World’s Best Martial Artist – ตอนที่ 99

ตอนที่ 99

ตอนที่ 99 ฉันคงรู้สึกผิดถ้าฉันไม่ทําพลาด

ชั้นสอง ฟางผิงกําลังเดินไปรอบๆอย่างเอื่อยเฉื่อย

เขาไม่ได้ทําเพราะไม่มีอะไรทํา แต่เขาแค่อยากเห็นความสามารถของเด็กใหม่โม่อู่ด้วยตัวเอง

ฟางผิงยังไม่รู้ระดับความสามารถของตนเอง โดยเฉพาะในด้านการต่อสู้จริง

เขาไม่ค่อยได้ติดต่อกับผู้ฝึกยุทธ ในบรรดาผู้ฝึกยุทธไม่กี่คนที่เขารู้จัก หวังจินหยางไม่ใช่คนถานเจิ้นผิงเป็นผู้ฝึกยุทธที่ไม่มีอะไรเลยนอกจากปราณและเลือด หวงปืนตายก่อนได้ลงมือและจางหยงต่อยหัวคนตาย

คู่ต่อสู้คนเดียวที่เขาเคยสู้คือผู้ฝึกยุทธนอกรีตซึ่งไม่มีประโยชน์อะไรเลย นอกจากจะพิสูจน์ว่ากําปั้นของจางหยงหนักแค่ไหน

เพราะงั้นจนถึงตอนนี้ฟางผิงจึงประเมินความสามารถของตนเองได้ไม่ชัดเจน

เขารู้ว่าตัวเขาที่ขัดเกลาสามครั้งไม่ควรอ่อนแอเกินไป แต่จะอ่อนแอหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับเขาประมือกับใคร

เมื่อเขาประมือกับเหล่าหวัง เขาทําอะไรไม่ได้เลยแม้ว่าเหล่าหวังจะใช้มือเดียวก็ตาม

ชั้นหนึ่งชั้นสองค่อนข้างเงียบสงบ

สองชั้นนี้แทบไม่มีใครต่อสู้กันเลย ถ้าต่อสู้กัน มันก็เป็นแค่การประฝีปาก

“นายก็มาชั้นนี้เหรอ?”

“ใช่ ฉันมาชั้นนี้”

“แล้วนายมาชั้นนี้ทําไม? อย่างนายอยู่ได้แค่ชั้นหนึ่งเท่านั้นแหละ”

“นายมาได้ ฉันก็มาได้ แล้วทําไมฉันจะไม่มา?”

ฟางผิงฟังบทสนทนาโง่ๆนี้มาตั้งแต่ต้น แม้ฟางผิงจะเดินผ่านทั้งสองไป พวกเขาก็ไม่ได้ตอบสนองอันใด

กว่าฟางผิงจะได้เห็นฉากต่อสู้กันก็เมื่อเขาขึ้นมาชั้นสาม

การต่อสู้อาจไม่ใช่คําอธิบายที่ดีที่สุดในการอธิบายถึง คนธรรมดาสองคนที่มีปราณและเลือดสูงกว่าเฉลี่ยชกต่อยกันโดยมีผู้ชมคุยกันจอแจอยู่ใกล้เคียง

ปราณและเลือดสูงยังมีข้อดีอย่างอื่นอีกสองอย่าง นั่นก็คือยืดหยุ่นต่อการโจมตีและมีความทนทานสูง!

พวกเขาแลกหมัดกันอย่างกระตือรือร้น ข้อดีของปราณและเลือดสูงเห็นได้ชัดเจน หมัดไม่ได้สร้างความเสียหายและกินพลังไม่มากนัก ตัดสินจากจังหวะการต่อสู้ พวกเขาคงสู้กันได้จนอาคารเปิด

“ระดับนี้ ฉันรับมือได้สิบคนในคราวเดียว”

ฟางยิ่งได้ข้อสรุป ปราณและเลือดของพวกเขาน่าจะยังไม่ถึงขีดจํากัด อีกนัยนึ่งก็คือปราณและเลือดต่ํากว่า149แคล

แม้ว่าพวกเขาจะฝึกเคล็ดวิชาต่อสู้ แต่เอามาใช้จริงไม่ได้เลย ถ้าเป็นแบบนี้ มันไม่ควรถูกเรียกว่าเคล็ดวิชายุทธ เลย

คนที่มีระดับความสามารถเพียงเท่านี้กล้ามาต่อสู้กันบนชั้นสามโดยมีคนอื่นเฝ้าดูอย่างสนุกสนาน เห็นได้ชัดว่านักศึกษาบนชั้นสามก็แค่ระดับปานกลาง

“ไม่มีผู้ฝึกยุทธ ไม่มีเตรียมผู้ฝึกยุทธสูงสุด พวกเขาน่าจะไปชั้นสี่กัน”

“ฉันควรไปชั้นสี่ได้แล้ว จากตัวอย่าง พอประเมิณฝีมือของคนอื่นได้แล้ว”

ฟางผิงรู้ว่าเขาชอบคิดมากเกินไปและขาดความมุทะลุของคนหนุ่ม เนื่องจากนิสัยติดตัวเขาจึงมักจะคิดให้รอบคอยก่อนค่อยลงมือทํา

“ฉันควรเปลี่ยนตัวเอง”

ฟางผิงตัดสินใจ ที่จริงเขาไม่คิดว่านี่เป็นสิ่งไม่ดี แต่บางครั้งการขาดความเด็ดขาดก็ไม่ใช่เรื่องดีเสมอไป

เมื่อเทียบกับคนอย่างฟูชางติง เขาดูเหมือนคนสุขุมและอวดดีเล็กน้อย

เขาถอนหายใจออกมาและมุ่งหน้าขึ้นไปชั้นสี่

ณ ชั้นสี่

นั้นตั้งแต่กลุ่มนักศึกษาที่มีฝีมือต่ําถูกไล่ออกไป นักศึกษาที่มาก็ไม่ได้อ่อนแอ

ผู้ฝึกยุทธและนักศึกษาขัดเกลาสองครั้งรวมๆแล้วมีเกือบ 70 คน มีนักศึกษาประมาณ 30-40 คนที่มีปราณและเลือดประมาณ 150-180 แคล

นอกจากเกือบ 100 คนที่พูดมา นักศึกษาคนอื่นที่ขึ้นมาชั้นบนล้วนมีปราณและเลือดเกิน 140แคล

มีเตรียมผู้ฝึกยุทธสูงสุดหลายคนที่มีปราณและเลือด 149แคล

เมื่อมีคนมาชั้นสี่ลดน้อยลง ก็มีคนพูดออกมา “ง่ายกว่าที่คิด”

ชั้นสี่จุคนได้ 400 คน นับตั้งแต่ผู้ฝึกยุทธครอบครองอาณาเขตและบอกให้เฉพาะคนที่มีปราณและเลือดเกิน 140แคลเท่านั้นที่เข้ามาได้ นักศึกษาที่ขึ้นมาชั้นบนก็ลดน้อยลง

เวลาผ่านมาเกือบครึ่งชั่วโมงแล้ว แต่ชั้นสี่มีคนประมาณสามร้อยคนเท่านั้น

คนที่เหลือที่ผ่านเกณฑ์ไม่กําลังเดินเล่นอยู่ชั้นล่างก็เตรียมขึ้นมาชั้นบนตอนช่วงสุดท้าย

ต่อให้นับรวมพวกเขาทั้งหมด มันก็ยากที่จํานวนจะเกิน 400 คน

เพราะเหตุนี้ ทุกคนจึงผ่อนคลายกันมาก

เหล่าคนที่มีฝีมือกลางๆต่างก็โล่งอก เพราะพวกเขามีโอกาสเข้าสาขาศัสตราวุธ

ส่วนคนที่มีฝีมือมากกว่านั้นต่างก็ไม่พอใจ ถ้าไม่ได้ประมือกับคนอื่น พวกเขาจะแสดงฝีมือของตนเองได้อย่างไร?

