World’s Best Martial Artist – ตอนที่ 88.2

ตอนที่ 88.2

ตอนที่ 88 สี่สาขา (2)

หลี่เฉิงเจ๋อพูดอย่างเคร่งขรึม “มหาลัยวิชายุทธเซี่ยงไฮ้ไม่มีสาขามากนัก มีทั้งสิ้นสี่สาขาเท่านั้น”

“สาขาศัสตราวุธ สาขาสังคมศาสตร์ สาขาการผลิต สาขากลยุทธและยุทธวิธี”

ฟางผิงประหลาดใจเล็กน้อย “มันแบ่งแบบนั้นเหรอ? ฉันคิดว่า…”

เขาไม่ได้พูดต่อ แต่หลี่เฉิงเจ๋อเข้าใจ “คุณกําลังสงสัยว่ามีผู้ฝึกยุทธที่ไม่ใช้อาวุธด้วยใช่ไหม? อันที่จริงผู้ฝึกยุทธที่ใช้อาวุธและไม่ใช้ไม่ได้มีความแตกต่างกันมากนัก มันขึ้นอยู่กับแต่ละคน ความต้องการส่วนตัว”

“นักศึกษาที่เน้นต่อสู้จริงมักจะเลือกสาขาศัสตราวุธ เอ่อ มันถูกเรียกว่าสาขาศัสตราวุธ แต่มันไม่สําคัญว่าคุณจะเรียนรู้อาวุธเย็นไหม”

“นักศึกษาจากสาขาศัสตราวุธส่วนใหญ่มักจะต่อสู้จริง”

“นอกจากนั้น สาขากลยุทธและยุทธวิธีเข้าใจง่ายเช่นกัน นักศึกษาที่เรียนสาขานี้จะเข้าการเมืองหรือกองทัพ ดังนั้นพวกเขาจําเป็นต้องมีความสามารถในการเป็นผู้นํา”

“สาขาการผลิตเกี่ยวกับการผลิตสิ่งของให้กับผู้ฝึกยุทธ วิชาหลักคือการผลิตเม็ดยา อาวุธและแม้แต่พัฒนาเคล็ดวิชายุทธ”

“ส่วนสาขาสังคมศาสตร์”

หลี่เฉิงเจ๋อหยุดชั่วครู่ก่อนจะพูดต่อ ” อืม ไม่ใช่ทุกคนที่เหมาะกับการต่อสู้จริง และมหาลัยวิชายุทธเซี่ยงไฮ้ก็ไม่ได้บังคับ นักศึกษาบางคนแค่ต้องการฝึกฝนไปถึงขั้นสูงๆเพื่อที่จะได้รับสิทธิพิเศษ”

” นักศึกษาเหล่านี้อาจเลือกสาขาสังคมศาสตร์ ส่วนใหญ่จะเข้าแวดวงธุรกิจหรือการเมือง”

คําพูดของหลี่เฉิงเจ๋อทําให้ฟางผิงนึกถึงหลายๆคน รวมถึงคนอย่างฉินเค่อหมิงด้วย

ไม่ช้า หลี่เฉิงเจอก็อธิบายว่า “สาขาสังคมศาสตร์ยังเป็นสาขาที่แย่ที่สุดในมหาลัยวิชายุทธเซี่ยงไฮ้ พวกเขาได้รับทรัพยากรน้อยมาก แถมอาจารย์ก็ไม่ค่อยแข็งแกร่ง”

“นอกจากนี้ พวกเขาไม่ได้เน้นต่อสู้จริง แต่พวกเขาก็ยังจําเป็นต้องศึกษาเคล็ดวิชายุทธ ดังนั้นพวกเขาจึงยังแข็งแกร่งกว่าผู้ฝึกยุทธทั่วไปอย่างมาก”

“อย่างไรก็ตาม พวกเขากับนักศึกษาสาขาศัสตราวุธที่มีประสบการณ์โชกเลือดในสนามรบจริงมีช่องว่างใหญ่มาก”

“ที่มหาลัยวิชายุทธเซี่ยงไฮ้ สาขาศัสตราวุธเป็นสาขาที่ได้รับทรัพยากรมากสุดและมีอาจารย์ที่แข็งแกร่งที่สุด”

“แม้แต่คนที่กลัวการต่อสู้ก็ยังอยากเข้าสาขาศัสตราวุธ”

“เพราะงั้นเมื่อเปิดภาคเรียน การกําหนดสาขากับห้องจะเป็นที่สนใจที่สุด”

“เราจะถูกกําหนดตามความสามารถงั้นเหรอ?” ฟางผิงถาม

หลี่เฉิงเจ๋อพยักหน้า “ครับ พวกเขาไม่ได้กําหนดจากปราณและเลือดหรือผลสอบ”

“เมื่อสอบเข้ามหาลัยวิชายุทธเซี่ยงไฮ้ อาจจะใช่”

“แต่เมื่อเปิดภาคเรียน คุณจะเห็นอาคารที่เรียกว่าอาคารฝึกฝนการต่อสู้จริงในมหาลัยวิชายุทธเซี่ยงไฮ้

“เมื่อถึงเวลา ทั้งสี่ชั้นของอาคารฝึกฝนต่อสู้จริงจะถูกเปิด แต่ละชั้นบรรจุคนได้ 400 คน และแต่ละชั้นจะเป็นตัวแทนของสาขา คุณต้องขึ้นไปที่ชั้นที่เป็นตัวแทนของสาขาที่คุณอยากเข้า”

“เมื่อนักศึกษาเข้าไปในอาคาร อาคารจะถูกปิด และจะเปิดอีกครั้งในอีกหนึ่งชั่วโมง คุณอยากเข้าสาขาไหน คุณก็ไปชั้นนั้นเลย”

“มันตรงไปตรงมาและโหดร้ายขนาดนั้นเลย?”

ฟางผิงอึ้งหน่อยๆ เขาอดถามไม่ได้ “คุณหมายความว่าเราจะมีโอกาสต่อสู้กันเพื่อแย่งตําแหน่งในชั้นใช่ไหม?”

หลี่เฉิงเจ๋อหัวเราะอย่างกระอักกระอ่วน “ครับ แน่นอนคุณยังปลดปล่อยปราณและเลือดเพื่อทําให้คนอื่นกลัวก็ได้เช่นกัน”

“อย่างไรก็ตาม หลายคนมีปราณและเลือดต่ำ พวกเขาจึงตรงดิ่งไปที่สาขาศัสตราวุธ เมื่ออาคารเปิด ทุกๆปีจะมีนักศึกษาไม่น้อยเลยที่มีรอยฟกช้ำบวมเป่ง…”

“มันไม่ยุติธรรมเลย เห็นด้วยไหม?”

ฟางผิงถามอีกครั้ง เมื่อประตูปิดลง กว่าพันคนจะติดอยู่ข้างใน แม้แต่นักศึกษาที่มีความสามารถในการต่อสู้จริงอย่างฟางผิงก็อาจถูกปิดล้อมด้วยจํานวน

อย่างไรก็ตามหลี่เฉิงเจ้อไม่เห็นด้วย เขาอธิบายด้วยรอยยิ้ม “ที่จริงมันค่อนข้างยุติธรรม คนที่เข้ามหาลัยวิชายุทธได้ต่างก็เป็นคนฉลาด”

“ถ้าคุณแข็งแกร่งจะไม่มีใครออกมายั่วยุคุณ เพราะยังไงแต่ละชั้นก็รองรับ 400 คน ไม่จําเป็นต้องสู้สุดชีวิต”

“นอกจากนี้ ทุกคนมาจากทั่วประเทศ ถ้าใครจับทีมได้ทันทีหลังเปิดภาคเรียน มันก็เป็นการพิสูจน์ความสามารถเช่นกัน”

“สาขาที่ต้องการนักศึกษาแบบนั้นเช่นกัน”

“มีโอกาสสูงที่คนแบบนั้นจะเข้าร่วมสาขากลยุทธและยุทธวิธี แต่สาขานั้นไม่ได้เลวร้ายไปกว่าสาขาศัสตราวุธ”

ในฐานะพนักงานของหนึ่งในบริษัทสาขาของมหาลัยวิชายุทธเซี่ยงไฮ้ หลี่เฉิงเจ๋อจึงได้สนทนากับนักศึกษาและผู้ปกครองอยู่บ่อยๆ สถานที่ทํางานของเขาก็ตั้งอยู่ใกล้กับมหาลัย และเขายังได้รับอนุญาตให้เข้าไปวิทยาเขตอีกด้วย

เพราะงั้นเขาจึงมีความเข้าใจมหาลัยวิชายุทธเซี่ยงไฮ้พอสมควรเลย อย่างน้อยก็มากกว่าฟางผิง

เดิมทีฟางผิงตั้งใจจะคุยลวกๆก่อนจะเข้าประเด็นหลัก

อย่างไรก็ตามตอนนี้ฟางผิงรู้สึกสนใจมาก เขาจึงไม่รีบเข้าประเด็น และถามถึงกิจการภายในมหาลัยแทน

การแบ่งสาขาเป็นกิจกรรมที่ใหญ่ที่สุดตอนเริ่มภาคเรียน

หลังจากนั้นจะมีการแบ่งห้องและเลือกอาจารย์

พอถึงเวลานั้น วิชายุทธจะต่างจากสังคมศาสตร์ อาจารย์สังคมศาสตร์สั่งสอนนักเรียนได้หลายร้อยคนในครั้งเดียว แต่อาจารย์วิชายุทธสั่งสอนนักศึกษาได้มากสุดสิบยี่สิบคนเท่านั้น

บางที่อาจารย์อาจมีศิษย์แค่ห้าหกคนเท่านั้น

อาจารย์ที่มหาลัยวิชายุทธแข็งแกร่งมากกว่าเช่นกัน แม้แต่อาจารย์ที่อ่อนแอสุดอย่างน้อยก็เป็นขั้นสี่ แม้แต่ขั้นหกก็มี

สําหรับการสอนขั้นพื้นฐาน มันไม่สําคัญนักว่าอาจารย์คนนั้นจะแข็งแกร่งแค่ไหน แต่อาจารย์ที่มีความสามารถมากย่อมมีทรัพยากรมากมาย

พวกเขาอาจมีธุรกิจของตนเองอยู่ด้านนอก หรืออาจมีเส้นสายพิเศษ

นั่นหมายความว่ามีโอกาสสูงที่พวกเขาอาจมอบวิธีหารายได้ที่พิเศษและปลอดภัยแก่คุณ หรือถ้าเกิดอาจารย์เอ็นดู พวกเขาอาจมอบทรัพยากรบางอย่างให้เป็นการลงทุนก็ได้

และเพื่อนของอาจารย์ขั้นหกอาจเป็นผู้สําเร็จราชการหรือข้าราชการชั้นผู้ใหญ่จากมณฑลต่างๆ หรืออาจเป็นแม้แต่ซีอีโอบริษัทข้ามชาติ

กลับกันอาจารย์ขั้นสื่อาจเข้าถึงสังคมระดับนั้นได้ยาก

นักศึกษาอาจเริ่มต้นจุดเดียวกัน และทางสาขาอาจมอบทรัพยากรให้เท่าเทียมกัน แต่อาจารย์อาจสร้างความแตกต่างให้คุณกับเพื่อนร่วมชั้นได้อย่างมาก

ทั้งหมดนี้จะถูกกําหนดตอนเริ่มภาคเรียนเช่นกัน

อาจารย์จะเลือกลูกศิษย์ที่ต้องการ และนักศึกษาจะต้องเลือกอาจารย์ที่อยากติดตามด้วยเช่นกัน นี่คล้ายกับนักศึกษาปริญญาโทที่สมัครเข้ามหาลัยทั่วๆไป

มันจะมีความแตกต่างกันอย่างมหาศาลระหว่างมีอาจารย์ที่ปรึกษาเป็นศาสตราจารย์ชื่อดังระดับโลกหรืออาจารย์ธรรมดาๆ

ถ้ามีศาสตราจารย์ชื่อดังระดับโลกเป็นอาจารย์ที่ปรึกษา ทางมหาลัยและทางรัฐบาลอาจทุ่มเงินให้คุณวิจัยมหาศาล แต่ถ้ามีอาจารย์ธรรมดาๆเป็นอาจารย์ที่ปรึกษา เงินวิจัยเพียงเล็กน้อยก็อาจหามาได้อย่างยากลําบาก

มันก็เหมือนกับมหาลัยวิชายุทธ อีกอย่างทั้งสังคมก็เป็นเช่นนี้แหละ

อาจารย์จะแสดงคุณค่าของตนเอง ดังนั้นนักศึกษาต้องแสดงคุณค่าและความสามารถของตนเองด้วยเช่นกัน

หลังคุยกับหลี่เฉิงเจ๋อพักใหญ่ ฟางผิงก็ได้ข้อสรุป “พูดอีกนัยนึง ผมต้องเข้าสาขาศัสตราวุธเลือกห้องที่ดีที่สุด เลือกอาจารย์ที่แข็งแกร่งที่สุด คุณจะสื่อแบบนี้ใช่ไหม?”

หลี่เฉิงเจอรีบกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ใช่แล้วครับคุณฟาง แต่ถ้าคุณสนใจเป็นผู้บัญชาการ คุณเลือกสาขากลยุทธและยุทธวิธีก็ได้”

“สาขาการผลิตฟังดูดี แต่ตลาดที่เกี่ยวข้องถูกผูกขาดไปแล้ว ดังนั้นนักศึกษาจึงเริ่มธุรกิจของตนเองไม่ได้”

“นักศึกษาที่อยู่สาขานี้ส่วนใหญ่จะทํางานกับบริษัทที่ควบคุมโดยรัฐบาล เป็นรัฐวิสาหกิจ”

เดิมทีฟางผิงก็สนใจสาขาการผลิตเล็กน้อย เพราะเขามีประสบการณ์ด้วยตัวเองนานแล้วว่าเม็ดยาทํากําไรได้มากแค่ไหน

อย่างไรก็ตามเขาก็รู้เช่นกันว่ามันไม่ได้ง่ายดายเช่นนั้น คําพูดของหลี่เฉิงเจ๋อพิสูจน์ข้อสงสัยเขาแล้ว

อุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับการสร้างสิ่งของให้ผู้ฝึกยุทธใช้ถูกผูกขาดแทบทั้งหมด เมื่อจบการศึกษา นักศึกษาสาขาการผลิตจะเข้าบริษัทเหล่านี้และมีงานการที่มั่นคง

อย่างไรก็ตามฟางผิงไม่สนใจทํางานให้คนอื่น

ไม่จําเป็นต้องพูดถึงสาขาสังคมศาสตร์เลย ส่วนสาขากลยุทธและยุทธวิธี ฟางผิงครุ่นคิดและสรุปว่ามันเหมาะกับสายอาชีพที่ทํางานกับรัฐบาลมากกว่า เมื่อเป็นแบบนั้น ฟางผิงจึงไม่สนใจอีก

หลังพิจารณาหลายตลบ ตัวเลือกเดียวที่เหลืออยู่คือสาขาศัสตราวุธ

ตอนนี้เขารู้แล้วว่าเขาต้องทําอะไรต่อ ฟางผิงจึงหยุดคุยหัวข้อนี้ เขาเริ่มคุยรับสมัครคนแทน

==============

ผู้แปล : ถ้ามีตอนยาวๆหลายๆตอน ผู้แปลขออนุญาตนั่นเป็นสองตอนนะครับ อย่าง 3-4 ตอนนี้ยาว 12000 ตัวอักษร+ ตอนนี้เหยียบ 13000 ตัวอักษรเป็นต้น

World’s Best Martial Artist

World’s Best Martial Artist

Status: Ongoing

ฟางผิงใช้เวลาครึ่งชั่วโมงในที่สุดก็ตัดสินได้ว่าเขาไม่ได้ฝันไปหรือไม่ได้ถ่ายหนัง…อย่าไร้สาระน่า ถ้าการถ่ายหนังชุบความเป็นหนุ่มของเขากลับมาได้ งั้นกองถ่ายก็คงไปถ่ายทำที่สวรรค์ได้แล้ว!

หลังยืนยันว่าเขากลับมาเกิดใหม่ ฟางผิงก็รู้สึกถึงความตื่นตระหนกก่อนจะค่อยๆยอมรับความจริง

ความจริงอะไรงั้นเหรอ? ความจริงที่ว่าเขากลับมาเกิดใหม่ในร่างตัวเองตอนเด็ก และเนื่องจากเขามีความรู้ของอนาคตติดตัวมาด้วย เขาจะทำวันนี้ให้ดีที่สุดแล้วกลายเป็นผู้ยิ่งใหญ่ในแวดวงธุรกิจ! เขาจะรวย!

นั่นเป็นความคิดของเขาจนกระทั่งเพื่อนเขามาขัดจังหวะ

“สรุปนายจะลงทะเบียนสอบวิชาการต่อสู้ไหม?”

อะไรนะ? พูดเล่นเหรอ? หรือเขาส่งบทผิด? วิชาการต่อสู้คืออะไร? ทำไมถึงมีค่าลงทะเบียนหมื่นหยวน? หัวของเขาเต็มไปด้วยประโยคคำถาม ไม่นานฟางผิงก็ตระหนักว่าเขาอาจไม่ได้โชคดีเหมือนที่เขาคิดไว้ตอนแรก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท