World’s Best Martial Artist – ตอนที่ 128 เราไม่เหมือนกัน

ตอนที่ 128 เราไม่เหมือนกัน

หลู่เฟิ่งโหรวอยู่ถ้ำใต้ดิน ก่อนจะเริ่มคาบฝึกวิชายุทธของคลาสฝึกพิเศษ ฟางผิงกับจ้าวเสวี่ยเหมยทำได้แต่ฝึกฝนด้วยตนเอง
โชคดีที่ตอนนี้ทั้งสองกำลังขัดเกลากระดูกเป็นหลัก การที่หลู่เฟิ่งโหรวไม่อยู่จึงไม่ได้ส่งผลกระทบต่อพวกเขามากนัก
…..
พริบตาเดียวก็ถึงวันเสาร์แล้ว
วันเสาร์ คลาสฝึกพิเศษวันนี้ไม่ได้มีจัดขึ้นในช่วงกลางคืน แต่เป็นช่วงเช้า
รุ่งเช้า ฟางผิงกับคนอื่นๆไม่ได้ไปเรียนที่ห้องเรียนตามปกติ กลับกันพวกเขาไปที่ห้องเรียนฝึกวิชายุทธที่อาคาร 6
คราวนี้อาจารย์ไม่ใช่ไป๋รั่วซี
หลังพวกฟางผิงมาถึงไม่นาน หลัวอี้ชวนก็เข้ามาห้องเรียน
เมื่อเขาเข้ามาในห้องเรียน เขาก็พูดออกมาห้วนๆ “ทุกคนรู้เรื่องถ้ำใต้ดินแล้วใช่ไหม?”
นักศึกษาทุกคนพยักหน้า
“สถานการณ์ตอนนี้ดูไม่ค่อยดีเท่าไหร่ อาจารย์โม๋อู่กว่า 50 คนถูกส่งไปพิทักษ์ถ้ำใต้ดิน”
“อาจารย์ใหญ่ คณบดี และคนอื่นๆไม่มีเวลามาดูแลคลาสฝึกพิเศษ”
“ถึงจะพูดแบบนี้ก็เถอะ แต่ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาจะไม่สนใจคลาสฝึกพิเศษ ครั้งนี้โม๋อู่แพ้ไม่ได้”
“ถ้าเราแพ้ ทรัพยากรปีหน้าเราจะลดลงประมาณสามส่วน มันไม่ใช่ราคาที่โม๋อู่จะจ่ายไหว”
“ทุกคนต้องใส่ใจการฝึกให้มากขึ้น”
หลัวอี้ชวนพูดเสริม “เรื่องที่อาจารย์กำลังสอนเกี่ยวข้องกับการใช้อาวุธ อาจารย์เข้าใจว่านักศึกษาบางคนก็ไม่เคยใช้อาวุธมาก่อน แต่ถึงจะอยู่ต่ำกว่าขั้นสาม ก็ไม่ควรมองข้ามข้อดีของอาวุธ ไม่ว่ามันจะเป็นวิชาเอกของพวกเธอหรือไม่ อย่างน้อยก็จำเป็นต้องรู้พื้นฐานเอาไว้”
“ไม่เช่นนั้น ในสถานการณ์ที่เธอมีอาวุธอยู่ในมือ แต่ใช้ไม่เป็น เธอก็ทำได้แต่ฟาดฟันไปมาเท่านั้น”
หลัวอี้ชวนเชี่ยวชาญหอก แต่ก็ไม่ได้แปลว่าเขาจะใช้อาวุธชนิดอื่นไม่เป็น เขามีความเข้าใจในอาวุธเย็นเป็นอย่างดี
“ในมหาลัยวิชายุทธ หรือโดยเฉพาะในหมู่นักศึกษาใหม่ อาวุธที่ถูกใช้กันมากที่สุดคือดาบ ถึงกระนั้นในชีวิตประจำวันของเรา อาวุธที่เราหาได้ง่ายที่สุดก็คือไม้!”
“วันนี้อาจารย์จะพูดถึงวิชาไม้พลองพื้นฐาน!”
