ท่ามกลางอารมณ์หลากหลายของผู้ชม สมาชิกคนสุดท้ายของพันธมิตรมหาลัยวิชายุทธก็ก้าวขึ้นบนเวที
เฉินเจียเซิง ผู้ฝึกยุทธขั้นสอง นักศึกษาปีหนึ่งมหาลัยวิชายุทธตงหลิน
…
บนชั้นสอง
จ้าวเสวี่ยเหมยสีหน้าดูซับซ้อนเล็กน้อย เขาเป็นคนที่ทำคะแนนสอบได้สูงสุดในมณฑลตงหลิน
จากนั้นฟางผิงก็นึกได้ว่าจ้าวเสวี่ยเหมยเป็นผู้ทำคะแนนสอบได้สูงสุดเป็นอันดับสามของมณฑลตงหลิน
เธอรู้จักเขาเหรอ?
ฉันเคยเจอเขาครั้งนึง มหาลัยวิชายุทธตงหลินเคยทาบทามผู้สมัครสอบวิชายุทธ อยากให้เราอยู่มณฑลตงหลินต่อ
ตอนนั้น ฉันคิดจะเข้าสองมหาลัยดัง ฉันเลยไม่ได้ตอบตกลง
แถมฉันยังเจอเฉินเจียเซิงด้วย เขา…เขาอยากให้เราอยู่ตงหลิน อยากให้คนตงหลินใช้พลังและเลือดเนื้อเพื่อช่วยเหลือตงหลิน
ตอนนั้นฉันไม่เข้าใจ…ตอนนี้ ฉันคิดว่าฉันพอเข้าใจบ้างแล้ว เขาอาจรู้เรื่องถ้ำใต้ดินล่วงหน้ามาก่อน…
มันมีทางเข้าถ้ำใต้ดินอยู่ที่ตงหลิน
ฟางผิงไม่ได้ถามอะไรอีก ถ้าจ้าวเสวี่ยเหมยพูดความจริง งั้นเฉินเจียเซิงก็ไม่ได้รั้งอยู่ที่มหาลัยวิชายุทธตงหลินเพียงเพราะเหตุผลเรียบง่ายอย่างการได้รับสิทธิพิเศษ
…
บนเวที
เฉินเจียเซิงก้าวขึ้นบนเวทีด้วยสีหน้าราบเรียบ ในมือถือดาบโค้ง
ก่อนที่ฟางผิงจะได้พิจารณาตัวดาบ เขาก็ได้ยินคนพูดขึ้นมาเบาๆ อู๋โกว?
(ผู้แปล : เป็นดาบที่มีปลายดาบโค้งรูปร่างคล้ายตะขอ (คล้ายตัว J) ความหมาย : อู๋ = แซ่อู๋ โกว = ตะขอ)
อู๋โกว? มีคนพูดซ้ำขึ้นมาก่อนจะพูดขึ้นมาฉับพลัน ตระกูลเฉินแห่งตงหลิน?
เป็นตระกูลเฉินนั่นแหละ สิบสองปีก่อน…ตอนนี้สิบสามปีแล้วสิ ปรมาจารย์เฉินเสียชีวิตในปี 1996 ก่อนเขาเสียชีวิต ตระกูลเฉินมีผู้สืบทอดเพียงคนเดียว…
มีคนหันมามองสองปรมาจารย์ของพันธมิตรมหาลัยวิชายุทธอย่างอดไม่ได้ เขาพูดขึ้นมา เขาเป็นลูกหลานคนสุดท้ายของตระกูลเฉิน?
ใช่ เขาคือลูกหลานคนสุดท้ายของตระกูลเฉิน! ปรมาจารย์พันธมิตรมหาลัยวิชายุทธกล่าวเสียงขรึม
ไยลูกผู้ชายไม่จับดาบ(อู๋โกว) รวมกวนซานทั้งห้าสิบรัฐ…ตระกูลเฉิน…
(ผู้แปล : เป็นส่วนหนึ่งของกวี)
เขาพูดขึ้นมาเบาๆด้วยแววตาซับซ้อน
อู๋โกวของตระกูลเฉินเป็นสัญลักษณ์แห่งชื่อเสียงของปู่เฉินเจียเซิง!
ตระกูลเฉินใช้ดาบอู๋โกวมาหลายรุ่น แถมทุกคนยังล้วนเป็นผู้ที่น่าเคารพนับถือ
ช่วงถ้ำใต้ดินเกิดความโกลาหลในปี 1996 ตระกูลเฉินมีสมาชิกในตระกูล 18 คน นอกจากเฉินเจียเซิงที่ยังเด็ก ปรมาจารย์เฉินผู้เฒ่ารีบพาทั้งครอบครัวเข้าไปถ้ำใต้ดิน
ในการต่อสู้ครั้งนั้น สมาชิกทั้ง 17 คนของตระกูลเฉินร่วงหล่น
นับตั้งแต่มีถ้ำใต้ดินปรากฏ มีผู้ฝึกยุทธที่น่าชื่นชมมากมายหลายท่าน แถมหลายท่านยังเสียชีวิตไปอย่างไม่เห็นแก่ตัวและไม่มีใครรับรู้!
เมื่อได้ยินแบบนั้น ฟางผิงพลันเกิดความรู้สึกไม่สบายใจขึ้นมาเล็กน้อย
ถ้ำใต้ดิน…
เขาไม่เคยไปถ้ำใต้ดินมาก่อน ได้ยินผ่านหูมาอย่างเดียว เขาไม่มีความรู้สึกส่วนตัว และไม่รู้ว่าสิ่งใดที่ทำให้มนุษย์บาดเจ็บล้มตาย
อย่างไรก็ตามหลังได้ยินว่าเฉินเจียเซิงสูญเสียทั้งตระกูลเพราะถ้ำใต้ดิน ฟางผิงก็รู้สึกขัดแย้งเกินกว่าจะเอ่ยออกมาเป็นคำพูด
นี่คือความหมายของการเป็นผู้ฝึกยุทธงั้นเหรอ?
การประลองวันนี้ไม่ได้สู้เพื่อผลประโยชน์ส่วนตนหรือเพื่อชื่อเสียง แต่เพื่อให้ได้ทรัพยากรฝึกฝนเพิ่มมากขึ้น เพื่อให้ทางเข้าถ้ำใต้ดินอย่างตงหลินปลอดภัยขึ้น?
บางทีมันอาจเป็นความตั้งใจของเฉินเจียเซิงด้วย?
ฟางผิงไม่มั่นใจว่าเขาคาดเดาได้ถูกต้องไหม แต่เขาค่อนข้างเชื่อความคิดนี้
ผู้ฝึกยุทธของพันธมิตรมหาลัยวิชายุทธล้วนต่อสู้จนตัวตาย บางทีพวกเขาอาจรู้สึกถึงความโศกเศร้าของผู้อ่อนแอเช่นกัน เพราะงั้นพวกเขาจึงต่อสู้จนชีวิตแขวนอยู่บนเส้นด้าย
ไม่เช่นนั้น พวกเขาต้องทำถึงขนาดนี้เลยเหรอ?
ท่ามกลางเสียงคุยกันเบาๆของผู้คน หนึ่งในยอดยุทธของจิงอู่พูดขึ้นมาอย่างเฉยเมย ตระกูลเฉินคู่ควรแก่การเคารพ แต่สำหรับจิงอู่ นับตั้งแต่มหาลัยถูกก่อตั้งขึ้น ปรมาจารย์ของเรา 14 ท่านได้ต่อสู้จนสิ้นลมหายใจ!
ความกล้าที่จะต่อสู้ ความสามารถในการต่อสู้ ไม่เคยหลีกหนีสงคราม นี่แหละคือจิงอู่ของเรา!
พวกเราไม่ได้ใช้ทรัพยากรอย่างสูญเปล่า พวกเราไม่ได้เป็นหนี้ใคร การประลองครั้งนี้ไม่ใช่เรื่องถูกผิด!
ปรมาจารย์พันธมิตรมหาลัยวิชายุทธยิ้มบางๆเช่นกัน แน่นอน เพราะงั้นเราถึงไม่ใช้ผลงานใครมาต่อรอง เฉินเจียเซิงได้ตำแหน่งทีมตัวจริงก็เพราะความแข็งแกร่ง ไม่ใช่เพราะตระกูลเฉิน!
คำพูดของปรมาจารย์ทำให้คนหนุ่มสาวรู้สึกสะเทือนใจ ฟางผิงไม่รู้เหมือนกันว่ามันเป็นความเศร้าเสียใจหรือความชื่นชม
เวลานี้ คนอื่นๆที่เหลือบนชั้นสองไม่มีใครส่งเสียงออกมา
ตลอดหลายปีมานี้ มีปรมาจารย์เสียชีวิตไปน้อยนิดงั้นเหรอ?
…
พันธมิตรมหาลัยวิชายุทธ เฉินเจียเซิง!
มหาลัยวิชายุทธปักกิ่ง จางเจิ้งกวง!
จางเจิ้งกวงที่พึ่งหักแขนเหลียงเว่ยเย่า เวลานี้ก็ดูเคร่งขรึมเช่นกัน การประลองนัดนี้ อีกฝ่ายเป็นผู้ฝึกยุทธขั้นสอง!
แม้ว่าซุนหมิงยวี่ ขั้นสองคนแรกจะพ่ายแพ้ให้กับหานซวี่ที่เป็นผู้ฝึกยุทธขั้นหนึ่งสูงสุด แต่ซุนหมิงยวี่ก็แสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งของผู้ฝึกยุทธขั้นสองเช่นกัน หากไม่ใช่เพราะซุนหมิงยวี่สร้างความเสียหายให้อย่างหนัก หานซวี่คงไม่ถูกไป๋อิ่นเล่นงานง่ายๆหรอก
ทั้งสองคำนับให้แก่กัน เวลาถัดมาเฉินเจียเซิงดีดตัวเหมือนฟ้าแลบ จู่ๆดาบอู๋โกวก็แบ่งครึ่งกลายเป็นดาบคู่!
เฉินเจียเซิงไม่มีเจตนาปกปิดว่า ความจริงดาบอู๋โกวตระกูลเฉินเป็นดาบคู่!
ไม่มีรับ มีแต่รุก!
ดาบสองเล่มแหวกอากาศดังหวีดหวิว!
จางเจิ้งกวงไม่ได้สู้กลับ ถึงเขาไม่มีอาวุธ เขาก็ไม่ได้หวั่นเกรง ขณะที่เฉินเจียเซิงพุ่งตัวไปข้างหน้า เท้าจางเจิ้งกวงก็เหยียบพื้นอย่างแรง!
ขากางเกงของของจางเจิ้งกวงระเบิดเป็นชิ้นๆ เขาถีบพื้น พุ่งตรงเข้าไปในรัศมีดาบ!
จางเจิ้งกวงเคลื่อนกายอย่างรวดเร็ว เขาพบช่องว่างระหว่างดาบสองเล่มในพริบตา มือทั้งสองพลันยื่นเข้าไปในช่องว่างนั้นและจับข้อมือขวาของเฉินเจียเซิง
วิชาปล้ำเหวี่ยง…
หลิวหัวหรงพูดขึ้นมาเบาๆ จากนั้นเขาก็รีบอธิบาย นี่เป็นวิชาต่อสู้ที่วิวัฒนาการมาจากกองทัพ ดูเหมือนจางเจิ้งกวงจะไม่ได้รู้จักแต่ใช้วิธีอ่อนพิชิตแข็ง…
เมื่อมันแข็งมากไป จางเจิ้งกวงก็ทำได้แต่ใช้ความแข็งที่เทียบเท่ากัน
เขาไม่ใช่หานซวี่ เขาไม่สามารถผลาญปราณและเลือดได้มากเท่าเฉินเจียเซิง เขาอาจผลาญปราณและเลือดอีกฝ่ายได้ไม่มากด้วยซ้ำ
ในกรณีนี้ เขาเลือกสู้อย่างหักโหมเลยดีกว่า ต่อให้เขาแพ้ เฉินเจียเซิงก็ไม่ได้สบาย
ก่อนที่หลิวหัวหรงจะทันได้พูด เฉินเจียเซิงก็ควงดาบหมายฟันมือจางเจิ้งกวงแล้ว!
จางเจิ้งกวงบิดแขน จับมือขวาเฉินเจียเซิง พยายามจับเขาทุ่มไหล่!
เฉินเจียเซิงไม่ขยับ เขาส่งเสียงกู่ร้อง เท้าขวากระแทกพื้น เวทีสั่นสะเทือน!
…
แข็งแกร่งมาก!
ฟางผิงดูเคร่งขรึมเล็กน้อย เฉินเจียเซิงขัดเกลากระดูกแขนแล้ว แต่ส่วนขาก็มั่นคงดุจภูผา มันไม่ได้เป็นผลมาจากการขัดเกลากระดูกขา แต่เป็นความแข็งแกร่งของจวงกง
มันเป็นจวงกงขั้นหนักแน่นระดับสูงสุด!
นี่เป็นการตัดสินของฟางผิง บางที…มันอาจเป็นขั้นว่างเปล่าด้วยซ้ำ
หลังตัดสินว่าเฉินเจียเซิงยังไม่ได้ขัดเกลากระดูกขา จางเจิ้งกวงก็ตัดสินใจต่อสู้ระยะประชิด แต่เขาตัดสินล้มเหลวจนทำให้ตนเองตกอยู่ในอันตรายในทันที
ถ้าเฉินเจียเซิงไม่ถูกเหวี่ยง จางเจิ้งกวงต้องจ่ายค่าตอบแทน
ความเร็วการควงดาบเร็วมาก จางเจิ้งกวงไม่มีทางเหวี่ยงเขาลอยได้ วินาทีต่อมาดาบอู๋โกวก็ได้ดื่มเลือดที่แขนจางเจิ้งกวง แขนเสื้อเขาถูกตัดเป็นชิ้นๆทันที ล่วงลงกับพื้น ย้อมเป็นสีเลือดแดงฉาน
หลังโจมตีไม่สำเร็จ จางเจิ้งกวงก็ตระหนักได้ว่าเขาคงเอาชนะไม่ได้ถ้าเผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้ต่อ เขาจึงเลือกก่อกวนอีกฝ่ายแทน
จากนั้น การลงมือของเฉินเจียเซิงก็ดึงดูดความสนใจของทุกคนอีกครั้ง
เฉินเจียเซิงขว้างดาบคู่ที่กำลังถืออยู่!
เขาเก็บไว้เล่มนึงกับตัว และขว้างดาบอีกเล่ม!
ดาบอู๋โกวหมุนคว้างกลางอากาศ ขณะที่เฉินเจียเซิงเข้าประชิดตัว จู่โจมจางเจิ้งกวงจากด้านหลัง
บูมเมอแรง?
ฉันว่ามันเป็นกิโยติน(เสวี่ยตี้จื่อ)
(ผู้แปล : เป็นอาวุธระยะไกลในตำนานที่ถูกใช้ในสมัยจักรพรรดิยงเจิ้งราชวงศ์ชิง)
มันป้องกันได้ยาก นี่เป็นการใช้ดาบคู่ที่ถูกต้องงั้นเหรอ?
ส่วนสำคัญคือพลังควบคุมที่แข็งแกร่งและใช้กำลังอย่างเหมาะสม มันไม่ง่ายอย่างที่เห็น…
ผู้ร่วมประลองที่อยู่บนชั้นสองกระซิบกระซาบกัน เวลานี้ความพ่ายแพ้ของจางเจิ้งกวงเป็นที่แน่นอนแล้ว ตอนนี้มันขึ้นอยู่กับว่าเขาทำให้เฉินเจียเซิงต้องใช้ปราณและเลือดได้มากแค่ไหน
จิงอู่ยังเหลือคนอีกสามคน ต่อให้จางเจิ้งกวงแพ้ แต่อีกสองคนต่อจากเขาก็ไม่ได้อ่อนแอ แม้แต่เฉินเจียเซิงก็ชนะประลองสามรอบติดได้อย่างยากลำบาก
ผลลัพธ์ไม่ได้เหนือความคาดหมาย สามนาทีต่อมา จางเจิ้งกวงก็ถูกโจมตีจากทั่วทุกทิศทางจนรับไม่ไหว ขาซ้ายถูกดาบอู๋โกวเกี่ยวใส่จนชิ้นเนื้อหลุดออกมา เป็นบาดแผลเหวอะหวะ ต้องถอนตัวออกจากเวทีประลองไปรักษา
…
เมื่อถึงการประลองรอบเจ็ด ผู้ชมก็ตระหนักว่ากลยุทธ์ของจิงอู่เปลี่ยนไป
ลากถ่วง!
ผู้ฝึกยุทธคนที่สี่ของจิงอู่ก้าวขึ้นบนเวที เขาขัดเกลากระดูกขา จวงกงอยู่ขั้นหนักแน่นและฝึกวิชาก้าวย่าง
เขาไม่เผชิญหน้ากับเฉินเจียเซิง ไม่ได้เข้าปะทะตรงๆ พวกเขาเอาแต่วนเวียนอยู่รอบเวที
ผู้ชมหลายคนรู้สึกอยากก่นด่าขึ้นมา
การประลองรอบที่หก พวกเขาต่อสู้กันอย่างดุเดือด แม้แต่จางเจิ้งกวงที่ใช้กระบวนท่าอย่างอ่อนหยุ่นตอนแรกก็เข้าปะทะอย่างอาจหาญเช่นกัน
อย่างไรก็ตามสมาชิกคนที่สี่ของจิงอู่แทบไม่ได้ประกระบวนท่ากับเฉินเจียเซิงเลยตั้งแต่ต้นจนจบ
ตอนนี้มันขึ้นอยู่กับว่าใครจะทนได้นานกว่ากัน ต่อให้พวกเขาไม่ได้ใช้ปราณและเลือดจนหมด แต่ความผิดพลาดครั้งเดียวก็อาจทำให้อีกฝ่ายเข้ารุกปานสายฟ้าแลบ
คนของจิงอู่วิ่งวนอยู่บนเวทีประลอง เฉินเจียเซิงไม่อาจอยู่เฉยได้ เขาหมุนตัวอยู่กลางสังเวียน ไม่ละสายตาไปจากคู่ต่อสู้
ทั้งสองพัวพันกันนานกว่าสิบนาที มันเป็นการประลองรอบที่นานที่สุดในงานประลองครั้งนี้
ขณะที่หลายคนเริ่มหาวออกมา เฉินเจียเซิงระเบิดพลังออกมาอย่างฉับพลัน ปล่อยหมัดใส่คู่ต่อสู้ ทำให้อีกฝ่ายตกเวทีไป