พวกเขานัดกับครอบครัวฝั่งป้าแล้ว ตกลงกันว่าจะมาเมืองหยางเฉิงในวันที่สอง
ดังนั้นวันแรกฟางผิงจึงอยู่กับบ้านดูทีวีและนั่งคุยกับคนอื่นๆในแชทกลุ่ม
ครอบครัวอู๋จื้อเห่าก็ค่อนข้างโอเค แม้เขาจะมีญาติเยอะ แต่เขาก็ไม่ต้องไปเยี่ยมทุกคน
แต่ฟู่ชางติ่งน่าเวทนามาก
ฟางผิงเห็นฟู่ชางติ่งระบายในกลุ่ม ในฐานะศิษย์โม๋อู่และผู้ฝึกยุทธอย่างเป็นทางการ ฟู่ชางติ่งถือเป็นผู้ใหญ่แล้ว สามารถทำธุรกิจของครอบครัวในนามของตนเองได้แล้ว
ดังนั้นตั้งแต่ปีนี้ เขาต้องไปเยี่ยมเจ็ดตัวก๊อแปดตัวอี๋ พวกลุงๆและญาติคนอื่นๆอีกมากมายตามลำพัง…
(ผู้แปล : ตัวก๊อ พี่สาวคนโตฝั่งพ่อ l ตัวอี๋ พี่สาวคนโตฝั่งแม่)
เจ้าเด็กที่น่าสงสารยังส่งตารางงานเต็มหน้ากระดาษมาให้พวกเขาดูด้วย!
ตั้งแต่วันแรกจนถึงวันที่สิบ เขาต้องไปเยี่ยมผู้อาวุโสเหยียบร้อยคน ซึ่งเขาต้องไปเยี่ยมให้ครบทุกคน
ฟางผิงไม่อยากไปเยี่ยมใคร แถมเขาเป็นนักศึกษา ย่อมไม่มีใครมาเยี่ยมเขาเช่นกัน
แม้ว่าเบื้องสูงในเมืองหยางเฉิงหลายคนจะรู้ว่าฟางผิงเป็นผู้ฝึกยุทธขั้นหนึ่งสูงสุด แต่ฟางผิงเด็กเกินไป ไม่มีใครเคยติดต่อกับเขา ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องมาเยี่ยมกัน
อย่างไรก็ตามวันนี้ก็ยังมีคนมาเยี่ยมครอบครัวฟาง!
…
เมื่อฟางผิงเห็นเด็กสาวเจ็ดแปดคน หน้าแดงเปล่งปลั่งเดินผ่านประตูเพื่อมาเยี่ยมฟางหยวนอย่างมีชีวิตชีวา ฟางผิงก็แทบสำลักตาย!
เจ้หยวนหยวน สวัสดีปีใหม่!
ประธาน เราไม่ได้เจอหน้ากันหลายวันเลย ประธานอยากออกไปเล่นหน่อยไหม?
เจ้หยวนหยวน พี่ใหญ่ฟางไม่อยู่บ้านเหรอ?
…
ฟางผิงจ้องมองเด็กสาว ‘เธอเอาตาไปไว้ที่ไหน!’
‘ฉันตัวตั้งขนาดนี้ แต่เธอมองข้ามฉันไปได้?’
ไม่แปลกใจที่คนอื่นมองข้ามเขาไป ฟางผิงหดตัวอยู่บนโซฟา ขี้เกียจขยับ ยิ่งกว่านั้นเด็กพวกนี้มาหาฟางหยวน เขาจึงไม่ลุกไปทักทาย
เพราะงั้นเขาจึงถูกมองข้ามไปอย่างน่าอัศจรรย์!
เมื่อได้ยินคนพูดถึง ฟางผิงก็ยิ้มอย่างอ่อนโยนแล้วโน้มตัวออกมา ฉันอยู่นี่!
โว้ว! พี่ใหญ่ฟางอยู่บ้าน!
เด็กสาวร้องเสียงแหลมอย่างประหลาดใจ
วินาทีถัดมา สิ่งที่ทำให้ฟางผิงพูดไม่ออกก็เกิดขึ้นอีกครั้ง
วิ่ง! พี่ใหญ่ฟางอยู่บ้าน!
รีบหนี!
เราต้องไปแล้ว! เจ้หยวนหยวน เราจะติดต่อมาใหม่ผ่านทางโทรศัพท์!
…
ไม่ถึงห้าวินาที เด็กสาวเจ็ดแปดคนก็รีบวิ่งหนีไป หายลับสายตาไป!
พวกเธอไม่ได้ใช้ลิฟต์ด้วยซ้ำ พวกเธอวิ่งหนีลงไปทางบันไดแทน!
ฟางผิงอ้าปากค้าง เบิกตากว้าง จ้องมองพวกเธอ เกิดอะไรขึ้น?
‘ฉันไม่เป็นที่ต้อนรับกับผู้หญิงตั้งแต่ตอนไหน?’
ที่โม๋อู่ หยางเสี่ยวม่านกับคนอื่นๆก็ไม่ชอบเขา ก่อนหน้านี้หลิวรั่วฉีก็กลัวเขาจนหนีไป
ตอนนี้เด็กสาวเห็นว่าเขาอยู่บ้าน ปฏิกิริยาแรกของพวกเธอไม่ใช่ชื่นชมเขาหรือขอลายเซ็นเขา แต่เป็นวิ่งหนี!
โชคด้านผู้หญิงของฉัน…
ฟางผิงพูดไม่ออกโดยสิ้นเชิง ‘ทำไม!’
‘ฉันไม่หล่อเหรอ?’
‘ฉันแข็งแกร่งไม่พอเหรอ?’
‘หรือเพราะฉันจน?’
‘ไม่ใช่เลย!’
แล้วตอนนี้เกิดอะไรขึ้น? เขาไม่เจอกับผู้หญิงที่น่าเชื่อถือสักคนเลยเหรอ?
สีหน้าฟางผิงดูน่าเกลียด เขาแค่นเสียงก่อนจะกลับไปดูทีวีที่โซฟา มันไม่ควรเป็นแบบนี้สิ!
ฟางหยวนปลายตามองฟางผิงอย่างระมัดระวัง เมื่อเห็นสีหน้าดำคล้ำไม่ต่างกับก้นหม้อ เธอก็อดรู้สึกผิดไม่ได้
‘ฟางผิงคงไม่รู้ใช่ไหมว่าฉันพูดไม่ดีลับหลังเขา?’
‘ฉันไม่ได้พูดอะไรเลย ฉันแค่บอกว่าเขาชอบทุบตีคน ชอบฟันคนอื่นเป็นสองท่อน และชอบบีบแก้มคนอื่น เขาจะปล่อยหลังบีบจนหน้ากลม…ฉันพูดความจริงทั้งนั้น!’
ฟางหยวนพึมพำในใจก่อนจะรีบขึ้นไปชั้นบน กลัวว่าฟางผิงจะบีบแก้มเธออีก
เธอผอมลงแล้ว แต่ไม่กี่วันที่ฟางผิงกลับบ้าน หน้าเธอก็กลับมากลมอีกครั้งอย่างเห็นได้ชัด อย่างไรก็ตามเธอไม่ยอมรับว่าช่วงนี้เธอกินข้าวอร่อยขึ้น!
…
ณ วันที่สอง ครอบครัวป้ามาที่หน้าประตู
ลูกพี่ลูกน้องก็มาเหมือนกัน เมื่อมีเด็กซนอยู่ด้วยถึงสองคน ฟางผิงก็หัวหมุน เขาไม่มีเวลาว่างสองสามวันติด
คุณลุงกับคุณป้าก็รู้เรื่องที่ฟางผิงร่วมงานประลอง
ไม่กี่วันนี้ พวกเขาชื่นชมฟางผิงทุกครั้งที่เจอหน้ากัน พวกเขาชื่นชมฟางผิงมากจนเขาแทบไม่กล้าอยู่บ้าน
บ้านพวกเขาก็ใหญ่เท่านี้แหละ พวกเขาต้องเจอกันวันละหลายร้อยครั้ง ถ้าพวกเขายังสรรเสริญเขาไม่หยุด เขาจะทรุดเอา
เรื่องนี้ดำเนินต่อไปหกวัน ฟางผิงก็ไม่ต้องอยู่บ้าน เล่นกับเด็กซนทั้งสาม
การชุมนุมผู้ฝึกยุทธเมืองหยางเฉิงได้เริ่มขึ้นแล้ว!
…
ณ โรงแรมหยางเฉิง
การชุมนุมของผู้ฝึกยุทธเมืองหยางเฉิงถูกจัดขี้นที่ชั้นสองของโรงแรม
เวลานี้ถานเจิ้นผิงได้รับมอบหมายให้ต้อนรับแขก
ผู้ฝึกยุทธที่มากันครั้งนี้ไม่ใช่แค่ผู้ฝึกยุทธท้องถิ่นเมืองหยางเฉิง แต่ยังรวมถึงผู้ฝึกยุทธเมืองหยางเฉิงที่มาจากที่อื่นด้วย
ถ้าพวกเขาเป็นผู้ฝึกยุทธที่คุ้นหน้ากันก็ยังไม่เป็นไร แต่ไม่มีใครคุ้นเคยกับผู้ฝึกยุทธที่เติบโตจากที่อื่นเลย ดังนั้นจึงต้องมีผู้ฝึกยุทธเมืองหยางเฉิงสองสามคนมาต้อนรับพวกเขา
ถานเจิ้นผิงไม่ได้อยู่คนเดียว ข้างกายยังมีรองผู้อำนวยการจากกรมสืบสวนอยู่ด้วย
ทั้งสองต้อนรับแขกและคุยกันเบาๆไปพลาง
จางฟ่งหยางเป็นขั้นสองแล้วใช่ไหม? ก่อนหน้านี้พลังที่หลุดรอดออกมาดูผิดปกติ ดูเหมือนเขาจะแข็งแกร่งกว่าพวกเราหน่อย
น่าจะเป็นเช่นนั้น
ถานเจิ้นผิงพยักหน้าก่อนจะกลับมาส่ายหน้าแล้วพูด พวกเรามาจากคอสฝึกฝนวิชายุทธ ตอนนี้ขั้นสองก็ไม่เป็นที่นิยม
มันก็ไม่ถูกซะทีเดียว การปฏิรูปเป็นเรื่องของระดับสูง ในเมืองหยางเฉิง ขั้นหนึ่งคือขั้นหนึ่ง ขั้นสองคือขั้นสอง…
ขณะที่ทั้งสองคุยกัน ก็มีรถแท็กซี่มาจอดอยู่หน้าประตู
ตอนแรกทั้งสองไม่ได้สังเกตเห็น จนกระทั่งมีเด็กหนุ่มคนหนึ่งก้าวลงจากรถ ถานเจิ้นผิงจึงเผยรอยยิ้มทันที ฟางผิง ลุงคิดว่าเธอไม่มาแล้วซะอีก
มีคนโบกแท็กซี่เยอะมาก ผมเกือบหาไม่ได้แล้ว
ฟางผิงหัวเราะและทักทายพวกเขา ลุงถาน ทำไมลุงมายืนต้อนรับแขกอยู่ข้างนอกด้วยล่ะ?
คนที่มาวันนี้มีขั้นสองด้วย แม้แต่ขั้นสามก็มีมาเหมือนกัน เราต้องทำตามพิธีการ…
ถานเจิ้นผิงหัวเราะก่อนจะแนะนำคนข้างๆ นี่คือรองผู้อำนวยการกรมสืบสวนเมืองหยางเฉิง ฉื่อเทา…
สวัสดีผู้อำนวยการฉื่อ!
งั้นคงเป็นเรื่องจริงสินะ นักศึกษาฟางยังเด็กและมีศักยภาพ เธอเด็กมากจนผมแทบจำไม่ได้…
ฉื่อเทาสุภาพและเป็นกันเองมากเช่นกัน นักศึกษาอัจฉริยะจากโม๋อู่เป็นคนที่เขา รองผู้อำนวยการ เทียบเคียงด้วยไม่ได้
หลังพวกเขาคุยกันพอเป็นพิธี ถานเจิ้นผิงก็ต้องไปทักทายแขกต่อ แม้ว่าฟางผิงจะเป็นแขก แต่ถานเจิ้นผิงเป็นรุ่นอาวุโส ดังนั้นฟางผิงจึงยืนอยู่ข้างๆคุยกับเขาได้
แต่เวลานั้นเองก็มีรถสีดำหรูหรามาหยุดอยู่หน้าประตู
จากนั้นก็มีชายสองคนก้าวลงจากรถ คนหนึ่งเป็นคนแก่ คนหนึ่งเป็นเด็ก
เมื่อเห็นผู้มา ถานเจิ้นผิงก็ขมวดคิ้วเล็กน้อยก่อนจะปั้นหน้ายิ้ม เหล่าเฉิน…
ถานเจิ้นผิง?
เมื่อเห็นถานเจิ้นผิง ชายกลางคนที่ลงจากรถก็คิ้วขมวดทันที เขาแค่นเสียงเย็น อะไร เดี๋ยวนายนายเป็นคนเฝ้าประตูแล้ว?