“ข้อกำหนดของไม้พลองที่เหมาะสมที่ช่วยให้ผู้ฝึกยุทธปลดปล่อยพลังได้ไม่สูงหรือต่ำเกินไป”
“ตอนนี้ ทุกคนไปเลือกไม้เนื้อแข็งที่สูงกว่าตนเอง ไม่ยาวเกินไปหรือสั้นเกินไป”
ทุกคนค่อนข้างอยากเรียนใช้อาวุธ พวกเขาเดินไปเลือกไม้เนื้อแข็งตามคำสั่งทีละคนสองคน
หลังทุกคนเลือกเสร็จ ฟางผิงก็ต้องกลั้นขำเมื่อเห็นกลุ่มนักเรียนกำลังถือไม้พลองอยู่ในมือ
ภาพแบบนี้…มันดูเหมือนกลุ่มคนจากพรรคกระยาจกกำลังถือไม้เท้าตีสุนัขกำลังมาขอทาน สิ่งที่ขาดไปก็คือคนถือขันใส่เงิน
สีหน้าที่เปลี่ยนไปของเขาถูกหลัวอี้ชวนสังเกตได้ทันที
หลัวอี้ชวนขมวดคิ้วและเรียกขึ้นมาฉับพลัน “ฟางผิง ก้าวออกมา!”
ฟางผิงก้าวออกไปทันที
“ก่อนที่อาจารย์จะสอนวิธีใช้ เธอต้องรู้ว่าต่อให้มันเป็นท่อนไม้ไม่มีคม แต่มันก็อันตรายถึงชีวิตได้!”
“ตอนนี้อาจารย์จะสาธิตวิชาไม้พลองพื้นฐานให้ดู”
เมื่อจบคำพูด เขาก็มองฟางผิงแล้วกล่าว “ในฐานะหัวหน้าคลาส เธอต้องร่วมมือกับอาจารย์ มาช่วยอาจารย์แสดงให้ทุกคนเห็นวิชาไม้พลองของจริงกัน”
ฟางผิงรู้สึกท่าไม่ค่อยดี แต่เขาก็ได้แต่พยักหน้าและตอบ “ครับ”
“ตั้งใจดู!”
หลังจบประโยค ไม้พลองยาวในมือหลัวอี้ชวนพลันอยู่ขนานกับพื้น พุ่งทะลวงเข้าใส่ฟางผิงด้วยท่วงท่าฉับไว!
ฟางผิงไม่คิดว่ามันเร็วนัก เขาวางแผนล่าถอยและใช้ไม้พลองในมือป้องกันการโจมตีเอาไว้
เนื่องจากมันเป็นครั้งแรกที่เขาใช้ไม้พลอง เขาจึงไม่คุ้นมือเท่าไหร่ ก่อนที่เขาจะทันป้องกัน ไม้พลองของหลัวอี้ชวนก็พุ่งแทงมาที่หน้าอกเขาแล้ว!
“ปัง!”
ฟางผิงรู้สึกเจ็บแปลบที่หน้าอก สีหน้าขาวซีด เขาถอยร่นไปหลายก้าวทันที
“วิชาไม้พลอง มีเพียงไม่กี่กระบวนท่าพื้นฐานเท่านั้น นั่นคือ ฟาด ผ่า กระทุ้ง งัด ควง ตวัด แทง ยัน…”
“นี่เป็นการกระทุ้ง ต้องเร็วและใช้แรงมาก ไม่จำเป็นต้องเล็งที่หน้าอก แม้แต่หัวใจหรือคอก็เป็นเป้าหมาย!”
ขณะที่หลัวอี้ชวนอธิบาย เขาก็กวัดแกว่งไม้พลองเข้าใส่ฟางผิง “นี่เป็นการผ่า แรงที่ใช้ต้องคงที่ รับมือ!”
“ปัง!”
ครั้งนี้ฟางผิงแกว่งไม้พลองไปสกัดกั้นทันที มือทั้งสองถือไม้พลองไว้แน่น เขาถึงหยุดการผ่าของหลัวอี้ชวนไว้ได้
อย่างไรก็ตาม ฟางผิงชาไปทั้งมือ แรงสั่นสะเทือนทำให้ง่ามนิ้วมือระหว่างนิ้วโป้งกับนิ้วชี้เจ็บแปลบอย่างแรง
“เมื่ออีกฝ่ายสกัดการโจมตีได้ก็ให้ผ่าต่อไปอีกด้วยแรงที่มากขึ้น!”
หลัวอี้ชวนไม่ได้หยุด เขาผ่าใส่ไม่หยุด
เสียงไม้กระทบกันดังขึ้นมาเรื่อยๆ ใบหน้าของฟางผิงแดงก่ำปานมะเขือเทศ ฟางผิงได้แต่ใช้ไม้พลองปิดกั้นการโจมตี ก้าวถอยหลังครั้งแล้วครั้งเล่า
“แน่นอน นี่ไม่ใช่ทั้งหมด เราต้องรู้จักเปลี่ยนกระบวนท่าด้วย อีกฝ่ายกำลังอยู่ในท่วงท่าป้องกัน กำลังทั้งหมดจึงรวมอยู่ที่ร่างกายส่วนบน”
“เวลานี้ เราต้องรีบเปลี่ยนกระบวนท่า กวาด!”
“กวาดไม้พลองไปบริเวณกว้าง ให้ปลายไม้ชิดกับพื้น เอียงตัวไม้และกวัดแกว่ง ท่วงท่ากวาดควรเร็วและแรง ให้รวบรวมพลังไปที่ปลายไม้!”
เขาพูดช้า แต่กระบวนท่าเกิดขึ้นในฉับพลัน
หลัวอี้ชวนกวาดไม้พลองใส่เขาแล้ว แต่ฟางผิงยังอยู่ในท่ายกไม้ป้องกัน ไม้พลองไม่ได้เล็งไปที่เท้า แต่เป็นน่อง
สีหน้าของฟางผิงเปลี่ยนไป เป็นอีกครั้งที่เขาช้าไปหนึ่งก้าว น่องซ้ายเขาถูกหลัวอี้ชวนฟาดอย่างแรง
“ซี๊ด…”
ความเจ็บปวดแล่นจี๊ดขึ้นสมอง เขารู้สึกไม่ค่อยดีนัก
หลัวอี้ชวนไม่ยั้งมือให้เลย!
“ต่อไปเป็นการงัด!”
หลัวอี้ชวนไม่สนใจความรู้สึกเขา หลังแกว่งไม้พลองกวาดใส่ เขาก็เริ่มกระบวนท่าถัดไป เขาเล็งขึ้นและงัด ไม้พลองในมือปะทะเข้ากับไม้พลองของฟางผิง ง่ามมือฟางผิงชาวาบจนเกือบปล่อยมือไป
“นี่คือการตวัด!”
การบวนท่าไม้พลองเปลี่ยนไปอีกครั้ง สีหน้าของฟางผิงฏ็เปลี่ยนไปอีกครั้งเช่นกัน คราวนี้จะโจมตีจุดไหนอีก? โจมตีใต้เข็มขัดได้ด้วยเหรอ?
ฟางผิงล่าถอยอย่างฉุกละหุก แต่หลัวอี้ชวนตามมาอย่างใกล้ชิด ไม้พลองในมือออกกระบวนท่าอีกครั้ง “นี่เป็นการควง”
“นี่เป็นการแทง!”
“…”
หลังผ่านไปหนึ่งนาที หลัวอี้ชวนก็รั้งไม้พลองกลับไปโดยที่ลมหายใจไม่ชะงักแม้แต่น้อย “กระบวนท่าพื้นฐาน อาจารย์แสดงให้เห็นแล้วครั้งนึง ทุกคนเห็นกันชัดไหม?”
“ไม่!”
หลายคนตะโกนออกมาอย่างรวดเร็วโดยกลั้นขำไปด้วย
ในขณะเดียวกัน ฟางผิงกำลังตีหน้าเศร้ายืนอยู่ข้างๆ
มีรอยฟกช้ำดำเขียวเต็มแขนขา แม้แต่ใบหน้าเขาก็มีรอยช้ำม่วงๆเป็นจ้ำๆ
หลัวอี้ชวนพูดอย่างเมินเฉย “อย่าดูถูกอาวุธทุกชนิด อาวุธที่ถูกใช้อย่างชาญฉลาดจะกลายเป็นเครื่องมือสังหารที่ร้ายแรงถึงตาย”
“อาจารย์ใช้ความแข็งแกร่งของขั้นหนึ่งเท่านั้น ปราณและเลือดระเบิดสูงสุดน้อยกว่า 200 แคล”
“นักศึกษาฟางผิง ตั้งใจดูและตั้งใจเรียนรู้ให้ดี ต่อให้เธอไม่ใช้อาวุธ แต่การมีความสามารถเพิ่ม ต่อให้ไม่เข้าใจ มันก็จะเป็นประโยชน์ในอนาคต”
ฟางผิงพยักหน้าหงึกๆ รู้สึกอับอาย
“อาจารย์อยากพูดแค่นี้แหละ เข้าแถว อาจารย์จะแยกสอนทีละกระบวนท่า ใครไม่เข้าใจตรงไหนให้ถาม”
…..
เมื่อฟางผิงกลับไปอยู่กับทุกคน ฟู่ชางติ่งก็มองเขาด้วยสายตาสงสาร “หน้านายบวมเป่งเลย”
“ไปให้พ้น!”
“มันบวมจริงๆนะ!”
“ไปไกลเลย!”
“แต่เป็นหัวหน้าคลาสไม่ง่ายเลย ฟางผิง ฉันสงสัยว่าอาจารย์คนต่อๆไปจะขอให้นายไปช่วยสาธิตเหมือนกันไหมนะ?”
“นายพูดอีกคำ ฉันจะต่อยนายจนเละเดี๋ยวนี้เลย!”
“…”
ฟางผิงอารมณ์ไม่ดี มุมปากเขากระตุกเล็กน้อย เขาสังหรณ์ใจบางอย่าง
ฉันหลงตัวเองมากไปเหรอ?
ตอนนี้อาจารย์เขาไม่อยู่มหาลัย ต่อหน้าอาจารย์ขั้นหก เขาได้แต่ทำตัวเชื่อฟังเท่านั้น
…..
กลายเป็นว่า ทุกอย่างเป็นไปตามที่ฟู่ชางติ่งพูดไว้
ไม่กี่วันต่อมา ถังเฟิงสอนเพลงเตะ โจวสือผิงสอนวิชาฝ่ามือ และหลัวอี้ชวนสอนการทำความคุ้นเคยและการใช้อาวุธต่างๆ
ทุกครั้งจะมีเป้าหมายเดียว นั่นคือฟางผิง!
ทุกครั้งฟางผิงจะถูกทุบตี!
ความไม่พอใจของเขาลดลง เปลี่ยนเป็นยอมรับชะตากรรม!
ท้ายที่สุดแล้วเขาก็ถูกลากขึ้นเวทีเพื่อไปสาธิตครั้งแรกเท่านั้น ไม่นานนักศึกษาจะได้จับคู่ฝึกกัน
ฟางผิงเปลี่ยนคู่มือทุกครั้ง เขาจะเลือกคนที่หัวเราะดังที่สุด
เขาอาจไม่เก่งกว่าคนอื่นในเรื่องความเข้าใจที่มีต่อวิชา แต่เขามีปราณและเลือดมากกว่าและระเบิดได้แรงกว่า
ทุกครั้งที่เขาฝึกปรือกับอีกฝ่าย ฟางผิงจะใช้กระบวนท่าเดียวเท่านั้น นั่นคือท่าผ่า!
เขาใช้ท่าผ่าโดยไม่สนใจว่าจะเป็นไม้พลองหรือดาบ ยกเว้นผู้โชคดีไม่กี่คน ใบหน้าของพวกเขาต่างก็มีรอยฟกช้ำ ฟางผิงก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น
…..
เดือนตุลาคม การฝึกฝนในคาบฝึกพิเศษมุ้งเน้นที่วิชาพื้นฐานเป็นหลัก
ทุกๆวันนักศึกษาจะได้รับยาปราณและเลือดสามัญหนึ่งเม็ดเป็นค่าตอบแทน เอามาใช้เติมเต็มปราณและเลือด
วิชาความรู้ทั่วไปของไป๋รั่วซีกลายเป็นวิชาที่เป็นที่นิยมที่สุด มันเป็นวันเดียวเท่านั้นที่ทุกคนจะไม่ถูกทุบตี
กว่าหลู่เฟิ่งโหรวจะกลับมาก็ปลายเดือนตุลาคมแล้ว
…..
ณ เขตหอพักอาจารย์ วิลล่าหมายเลข 8
ฟางผิงกับจ้าวเสวี่ยเหมยเดินเข้าไปในวิลล่าด้วยกันด้วยใบหน้าฟกช้ำเล็กน้อย
หลู่เฟิ่งโหรวกำลังเอนกายดูทีวีอยู่บนโซฟา
เมื่อเธอเห็นทั้งคู่เดินมา เธอกล่าวอย่างเกียจคร้าน “นั่งสิ”
ทั้งคู่นั่งบนโซฟาอีกด้านนึง
“ปัญหาที่ถ้ำใต้ดินจบแล้ว การปะทะกันครั้งนี้ถูกแก้ไขแล้ว”
“เรื่องสิ่งมีชีวิตในถ้ำใต้ดินที่กำลังทะลวงทางเข้า มันเกิดบ่อยขึ้นเรื่อยๆเป็นเรื่องจริง จากนี้ไปทุกคนจะต้องการทรัพยากรเพิ่ม”
“ทรัพยากรที่มหาลัยเก็บไว้หมดแล้ว มหาลัยอื่นก็เหมือนกัน”
“ส่วนเรื่องการฝึกฝน การฝึกฝนขั้นพื้นฐานที่นายได้เรียนเดือนนี้จะค่อยๆซับซ้อนขึ้น”
“ไม่ต้องสงสัยเลย มันจะอันตรายขึ้นเช่นกัน”
“ฟางผิง ขัดเกลากระดูกไปกี่ชิ้นแล้ว?”
ตอนต้นเดือนตุลา ฟางผิงขัดเกลากระดูกไปแล้ว 28 ชิ้น ตอนนี้ผ่านมายี่สิบกว่าวันแล้ว
ฟางผิงตอบทันที “ผมขัดเกลาไป 40 ชิ้นแล้ว”
“40 ชิ้นแล้ว?”
“ครับ หลังผมขัดเกลากระดูกขาขวาเสร็จ ความเร็วขัดเกลากระดูกขาซ้ายก็เพิ่มขึ้นมาก”
“ดี ถือว่าไม่ช้าเกินไป”
มันหาได้ยากมากที่หลู่เฟิ่งโหรวจะพูดชมแบบนี้ สีหน้าของจ้าวเสวี่ยเหมยดูซับซ้อนมาก เธอพูดอย่างกระดากอาย “อาจารย์ หนูขัดเกลาไป…40 ชิ้นแล้วเหมือนกัน”
เดือนนี้เธอก้าวหน้าไม่เลวเช่นกัน
ยาปราณและเลือดที่เธอได้จากคลาสฝึกพิเศษทำให้เธอไม่ต้องกังวลเรื่องเติมเต็มปราณและเลือด ในเดือนแรก เธอขัดเกลากระดูกไปได้ 4 ชิ้นแล้ว
เดือนนี้ เธอคืบหน้าเร็วกว่าเดิม เธอขัดเกลากระดูกได้ 5 ชิ้น
กระนั้น ตอนที่เธอขัดเกลากระดูกไปแล้ว 31 ชิ้น ฟางผิงยังไม่ได้เป็นผู้ฝึกยุทธด้วยซ้ำ!
เมื่อเธอขัดเกลากระดูกได้ 40 ชิ้น ฟางผิงก็ขัดเกลามาได้ 40 แล้วเช่นกัน ความต่างชั้นมันมากเกินไปแล้ว!
หลู่เฟิ่งโหรวยิ้มน้อยๆ “ไม่จำเป็นต้องรู้สึกด้อยกว่าหรอก ฟางผิงขัดเกลากระดูกสามครั้ง ส่วนเธอขัดเกลากระดูกครั้งเดียว เขามีความลับของตนเอง อย่างน้อยเขาก็ฟื้นฟูปราณและเลือดได้เร็วกว่าเธอ ไม่แปลกใจหรอกที่เขาจะคืบหน้าระดับนี้ได้”
“เธอก็ไม่ได้แย่ เมื่อสิ้นเทอมนี้ อย่างน้อยเธอก็คงขัดเกลากระดูกสำเร็จไป 50 ชิ้น ไม่แน่เธออาจบรรลุขั้นหนึ่งสูงสุดก็ได้”
“กลับกันฟางผิงตอนนี้อยู่ห่างจากขั้นหนึ่งสูงสุดไม่ไกลแล้ว”
“อย่างไรก็ตาม อย่าลืมว่าความคืบหน้าการขัดเกลากระดูกและความแข็งแกร่งของปราณและเลือดไม่ได้แปลว่าความสามารถเพิ่มขึ้นเสมอไป”
หลู่เฟิ่งโหรวเงียบไปสักพักก่อนจะพูดต่อ “ถ้ำใต้ดินอันตรายขึ้นเรื่อยๆ เวลานี้พวกนายต้องเพิ่มความแข็งแกร่งทุกด้าน รวมทั้งการต่อสู้จริงด้วย”
“ฟางผิง นายยังลังเลที่จะเข้าร่วมการประลองระดับประเทศใช่ไหม?”
ฟางผิงดูยึกยัก จากนั้นเขาก็พยักหน้าแล้วตอบ “ผมคิดดีแล้ว ผมจะเข้าร่วม ผมได้ยินว่าครั้งนี้มีรางวัลมากมาย!” Aileen-novel
บริษัทยังทำเงินไม่ได้ ตามความจริงแล้วมันคงไม่เร็วขนาดนั้น ช่วงแรกเป็นการลงทุนเสมอ
ค่าทรัพย์สินของเขาลดลงไม่หยุด แม้เดือนนี้เขาจะได้รับเม็ดยาปราณและเลือดสามัญเกือบ 30 เม็ด แต่ค่าทรัพย์สินที่เพิ่มมาก็ยังไม่พอให้เขาขัดเกลากระดูก
ช่วงสูงสุด ค่าทรัพย์สินเขาเพิ่มขึ้นถึง 8.6 ล้าน
เดือนนี้เขาใช้ค่าทรัพย์สินไปมากกว่า 2 ล้าน แม้ว่าเขาจะมีเม็ดยามาชดเชย แต่ค่าทรัพย์สินเขาไม่ได้เพิ่มขึ้นเลย มีแต่ลดลง เมื่อวานมันลดลงถึง 8 ล้านแล้ว
“เสวี่ยเหมย แล้วเธอล่ะ?”
จ้าวเสวี่ยเหมยมีสีหน้าแน่วแน่ “หนูอยากเข้าร่วม แต่…แต่หนูอาจไม่มีโอกาส”
เมื่อพิจารณาตอนที่เธออยู่คลาสฝึกพิเศษ ความสามารถของเธอไม่ได้อ่อนแอเกินไป อย่างไรก็ตามอย่างน้อยก็มี 10-20 คนที่อยู่ระดับเดียวกับเธอ
สุดท้ายเธออาจไม่มีโอกาสเข้าร่วมก็ได้
หลู่เฟิ่งโหรวไม่ได้พูดปลอบ เธอยิ้มแล้วกล่าว “ถ้าพวกเธอทั้งสองตั้งใจจะเข้าร่วม งั้นฉันก็ไม่เห็นปัญหาอะไรเลย พอมีความตั้งใจแบบนั้น เธอจะได้มีแรงจูงใจพัฒนาตัวเอง”
“ในฐานะอาจารย์ ถ้าพวกเธอทั้งสองเข้าร่วมงานประลองระดับประเทศได้ ถ้าแสดงพลังได้น่าประทับใจ มันจะช่วยเพิ่มชื่อเสียงให้ฉันเหมือนกัน”
“คืนนี้กลับไปเก็บของด้วย ไปขอลาสองวัน สองวันนี้ฉันจะพาพวกนายไปข้างนอก”
ฟางผิงไม่สบายใจเล็กน้อย เขาถามเบาๆ “อาจารย์ เราคงไม่ได้ไปถ้ำใต้ดินกันใช่ไหม?”
“ฮ่าๆๆ!”
หลู่เฟิ่งโหรวมีสีหน้าเหยียดหยาม เธอไม่ได้ตั้งใจตอบ
มือใหม่สองคน เธอจะพาพวกเขาไปตายที่ถ้ำใต้ดินงั้นเหรอ?
ต่อให้ฟางผิงเคยสังหารคนไปสองคนก่อนหน้านี้ แต่เขาก็ยังเป็นมือใหม่

หลังเดินออกวิลล่าหมายเลข 8 ฟางผิงก็มองจ้าวเสวี่ยเหมยแล้วเอ่ยถาม “เธอคิดว่าอาจารย์จะพาเราไปไหน?”
“ฉันไม่รู้”
จ้าวเสวี่ยเหมยไม่รู้และไม่ลองเดาด้วย เธอตอบง่ายๆ “ที่ไหนก็ไม่ต่างกัน ฉันคิดว่ามันคงดีต่อเรา”
“พูดยาก ฉันคิดมาตลอดว่าอาจารย์ของเราไม่ค่อยน่าเชื่อถือ”
จ้าวเสวี่ยเหมยปรายตามองเขา หลังเดินไปได้สักพัก ในที่สุดเธอก็พูดขึ้นมา “พูดไม่ระวังเดี๋ยวก็โดนดีหรอก นายไม่รู้เหรอว่าขั้นหกสูงสุดได้ยินจากไกลๆได้อย่างง่ายดาย?”
“อาจารย์คงไม่ได้ใจแคบขนาดนั้นหรอก”
“พูดยาก”
จ้าวเสวี่ยเหมยหัวเราะ เธอรู้สึกมีความสุขในความทุกข์คนอื่น “ดูเหมือนนายจะถูกทุบตีไม่มากพอนะ”
“พูดจาแบบนี้ไม่เคยโดนทุบตีใช่ไหม?”
ฟางผิงตอกกลับ เมื่อพวกเขาใกล้ถึงเขตหอพักนักศึกษาใหม่ เขาก็พูดขึ้นมาอีกครั้ง “เธออยากเข้าร่วมการประลองระดับประเทศจริงเหรอ? ฉันไม่คิดว่าผู้หญิงจะมีเหตุผลเข้าร่วมหรอกนะ”
“ช่างฉันเถอะ แล้วนายล่ะ?” จ้าวเสวี่ยเหมยตอบคำถามด้วยคำถาม “ฉันรู้สึกว่านายไม่สนใจเรื่องแพ้ชนะเท่าไหร่ แล้วทำไมนายถึงอยากเข้าร่วมล่ะ?”
“เพื่อผลประโยชน์”
ฟางผิงพูดต่อจนใจ “ฉันคิดว่าช่วงนี้ฉันใช้จ่ายมากไปหน่อย เม็ดยารายวันที่มหาลัยมอบให้มันน้อยเกินไป ถ้าไม่ร่วมการประลองระดับประเทศ ทางมหาลัยจะมอบผลประโยชน์ให้ฉันแบบนี้อยู่เหรอ?”
“ถ้าเป็นแบบนั้น ฉันคงหมดตัว”
“นอกจากนี้ฉันรู้สึกว่าอาจารย์อยากให้เราเข้าร่วม มันอาจเกี่ยวข้องกับสถานการณ์ที่เลวร้ายลง”
“ฉันจะยังอยู่มหาลัยอีกหลายปี ฉันยังเป็นนักศึกษาใหม่ ถ้าฉันไม่ทำอะไรให้มหาลัยบ้าง มหาลัยจะคิดยังไงกับฉัน?”
เวลานี้ ฟางผิงเริ่มคิดอะไรได้บ้าง
เมื่อเทียบกับนักศึกษาใหม่ เขาค่อนข้างดัง ถ้าเขาหลีกเลี่ยงการต่อสู้ ทางมหาลัยจะคิดยังไงกับเขา?
แม้ว่าทางมหาลัยจะย้ำว่าไม่บังคับ แต้ถ้าราชาเด็กใหม่อย่างเขาไม่ยอมเข้าร่วม นักศึกษาคนอื่นต้องได้รับผลกระทบทางจิตใจเช่นกัน
กรณีที่ดีที่สุดคือทางมหาลัยไม่ใส่ใจเขา
กรณีที่แย่ที่สุดคือทางมหาลัยอาจคิดว่าเขาไม่รู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของโม๋อู่ ในอนาคตเขาจะไม่มีทางได้รับทรัพยากรพิเศษนอกจากที่ให้ปกติ ต่อให้พวกเขาเลิกฝึกให้เขาเลยมันก็เป็นที่เข้าใจได้
โม๋อู่เป็นผู้หนุนหลังเขา ฟางผิงไม่มีทางยอมสละตำแหน่งนักศึกษายอดเยี่ยมไปตอนนี้
ไม่งั้นเขาจะลำบากภายหลัง
เมื่อจ้าวเสวี่ยเหมยได้ยินที่เขาพูด เธอก็ตอบอย่างโศกเศร้า “พวกเรากำลังห่วงว่าเราจะได้ตำแหน่งเข้าประลองไหม นายโชคดี ถ้าฉันเป็นนาย ฉันคงไม่ลังเลเลย”
“เราไม่เหมือนกัน…”
ฟางผิงพูดความจริง ‘ถ้าฉันทำได้ ฉันหวังจริงๆว่าฉันจะบรรลุขั้นสองขั้นสามอย่างปลอดภัยและมั่นคง ฉันอยากให้เป็นแบบนั้นยันปรมาจารย์เลย’
แต่สถานการณ์ปัจจุบันไม่ยอมให้เขาเลือกทางนี้

World’s Best Martial Artist

World’s Best Martial Artist

Status: Ongoing

ฟางผิงใช้เวลาครึ่งชั่วโมงในที่สุดก็ตัดสินได้ว่าเขาไม่ได้ฝันไปหรือไม่ได้ถ่ายหนัง…อย่าไร้สาระน่า ถ้าการถ่ายหนังชุบความเป็นหนุ่มของเขากลับมาได้ งั้นกองถ่ายก็คงไปถ่ายทำที่สวรรค์ได้แล้ว!

หลังยืนยันว่าเขากลับมาเกิดใหม่ ฟางผิงก็รู้สึกถึงความตื่นตระหนกก่อนจะค่อยๆยอมรับความจริง

ความจริงอะไรงั้นเหรอ? ความจริงที่ว่าเขากลับมาเกิดใหม่ในร่างตัวเองตอนเด็ก และเนื่องจากเขามีความรู้ของอนาคตติดตัวมาด้วย เขาจะทำวันนี้ให้ดีที่สุดแล้วกลายเป็นผู้ยิ่งใหญ่ในแวดวงธุรกิจ! เขาจะรวย!

นั่นเป็นความคิดของเขาจนกระทั่งเพื่อนเขามาขัดจังหวะ

“สรุปนายจะลงทะเบียนสอบวิชาการต่อสู้ไหม?”

อะไรนะ? พูดเล่นเหรอ? หรือเขาส่งบทผิด? วิชาการต่อสู้คืออะไร? ทำไมถึงมีค่าลงทะเบียนหมื่นหยวน? หัวของเขาเต็มไปด้วยประโยคคำถาม ไม่นานฟางผิงก็ตระหนักว่าเขาอาจไม่ได้โชคดีเหมือนที่เขาคิดไว้ตอนแรก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท