ด้านนอก
เมื่อจ้าวเสวี่ยเหมยเข้าไปในอาคาร ก็มีเสียงอุทานขึ้นมาเบาๆ นักศึกษาโม๋อู่ไม่ไหวแล้ว!
ดูสิ มีคนกำลังออกมา…
ดูเหมือนจะเป็นจางจื้อเฉียงนะ ไปกันเถอะ!
กลุ่มหวังหวยจินพูดคุยกันเมื่อเห็นมีคนออกมา เมื่อพวกเขาเห็นว่ามันคล้ายกับจางจื้อเฉียง พวกเขาก็สาวเท้าก้าวเข้าไปหาเป้าหมายทันที
ขณะที่พวกเขาก้าวเท้า ก็มีคนพูดขึ้นมากะทันหัน ถ้าพวกโม๋อู่ตายแล้ว ถ้าเกิดขั้นสองข้างในออกมาล่ะ?
หวังหวยจินลังเลครู่หนึ่ง แต่เมื่อสังเกตเห็นจางจื้อเฉียงที่กำลังวิ่งมาทางพวกเขาอย่างบ้าคลั่ง เขาก็กัดฟันพูด มาสังหารเจ้านี่ก่อน ถ้าเกิดสถานการณ์เลวร้ายลง เราจะหนี!
พวกเขาก้าวเท้าเดินต่อ จางจื้อเฉียงคำรามอย่างสิ้นหวัง พวกแกไม่รักษาคำพูด!
หวังหวยจินสับสนเล็กน้อย คนอื่นก็อึ้งไปชั่วครู่ จางจื้อเฉียงร้องเสียงหลง ฉันจะขอตายไปพร้อมกับพวกแก!
เขาพึ่งปะทะกับถังซ่งถิง ปราณและเลือดแทบไม่เหลือ ตอนนี้ยังมีศัตรูอีกคนที่อยู่ข้างในซึ่งฟันผู้ฝึกยุทธขั้นสองจนตายได้
จางจื้อเฉียงรู้ว่าเขาหนีไปไหนไม่รอด ด้วยความสิ้นหวัง เขาไม่สนใจแล้วว่าจะบาดเจ็บไหม แม้ว่าจะมีกำปั้นปะทะเข้าที่อก เขาก็ไม่สนใจ แววตาเขาแดงฉาน โจมตีผู้ฝึกยุทธคนนึงอย่างรุนแรง!
คนอื่นๆเข้ามาโจมตีอย่างเร่งรีบ แต่คนที่ถูกจางจื้อเฉียงเล็งไว้ถูกโจมตีไม่หยุดจนสะดุดไปข้างหลัง กระอักเลือดออกมากระจายฟุ้ง
หวังหวยจินโกรธจัด เขาเตะเข้าที่หลังหัวของจางจื้อเฉียงไม่ยั้ง แต่จางจื้อเฉียงเป็นผู้ฝึกยุทธขั้นหนึ่งสูงสุดที่ไม่กลัวตายอีก
แม้ว่าสติจะเริ่มเลือนหาย แต่เขาก็ไม่ได้ปกป้องตัวเอง เขากำหมัดต่อยใส่คนตรงหน้าไม่ยั้ง
หวังหวยจินโกรธมาก สองมือเขาจับรอบคอจางจื้อเฉียงและบิดสุดแรง!
มีเสียงดังแคล็ก ในที่สุดจางจื้อเฉียงก็หยุดลง
เมื่อจางจื้อเฉียงหมดลมหายใจไปแล้ว ทุกคนจึงรีบมาตรวจสอบอาการบาดเจ็บของเพื่อนร่วมทีมที่ถูกโจมตีเมื่อกี้ เด็กหนุ่มคนนึงถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก เขาไม่เป็นไร ซี่โครงหักไม่กี่ซี่ แต่อวัยวะภายในไม่น่าเป็นอันตราย เจ้านี่คลั่งไปแล้วเหรอ?
จางจื้อเฉียงเสียสติไปแล้วจริงๆ เขาไม่ป้องกันตัวเองด้วยซ้ำ
ไม่งั้นพวกเขาไม่กี่คนไม่อาจสังหารผู้ฝึกยุทธขั้นหนึ่งสูงสุดได้เร็วขนาดนี้
อย่างไรก็ตามการอาละวาดของเขาทำให้สมาชิกคนนึงเจ็บหนัก ต้องใช้เวลาพักฟื้นช่วงนึง
หวังหวยจินขมวดคิ้ว ไม่ถูกต้อง พวกนายได้ยินที่มันพูดเมื่อกี้ไหม?
มันบอกว่าเราไม่รักษาคำพูด…
แต่เราไม่ได้พูดอะไรเลยนะ…
หรือว่า…
ขณะที่พวกเขารู้สึกสงสัย ฟางผิงก็เดินออกมาจากอาคารที่สร้างไม่เสร็จที่อยู่ไม่ไกลพร้อมกับกระเป๋าเป้ใบเล็ก
กลุ่มของฟางผิงเดินออกมา นอกจากถังซ่งถิงที่หอบหายใจ ดูเหมือนฟางผิงจะไม่เป็นไรเลย ส่วนจ้าวเสวี่ยเหมยก็ไม่ได้รับบาดเจ็บ เพราะเธอไม่ได้เข้าร่วมต่อสู้ด้วยซ้ำ
ความสงสัยปรากฏบนใบหน้าหวังหวยจิน คนอื่นๆก็เงียบไม่ได้พูดอะไร
ฟางผิงเดินมา เขาชำเลืองมองจางจื้อเฉียงและผู้ฝึกยุทธที่ได้รับบาดเจ็บแล้วเอ่ยถาม ต้องการให้ช่วยไหม?
ไม่ล่ะ ขอบใจ
เอาล่ะ พวกเราขอตัวก่อน ไม่มีใครอยู่ข้างในแล้ว
ตกลง
…
หลังจากพวกฟางผิงหายลับสายตาไป ทุกคนก็เริ่มพูดคุยกันอีกครั้ง พวกเขาไม่เจอผู้ฝึกยุทธขั้นสองเหรอ?
เป็นไปได้ ฉันว่ามีแต่คนแซ่ถังที่เข้าต่อสู้ อีกสองคนเหมือนไม่ได้ทำอะไรเลย
ผู้ฝึกยุทธขั้นสองไม่น่าอยู่แถวนี้ใช่ไหม?
พี่หวัง เราควรกลับกันเลยไหม?
หวังหวยจินขมวดคิ้ว เขาเปิดปากพูดช้าๆ มาตรวจดูก่อนว่าจางจื้อเฉียงได้พกเม็ดยาอะไรไว้ไหม
ไม่มีเลย เจ้าหมอนี่โคตรจน!
หวังหวยจินยังคงรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ หลังคิดเล็กน้อย เขาก็เข้าไปในอาคารที่ยังสร้างไม่เสร็จ
…
ความแข็งแกร่งของหวังหวยจินไม่ได้แย่ แต่ทั้งหกคนเหมือนจะไม่มีอาวุธอัลลอยเลย ฉันสังเกตว่าอาวุธที่พวกเขาพกเป็นอาวุธธรรมดากันหมด แม้แต่อัลลอยเกรดอีก็ไม่มี
ฟางผิงกล่าว หวังหวยจินอาจเป็นผู้ฝึกยุทธที่ขัดเกลาสองครั้ง แต่จำนวนขัดเกลากระดูกไม่มากนัก อย่างมากก็ 40 ชิ้น
ฉันเห็นตอนเขาโจมตี ขาซ้ายออกแรงได้ไม่มากพอ ขัดเกลากระดูกไปน้อยมาก
ยิ่งกว่านั้น จวงกงเขายังไม่ถึงขั้นหนักแน่น ที่โม๋อู่ เขาคงอยู่ระดับเดียวกับพวกนายสองคน แต่ฉันไม่รู้ว่าที่ตงอู๋ เขาจะอยู่ระดับไหน
น่าจะอยู่ระดับสูงสุดเลย ถังซ่งถิงตอบ เขาส่ายหน้าแล้วกล่าว แต่ต่อให้เขาอยู่ระดับใกล้เคียงกับฉัน ฉันก็ยังชนะเขาได้
ฉันก็สังเกตดูอยู่เหมือนกัน เขาอาจไม่ได้ฝึกวิชาต่อสู้พิเศษ หรือไม่ก็ไม่มีโอกาสได้ใช้
ถ้าคู่ต่อสู้ของโม๋อู่เป็นคนพวกนี้ เราชนะแน่นอน
อีกห้าคนก็อ่อนแอ ในโม๋อู่ พวกเขาเข้าคลาสฝึกพิเศษไม่ได้ด้วยซ้ำไป
จ้าวเสวี่ยเหมยกล่าวเสริม ฉันไม่แปลกใจเลยที่มหาลัยวิชายุทธทั่วไปจะต่อสู้เพื่อทรัพยากร คนพวกนี้อาจเป็นหัวกะทิของมหาลัยวิชายุทธทั่วไป แต่พวกเขาไม่มีอาวุธอัลลอยด้วยซ้ำ พวกเขาอาจไม่มีเวลาพอเรียนวิชาอาวุธพื้นฐาน หรือไม่ก็ไม่มีคะแนนมากพอที่จะซื้อ ทางมหาลัยไม่สามารถมอบให้ฟรีๆแน่ๆ
ฟางผิงพยักหน้าเล็กน้อย ถ้าคนกลุ่มนี้เป็นหัวกะทิของมหาลัยวิชายุทธทั่วไป พวกเขาก็ไม่ต้องห่วงเรื่องแชมป์อีก
จ้าวเสวี่ยเหมยกับถังซ่งถิงไม่ได้สนใจคนพวกนั้นมากนัก สายตาพวกเขาจับจ้องมาที่ฟางผิงแทน
เจ้าหมอนี่สังหารผู้ฝึกยุทธขั้นสองเพียงลำพัง?
นอกจากนี้เขาดูผ่อนคลายมาก เขาเป็นขั้นหนึ่งจริงๆน่ะเหรอ?
ฟางผิงไม่สนใจพวกเขา เขาครุ่นคิดและพูด ฉันควรเปลี่ยนไปใช้ขวานหรือค้อน อาวุธหนักๆ ฉันจะได้ทุบได้ต่อเนื่อง
ตอนนี้ฉันเริ่มเสียใจแล้วสิ ฉันน่าจะขัดเกลากระดูกแขนก่อน ถ้าเป็นแบบนั้นนะ…
ขวาน? ค้อน?
เมื่อพวกเขานึกภาพฟางผิงถือขวานหรือค้อนโจมตีใครสักคน ทั้งสองก็จ้องมองเขาด้วยสายตาแปลกๆ ฟางผิงคิดอะไรอยู่?
กระนั้นปราณและเลือดของฟางผิงก็สูงจนน่ากลัวจริงๆ ถ้าเขาเปลี่ยนไปใช้อาวุธหนัก ฟางผิงอาจสับศัตรูเป็นสองท่อนได้ก่อนที่ปราณและเลือดจะหมดด้วยซ้ำ มันคงเป็นภาพที่น่าสะพรึงกลัว
ฟางผิงกำลังพิจารณาเรื่องนี้อย่างจริงจัง แต่เขารู้สึกไม่ค่อยสบายใจเช่นกัน อาวุธพวกนี้ป่าเถื่อนเกินไป
ปราณและเลือดของเขาแทบไม่มีวันหมด ขอแค่เขาไม่เหนื่อยล้าทางจิตใจ เขาจะทุบได้ต่อเนื่องไม่หยุด
ตอนที่เขาฟันเหยาจินเฉิงเมื่อกี้ ฟางผิงสังเกตเห็นว่าเมื่อปราณและเลือดของผู้ฝึกยุทธหมด พวกเขาจะหมดความกล้าหาญและจัดการได้ง่ายกว่ามาก
ครั้งต่อไป เขาจะสู้กับศัตรูและแข่งกันผลาญปราณและเลือดดีไหมนะ?
ด้วยวิธีนี้ การขัดเกลากระดูกขาจะมีข้อได้เปรียบเช่นกัน เขาจะไล่ตามคู่ต่อสู้ได้ทันและบังคับให้อีกฝ่ายต่อสู้ตามเงื่อนไขของเขา
ฉันควรเปลี่ยนอาวุธไหมนะ?
ฟางผิงยังคงครุ่นคิด เขาควรใช้ประโยชน์ตอนที่ทักษะการใช้อาวุธปรับเปลี่ยนได้ง่าย จะมาเปลี่ยนภายหลังตอนที่ใช้อาวุธจนชินมือแล้วก็คงไม่ดี
พอฉันถึงขั้นสองและขัดเกลากระดูกแขนเสร็จ ความแข็งแกร่งของแขนก็จะเพิ่มขึ้นมาก ฉันจะสู้ได้รุนแรงกว่านี้ บางทีอาจจำเป็นต้องเปลี่ยนจริงๆ…
หลังความคิดตีกันในหัวอยู่พักนึง ฟางผิงก็ถอนหายใจออกมา ‘ไว้ฉันกลับมหาลัยฉันค่อยคิดใหม่อีกที’
ขวานกับค้อนยังไงก็ป่าเถื่อนเกินไปจริงๆ!