ณ ล็อบบี้ชั้นสอง
ฟางผิงเดินเข้าไปพร้อมกับถานเจิ้นผิง
ในล็อบบี้ เวลานี้มีคนประมาณ 30-40 คน พวกเขาแทบเป็นผู้ฝึกยุทธทั้งหมดที่เมืองหยางเฉิงรวบรวมได้
แต่นี่ย่อมไม่ใช่ผู้ฝึกยุทธทั้งหมดจากเมืองหยางเฉิง ยังไงเสียเมืองหยางเฉิงก็มีประชากรหนาแน่น
อย่างไรก็ตาม มีผู้ฝึกยุทธหลายคนที่ไปอยู่เมืองใหญ่โดยไม่กลับมา นี่เป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่ทำไมตัวเลขถึงไม่ตรงกับตัวเลขสำมะโนประชาชน
ผู้ฝึกยุทธชาวเมืองหยางเฉิงที่เมืองหยางเฉิงเชิญมาส่วนใหญ่มาจากเมืองและมณฑลที่อยู่ใกล้เคียง
เมื่อฟางผิงขึ้นมาชั้นบน ก็มีคนพูดขึ้นมาอย่างกระตือรือร้น น้องฟางมาแล้ว! โชคดีมากที่ได้เจอ!
ครั้งนี้น้องฟางนำพาเกียรติยศมาให้เราชาวเมืองหยางเฉิง! น้องฟางทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมในเวทีประลอง!
…
แม้ว่าจะเป็นครั้งแรกที่พวกเขาพบกัน แต่ทุกคนก็ทำตัวเป็นกันเองมาก
อย่างไรก็ตามฟางผิงตอบกลับพวกเขาด้วยรอยยิ้มโดยไม่มีทีท่าว่าจะกลัวคนแปลกหน้า
หลังคุยกันพอเป็นพิธี ฟางผิงก็พูดเบาๆ ลุงถาน ทุกคนมาชุมนุมกันจากต่างเมืองเพื่อมางานเลี้ยงน้ำชาเนี่ยนะ?
สถานการณ์ตอนนี้ไม่ต่างอะไรกับงานเลี้ยงน้ำชาเลย
ถานเจิ้นผิงกระซิบ ลุงก็ไม่มั่นใจรายละเอียด แต่ที่จริงผู้บัญชาการไป๋เป็นคนจัดการทั้งหมดนี้ เราได้รับมอบหมายให้มาช่วยเหลือ และเชิญผู้ฝึกยุทธบางส่วนให้มาเข้าร่วม…
ผู้บัญชาการไป๋…
พูดถึงผี ผีก็มา
เมื่อทั้งสองพูดถึงเขา ไป๋จิ่นซานก็มาพอดี!
ฟางผิงไม่เคยพบไป๋จิ่นซานมาก่อน ก่อนหน้านี้ไป๋จิ่นซานในจินตนาการของเขาคือชายอ้วนพุงพลุ้ย
ดังนั้นเมื่อเขาเห็นอีกฝ่ายจริงๆ ฟางผิงจึงรู้สึกคาดไม่ถึง
แทนที่จะเป็นชายอ้วนพุงพลุ้ย ไป๋จิ่นซานกลับเป็นชายกลางคนร่างกำยำ บุคลิคนุ่มลึก
นอกจากความดูดีแล้ว ท่วงท่าการเดินยังสง่า ดูแล้ววรยุทธเขาก็ไม่เลวเช่นกัน
ก่อนหน้านี้ ตอนที่ถานเจิ้นผิงบอกว่าไม่มีสักคนที่สู้ได้ ฟางผิงจึงคิดว่าไป๋จิ่นซานก็คงเหมือนกัน
อย่างไรก็ตามเวลานี้ ในฝูงชนมีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่ฟางผิงรู้สึกถึงอันตราย นั่นก็คือไป๋จิ่นซาน นี่แปลว่าไป๋จิ่นซานต้องแข็งแกร่งอย่างไม่ต้องสงสัย
ดูเหมือนเมืองหยางเฉิงจะยังไม่ตกต่ำถึงที่สุด… ฟางผิงพึมพำ
เมื่อไป๋จิ่นซานมาถึง ทุกคนก็มาทักทายเขา
ไป๋จิ่นซานเดินเข้ามาด้วยรอยยิ้ม เมื่อเขามาอยู่ตรงหน้าฟางผิง ไป๋จิ่นซานก็ไม่จำเป็นต้องแนะนำตัว เขากล่าวด้วยรอยยิ้ม เธอต้องเป็นนักศึกษาฟางผิง นักศึกษาอัจฉริยะจากโม๋อู่ใช่ไหม? เธอดูเด็กและมีศักยภาพจริงๆ รัศมีไม่ธรรมดา…
หลังไป๋จิ่นซานเอ่ยชมเล็กน้อย ฟางผิงก็ตอบกลับคำชมอย่างสุภาพเช่นกัน
ยังมีอีกหลายคนรอทักทายเขาอยู่ ไป๋จิ่นซานจึงจบบทสนทนากับฟางผิงอย่างรวดเร็ว
เมื่อเขาทักทายทุกคนเสร็จ ไป๋จิ่นซานก็กล่าวด้วยรอยยิ้ม ทุกคนเชิญนั่ง ทำตัวให้เหมือนที่บ้าน พวกเราเป็นชาวเมืองหยางเฉิงเหมือนกัน ผมมั่นใจว่าไม่ใช่เรื่องง่ายที่ทุกคนจะมารวมตัวกัน เรามาปล่อยใจคุยกันเถอะ
แม้เขาจะบอกให้ปล่อยใจคุยกัน แต่ส่วนใหญ่ก็ยังเป็นทางการต่อกัน
ในบรรดาผู้ฝึกยุทธที่มากันครั้งนี้ มีผู้ฝึกยุทธขั้นสามสองคน
เมื่อเทียบกับเมืองอื่น เมืองหยางเฉิงเป็นเมืองเล็ก มันจึงเป็นหนึ่งในเหตุผลที่ทำไมพวกเขาถึงไม่มีผู้ฝึกยุทธขั้นกลางเลย ไม่กี่ปีมานี้จำนวนผู้ฝึกยุทธขั้นกลางที่มาจากเมืองหยางเฉิงนับด้วยมือข้างเดียวได้เลย
หวังจินหยางเป็นหนึ่งในนั้น แต่เขาย้ายไปอยู่เจียงเฉิง ไม่ได้กลับมา
ในหมู่คนที่ไป๋จิ่นซานไปทักทาย หนึ่งในชายชราขั้นสามกล่าวด้วยรอยยิ้ม ผู้บัญชาการไป๋ คุณก็พูดแล้ว ต่อให้เราไม่สนิทกัน แต่พวกเราก็เป็นคนบ้านเกิดเดียวกัน พวกเรากลับมากันเพราะคิดถึงบ้านเกิด เพราะงั้นพวกเราถึงละงานทั้งหมดเพื่อมาเจอกันที่นี่
ที่นี่หยางเฉิง ถ้ามีอะไรเกี่ยวข้องกับดินแดนของเรา งั้นก็เอ่ยปากมา เวลามีค่า…
เหล่าจางพูดเช่นนั้น งั้นผมไม่เกรงใจล่ะ
ไป๋จิ่นซานหัวเราะเบาๆก่อนจะถอนหายใจ ตั้งแต่ผู้สำเร็จราชการจางทะลวงคอขวดปรมาจารย์ ท่านก็ไม่พอใจกับสภาพแวดล้อมวิชายุทธของหนานเจียงยิ่งขึ้นเรื่อยๆ
เอกสารปฏิรูปที่กองอยู่ข้างโต๊ะทำงานผมสูงหลายเมตรแล้ว!
มีนโยบายใหม่ เอกสารปฏิรูปใหม่ทุกวัน พูดตามตรงมันไม่ใช่เรื่องง่ายเลย
ดังนั้น การจัดการกับนโยบายปฏิรูปจึงเป็นหนึ่งในจุดประสงค์หลักที่ทำไมทุกคนถึงได้รับเชิญมาร่วมการชุมนุมครั้งนี้
ชายชราที่ไป๋จิ่นซานเรียกว่าเหล่าจางตอบด้วยรอยยิ้ม ผู้บัญชาการไป๋ เข้าประเด็นเถอะ ให้เรามาทำไร?
เหล่าจาง อย่าเข้าใจผิด ผมไม่ได้นัดทุกคนมาเพื่อขอเรี่ยไรเงิน
ไป๋จิ่นซานโบกมือ รู้ว่าพวกเขากำลังคิดอะไร
กระบวนการคิดของพวกเขาอาจเป็น ‘ชุมนุมบ้านเกิด ไม่มีอะไรมากไปกว่าขอเรี่ยไรเงิน ระดมทุน หาคนมาลงทุน…’
‘รัฐบาลต้องการนักลงทุน ทุกคนก็ต้องการผลประโยชน์เช่นกัน มันเป็นสถานการณ์วินวินทั้งสองฝ่าย มันจึงไม่มีอะไรแปลก’
อย่างไรก็ตามครั้งนี้มันไม่ใช่จริงๆ
สถานการณ์ครั้งนี้คือแต่ละเมืองในหนานเจียงต้องก่อตั้งทีมผู้ฝึกยุทธ ทุกคนทราบเรื่องนี้ไหม?
ฉันรู้ ฉันเห็นในข่าว สรุปการก่อตั้งทีมมีปัญหาเหรอ?
เมื่อฟางผิงได้ยินบทสนทนา เขาก็ชำเลืองมองเหล่าจาง ‘เขาเหน็บแหนมไป๋จิ่นซานอยู่เหรอ?’
เฮ้อ ผู้ฝึกยุทธเมืองหยางเฉิงขาดแคลน ตามข้อกำหนด เราควรก่อตั้งทีมตั้งแต่ปลายปีก่อนและเริ่มฝึกตั้งแต่ปีนี้
แต่ที่หยางเฉิง เรายังตั้งทีมไม่เสร็จเลย
ดังนั้น เราจึงเชิญทุกคนมาช่วยพัฒนาเมืองหยางเฉิง ผมแค่อยากให้ทุกท่านช่วยกันคิดวางแผน
ส่วนอีกเหตุผลก็คือ ผมอยากรู้ว่าจะมีผู้ฝึกยุทธท่านไหนอยากร่วมทีมไหม…
ไป๋จิ่นซานไม่ทันได้พูดจบประโยค จู่ๆก็มีคนขัดจังหวะ ผู้บัญชาการไป๋ ทุกคนยุ่งกันมาก เราจะเอาเวลาที่ไหนมาร่วมฝึกปรือฝีมือ? หาคนจากเมืองหยางเฉิงจนครบทีมมันเป็นไปไม่ได้เลยจริงๆน่ะเหรอ?
นั่นสิ ไม่ต้องพูดถึงเลยว่าพวกเราต่างก็มีธุรกิจมากมาย ยิ่งกว่านั้นบริษัทของเรายังไม่ได้อยู่แถบนี้ เราจะเอาเวลามาจากไหนกลับมาร่วมทีม…
ใช่ ฉันก็ยุ่งเหมือนกัน ถ้าเมืองหยางเฉิงขาดแคลนทุนทรัพย์ พวกเราช่วยบริจากสักหน่อยไม่ใช่ปัญหา
ถ้าจำนวนมากผมไม่กล้าพูด แต่สามหมื่นห้าหมื่นผมไม่มีปัญหา
…
ทุกคนมีความกังวลเรื่องเดียวกัน
อย่างไรก็ตามไป๋จิ่นซานไม่ได้ห่วงเรื่องนี้มากนัก เขายิ้มแล้วกล่าว ใจเย็น ผมไม่ได้บอกว่าทุกคนต้องร่วมทีม ผมไม่ได้มาเพื่อฝืนใจใคร
แต่…
ไป๋จิ่นซานหยุดชั่วครู่ก่อนจะกล่าว แต่เบื้องบนพึ่งออกเอกสารมาอีกชุด
ผมไม่รู้ว่าทุกท่านทราบไหม แต่ทุกคนที่ถูกเชิญมาวันนี้ รวมถึงท่านที่ไม่ได้มา แต่ยังเป็นส่วนหนึ่งของสำมะโนประชาการเมืองหยางเฉิงด้วย
หืม?
บางคนก็รู้สึกสงสัย เพราะไม่ใช่ทุกคนที่ออกจากเมืองหยางเฉิงแล้วจะอัพเดทสำมะโนครัว
อย่างไรก็ตามมันเป็นความจริงที่ปัจจุบันทุกคนยังเป็นส่วนหนึ่งของสำมะโนประชากรเมืองหยางเฉิง
เอกสารบังคับใช้ที่เบื้องบนส่งมาค่อนข้างง่าย ในวันข้างหน้า ผู้ฝึกยุทธจะต้องใช้นโยบายระบบจัดการแบบควบคู่
ที่อยู่ปัจจุบันและที่อยู่ในสำมะโนประชากรจะอยู่ภายใต้การจัดการแบบควบคู่
ฝูงชนยังไม่เข้าใจว่าเขาหมายถึงอะไร ‘แล้วไง?’
ไป๋จิ่นซานยิ้ม ผมจะอธิบายเพิ่มสักหน่อย หลังใช้นโยบายการจัดการแบบควบคู่ พวกท่านจะต้องกลับมาเมืองหยางเฉิงทุกปีเพื่อทำการประเมินสิ้นปี
เอ๊ะ?
ประเมินสิ้นปีคืออะไร?
ผู้บัญชาการไป๋ คุณอธิบายให้ละเอียดหน่อยได้ไหม?
…
ไป๋จิ่นซานฝืนยิ้ม ผู้ฝึกยุทธได้สิทธิพิเศษ เปิดบริษัทของตนเองได้ ยกเว้นภาษี ลดภาษี ถ้าผู้ฝึกยุทธอยากเล่นการเมือง เกณฑ์การประเมินก็จะต่ำลง ถ้าอยากเข้ากองทัพก็จะเป็นเจ้าหน้าที่ชั้นสัญญาบัตรทันที
ถ้าอยากเข้าแวดวงอื่น ก็จะได้สิทธิพิเศษและตำแหน่งพิเศษ
อย่างไรก็ตามจำนวนผู้ฝึกยุทธเพิ่มขึ้น พูดตรงๆ ผมแยกความต่างของผู้ฝึกยุทธบางคนที่ทำตัวเหมือนคนธรรมดาไม่ได้ด้วยซ้ำ
ถ้าจำนวนยังเพิ่มขึ้นอีก สิทธิพิเศษก็ต้องมากขึ้น งั้นอุปทานก็จะล้น และถ้าอุปทานยังเพิ่มขึ้นไม่หยุด อุปสงค์ก็จะลดลง แล้วทำให้มันไร้ค่าไป
สิ่งที่รัฐบาลพยายามจะพูดก็คือ ตั้งแต่ปี 2009 เป็นต้นไป จะมีการใช้นโยบายประเมินผู้ฝึกยุทธ
ในทุกปี ผู้ฝึกยุทธต้องกลับมาบ้านเกิดตามสำมะโนประชากรเพื่อทำการประเมินสิ้นปี
แน่นอน ส่วนใหญ่จะมุ่งเป้าที่ผู้ฝึกยุทธที่ต่ำกว่าขั้นสาม สำหรับผู้ฝึกยุทธที่เหนือกว่าขั้นกลาง พวกเขาจะประเมินตอนไหนก็ได้
เมื่อพวกคุณประเมินเสร็จ พวกคุณจะใช้ชีวิตกันต่อได้
ถ้าประเมินล้มเหลว คุณก็จะเลือกได้ว่าจะประเมินของขั้นต่ำกว่าปัจจุบันหรือจะให้เพิกถอนตัวตนผู้ฝึกยุทธเลย
อะไรนะ?
การประเมิน?
ประเมินแบบไหน? พวกเราทำตามกฎปัจจุบันเป็นอย่างดีมานานปีแล้ว ถ้ามันไม่พังก็ไม่ต้องซ่อม ทำไมเราควรประเมินทันทีด้วย?
…
ทุกคนเริ่มระดมยิงคำถาม ไป๋จิ่นซานยังคงมีรอยยิ้มไม่สั่นคลอน ที่จริงมันไม่ได้ยากนัก ส่วนใหญ่จะเป็นการทดสอบปราณและเลือดกับวรยุทธ
ผมหมายถึง ทุกคนเป็นผู้ฝึกยุทธ ถ้าผู้ฝึกยุทธต่อสู้ไม่ได้จะยังเรียกว่าผู้ฝึกยุทธได้อยู่หรือ?
แต่การประเมินไม่ยากจริงๆ ถ้าทุกท่านใช้เวลาฝึกฝนวรยุทธซะบ้าง พวกท่านก็จะผ่านไปได้อย่างง่ายดาย
ดังนั้นผมจึงนัดทุกคนมากันมาที่นี่ เกรงว่าพวกคุณจะไม่เข้าใจ เราเลยจะอธิบายให้ทุกท่านอย่างละเอียด
ปัจจุบันมีผู้คนจำนวนมากที่ไม่พอใจเรา พวกเขาคิดว่าผู้ฝึกยุทธเบียดเบียนทรัพยากรของสังคมมากเกินไป ประชาชนมีความเห็นว่าผู้ฝึกยุทธก็ไม่ได้ต่างกับพวกเขา ทำไมผู้ฝึกยุทธถึงได้รับสิทธิพิเศษ?
เพื่อหลีกเลี่ยงข้อพิพาทระหว่างผู้ฝึกยุทธและคนธรรมดา รัฐบาลจึงได้แต่เปลี่ยนแปลงกฎเพื่อเพิ่มความยากในการกำหนดขั้นพลังขึ้นนิดหน่อย
…