เดือนธันวาคม สภาพอากาศเริ่มหนาวเย็น
ทางภาคใต้ยังพอทน แต่ภาคเหนือบางแห่งหิมะเริ่มตกแล้ว
ไม่กี่วันก่อน ที่เมืองสือเหมินที่อยู่ทางตอนเหนือเกิดพายุหิมะลูกใหญ่ด้วยซ้ำ
โลกภายนอกคิดว่าสภาพอากาศผิดปกติ ทางตอนเหนืออากาศหนาวเย็นอยู่ตลอด ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ได้สนใจนัก
อย่างไรก็ตามฟางผิงและคนอื่นๆรู้ว่าสภาพอากาศที่เลวร้ายลงเกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในถ้ำใต้ดิน
…
เขตหอพัก
ณ ที่หลบภัย
(ผู้แปล : เผื่อใครลืม มันเป็นเหมือนฉายาทะเลสาบจำลอง)
ฟางผิงย้ายสถานที่ฝึกฝนมาฝึกที่ที่หลบภัยแทน
จากคำพูดหลู่เฟิ่งโหรว สถานที่แห่งนี้เงียบกว่า แถมอากาศยังสดชื่นกว่า
อย่างไรก็ตามจากความเข้าใจของฟางผิง มันเป็นเพราะอาจารย์เขาไม่ชอบความลำบาก ระยะทางจากเขตหอพักไปโรงฝึกค่อนข้างไกล
ข้างทะเลสาบ
ดาบยาวในมือฟางผิงขยับวูบวาบดุจเงา เขาระเบิดเสียงกู่ร้อง ฟันจากบนลงล่างในคราเดียว!
ปัง!
หินปูนข้างทะเลสาบปรากฏรอยแตกขึ้นมาทันที มันแตกเป็นเสี่ยงๆในพริบตา
เฮ้อ…
ฟางผิงปล่อยลมหายใจออกมายาวๆ ความยินดีปรากฏในแววตาชัดเจน
หลู่เฟิ่งโหรวที่ยืนอยู่ข้างๆขมวดคิ้วเล็กน้อย กลับไปหาหินปูนมาเปลี่ยนซะ นายมาฝึก จะทำลายข้าวของทำไม?
ฟางผิงพลันรู้สึกอับอายขึ้นมา จากนั้นเขาก็พูดขึ้นมาด้วยความตื่นเต้นอีกครั้ง อาจารย์ หินปูนถูกฟันแตก…
ภูมิใจเหรอ?
ไม่ครับ…
แม้ปากเขาจะบอกว่าไม่ แต่เห็นได้ชัดว่าเขาค่อนข้างภูมิใจ
เขาใช้เวลาแค่สามวัน เขาก็ใช้ดาบแรกได้แล้ว
ไว้นายใช้เจ็ดดาบต่อเนื่องในหนึ่งลมหายใจได้ค่อยภูมิใจก็ยังไม่สาย!
หลู่เฟิ่งโหรวปรามเขา จากนั้นเธอก็ชำเลืองมองหินปูนแตกๆและขมวดคิ้วเล็กๆ นายกระจายความแข็งแกร่งได้กระจัดกระจายมาก แค่ฟันหินปูนเป็นสองท่อนได้ นายคิดว่าตัวเองประสบความสำเร็จหน่อยนึงแล้วงั้นเหรอ?
เมื่อกี้ฟางผิงฟันหินปูนแตกเป็นชิ้นๆ แต่มันไม่ใช่การฟัน แต่เป็นการทุบมากกว่า!
สิ้นเสียงคำพูด ฟางผิงก็พลันรู้สึกจนใจ ดาบฟ่งจุ่ยเน้นที่ความรุนแรง…
เหลวไหล ความรุนแรงแปลว่านายไม่ต้องควบคุมความแข็งแกร่งงั้นเหรอ?
หลู่เฟิ่งตำหนิ ขณะที่เธอพูด เธอก็ยื่นมือหยิบดาบฟ่งจุ่ยจากมือฟางผิง เธอชี้ไปที่พื้นและกวัดแกว่งดาบวูบนึง
ฟางผิงมองไม่ทันเลยสักนิด เขาไม่ได้ยินเสียงเหมือนตอนที่เขาฟันหินปูนเมื่อกี้ ทุกอย่างจบลงอย่างเงียบๆ
หลู่เฟิ่งโหรวไม่ได้พูดอะไร หลังแกว่งดาบไปมา เธอก็โยนกลับคืนไปให้ฟางผิง
ฟางผิงไม่สนใจดาบ เขาก้มหน้ามองอย่างเร่งรีบ
เขาเห็นหินปูนชิ้นเล็กๆชิ้นนึงที่เขาฟันเป็นชิ้นๆเมื่อกี้ถูกตัดแบ่งเป็นแปดส่วนเท่าๆกัน
ฟางผิงรีบก้มลงไปหยิบเศษหินเล็กๆมาลูบๆคลำๆ ผิวหินถูกตัดเรียบมาก!
อาจารย์ นี่มัน…
นายเปลี่ยนอาวุธเพราะนายอยากระเบิดพลังให้แรงขึ้น ใช้ความรุนแรงสังหารศัตรู
แต่ความรุนแรงไม่ใช่พลังทื่อๆ!
หลู่เฟิ่งโหรวส่ายหน้า ถ้านายรู้จักแต่ใช้พลังทื่อๆสู้กับคู่ต่อสู้อย่างที่ฉันเห็น นายก็รู้จักแต่ฟันขึ้นลงอย่างไร้จุดหมาย!
ถ้านายเจอคนที่มีปราณและเลือดและวิชาต่อสู้ด้อยกว่า งั้นก็ไม่มีปัญหา
แต่นายจะข่มเหงคนเหล่านี้อย่างเดียวเหรอ?
ทุกครั้งที่นายฟัน พลังของนายจะกระจัดกระจาย นายอาจดูแข็งแกร่งทรงพลัง ฟาดฟันจนง่ามมือฉีกขาด…
แต่ฟาดฟันจนง่ามมือคู่ต่อสู้ฉีกขาดเป็นจุดประสงค์หลักของนายเหรอ?
ฟางผิงครุ่นคิด อาจารย์หมายความว่าพลังงานผมกระจัดกระจายเกินไป ควรมองเหมือนเท้าทะลวง ให้รวมพลังงานไว้จุดเดียว…
นายก็ไม่ได้หมดหนทางเยียวยาหนิ
หลู่เฟิ่งโหรวพูดไปพลางเดินไปพลาง ใช้พลังงานให้น้อยที่สุดเพื่อสังหารศัตรู ประหยัดพลังและปราณและเลือดให้มากที่สุด นี่แหละคือสิ่งที่ผู้ฝึกยุทธควรทำ
แม้แต่วิชาต่อสู้ที่บ้าคลั่งที่สุดก็ยังต้องการจ่ายด้วยราคาที่น้อยที่สุดเพื่อแลกกับความรุนแรงถึงที่สุด!
ดาบคลั่งระเบิดเลือดฟังดูดุร้าย แต่อันที่จริงมันไม่ได้บอกให้นายบ้าคลั่งขาดสติ ย้อนกลับไปอ่านวิธีรวมพลังปล่อยพลังซะ
รอให้นายฝึกจนฟันสามครั้งติดแล้วฟันอาวุธคลาสเอฟขาดในกระบวนท่าเดียว นั่นแหละคือความสำเร็จเล็กน้อย
ฟันสามครั้งฟันอาวุธคลาสเอฟได้?
ฟางผิงรู้สึกยากจะเชื่อ หลู่เฟิ่งโหรวขมวดคิ้ว นี่เป็นวิชาขั้นกลาง เดิมทีมีไว้ให้ผู้ฝึกยุทธขั้นสาม
เมื่อผู้ฝึกยุทธขั้นสามเชี่ยวชาญวิชาต่อสู้ขั้นกลาง พวกเขาไม่ถือว่าอ่อนแอเมื่อเทียบกับขั้นเดียวกัน
ดาบคลั่งระเบิดเลือดไม่ใช่วิชาที่ขายตามแผงลอย ไม่ใช่วิชาที่ปรับปรุงโดยนักศึกษาสาขาการผลิต มันเป็นผลงานชิ้นเอกที่สร้างขึ้นด้วยหัวใจและเลือดเนื้อของปรมาจารย์!
แผงลอยบางแห่งอาจมีวิชาดีๆขาย แต่หลายวิชาเป็นวิชาที่ผู้ฝึกยุทธขั้นต่ำปรับแต่งมาโดยอิงจากวิชาของคนรุ่นก่อนเพื่อสร้างวิชาของตนเอง
อาวุธอัลลอยคลาสดีที่นายถืออยู่มีความสามารถในการรวมพลัง ถ้านายระเบิดพลังฟันสามดาบ การฟันอัลลอยคลาสเอฟไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้แน่นอน!
หลังพูดจบ หลู่เฟิ่งโหรวก็พลันหันมามองเขาด้วยสายตาแปลกๆ อย่าบอกฉันนะว่านายคิดว่าจะบรรลุเจ็ดดาบตั้งแต่ขั้นหนึ่ง?
ครับ?
นายคงไม่ได้คิดจริงๆหรอกใช่ไหม?
ไม่ครับ…
ไม่ว่านายจะคิดหรือไม่คิด แต่นายต้องลบความคิดเหลวไหลแบบนั้นออกไปให้เร็ว! วิชาขั้นกลางถูกออกแบบให้รองรับกับผู้ฝึกยุทธขั้นสาม
เอ่ยถึงก็คือ ผู้ฝึกยุทธขั้นหนึ่งทั่วๆไปมีปราณและเลือดประมาณ 180-250แคล
ผู้ฝึกยุทธขั้นสองมีปราณและเลือด 250-400แคล
ผู้ฝึกยุทธขั้นสามเป็นขั้นที่มีช่องว่างค่อนข้างกว้าง!
ขั้นสามเป็นการขัดเกลากระดูกลำตัว แม้ว่าจะมีเพียง 15 ชิ้น ทว่าแต่ละชิ้นมีขนาดใหญ่โต โดยเฉพาะกระดูกสันหลัง!
หลังขัดเกลากระดูกลำตัวสำเร็จ ระบบโครงกระดูกมนุษย์จะสร้างการหมุนเวียนสมบูรณ์ขึ้นมา ส่วนกะโหลกไม่จำเป็นต้องอยู่ในระบบหมุนเวียน
ดังนั้นทุกครั้งที่กระดูกลำตัวถูกขัดเกลา และทุกครั้งที่ขัดเกลากระดูกแต่ละชิ้นเสร็จ มันจึงหมายความว่าปราณและเลือดพุ่งสูงขึ้น เมื่อระบบเชื่อมต่อกัน มันจะแปลว่าเราจะบรรลุระดับต่อไป!
ที่ขั้นสาม ปราณและเลือดของผู้ฝึกยุทธจะมีตั้งแต่ 400แคลจนถึงสูงสุด 1000แคล นายเข้าใจไหมว่าฉันหมายถึงอะไร?
ฟางผิงอึ้งนิดๆ ผู้ฝึกยุทธขั้นสามปราณและเลือดเพิ่มขึ้นถึงหลักพันเลย?
มันต่างกันไปแต่ละบุคคล 1000แคลคือตัวเลขสูงสุด หรือควรบอกว่า 999แคลคือสูงสุดมากกว่า คนที่ขัดเกลาสองครั้งก็เช่นกัน…
ฟางผิงช็อคยิ่งขึ้น เขาตอบทันที อาจารย์จะบอกว่าที่ขั้นสาม ไม่ว่าจะขัดเกลาสองครั้งสามครั้ง ปราณและเลือดก็จำกัดที่ 999แคลเหรอ?
ไม่เลว ถูกต้อง อย่างที่ฉันบอก มันจะต่างกันออกไปแต่ละบุคคล ในขั้นนี้ มีน้อยคนที่ไปทดสอบปราณและเลือด ไม่ว่าจะมีคนทำเกินขีดจำกัดไหม แต่ถ้าพวกเขาไม่บอกก็ไม่มีใครรู้
หลู่เฟิ่งโหรวอธิบาย จากนั้นก็พูดต่อ นี่เป็นแค่หัวข้อย่อย ที่ฉันจะสื่อคือ วิชาขั้นกลางรองรับผู้ฝึกยุทธขั้นสาม หรือบางทีผู้ฝึกยุทธขั้นสองสูงสุดอาจฝึกได้
ทำไมงั้นเหรอ?
เพราะขีดจำกัดปราณและเลือด!
ทุกกระบวนท่าของวิชาดาบคลั่งระเบิดเลือด ปราณและเลือดต้องระเบิดประมาณ 100แคลเพื่อให้ได้พลังสูงสุด นายคิดว่านายทำได้ไหม?
กระบวนท่าที่นายใช้เมื่อกี้ระเบิดปราณและเลือดน้อยกว่า 20แคลเสียอีก มันถือเป็นวิชาดาบคลั่งระเบิดเลือดรุ่นที่ด้อยกว่า
ต่อให้นายสำเร็จระเบิดเจ็ดดาบ มันก็แค่ดูน่าสนใจ แต่มันไม่ใช่รุ่นสมบูรณ์
ความแข็งแกร่งระดับนาย นายไม่จำเป็นต้องหาวิชามากไป นายควรฝึกให้เชี่ยวชาญมากกว่า
ทุกครั้งที่นายฟัน นายใช้ปราณและเลือดได้หลายร้อยแคล ถ้าทำได้ ผู้ฝึกยุทธขั้นหนึ่งขั้นสองเกือบทุกคนจะถูกสังหารภายใต้คมดาบของนาย นายเข้าใจใช่ไหม?
แน่นอนฟางผิงย่อมเข้าใจ
ปกติแล้วเมื่อพวกเขาประลองกัน ปราณและเลือดของพวกเขาไม่ได้ใช้จนหมดในครั้งเดียว กลับกันวิชาและกระบวนที่ใช้ทุกครั้งจะกินปราณและเลือด
อย่างฟางผิง เมื่อเขาใช้เท้าทะลวงเต็มแรง อย่างมากเขาก็ใช้ปราณและเลือดราวๆ 10แคล และนั่นถือเป็นกรณีพิเศษ
ภายใต้สถานการณ์ปกติ ถ้าเขาระเบิดพลังเต็มความสามารถและใช้เท้าทะลวง เขาใช้ปราณและเลือดแค่ 5-6แคลเท่านั้น
ดังนั้นถ้าฟางผิงใช้เท้าทะลวง เขามีปราณและเลือดสูงกว่า 300แคล เขาจะระเบิดพลังเตะต่อเนื่องได้ถึง 40-50 ครั้งหากเขาไม่โกง
ร่างกายมนุษย์จำเป็นต้องรักษาปริมาณปราณและเลือดให้เป็นปกติ เมื่อปราณและเลือดเหลือน้อยกว่า 100แคล ร่างกายจะอ่อนแอลง
สำหรับฟางผิงที่มีปราณและเลือดกว่า 300แคล ปริมาณปราณและเลือดที่ฟางผิงใช้ได้จะอยู่ที่ 200แคลหรือมากกว่าเท่านั้น
เหมือนกับดาบเมื่อกี้ ปริมาณปราณและเลือดที่ฟางผิงใช้ไปนั้นไม่ใช่น้อย มันเกือบ 20แคลเลยทีเดียว
ด้วยดาบนั้น เขาจะลงดาบอีกหลายสิบครั้งก็ไม่มีปัญหาเลย
ถ้าจะออกกระบวนท่าต่อ เขาจำเป็นต้องฟื้นฟูปราณและเลือด
ใช้วิชาดาบคลั่งระเบิดเลือดด้วยปราณและเลือด 20แคลกับ 100แคลจะเหมือนกันไหม? ไม่เหมือนแน่นอน
นี่ไม่ใช่ปัญหาของปราณและเลือดเพียงอย่างเดียว มีข้อจำกัดกระทั่งกระดูก เส้นลมปราณและความทนทานการระเบิดของเนื้อหนัง
ผู้ฝึกยุทธขั้นสามมีปราณและเลือดสูง ดังนั้นพวกเขาจึงสามารถลงดาบต่อเนื่อง 5-7 ดาบ
นายทำไม่ได้ ในกรณีของนาย อย่างที่ฉันบอกไป มันอาจเป็นไปได้ที่นายจะลงดาบต่อเนื่อง 7 ดาบ ถ้าหมายถึงกระบวนท่าดึงดูดความสนใจน่ะนะ ถ้านายใช้ท่าฟันต่อเนื่องเจ็ดดาบที่แท้จริง ปราณและเลือดของนายจะหมดทันที พอปราณและเลือดหมด นายรู้ไหมว่าเกิดอะไรขึ้น?
ฟางผิงส่ายหน้า
เมื่อปราณและเลือดหมด นายคิดว่าจะเกิดอะไรขึ้นได้อีก? มันมี่! ดังนั้นนายเลิกคิดไปได้เลย
(ผู้แปล : น่าจะเป็นเหมือนร่างกายเหี่ยวแห้ง)
วันหนึ่งเมื่อนายใช้วิชาและระเบิดปราณและเลือดได้ถึง 50แคล นายอาจลงดาบต่อเนื่องได้ 3-4 ดาบ
การฟันอาวุธคลาสเอฟไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้
หลู่เฟิ่งโหรวไม่เคยพูดเรื่องพวกนี้ อันที่จริงไม่มีใครสนใจจะพูดสักคน
พวกเขาเป็นผู้ฝึกยุทธขั้นหนึ่ง พวกเขายังไปไม่ถึงขั้นนั้น
ไม่ว่าจะเป็นวิชาพื้นฐานหรือวิชาขั้นต่ำก็ไม่ถึงขีดจำกัดผู้ฝึกยุทธขั้นหนึ่ง ต่อให้ฝึกวิชาหนักแค่ไหนก็ไม่มีวันผลาญปราณและเลือดจนหมด
กระนั้น วิชาขั้นกลางนั้นยังเป็นไปได้
ถ้ามีอัจฉริยะขั้นหนึ่งที่ฝึกวิชาดาบคลั่งระเบิดเลือดจนเกือบสมบูรณ์ หลังใช้ปราณและเลือดหลักร้อยแคลในทุกการโจมตี ไม่มีใครอยู่รอดได้หลังฟันไปสามดาบ
ครั้งนี้ฟางผิงเข้าใจแล้วว่าทำไมถึงมีข้อกำหนดค่อนข้างเข้มงวดเพื่อฝึกฝนวิชาขั้นกลาง เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดอุบัติเหตุขึ้นนี่เอง
มีสองสิ่งที่นายควรทำตอนนี้!
หนึ่งคือเรียนรู้วิธีควบคุมพลัง อย่าให้พลังกระจัดกระจาย
สองเรียนรู้วิธีระเบิดปราณและเลือดให้สูงขึ้น ถ้าระเบิดปราณและเลือดได้สูงขึ้น พลังก็จะเพิ่มขึ้น
ไม่งั้นต่อให้นายฝึกเจ็ดดาบต่อเนื่อง ทุกดาบก็ใช้พลังแค่ 5-6แคล มันจะไปมีความหมายอะไร?
กระบวนท่าขึ้นอยู่กับผู้ใช้ นี่เป็นความหมายของทฤษฎี
หลังพยักหน้าหงึกๆ ฟางผิงก็ถามอีกครั้ง อาจารย์ ถ้าเป็นแบบนั้น ความรุนแรงของกระบวนท่าจะเกี่ยวข้องกับการระเบิดปราณและเลือดของทุกกระบวนท่า นั่นหมายความว่าผู้ฝึกยุทธขั้นสองสามารถสังหารผู้ฝึกยุทธขั้นสามได้เหรอ?
ถ้าผู้ฝึกยุทธขั้นสามเทียบไม่ได้กับผู้ฝึกยุทธขั้นหนึ่งที่ออกกระบวนท่าด้วยการระเบิดปราณและเลือดหลายร้อยแคล งั้น…
หลู่เฟิ่งโหรวตอบเป็นเชิงดูถูก ก็ปกติไม่ใช่เหรอ? ถ้านายชักนำผู้ฝึกยุทธขั้นสามที่มีดีแต่ปราณและเลือดแล้วจัดการสังหารในกระบวนท่าเดียว มันแปลกตรงไหน?
อย่าตัดสินคนแค่ขั้นพลังอย่างเดียว!
รัฐบาลกำลังหารือนโยบายเพื่อกำหนดขั้นกันใหม่ พวกเขากำลังหารือกันว่าจะกำหนดขั้นพลังโดยอาศัยการระเบิดพลังและความอดทนดีไหม
ผมเข้าใจ
หลู่เฟิ่งโหรวเริ่มพูดถึงแนวคิดอื่น ในสายตาของผู้ฝึกยุทธสายต่อสู้ ผู้ฝึกยุทธที่แท้จริงกล่าวกันว่า ถ้าควบคุมปราณและเลือดได้อย่างแท้จริง ทุกกระบวนท่าจะสามารถระเบิดปราณและเลือดได้หนึ่งในสิบของปริมาณที่มีในปัจจุบัน
นายมีปราณและเลือด 300แคล นายจะระเบิดกระบวนท่ารุนแรงถึง 30แคล นี่จะเป็นตอนที่นายเชี่ยวชาญการใช้ปราณและเลือดอย่างแท้จริง
ถ้านายระเบิดกระบวนท่าได้ถึงหนึ่งในห้าของปราณและเลือดที่มีปัจจุบัน เราจะเรียกกระบวนท่าแบบนี้ว่ากระบวนท่าร้ายแรง
ถ้านายบรรลุถึงขั้นหนึ่งในสามหรือหนึ่งในสอง เราจะเรียกมันว่ากระบวนท่าไม้ตาย!
ถ้าเป็นแบบนั้น…
หลู่เฟิ่งโหรวขัดจังหวะก่อนที่ฟางผิงจะเอย่ถาม ถ้านายบรรลุถึงขั้นระเบิดปราณและเลือดทั้งหมด เราจะเรียกมันว่ากระบวนท่าแลกตาย เมื่อนายระเบิดปราณและเลือดจนหมด นายก็จะตายด้วยเหมือนกัน!
แค่ก แค่ก แค่ก…
ฟางผิงไอแห้ง มันมีเหตุผลมากจนแทบปฏิเสธไม่ได้
ถ้านายฝึกวิชาดาบคลั่งระเบิดเลือดได้จนระเบิดปราณและเลือดได้ร้อยแคลในหนึ่งดาบ มันก็แปลว่านายสำเร็จกระบวนท่าไม้ตายแล้ว ทฤษฎีกระบวนท่าร้ายแรงและกระบวนท่าไม้ตายไม่เกี่ยวกับเคล็ดบ่มเพาะ มันขึ้นอยู่กับความสามารถในการควบคุมแทน นายเข้าใจไหม?
ฟางผิงพยักหน้าอีกครั้ง!
นี่ก็หมายความว่าวิชาต่อสู้ทุกวิชาเทียบเท่ากับกระบวนท่าร้ายแรงและกระบวนท่าไม้ตาย ทั้งหมดขึ้นอยู่กับความสามารถในการควบคุม
ถ้าฟางผิงฝึกวิชาพื้นฐานไปจนถึงขั้นนั้น งั้นวิชาพื้นฐานก็เป็นกระบวนท่าไม้ตายเช่นกัน!
หลังคิดอยู่ครู่หนึ่ง ฟางผิงก็ฉวยโอกาสนี้ถามอีกครั้ง ผมดูจัดอันดับสามขั้นล่างแล้ว ผู้ฝึกยุทธสามขั้นล่างที่ติดอันดับรายชื่อมีกระบวนท่าไม้ตายไหม?
ไม่จำเป็นเสมอไป ฝึกกระบวนท่าไม้ตายให้สำเร็จไม่ใช่เรื่องง่าย แต่หวังจินหยางชายคนนั้นทำสำเร็จ เขาจึงมั่นใจว่าไร้พ่ายในขั้นเดียวกัน!
สามสิบคนแรกควรมีกระบวนท่าไม้ตาย
แต่อันดับหลังจากนั้นไม่น่าเป็นไปได้
ฟางผิงแววตาเปล่งประกาย อาจารย์ ถ้าผมฝึกกระบวนท่าไม้ตายสำเร็จ มันก็แปลว่าผมจะไร้พ่ายในขั้นเดียวกันเหรอ?
แน่นอน!
ครั้งนี้หลู่เฟิ่งโหรวไม่มีความตั้งใจจะโต้แย้ง เธอยิ้ม ปราณและเลือดของนายสูงกว่าคนอื่นเสมอ ละกระบวนท่าไม้ตายไว้ก่อน เมื่อนายฝึกกระบวนท่าร้ายแรง บรรลุระเบิดปราณและเลือด 60แคลทุกกระบวนท่า งั้นขั้นหนึ่งก็ไม่มีใครต้านนายได้แล้ว
ไม่ใช่แค่ขั้นหนึ่ง แม้แต่ขั้นสองสูงสุด พวกโง่ที่ควบคุมปราณและเลือดไม่ได้ก็เทียบกับนายไม่ได้!
ขั้นสองสูงสุด ขั้นสองสูงสุดทั่วไปมีปราณและเลือดประมาณ 400แคลเท่านั้น พวกเขาควบคุมปราณและเลือดไม่ได้ก็แปลว่าการระเบิดพลังของพวกเขาเทียบไม่ได้กับฟางผิง
มีความเป็นไปได้สูงที่ผู้ฝึกยุทธขั้นสองสูงสุดแบบนี้จะถูกฟางผิงสังหารในการประลอง
นี่ขึ้นอยู่กับว่าฟางผิงควบคุมพลังได้อย่างสมบูรณ์แลระเบิดพลังได้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น
อย่าลืมฝึกย่ำเมฆาด้วย ต่อให้ระเบิดพลังได้แข็งแกร่งที่สุดได้ก็ไร้ประโยชน์หากไล่ตามศัตรูไม่ทัน
นายอาจบรรลุระเบิดปราณและเลือด 100แคลในหนึ่งกระบวนท่า แต่ถ้าอีกฝ่ายหลบได้ งั้นนายก็จะเป็นคนตายแทน เมื่อปราณและเลือดนายหมด นายก็ทำได้แต่ให้อีกฝ่ายจัดการตามใจชอบ!
หลู่เฟิ่งโหรวอาจจะแค่สอนตามปกติ แต่แววตาฟางผิงเปล่งประกายอีกครั้ง!
บางทีครั้งหน้าฉันอาจลอบโจมตีคู่ต่อสู้ได้นะ?
แสร้งทำเป็นตามไม่ทัน ปราณและเลือดหมด เมื่ออีกฝ่ายโจมตีกลับ ปราณและเลือดของฉันก็จะฟื้นฟูอย่างฉับพลัน จากนั้นฉันก็จะลอบโจมตีสังหารอีกฝ่าย!
ฟางผิงคิดว่าเขาจำเป็นต้องใช้ประโยชน์การทำงานของระบบให้ลึกยิ่งขึ้น
ปราณและเลือดสามารถฟื้นฟูได้อย่างรวดเร็ว เขาไม่ควรใช้มันเรียบง่ายอย่างประหยัดยาปราณและเลือด
อันที่จริงฟางผิงเคยใช้ลูกไม้นี้ลอบโจมตีคู่ต่อสู้มาหลายครั้งแล้ว
วันนี้ไม่เพียงแต่เขาจะเชี่ยวชาญกระบวนท่าแรกของวิชาดาบคลั่งระเบิดเลือดเท่านั้น ฟางผิงยังรู้สึกได้รับประโยชน์มากมาย บางครั้งเขาก็ตามืดบอดมองภาพใหญ่ขึ้นไม่ออก การมีคนมาชี้แนะเขาเป็นประโยชน์มากกว่าการครุ่นคิดเองเป็นปีเสียอีก
งั้นฉันก็มีกระบวนท่าร้ายแรงและกระบวนท่าไม้ตายแล้ว…ถ้าฉันฝึกกระบวนท่าไม้ตายสำเร็จ ฉันจะไม่ฟันขั้นหนึ่งขั้นสองเป็นสองท่อนเลยงั้นเหรอ?
เว้นแต่ว่าพวกเขาจะเชี่ยวชาญกระบวนท่าไม้ตายเหมือนกัน กระนั้นหลังระเบิดพลังครั้งแรก พวกเขาก็จะถึงขีดจำกัด กระบวนท่าถัดไปก็จะสังหารได้ ถ้าร่างกายฉันรับไหว ฉันจะไม่มีขีดจำกัดจำนวนการระเบิดพลัง…
ยิ่งเขาคิด ฟางผิงก็ยิ่งตื่นเต้น
หลู่เฟิ่งโหรวชำเลืองมองเขา เผยรอยยิ้มออกมาแต่ก็ไม่ได้พูดอะไร
ปราณและเลือดของฟางผิงฟื้นฟูเร็วมาก นี่เป็นสิ่งที่เธอรู้เช่นกัน
ที่มาบอกเขาในวันนี้เป็นการสร้างแรงจูงใจให้ฟางผิง กระตุ้นให้เขาใช้ประโยชน์จากข้อดีของตนเอง
งานประลองไม่ใช่ประเด็นหลัก
ในงานประลอง มีน้อยคนที่จะเอาชนะฟางผิงได้ ถ้าฟางผิงต้องเชี่ยวชาญวิชาดาบจริงๆ เขาไม่จำเป็นต้องถึงขั้นกระบวนท่าร้ายแรง ขอแค่เขาควบคุมพลังได้ ก็มีไม่กี่คนแล้วที่จะเทียบเคียงเขาได้