นหนุ่มของเขากลับมาได้ งั้นกองถ่ายก็คงไปถ่ายทำที่สวรรค์ได้แล้ว!

หลังยืนยันว่าเขากลับมาเกิดใหม่ ฟางผิงก็รู้สึกถึงความตื่นตระหนกก่อนจะค่อยๆยอมรับความจริง

ความจริงอะไรงั้นเหรอ? ความจริงที่ว่าเขากลับมาเกิดใหม่ในร่างตัวเองตอนเด็ก และเนื่องจากเขามีความรู้ของอนาคตติดตัวมาด้วย เขาจะทำวันนี้ให้ดีที่สุดแล้วกลายเป็นผู้ยิ่งใหญ่ในแวดวงธุรกิจ! เขาจะรวย!

นั่นเป็นความคิดของเขาจนกระทั่งเพื่อนเขามาขัดจังหวะ

“สรุปนายจะลงทะเบียนสอบวิชาการต่อสู้ไหม?”

อะไรนะ? พูดเล่นเหรอ? หรือเขาส่งบทผิด? วิชาการต่อสู้คืออะไร? ทำไมถึงมีค่าลงทะเบียนหมื่นหยวน? หัวของเขาเต็มไปด้วยประโยคคำถาม ไม่นานฟางผิงก็ตระหนักว่าเขาอาจไม่ได้โชคดีเหมือนที่เขาคิดไว้ตอนแรก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท