คาบเรียนตอนกลางคืนเป็นแค่การแบ่งทีมง่ายๆ หลังแบ่งทีมเสร็จ คนจากทีมสำรองก็จากไปก่อน
อีก 10 คนที่เหลือถูกบอกให้อยู่ต่อ
ถังเฟิงกล่าว รายละเอียดของงานประลองออกมาแล้ว
สถานที่จัดงานคือเซี่ยงไฮ้!
วันที่ 10 มกราคม โม๋อู่ จิงอู่ พันธมิตรมหาลัยวิชายุทธและแปดมหาลัยพันธมิตร ทั้งสี่ฝ่ายจะมารวมตัวกันที่เซี่ยงไฮ้
พันธมิตรมหาลัยวิชายุทธคือมหาลัยวิชายุทธทั่วไปรวมตัวกันเป็นพันธมิตร ส่วนแปดมหาลัยพันธมิตรคือกลุ่มที่ก่อตั้งโดยมหาลัยวิชายุทธชั้นสอง
มหาลัยวิชายุทธชั้นสองจะกระจุกกันอยู่ทั้งเซี่ยงไฮ้และปักกิ่ง
พวกเขาได้แก่มหาลัยวิชายุทธหัวกว๋อ มหาลัยวิชายุทธจิงหนาน มหาลัยครุศาสตร์หัวตง มหาลัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีหัวหนาน มหาลัยปักกิ่ง…
วันที่ 10 จะเป็นพิธีเปิดงานประลอง คู่ต่อสู้รอบแรกจะตัดสินโดยการจับฉลากในวันนั้น
วันที่ 11 เป็นการประลอง รอบเช้าหนึ่งรอบ รอบบ่ายหนึ่งรอบ ตัดสินกลุ่มทีมชนะ
วันที่ 12 กลุ่มทีมแพ้จะประลองกันเอง ทีมที่แพ้จะได้อันดับสี่
วันที่ 13 กลุ่มทีมชนะจะประลองกัน ทีมที่แพ้จะได้ประลองกับทีมที่ชนะในกลุ่มทีมแพ้ในวันที่ 14 ทีมที่แพ้จะได้อันดับสาม
วันที่ 15 ทีมที่ชนะติดต่อกันจะประลองกับทีมชนะในกลุ่มทีมชนะเพื่อตัดสินอันดับหนึ่งและอันดับสอง
ฟางผิงกล่าวทันที แปลว่าเราจำเป็นต้องสู้กับทั้งสามฝ่าย?
ถูกต้อง!
ถังเฟิงพยักหน้า ทีมที่แพ้รอบแรกจะประลองมากกว่าทีมอื่นหนึ่งรอบหากต้องการเข้าไปถึงรอบชิงชนะเลิศ!
การแพ้ในการประลองรอบแรกไม่ได้แปลว่าทีมนั้นจะแพ้ไปเลย ถ้าพวกเขาเอาชนะติดต่อกันหลังการประลองรอบที่สอง พวกเขาก็จะกลายเป็นผู้ชนะ
แน่นอนเรื่องแบบนี้ไม่น่าเกิดขึ้นได้ ยังไงเสียการพ่ายแพ้รอบแรกไม่ได้หมายความว่าทีมนั้นจะเป็นผู้ชนะในรอบสอง
ต้องเอาชนะสามครั้งติดถึงจะได้อันดับหนึ่ง!
ถังเฟิงถอนหายใจออกมาเบาๆก่อนจะพูดต่อ ตามข้อตกลง เมื่อโม๋อู่จิงอู่แพ้ไม่ได้อันดับหนึ่งและอันดับสอง ตั้งแต่กันยายนปีหน้า การแบ่งสรรทรัพยากรจะลดลง 30%
คุณต้องเข้าใจว่ามันเป็นการสูญเสียมากแค่ไหน!
ทุกปี โม๋อู่จะลงทุนทรัพยากรตีเป็นเงิน 3 หมื่นล้านกับนักศึกษา!
ใช่แล้ว 3 หมื่นล้าน!
มันเป็นแค่มหาลัยที่มีนักศึกษา 6000 คน โม๋อู่ลงทุนถึง 3 หมื่นล้าน!
หลังแบ่งออกไปเท่าๆกัน นักศึกษาโม๋อู่ทุกคนจะได้รับทรัพยากรเทียบกับเงิน 5 ล้าน
สำหรับนักศึกษาใหม่ 50 คะแนนเป็นของขวัญต้อนรับก็มากกว่าล้านหยวนแล้ว บวกกับการสนับสนุนตามปกติอีก โดยเฉลี่ยแล้วนักศึกษาใหม่จะได้รับผลประโยชน์ไม่น้อยกว่า 2 ล้านทุกปี
รุ่นพี่จะได้รับยิ่งกว่านั้นอีก
พวกเขาต้องการเม็ดยาและทรัพยากรอื่นเพิ่ม ยิ่งกว่านั้นโม๋อู่ยังขายทรัพยากรให้นักศึกษาด้วยราคาทุน บางอย่างถูกกว่าราคาทุนด้วยซ้ำไป
ส่วนต่างของราคาก็สูงจนน่าตกใจเช่นกัน
ส่วนลด 30% แปลว่าส่วนต่างของราคาจะหายไปเกือบหมื่นล้าน!
ดังนั้น งานประลองครั้งนี้เป้าหมายของเราคือรักษาอันดับสองและมุ่งเป็นอันดับหนึ่ง! ถ้าเราได้อันดับสอง ทรัพยากรของเราจะคงเดิม แต่อันดับหนึ่ง เงินทุนของจิงอู่จะลดลง 10% และจะถูกโอนมาให้มหาลัยที่ชนะเลิศ!
สีหน้าของทุกคนเปลี่ยนไปเล็กน้อย ถังเฟิงพูดต่อ ในเดือนธันวาคม พวกคุณจะได้ฝึกฝนกันต่อ รวมถึงฝึกเคล็ดวิชาต่อสู้ด้วย
เดือนมกราคม มหาลัยจะพาพวกคุณไปร่วมการประลองกระชับมิตรสองนัด
การประลองกระชับมิตร?
ถูกต้อง เราจะไปดูมหาลัยอื่นกัน ส่วนใหญ่จะเป็นมหาลัยในเซี่ยงไฮ้
มันมีประโยชน์เหรอ?
มันมีประโยชน์เล็กน้อย พวกคุณจะได้เข้าใจบางสิ่งคร่าวๆ มันเป็นการดีที่ทุกคนจะได้เตรียมพร้อม
หลังพูดจบ ถังเฟิงก็พูดขึ้นมาอีกครั้ง มหาลัยคาดหวังกับงานประลองครั้งนี้ไว้สูง เดือนมกราคม เมื่อรายชื่อสุดท้ายได้รับการยืนยันแล้ว ทุกคนจะได้รับคะแนนอย่างน้อย 50 คะแนนเป็นรางวัล!
ถ้ารักษาอันดับสองได้ รางวัลที่มหาลัยมอบให้ก็ไม่น้อยไปกว่ากัน
ถ้าคุณได้อันดับหนึ่ง ไม่ต้องพูดถึงเรื่องอื่น ทางมหาลัยจะมอบคะแนนให้อย่างน้อย 300 คะแนนเป็นรางวัล!
ทุกคนแววตาเปล่งประกาย ไม่ต่ำกว่า 300 คะแนน!
ปีนี้มหาลัยลงทุนกับนักศึกษาที่ร่วมงานประลองเป็นจำนวนมหาศาลมาก
สรุปแล้ว ถ้าพวกเขาได้อันดับหนึ่ง แต่ละคนจะได้รับอย่างน้อย 500 คะแนน
500 คะแนน มันเพียงพอให้ทุกคนฝึกฝนจนบรรลุขั้นสองสูงสุดได้อย่างราบรื่น ถ้าพวกเขาไม่ได้แข่งกับเวลาและใช้เท่าที่จำเป็น แม้แต่ขั้นสามก็ไม่เป็นปัญหาเลย
…
เมื่อออกมาจากโรงฝึก ฟู่ชางติ่งก็โอดครวญ มันจะดีมากถ้าเราได้อันดับหนึ่ง ถ้าเราทำไม่ได้ ต่อให้มหาลัยไม่ลงโทษเรา แต่คนอื่นมาด่าเราแน่!
แรงกดดันไม่น้อยเลย
ถ้าพวกเขาแพ้ รุ่นพี่ที่กำลังจะจบการศึกษาอาจไม่ว่าอะไร
อย่างไรก็ตามนักศึกษาใหม่ปีถัดไปคงตามด่ารุ่นพี่ที่ทำมหาลัยแพ้จนเละ
ไม่ใช่แค่นักศึกษาใหม่เท่านั้น แต่พวกเขาจะมีปัญหาเช่นกัน ในปีถัดๆไป พวกเขาจะได้รับทรัพยากรฝึกฝนยากขึ้นมาก
ฟางผิง นายมั่นใจไหม?
ฟางผิงพูดไม่ออก เขาพูดตำหนิ ฉันไม่มั่นใจด้วยซ้ำว่ามหาลัยอื่นเป็นยังไง ฉันจะมั่นใจได้ยังไง?
เขาไม่คิดว่าตนอ่อนแอ แต่มหาลัยวิชายุทธทั่วไปจะไม่มีอัจฉริยะเลยรึไง?
เหนือสิ่งอื่นใด เหล่าหวังบรรลุขึ้นหนึ่งสูงสุดตอนปลายเทอม
ผู้ฝึกยุทธแบบนี้ปรากฏในมหาลัยวิชายุทธทั่วไปมากขึ้นเรื่อยๆ ไม่มีใครรู้ว่าจะมีสัตว์ประหลาดยิ่งกว่านี้ปรากฏขึ้นไหม
มุ่งเป้าฝึกฝนให้บรรลุขั้นหนึ่งสูงสุดในเดือนนี้ ถ้าเรามีผู้ฝึกยุทธขั้นหนึ่งสูงสุดถึงสิบคน ฉันคิดว่าเราจะมีโอกาส อัจฉริยะไม่ใช่หัวผักกาด จะมีมากมายขนาดนั้นได้ยังไง?
พวกเขาคุยกันอีกครู่หนึ่งก่อนจะแยกย้ายกันไป
…
วันถัดมา ตอนเที่ยง
ฟางผิงกับจ้าวเสวี่ยเหมยถูกเรียกไปที่โรงฝึก
หลู่เฟิ่งโหรวไม่มีเวลาพูดเรื่องไร้สาระ เธอพูดออกมาตรงๆ ฟางผิง นายสนใจเรียนวิชาขั้นสูงไหม?
ครับ
วิชาขั้นสูงโดยทั่วไปถูกออกแบบเพื่อรองรับผู้ฝึกยุทธขั้นสาม
ผู้ฝึกยุทธขั้นสามจะขัดเกลากระดูกแขนขาทั้งสี่ครบ ช่วงเวลานี้ ความเร็วการขัดเกลากระดูกจะลดลง พวกเขาจะเริ่มเน้นฝึกวิชาต่อสู้ขั้นสูงขึ้น
อย่างไรก็ตาม ตอนนี้มันแตกต่างกัน…
หลู่เฟิ่งโหรวครุ่นคิดเล็กน้อยก่อนจะพูดขึ้นมา วิชาต่อสู้จะขึ้นอยู่กับผู้ใช้ ตอนแรกมันไม่มีการแบ่งระดับ แม้แต่วิชาพื้นฐาน ถ้าอยู่ในมือยอดยุทธ มันก็ไม่ต่างจากวิชาชั้นยอด!
อย่างไรก็ตามไม่มีใครเป็นยอดยุทธ มันก็เหมือนกับปืน มันมีจุดแข็งจุดอ่อนต่างกัน มีปืนที่เหนือกว่าด้อยกว่า สุดท้ายมันก็ถูกพัฒนาขึ้นจนถึงขั้นมีวิชาที่เหนือกว่าด้อยกว่า
ปัจจุบัน นอกจากวิชาพื้นฐาน วิชาที่ทรงพลังกว่าวิชาพื้นฐานเล็กน้อยจะถูกใช้โดยผู้ฝึกยุทธสามขั้นล่าง ตัวอย่างเช่นเท้าทะลวงที่ฉันสอนให้นายครั้งก่อนถือเป็นวิชาระดับมือใหม่
ฟางผิงพูดสอด มันมีเก้าระดับเหมือนผู้ฝึกยุทธเหรอ?
ไม่ใช่
หลู่เฟิ่งโหรวส่ายหน้าและอธิบาย ปัจจุบันมีวิชาต่อสู้เพียงสามขั้นเท่านั้น ขั้นต่ำ ขั้นกลาง ขั้นสูง
เท้าทะลวงเป็นวิชาขั้นต่ำ การฝึกวิชาเท้าทะลวงให้ถึงขั้นสมบูรณ์ก็ไม่ได้อ่อนแอในขั้นเดียวกัน แต่มันยากมาก
วิชาขั้นกลางถูกออกแบบให้รองรับผู้ฝึกยุทธที่ขัดเกลาแขนขาทั้งสี่สำเร็จแล้ว บางครั้งมันก็มีข้อจำกัดบางอย่าง ส่วนใหญ่เป็นข้อจำกัดด้านปราณและเลือดอย่างใช้ปราณและเลือดมหาศาล
อย่างไรก็ตามวิชาขั้นสูงถูกออกแบบให้ผู้ฝึกยุทธขั้นกลาง
แล้วยอดยุทธระดับปรมาจารย์ล่ะ?
ยอดยุทธระดับปรมาจารย์ไม่ได้สนใจระดับวิชา ปรมาจารย์มีเอกลักษณ์ของตัวเอง จะให้พูดก็คือ สิ่งที่ปรมาจารย์ใฝ่หาก็คือการระเบิดจิงชี่เสินทั่วทุกด้าน แทนที่จะเป็นการระเบิดปราณและเลือดอย่างผู้ฝึกยุทธขั้นต่ำและขั้นกลาง
(ผู้แปล : 精气神 จิงชี่เสินคือสามสมบัติของมนุษย์ จิง = เลือด ชี่ = ลมปราณ เสิน = จิตวิญญาณ จิตใจ)
จิงชี่เสิน?
ฟางผิงพอเข้าใจเล็กน้อย เขาถามทันที มันเกี่ยวข้องกับพลังจิต?
หลู่เฟิ่งโหรวหันมามองเขาและพูดอย่างเฉยเมย นายยังอยู่อีกไกล ยังไม่จำเป็นต้องรู้เรื่องพวกนี้
สรุปสั้นๆ พวกนายยังอ่อนแอเกินไป
กรณีของนาย ถ้านายอยากพัฒนาให้ไกลกว่านี้ สิ่งที่นายจำเป็นต้องเรียนคือวิชาขั้นกลาง วิชาเหล่านี้ต้องการระดับปราณและเลือดที่สูง
เหตุผลอย่างหนึ่งก็คือเมื่อนายฝึกฝน มันจะใช้ปราณและเลือดมหาศาล อีกเหตุผลก็คือวิชาต่อสู้ขั้นกลางหลายวิชาเกี่ยวข้องกับการระเบิดกระบวนท่าที่ทรงอานุภาพ
กระบวนท่าแบบนี้ต้องระเบิดปราณและเลือดมหาศาล
ตอนนี้นายมีปราณและเลือด 300 แคลแล้วใช่ไหม?
ใช่ครับ
หลู่เฟิ่งโหรวเคาะโต๊ะครุ่นคิดครู่หนึ่งก่อนจะพูดขึ้นมา นายอยากเรียนวิชาก้าวย่างกับวิชาดาบใช่ไหม?
ผมอยากเรียนวิชาก้าวย่าง ส่วนวิชาดาบไม่สำคัญ ขอแค่ระเบิดพลังรุนแรงและรวดเร็ว ไม่ต้องซับซ้อนมาก
ฉันสอนวิชาก้าวย่างให้ได้ ส่วนวิชาดาบ พรุ่งนี้มาหาฉัน ฉันจะสอนให้
หลังพวกเขาคุยกันเสร็จว่าฟางผิงจะเรียนอะไร หลู่เฟิ่งโหรวก็หันไปมองจ้าวเสวี่ยเหมย เธอยังไม่บรรลุขั้นหนึ่งสูงสุด ขัดเกลากระดูกแค่ 47 ชิ้น เธออาจไม่ช้า แต่เมื่อเทียบกับคนอื่น เธอก็ไม่เร็วเช่นกัน
เธอกล้าลองไหม?
จ้าวเสวี่ยเหมยงุนงง หลู่เฟิ่งโหรวพูดอย่างใจเย็น ลองฝึกฝนโดยใช้ยาปราณและเลือดขั้นสอง ใช้ประโยชน์จากการปะทุและรีบขัดเกลากระดูก!
ขั้นสอง!
ถูกต้อง นี่เป็นวิธีหนึ่งในการเร่งความเร็วขัดเกลากระดูก อย่างไรก็ตามฉันเกรงว่าเธออาจทนไม่ไหว บวกกับมันต้องใช้เงินจำนวนมาก
ปกติแล้วเม็ดยาปราณและเลือดขั้นสองจะมีราคาไม่ต่ำกว่า 7 แสนหยวนต่อเม็ด!
ในมหาลัย มันต้องใช้ถึง 20 คะแนนเพื่อแลกเปลี่ยนมาหนึ่งเม็ด มันมีราคาแพงมาก
เมื่อใช้เม็ดยาปราณและเลือดขั้นสองเพื่อขัดเกลากระดูกของผู้ฝึกยุทธขั้นหนึ่ง ปราณและเลือดของเราจะเพียงพอให้ขัดเกลากระดูกโดยไม่มีปัญหา
เธอยังขาดอีก 15 ชิ้นถึงจะไปถึงขั้นหนึ่งสูงสุด ถ้าเธอฝึกฝนตามปกติ เธอจะไม่บรรลุในหนึ่งเดือน
อย่างไรก็ตามถ้าเธอใช้เม็ดยาปราณและเลือดขั้นสองทุกๆสองวัน เวลาหนึ่งเดือนไม่ได้ไร้ความหวังโดยสิ้นเชิง
ทุกๆสองวันต่อหนึ่งเม็ด?
จ้าวเสวี่ยเหมยหน้าซีดเผือด รวมแล้ว 15 เม็ดต่อเดือน เธอไม่ได้มีคะแนนมากขนาดนั้น ถ้าเธอใช้เงินซื้อ เธอต้องใช้ราว 10 ล้าน
มันจะคุ้มไหม?
แถมมันยังมีความเสี่ยงที่เธอต้องแบกรับอีก!
หลังลังเลชั่วครู่ จ้าวเสวี่ยเหมยก็กัดฟันกรอด อาจารย์ หนูตัดสินใจขัดเกลากระดูกด้วยยาปราณและเลือดขั้นสอง!
งั้นก็มาบ้านฉัน เราจะฝึกกันทุกคืน
เมื่อฟางผิงได้ยินแบบนั้น เขาก็ประทับใจความกล้าหาญของจ้าวเสวี่ยเหมยขึ้นเล็กน้อย…
อย่างไรก็ตามเขาอิจฉามากกว่า!
คนรวยเอ้ย!
เพื่อเร่งให้เป็นขั้นหนึ่งสูงสุด เธอใช้จ่ายเงินหลักสิบล้านโดยสีหน้าไม่เปลี่ยนด้วยซ้ำ ครอบครัวของเธอรวยขนาดไหนกันแน่เนี่ย?
กลายเป็นว่าการขัดเกลากระดูกโกงกันได้…
ฟางผิงครุ่นคิดและรู้สึกว่ามันเป็นเรื่องปกติ ยาปราณและเลือดขั้นสองเติมเต็มปราณและเลือดเร็วมาก หลังเติมเต็มปราณและเลือดปริมาณมาก ผู้ฝึกยุทธจะสามารถใช้ปราณและเลือดได้อย่างต่อเนื่อง จะเพิ่มความเร็วขึ้นก็เป็นเรื่องปกติ
อย่างไรก็ตามเส้นลมปราณจะแบกรับไหวเหรอ?
บางทีอาจต้องใช้เม็ดยาป้องกันอวัยวะภายในเพิ่ม หลังคำนวณค่าใช้จ่ายทุกอย่าง แค่คิดถึงตัวเลข ฟางผิงก็หน้าถอดสีแล้ว
มันหายากมากที่ผู้ฝึกยุทธจะทำแบบนี้ ไม่ใช่ว่าพวกเขาฝึกฝนให้บรรลุขั้นหนึ่งไม่ได้สักหน่อย ไม่จำเป็นต้องสิ้นเปลืองขนาดนั้น การบ่มเพาะเป็นเรื่องระยะยาว ไม่ใช่สิ่งที่จะทำสำเร็จในวันเดียว
เหล่าหวังทำเหมือนกันไหม?
ฟางผิงสงสัยมาก อย่างไรก็ตามเหล่าหวังคนอนาถาคงไม่มีเงินทำแบบนี้หรอกถูกไหม?