ขณะที่หลายคนเริ่มวางแผน ก็มีคนเดินเข้ามาจากนอกประตู เขาคือฟูชางยิ่ง

เขาถือหอกไม้เดินไปรอบๆห้องโถงพร้อมร้องตะโกนเสียงดัง “เชาเชาอยู่ไหน? ออกมาหาพ่อหน่อยเร็ว!”

(ผู้แปล : เชาเชา(หมาเชาเชา) มีตัวหนังสือที่ใช้ร่วมกับชื่อถังซ่งถึง(คําว่าซ่ง)

ฝูงชนผงะ ขณะที่หลายคนสับสนุนงง ถังซึ่งถึงก็ลุกขึ้นยืนอย่างโกรธเกรี้ยว เขาเถียงด้วยความรําคาญ “ปู่ชางยิ่ง แน่จริงก็พูดอีกทีสิวะ!”

“เชาเชา มานี่มา ปรมาจารย์ฟูจะสอนให้นายเป็นลูกผู้ชาย!”

ฟูชางยิ่งหัวเราะเสียงดัง หอกไม้ในมือกวาดใส่อีกฝ่ายโดยไม่รอให้อีกฝ่ายตอบ

“ฟุบ…

เสียงอากาศแหวกดังขึ้นมา

ถังซ่งถึงสีหน้าเปลี่ยนไป เขาหลบการโจมตีอย่างรวดเร็ว หลายคนที่เกือบโดนลูกหลงมีสีหน้าน่าเกลียด

ก่อนที่พวกเขาจะได้เปิดปาก ปู่ชางยิ่งก็หัวเราะเสียงดัง ” ฉันกําลังดวลเกี่ยวกับเชาเชา! ใครไม่พอใจก็เข้ามา ปรมาจารย์ฟูรับคําท้าทุกคน ไม่มีปัญหา!”

” อวดดี!”

มีคนสบถค่าออกมา แต่ไม่มีใครก้าวออกมา หลายคนที่อยู่ข้างๆถังซ่งถึงก็รีบถอยออกห่าง

“เชาเชา ตอนนี้ไม่มีใครช่วยนายแล้ว อย่าคิดหนี!”

“เชาเชาพี่สาวแกสิ!”

เมื่อรวมกับที่เขาถูกเรียกฉายาต่อหน้าทุกคน และฟูชางยิ่งยั่วยุเขา ถังซ่งถึงจึงหมดความอดทนแม้ตอนแรกเขาจะรู้สึกหวาดหวั่นก็ตาม

“ตาย!”

ถังซึ่งถึงแยกขา กางฝ่ามือกว้างคว้าจับหอก

“ปัง!”

ทั้งสองปะทะกัน มีเสียงเหมือนโลหะปะทะกันเบาๆท่ามกลางวุ่นวาย

ถังซ่งถึงจับหอกไม้ ฝ่ามือเขาแดงเถือก เส้นเลือดหลังมือปูดโปนออกมา

เมื่อจับหอกได้ เขาก็ไม่ได้ถอยหนี แต่ก้าวไปข้างหน้าแทน มือซ้ายกําแน่นชกกําปั้นกระแทกหอกไม้สีขาวอย่างแรง เห็นได้ชัดว่าเขาต้องการทําลายอาวุธของชางยิ่ง

“โง่เขลา!”

แววตาของปู่ชางติงเปล่งประกายเย้ยหยันวูบนึง คนอื่นอาจไม่รู้ แต่นายถังซ่งถึงควรรู้ว่าฉันขัดเกลาขาอยู่!?

เขาฝึกฝนวิชาหอกน่ะใช่ แต่แขนของเขาไม่ได้แข็งแกร่งมากนัก เพราะเขาไม่ได้ขัดเกลาแขน ส่วนที่แข็งแกร่งที่สุดของเขาคือส่วนขา!

ถังซ่งถึงกําลังกําหอกมือนึงและกําหมัดอีกมือนึง ตอนนี้ด้านหน้าเขาเปิดโล่ง ป้องกันฟูชางยิ่งไม่ได้

ฟูชางติ้งไม่ลังเล เขาสะบัดมือทิ้งหอกในมือลวกๆ

ขาซ้ายดีดตัวกับพื้น ขาขวาเตะตรงใส่อีกฝ่ายอย่างแรง

“ปัง!”

มีเสียงร่างกายปะทะกันดังขึ้นมาอีกครั้ง ฟูชางมิ่งเตะใส่ยอดอกถังซ่งถึง ทําให้เขากระเด็นไปสามสีเมตร

ถังซ่งถึงตัวเซ แต่ไม่ได้ล้มลง สีหน้าเขาซีดขาว คุกเข่าลงกุมอก

“อ่อนแอนายอ่อนแอเกินไป!”

ฟูชางยิ่งไม่คิดเลยว่าผ่านมาหลายเดือน ถังซ่งถึงจะพัฒนาขึ้นแค่เล็กน้อยเท่านั้น

เวลานี้ ฟางผิงก็เดินเข้ามา เขาขมวดคิ้วเล็กน้อยและกล่าว “นี่เป็นคู่แข่งของนายเหรอ?”

เขามาถึงตอนที่ทั้งสองกําลังต่อสู้กัน เขาหยุดดูพวกเขาสู้กันสักครู่และเห็นฟูชางยิ่งเตะถังซ่งถึงกระเด็นไปหลายเมตรฟางผิงผิดหวังเล็กน้อยเมื่อเห็นถังซ่งถึงเปิดช่องโหว่ไร้การป้องกันจากที่ดูแล้วเขาอาจซี่โครงหักหลายซี่เลยทีเดียว

ผู้ฝึกยุทธความสามารถแค่นี้ไม่ต่างอะไรจากผู้ฝึกยุทธนอกรีตที่เขาเคยสู้ด้วยเลย

เมื่อเทียบกับหวังจินหยางแล้ว พวกเขามีช่องว่างหลายหมื่นไมล์!

ตอนที่ฟางผังพอเข้าใจพื้นฐานเคล็ดเพลงเตะและได้หวังจินหยางมาชี้แนะให้ ฟางผิงก็มีฝีมือพอๆกับถังซ่งถึงตอนนี้แล้ว แต่เขาก็แพ้ให้กับหวังจินหยางอย่างง่ายดายด้วยมือข้างเดียว

และเขาก็เคยกังวลว่าเขาอาจรับมือกับนักศึกษาวิชายุทธไม่ได้

ตอนนี้ฟางผิงเข้าใจแล้วว่าทุกคนมีบุคคลเป้าหมายต่างกัน เขามีเป้าหมายเป็นหวังจินหยางซึ่งเป็นหนึ่งในคนที่แข็งแกร่งที่สุดที่สามารถเอาชนะผู้ฝึกยุทธขั้นหนึ่งทั้งหมดของเซี่ยงไฮ้ได้

เวลานี้ ฟางผิงมั่นใจตัวเองเพิ่มมากขึ้น

เขาไม่รอให้ฟูชางยิ่งเปิดปากพูด เขากวาดสายตามองรอบห้องโถงและพูดอย่างไม่ใส่ใจ ” ก่อนที่ฉันจะมาโม่อู่ ทุกคนบอกฉันว่าอัจฉริยะหาได้ทั่วไปในโม่อู่!”

“ฉันยอมละทิ้งรางวัลสิบล้านที่มหาลัยวิชายุทธหนานเจียงมอบให้และเลือกมาโม่อู่ เพ ราะฉันอยากเห็นอัจฉริยะเหล่านั้นด้วยตัวเอง!”

“แต่ฉันไม่คิดเลยว่านักศึกษาในโม่อู่จะอ่อนแอแบบนี้ ข่าวลือทําให้พวกนายสูงกว่าความเป็นจริง!”

“แกว่าไงนะ?”

“บังอาจ!”

“เจ้านี่เป็นพวกเดียวกับฟูชางยิ่ง เจ้าสองคนนี้เล่นละครอีกแล้ว? ถังซ่งถึงเป็นพวกเดีย วกันด้วยไหม?”

ถังซ่งถึงลุกขึ้นยืนกุมหน้าอก “จะบ้ารึไง!”

คําพูดท้าทายของฟางผิงทําให้หลายคนโกรธ

เขาบอกว่านักศึกษาโม่อู่อ่อนแอต่อหน้าต่อตาทุกคน ถึงทุกคนจะมาอยู่มหาลัยได้สองวันแต่โม่อู่ก็อยู่ในใจของพวกเขาแล้ว

นี่เป็นมหาลัยที่พวกเขาเลือก นี่เป็นสถานที่ที่อัจฉริยะมารวมตัวกัน ความรู้สึกภาคภูมิใจอยู่ในใจของพวกเขาตั้งแต่ที่พวกเขาสมัครมหาลัยแล้ว

ตอนนี้เมื่อฟางผิงดูถูกโม่อู่ หลายคนจึงโกรธมาก!

แต่พวกเขาถลึงตามองฟูชางทิ้งก่อน สายตาของพวกเขาดูหวาดหวั่น ฟูชางซึ่งไม่ได้อ่อนแอ

“ทําไม? พวกนายเป็นแต่เห่าเหรอ?”

“หลายคนบอกฉันว่าผู้ฝึกยุทธต้องสู้ กล้าสู้เพื่อสิ่งที่ต้องการ!”

“ฉันคิดมาเสมอว่าคําพูดนี้ถูกต้องและทําตามมาตลอด ฉันเคยคิดว่าผู้ฝึกยุทธในมหาลัยวิชายุทธจะต่างออกไป พวกเขาจะต่อสู้เพื่อตัวเองและสิ่งที่ต้องการอย่างกล้าหาญ พวกเขายินดีประลองกันและสู้กัน”

“แต่โม่อู่ทําฉันผิดหวังอีกครั้ง มีผู้ฝึกยุทธมากมายอยู่ตรงนี้ หลังฉันพูดจาดูถูกต่อหน้า พวกนา ยทําอะไรบ้างนอกจากเห่า?”

“ฉันพูดอย่างมั่นใจเลยว่าอาจารย์กําลังดูและฟังบทสนทนาของเรา”

” ขณะที่ฉันดูถูกพวกนาย ฉันมั่นใจว่าอาจารย์จะไม่พอใจเหมือนกัน พวกเขาหวังว่าจะมีใครสักคนพิสูจน์ความแข็งแกร่งของโม่อู่ แต่พวกนายล่ะ?”

” ฟางผิง!”

เป็นฟูชางยิ่งที่เรียกชื่อเขา ฟูชางยิ่งขมวดคิ้วเล็กน้อยเพราะเขาพบว่าคําพูดของฟางผิงไม่น่าฟังนัก

หลังฟางผิงพูดจบ นักศึกษาที่เดิมที่ไม่มีแผนร่วมมือกันก็ร่วมมือกันแล้ว

ฟางผิงหัวเราะอย่างฉับพลัน เขาหันหน้าไปมองฟูชางยิ่ง ”นายคิดว่าฉันกําลังเหน็บแหนมพวกเขาเหรอ?”

“ไม่ ฉันไม่ได้เหน็บแหนม ฉันแค่พูดความจริง”

” ที่จริงฉันเคยพบกับนักศึกษามหาลัยวิชายุทธหนานเจียงมาก่อน เป็นนักศึกษาจากมหาลัยวิชายุทธที่ด้อยกว่าในสายตาทุกคน”

” แต่เขาแข็งแกร่งกว่าพวกนายเป็นร้อยเท่า แต่ถ่อมตัวยิ่งกว่าพวกนาย”

“เขาไม่หยิ่ง เขาไม่ได้ลดราคาตัวเอง เขาไม่ได้ยึดถือศักดิ์ศรี ฉันคิดมาเสมอว่านี่แหละคือนักศึกษาวิชายุทธ นักศึกษาจากมหาลัยวิชายุทธหนานเจียงก็โดดเด่นเพียงนี้แล้ว แล้วนักศึกษาโม่อู่ล่ะ?”

“นักศึกษาโม่อู่ หนึ่งในสองมหาลัยดัง ต่อให้เป็นเด็กใหม่ก็ควรน่าประทับใจใช่มั้ย?”

“น่าเสียดายที่ตอนนี้ฉันไม่ได้เห็นอะไรแบบนั้นเลย ฉันผิดหวังมาก ฉันเริ่มสงสัยแล้วว่าเลือกโม่อู่เป็นสิ่งที่ถูกต้องไหม…”

” ฟางผิง! พอ!”

“รนหาที่ตาย! แกกําลังท้าทายพวกเรา!”

นักศึกษาหลายคนโกรธจัด ฟางผิงเหน็บแหนมซ้ําแล้วซ้ําเล่าทําให้ทุกคนหมดความอดทน

ถ้าไม่ใช่เพราะจํานวนคนในห้องมากเกินไป จนทําให้ตัดสินได้ยากว่าใครควรออกไปสู้กับเขาคงมีคนมาจัดการฟางผิงไปแล้ว

ขณะที่ทุกคนเลิกลักลังเล ลําโพงที่อยู่มุมห้องก็ดังขึ้น ”จัดการเขาซะ! ทําให้เขาเข้าใจว่านักศึกษาในโม่อู่ไม่ได้อ่อนแอทุกคน!”

“มหาลัยกลางๆกําเนิดอัจฉริยะออกมาได้ก็ไม่ได้แปลว่าเขาจะดูถูกโม่อูได้!”

“มาให้พวกเราเห็นว่าพวกเธอสมควรถูกบ่มเพาะไหม อาจารย์ทุกคนกําลังดูผลงานของเธอ!”

“คนที่ล้มเด็กอวดดีคนนี้ได้จะได้รับรางวัล 50 คะแนนและคะแนนจะถูกหักออกจากฟางผิง!”

ห้องโถงเงียบไปชั่วครู่

ไม่นานสายตาของทุกคนก็แหลมคมขึ้นมาทันที

เสียงมาจากหวงจิ้ง คณบดีหวง!

อาจารย์กําลังดูอยู่ คณบดีกําลังดูอยู่ แถมยังมีรางวัล 50 คะแนน

แม้แต่สายตาของฟูชางยิ่งก็แฝงไปด้วยอารมณ์ซับซ้อนมากจนฆ่าคนได้ ฉันบอกเขาแล้วว่าจะทําพลาดไม่ได้ ห้ามทําพลาด! แล้วตอนนี้เขากําลังทําอะไร?

“ฉันจะจัดการเรื่องนี้ยังไงดี?”

เขาควรทําตามแผนเดิมหรือหักหลังฟางผิงเพื่อห้าสิบคะแนน?

สีหน้าของฟางยิ่งเปลี่ยนไปเล็กน้อยก่อนจะพูดออกมาอย่างเบิกบาน ” คณบดี ถ้าผมแพ้คะแนนผมจะถูกหักออก แล้วถ้าผมชนะพวกเขาได้ล่ะ?”

“หนึ่งคะแนนต่อเตรียมผู้ฝึกยุทธหนึ่งคน และห้าคะแนนต่อผู้ฝึกยุทธหนึ่งคน!”

“คุณค่อนข้างขี้เหนียว แต่ก็ดีกว่าไม่ได้อะไรเลยล่ะนะ”

ฟางผิงระเบิดเสียงหัวเราะออกมา เขายกไม้พลองในมือและหัวเราะเสียงดัง “ได้ยินแล้วใช่มั้ยฉันจะกลายเป็นผลประโยชน์ของพวกนาย แต่พวกนายก็จะเป็นผลประโยชน์ให้ฉันเหมือนกันผู้ฝึกยุทธต้องสู้ เริ่มกันเลย!”

ทันใดนั้นฟางผิงก็ถลันตัวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วและดีดตัวพุ่งตรงไปยังกลุ่มเตรียมผู้ฝึกยุทธ

ก่อนที่พวกเขาจะได้ตอบสนอง พลองไม้ของฟางผิงก็หวดลงมาแล้ว

“อ้าก!”

” บัดซบ!”

“ฉันยังไม่ได้ยอมรับเลย!”

เสียงกรีดร้องโวยวายดังขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง หลายคนโกรธและรู้สึกรําคาญ ฟางผิงลงมือก่อน พวกเขา!

“ไอ้เวร! หนึ่งต่อสามร้อย จัดการมันเลย!”

ผู้ฝึกยุทธบางคนก็ได้สติกลับมา พวกเขาคํารามอย่างโกรธเกรี้ยวพุ่งตัวเข้าใส่ฟางยิ่ง

“ปัง!”

ไม้พลองของฟางผิงหวดใส่หัวผู้ฝึกยุทธคนนึง เขาไม่ได้สนใจเสียงร้องโหยหวน ขาขวาเขาใช้แทนแส้หมุนกวาดใส่ผู้ฝึกยุทธที่พยายามลอบโจมตีเขาจากข้างหลังซ้าย

“ปราณและเลือดหมดไวมาก ไม่เป็นไร ฉันมีค่าทรัพย์สินเหลืออยู่ และคะแนนก็อาจเป็นเหมีอนเงินสด สรุปแล้วฉันไม่ได้เสียอะไรเลย”

ฟางผิงก็ใจเด็ดมาก เขายั่วยุทุกคนส่วนหนึ่งเป็นเพราะเขาผิดหวังจริง ในความเห็นเขา นักศึกษาโม่อู่ด้อยกว่าหวังจินหยาง มันทําให้เขารู้สึกเสียใจที่เข้าโม่อู่

อีกเหตุผลเพราะเขาอยากแสดงความสามารถให้อาจารย์เห็น

หลังกวาดลูกเตะใสผู้ฝึกยุทธที่ลอบโจมตี ฟางผิงก็กระชากเสียง “พวกนายไม่ได้กินข้าวมารีไง? เครื่องฉันไม่อุ่นเลยด้วยซ้ํา!”

“อวดดี! ฟูชางมิ่ง นายอยู่ฝั่งไหน?”

จ้าวเหล่ยกระชากเสียงอย่างเย็นชาจากในฝูงชน เงยหน้ามองฟูชางยิ่ง

ฟูชางยิ่งกัดฟัน เขาโพล่งออกมาทันที ” พวกแกมันขยะ! พวกเราสองคนจะสู้กับพวกแก!”

เขาคํานวณทุกอย่างแล้ว ถ้ารวมกับกลุ่มคน เขาจะแสดงฝีมือได้ยังไง?

กลับกันแม้ว่าเขาจะพ่ายแพ้ศึกสองต่อสามร้อย แต่เขาก็จะเป็นผู้ชนะในสงคราม

ฟูชางติ่งเนื้อไม้ขึ้นฟาดใส่ผู้ฝึกยุทธคนนึงที่กําลังรุมฟางผิง เขาคําราม “คณบดี ผมฟูชางยิ่งอยากขอร่วมด้วย!”

“อนุมัติ!”

เสียงเรียบเฉยของหวงวิ่งดังมาจากลําโพง

“ลุย!”

ฟูชางยิ่งยินดี คะแนนนึงก็ยังดีกว่าไม่ได้!

หลังได้รับการอนุมัติ เขาก็ยอมแพ้ที่จะช่วยเหลือฟางยิ่งที่อยู่กลางวงล้อม และเริ่มหว ดซ้ายปาดขวารอบนอกเน้นโจมตีเตรียมผู้ฝึกยุทธ!

“โครม!”

หอกไม้หวดใส่ร่างกายคน ฟูชางมิ่งพิมพ์ “สามคะแนน!”

“ตูม!

“สี่คะแนน!”

บัง…”

“เจ้าหมอนี่เป็นผู้ฝึกยุทธ? เก้าคะแนน! ไม่ มันยังไม่ล้ม บ้าเอ้ย ฉันยังได้แค่สี่คะแนน…”

“เข้ามาสิวะ พวกแกทําอะไร? มุดหัวเหมือนลูกเต่า? พวกแกอยากให้พวกเราแพ้พวกมันสองคนใช่ไหม?”

ผู้ฝึกยุทธที่ถูกฟูชางยิ่งโจมตีโกรธมาก เขามองไปที่เหล่าผู้ฝึกยุทธที่ยังอยู่นอกความวุ่นวายไม่ลงมือเขาโกรธมากจนแทบกระอักเลือดออกมา

พวกเขายังทําตัวเหมือนหมาปาหุ้มหนังแกะอีก!

เวรเอ้ย พวกเขาโง่รึไง?

สองคนนี้แข็งแกร่งมาก เตรียมผู้ฝึกยุทธทําอะไรไม่ได้ มีแต่ผู้ฝึกยุทธเท่านั้นที่สร้างความเสียหายให้ทั้งสองได้ แต่ผู้ฝึกยุทธสามสิบสี่สิบคนยังอยู่รอบนอกเฝ้าดูการแสดง! พวกโง่เอ้ย!

สีหน้าของจ้าวเหลี่ยมืดลง หยางเสี่ยวม่านกัดฟันกรอด เธอร้องตะโกน “ไป! เตรียมผู้ฝึกยุทธถอยออกมา! พวกนายอยากให้เขาได้คะแนนฟรีๆรีไง? ไอ้โง่!”

เตรียมผู้ฝึกยุทธพวกนี้ไร้ประโยชน์ไม่พอ ยังกินพื้นที่รอบเป้าหมายทั้งสองอีกด้วย พวกเขาบินไม่ได้ พวกเขาควรทํายังไงล่ะในเมื่อรอบๆทั้งสองคนมีคนล้อมกรอบไว้เต็มไปหมดบินข้ามหัวแล้ว เข้าร่วมการต่อสู้งั้นเหรอ?

เตรียมผู้ฝึกยุทธหลายคนรีบล่าถอยออกมา บางคนต้องการคะแนนรางวัล บางคนก็โดนลูกหลง เวลานี้หลายคนมีรอยปูดบนหัว บางคนก็ล้มลงกับพื้นเกือบถูกเหยียบย่ําจนตาย

เมื่อได้ยินว่าผู้ฝึกยุทธกําลังมา พวกเขาจะอยู่ทําไม? พวกเขาล่าถอยออกไปที่ละคน

ฟางผิงอยู่ตรงกลางยิงหมัดใส่เตรียมผู้ฝึกยุทธที่กําลังล่าถอย เขาหัวเราะออกมา “หนีทําไม? หลายสิบคะแนน..พวกแกเป็นเงินของฉัน! อย่าคิดหนี!”

“บัดซบ!”

มีคนสบถออกมาเสียงดัง นี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาถูกทําเหมือนเป็นเงิน!

World’s Best Martial Artist

World’s Best Martial Artist

Status: Ongoing

ฟางผิงใช้เวลาครึ่งชั่วโมงในที่สุดก็ตัดสินได้ว่าเขาไม่ได้ฝันไปหรือไม่ได้ถ่ายหนัง…อย่าไร้สาระน่า ถ้าการถ่ายหนังชุบความเป็นหนุ่มของเขากลับมาได้ งั้นกองถ่ายก็คงไปถ่ายทำที่สวรรค์ได้แล้ว!

หลังยืนยันว่าเขากลับมาเกิดใหม่ ฟางผิงก็รู้สึกถึงความตื่นตระหนกก่อนจะค่อยๆยอมรับความจริง

ความจริงอะไรงั้นเหรอ? ความจริงที่ว่าเขากลับมาเกิดใหม่ในร่างตัวเองตอนเด็ก และเนื่องจากเขามีความรู้ของอนาคตติดตัวมาด้วย เขาจะทำวันนี้ให้ดีที่สุดแล้วกลายเป็นผู้ยิ่งใหญ่ในแวดวงธุรกิจ! เขาจะรวย!

นั่นเป็นความคิดของเขาจนกระทั่งเพื่อนเขามาขัดจังหวะ

“สรุปนายจะลงทะเบียนสอบวิชาการต่อสู้ไหม?”

อะไรนะ? พูดเล่นเหรอ? หรือเขาส่งบทผิด? วิชาการต่อสู้คืออะไร? ทำไมถึงมีค่าลงทะเบียนหมื่นหยวน? หัวของเขาเต็มไปด้วยประโยคคำถาม ไม่นานฟางผิงก็ตระหนักว่าเขาอาจไม่ได้โชคดีเหมือนที่เขาคิดไว้ตอนแรก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท