ตอนที่ 145 วิชาขั้นกลาง (2)
หลังวางสายฟางผิงก็เห็นหลู่เฟิ่งโหรวเช่นกัน เขาเอ่ยถามทันที อาจารย์ จะเกิดอะไรขึ้นถ้าเป็นงานประลองแบบเปิด?
หลู่เฟิ่งโหรวตอบอย่างเมินเฉย ไม่มีอะไรแปลก ยังไงเสียมหาลัยวิชายุทธก็เป็นกลุ่มผู้ฝึกยุทธที่คนธรรมดาเข้าถึงได้ง่ายและรู้จักกันมากที่สุด
งานประลองที่มีมหาลัยวิชายุทธ 99 แห่งเข้าร่วมในครั้งนี้มีประโยชน์ในการสร้างแรงจูงใจให้คนธรรมดาเป็นผู้ฝึกยุทธ นอกจากนี้มันยังช่วยเพิ่มความเข้าใจต่อผู้ฝึกยุทธด้วย
พวกนายเป็นขั้นหนึ่ง ก่อนหน้านี้พวกนายเป็นคนธรรมดา เหมาะสมที่สุดแล้วที่จะเป็นผู้ฝึกยุทธกลุ่มแรกที่เปิดเผยต่อสาธารณะ
ปีหน้าจำนวนนักเรียนที่อยากสมัครมหาลัยวิชายุทธจะเพิ่มขึ้นแน่นอน…
แต่…
กังวลว่าพ่อแม่จะรู้เรื่องแล้วมาคอยพะวงเรื่องของนายใช่ไหม?
นิดหน่อยครับ
ไม่เป็นไร ที่จริงแบบนี้ดีกว่าอีก ถ้าเกิดจัดงานประลองแบบส่วนตัว…
หลู่เฟิ่งโหรวส่ายหน้า คาดว่าอย่างน้อยต้องมีคนบาดเจ็บล้มตายกว่าครึ่ง!
อย่างไรก็ตามตอนนี้การต่อสู้จะรุนแรงน้อยลงหากเปิดเผยต่อสาธารณะ นอกจากนี้ยังมียอดยุทธขั้นสูงรอช่วยเหลืออยู่ตลอดเวลา จำนวนคนบาดเจ็บล้มตายน้อยลงดีต่อพวกนาย
ถ้าจัดการประลองแบบส่วนตัว ทุกคนต่อยตีกันจนตายได้โดยไม่มีปัญหา
อย่างไรก็ตามหากเป็นการประลองเปิด เว้นแต่จะสายเกินไปจริงๆ ยอดยุทธขั้นกลางขั้นสูงมากมายย่อมให้การช่วยเหลือ
มันเป็นเรื่องดีต่อฟางผิงและนักศึกษาคนอื่นๆจริง
อาจารย์จะไม่เมินเฉยและเฝ้าดูคนตายอยู่เฉยๆอีก
ส่วนการได้รับบาดเจ็บ…
ถ้าหากมีคนรับไม่ได้ที่ผู้ฝึกยุทธได้รับบาดเจ็บ งั้นเป็นผู้ฝึกยุทธจะไปมีประโยชน์อะไร!
ให้พวกเขาขึ้นประลองกันแบบขำๆแสดงให้คนธรรมดาดูงั้นเหรอ?
ทำให้พวกเขาคิดว่าผู้ฝึกยุทธมีแต่วิชาฝีมือสวยงามใช้การไม่ได้งั้นเหรอ?
ฟางผิงได้ยินคำตอบเธอก็ไม่ได้พูดอะไรอีก หลู่เฟิ่งโหรวกล่าว มันยังไม่แน่นอนว่าจะเปิดสู่สาธารณะไหม แต่มีความเป็นไปได้สูงมาก อย่าคิดมาก นี่เป็นเรื่องดีต่อตัวนาย นายสู้ได้เต็มที่ ขอแค่นายไม่ถูกสังหารในกระบวนท่าเดียว งั้นฉันก็มีเหตุผลเข้าไปช่วยแล้ว
แค่กๆๆ…
ฟางผิงยิ้มอย่างขมขื่น ผมอ่อนแอขนาดนั้นเลยเหรอ?
นายคิดว่านายแข็งแกร่งเหรอ?
หลู่เฟิ่งโหรวแค่นเสียง แข็งแกร่งเหนือนักศึกษาใหม่ของโม๋อู่ไม่ได้มีความหมายอะไรเลย
เมื่อเทียบกันแล้ว โม๋อู่อ่อนโยนกว่ามาก จิงอู่แข็งแกร่งกว่าเรา มหาลัยวิชายุทธแห่งอื่นอ่อนแอกว่าเรา อย่างไรก็ตามมันหมายถึงคนทั้งกลุ่มไม่ใช่รายบุคคล!
มีแม้แต่มหาลัยวิชายุทธทางภาคตะวันตกเฉียงเหนือที่โยนนักศึกษาใหม่เข้าถ้ำใต้ดิน!
โหดร้ายขนาดนั้นเลย?
โหดร้าย? ลองคิดดูสิ เมื่อทรัพยากรของโม๋อู่จิงอู่ถูกลดไป 30% สิ่งที่พวกเขาจะได้ไม่ใช่แค่เงินแบ่งสรร 2 หมื่นล้านเท่านั้น!
มันยังรวมถึงผลกำไรของบริษัทยาและบริษัทผลิตอาวุธของสองมหาลัยดัง!
อีกไม่กี่วันข้างหน้า นี่จะเป็นเรื่องใหญ่มาก!
มันเกี่ยวข้องกับเงินหลายแสนล้าน!
หลังแบ่งให้กับทุกมหาลัยเท่าๆกัน มันจะมากกว่าพันล้าน เสียสละชีวิตของนักศึกษาใหม่ไม่กี่คนเพื่อฝึกฝนผู้ฝึกยุทธขั้นกลางขึ้นขั้นสูง นายคิดว่ามันไม่คุ้มเหรอ?
ฟางผิงเงียบอีกครั้ง
หลู่เฟิ่งโหรวไม่ได้พูดต่อ เธอกลับมาหัวข้อหลักแทน อย่าคิดถึงเรื่องไร้ประโยชน์พวกนี้มากนัก วันนี้ฉันจะสอนวิชาก้าวย่างกับวิชาดาบให้!
อ่านข้อมูลวิธีฝึกก่อน…
หลู่เฟิ่งโหรวชี้ไปยังหนังสือกองใหญ่ที่วางซ้อนกันข้างๆ
ฟางผิงประหลาดใจมาก เยอะขนาดนี้เชียว?
วิชาต่อสู้ขั้นกลางเกี่ยวข้องกับทฤษฎีมากกว่าหน่อย นอกจากนี้มันยังมีรายละเอียดมากกว่า ลองเอาไปอ่านดู ฉันจะซ้อมให้นายไม่กี่ครั้ง ไม่เข้าใจตรงไหนก็มาถาม
ครับ
…
ฟางผิงกวาดตาดูหนังสืออย่างรวดเร็ว
ชื่อฟังดูเรียบง่ายมากสำหรับวิชาก้าวย่าง ย่ำเมฆา
กลับกันวิชาดาบใช้ชื่อที่ทรงพลังเหลือล้น ดาบคลั่งระเบิดเลือด!
(ผู้แปล : ระเบิดในที่นี้คือการระเบิดพลัง เป็นการระเบิดปราณและเลือดอย่างบ้าคลั่ง)
แน่นอนชื่อค่อนข้างเหลวไหลไปหน่อยเหมือนกัน
หลู่เฟิ่งโหรวเห็นเขาจ้องมองปกหนังสือจึงพูดขึ้นมาโดยไม่ได้คิดอะไรมาก นี่เป็นวิชาดาบที่พัฒนาโดยผู้สำเร็จราชการจางแห่งหนานเจียง ตอนที่เขายังหนุ่ม เขาค่อนข้าง…ยังไงก็ช่าง เขาเป็นคนโง่ ชื่อที่เขาคิดเป็นแบบเดียวกันหมด
ดาบคลั่งระเบิดเลือดเป็นแค่หนึ่งในนั้น ยังมีดาบบั่นเศียรจักรพรรดิ ดาบประหารเซียน…
มันฟังดูน่ากลัวนะ แต่ที่จริงเขาเป็นแค่ขั้นหก…โอ้ ตอนนี้เขาขั้นเจ็ดแล้ว
เขาเคยถูกฉันทุบตีอย่างหนัก…เฮ้อ คนจริงไม่โม้ความสำเร็จในอดีต…
แค่ก แค่ก แค่ก…
คราวนี้ฟางผิงสำลักจริงๆ!
มันเป็นเรื่องจริงไหมนะ?
ไม่ใช่ครั้งแรกที่ฟางผิงได้ยินชื่อผู้สำเร็จราชการจางแห่งหนานเจียงอันโด่งดัง
หลังกลับมาเกิดใหม่ ผู้สำเร็จราชการจางกลายเป็นปรมาจารย์เป็นข่าวใหญ่ที่ทุกคนในหนานเจียงทราบกันดี!
อีกฝ่ายยังจบการศึกษาจากมหาลัยวิชายุทธหนานเจียงเช่นกัน หวังจินหยางยังบอกอีกว่าการเปลี่ยนแปลงของมหาลัยวิชายุทธหนานเจียงยังเกี่ยวข้องกับอีกฝ่ายด้วย
อย่างไรก็ตามตอนนี้หลู่เฟิ่งโหรวบอกว่าตอนที่อีกฝ่ายยังหนุ่ม เขาเคยถูกเธอทุบตีมาก่อน นี่ต้องเป็นการพูดโม้แน่เลยใช่ไหม?
ฟางผิงไม่คิดมาก่อนเลยว่าวิชาดาบจะเป็นของผู้สำเร็จราชการจาง
อาจารย์รู้จักผู้สำเร็จราชการจางด้วยเหรอ?
อย่าไร้สาระน่า จะมีใครอีกที่พัฒนาวิชาดาบแบบนี้ขึ้นมา? สมัยนั้นเขาเคยจีบฉัน เขาควรส่องกระจกดูตัวเองบ้าง!
อาจารย์ของนาย สมัยก่อนเคยเป็นดั่งบุปผาแรกแย้ม
ตอนฉันเข้าถ้ำใต้ดินครั้งแรก จากสิบคนที่ไปด้วยกัน มีผู้ชายคนไหนที่ไม่หลงเสน่ห์ฉัน?
เขา…หนานเจียงไม่มีทางเข้าถ้ำใต้ดิน ดังนั้นมหาลัยวิชายุทธหนานเจียงจึงมาที่ทางเข้าถ้ำใต้ดินของเซี่ยงไฮ้ นั่นแหละเป็นตอนที่เราพบกัน
ฝึกได้ไม่ต้องห่วง เมื่อวานฉันถามเขาแล้ว ตาแก่นั่นไม่มีความเห็นอะไร เขากระตือรือร้นมาก เขาบอกอีกว่าถ้าเขาว่าง เขาจะมาอธิบายให้นายด้วยตัวเอง แต่ฉันเมินเขา…
‘เธอโม้ใช่ไหม?’
ฟางผิงคิดในใจ ความเป็นไปได้สูงมาก!
มันไม่ใช่ครั้งแรกที่หลู่เฟิ่งโหรวคุยโว
เขาพอดูออกจากที่เธอเรียกตัวเองว่า ‘อู่ไร้พ่าย!’
ถ้าเธออ้างว่ารู้จักกับผู้สำเร็จราชการจาง ฟางผิงไม่สงสัยเธอเลย อย่างไรก็ตามบอกว่าอีกฝ่ายหลงรักเธอ จนถึงขั้นตอนนี้ก็ยังคิดเรื่องเธออยู่ ฟางผิงไม่เชื่อจริงๆ
แต่ก็พูดยาก ใครจะบอกได้ว่ามันเป็นความจริงไหม
หลังรู้ว่ามันเป็นวิชาดาบของผู้สำเร็จราชการจาง ฟางผิงก็รู้สึกต่างออกไป ดูเหมือนเขากับหนานเจียงจะมีชะตากรรมตัดกันไม่ขาด
ฟางผิงก้มหน้าก้มตาอ่านคำแนะนำการฝึกฝนต่อ ชื่อวิชาดาบคลั่งระเบิดเลือดก็พอบ่งบอกตัวเองได้แล้ว
ระเบิดปราณและเลือดอย่างต่อเนื่อง วิชาดาบที่บ้าคลั่ง มีกระบวนท่าอยู่ไม่มาก มีทั้งหมดเจ็ดท่า แต่ละดาบเชื่อมต่อกัน รุนแรงขึ้นทุกครั้งที่ฟาดฟัน ดาบที่เจ็ด ไม่ศัตรูตายก็เราสิ้น!
นี่เป็นเพราะดาบเจ็ด ไม่ว่าจะเหลือปราณและเลือดเท่าไหร่ กระบวนท่าสุดท้ายจะระเบิดปราณและเลือดไปทั้งหมด
ในกระบวนท่านี้ ถ้าศัตรูไม่ตาย เราก็สิ้นแทน
‘ถ้าเกิดฉันปราณและเลือดฉันไม่หมดล่ะ?’
ฟางผิงแววตาเปล่งประกาย หลังระเบิดดาบเจ็ด ปราณและเลือดฉันก็ฟื้นฟูอีกครั้ง ฉันจะระเบิดพลังต่อไม่ได้เหรอ?
ตอนนี้ฟางผิงรู้สึกสนใจยิ่งขึ้น เขาเริ่มพลิกหน้ากระดาษอย่างจริงจัง
หลังอ่านไปได้สักครู่ ฟางผิงก็เข้าภวังค์ เมื่อใช้วิชาดาบคลั่งระเบิดเลือด มันไม่เพียงแต่จะเกี่ยวข้องกับการระเบิดปราณและเลือดเท่านั้น แต่มันยังมีข้อจำกัดแง่อื่นด้วยเช่นกัน
เส้นลมปราณ อวัยวะภายใน กระดูก เนื้อหนัง…
เขาไม่มีปัญหาด้านปราณและเลือด อย่างไรก็ตามเขายังติดปัญหาแง่อื่นอยู่
น่าเสียดาย ฉันไม่ได้ขัดเกลากระดูกแขน หวังว่าฉันจะบรรลุขั้นสองก่อนงานประลองนะ ขัดเกลากระดูกแขนสักสองสามชิ้น ถ้าสำเร็จ ในดาบที่เจ็ด ฉันจะฟันทุกคนที่ขวางหน้า…
หลังอ่านวิชาดาบได้สักพัก ฟางผิงก็เริ่มอ่านวิชาก้าวย่าง
ย่ำเมฆาไม่ได้ซับซ้อน ใช้วิธีพิเศษเพื่อปลดปล่อยพลัง ระเบิดปราณและเลือดเพื่อเพิ่มความเร็ว…
หลังอ่านรวมๆ ฟางผิงคิดว่าเขาคงเรียนรู้ได้ไม่ยาก
ข้อกำหนดระเบิดปราณและเลือด เขาทำได้สบาย เขามั่นใจว่าทำได้อย่างต่อเนื่อง
เขาไม่มีปัญหากับข้อกำหนดในการฝึกเช่นกัน ไม่มีอะไรนอกจากฝึกให้ชำนาญ ส่วนสำคัญคือความแข็งแกร่งของปราณและเลือด เวลานี้ฟางผิงตระหนักว่าความแข็งแกร่งของปราณและเลือดมีประโยชน์กว่าที่เขาคิด ไม่แปลกใจเลยที่การสอบเข้ามหาลัยให้ความสำคัญกับปราณและเลือด