ฉันเคยคิดว่าหลังนายลอบกำจัดฉัน นายจะกลายเป็นผู้อำนวยการใหญ่หรืออะไรทำนองนั้น ฉันไม่คิดเลยว่านายจะเป็นแค่สวะเฝ้าประตู!
เฉินฉีเทา!
ถานเจิ้นผิงขมวดคิ้ว อย่าให้มันมากเกินไป สิ่งที่เกิดขึ้นตอนนั้น…ทุกคนรู้ดีว่าใครผิดใครถูก!
เฮอะ รู้ดีงั้นเหรอ?
ถานเจิ้นผิงเป็นคนยังไง นายไม่รู้ดีแก่ใจงั้นเหรอ?
ฉันรู้สึกสะอิดสะเอียนตั้งแต่เช้าเลย ตอนที่ผู้บัญชาการไป๋เชิญฉันมา เขาไม่ได้บอกว่าถานเจิ้นผิงจะมาด้วย!
ถ้าฉันรู้ว่ามานี่ด้วย งั้นฉันคงไม่ทิ้งธุระมางานชุมนุมห่วยๆแบบนี้!
ประธานเฉิน ใจเย็นก่อน…
ฉือเทาที่ยืนอยู่ข้างๆเผยรอยยิ้ม ประธานเฉิน วันนี้เป็นงานชุมนุมผู้ฝึกยุทธที่มีถิ่นเกิดอยู่เมืองหยางเฉิง เรื่องของคุณกับผู้อำนวยการถาน…
ผู้อำนวยการฉือ ไม่ใช่ว่าฉันเฉินฉีเทาไม่ไว้หน้า ตอนที่ผู้บัญชาการไป๋เชิญฉัน ฉันก็ทิ้งธุระที่กำลังสะสางแล้วรีบเดินทางมาที่นี่ทันที!
ในหยางเฉิงมีใครไม่รู้บ้าง ฉันจะรู้สึกสะอิดสะเอียนเมื่อเห็นคนแซ่ถาน!
ตอนนี้คุณยังใช้เจ้าตัวตลกนี่มาทำให้ฉันสะอิดสะเอียนอีก? นี่คือการต้อนรับที่อบอุ่นที่ผู้บัญชาการไป๋พูดถึงเหรอ?
ผู้บัญชาการไป๋ที่เฉินฉีเทาพูดถึงคือผู้มีอำนาจสูงสุดในเมืองหยางเฉิง
หลังเมืองหยางเฉิงกลายเป็นนครระดับเทศมณฑล คนที่อยู่สูงสุดจะถูกเรียกว่าผู้บัญชาการ กระนั้นเขาควรถูกเรียกว่าผู้บัญชาการปลอมจะเหมาะสมกว่า
ผู้บัญชาการปัจจุบันล้วนเป็นขั้นสี่
อย่างไรก็ตามที่เมืองหยางเฉิง เขาเป็นขั้นสาม
ผู้บัญชาการเมืองหยางเฉิงอาจเชิญเฉินฉีเทาด้วยตัวเอง เพราะเขาแข็งแกร่งไม่เบา เขาเป็นขั้นสองสูงสุด
สิบปีก่อน เขาก็เป็นขั้นหนึ่งเช่นเดียวกัน
อย่างไรก็ตามตลอดหลายปีมานี้ ธุรกิจของเขาไปได้สวย เขาจึงซื้อเม็ดยามาใช้ ไม่เหมือนกับถานเจิ้นผิงที่ติดอยู่ขั้นหนึ่ง
ฟางผิงที่ยืนอยู่ข้างๆขมวดคิ้วเล็กน้อย แต่ก็ตัดสินใจไม่พูดอะไร
แต่จู่ๆเด็กหนุ่มที่อยู่ข้างเฉินฉีเทาก็พูดขึ้นมา พ่อ ทำไมพ่อต้องลดตัวมาทะเลาะกับขั้นหนึ่งด้วย? มันไม่มีความหมายเลย เข้าไปข้างในกันเถอะ
น้ำเสียงของเด็กหนุ่มแฝงด้วยความรังเกียจเล็กๆ
ถานเจิ้นผิงขมวดคิ้วและกล่าวเสียงทุ้มลึก อาหาว พ่อของเธอกับฉัน…
อย่า ผู้อำนวยการถานใช่ไหม? ฉันกับคุณไม่ได้รู้จักมักคุ้นกัน
เด็กหนุ่มที่ถูกเรียกว่าอาหาวปฏิเสธไมตรีทันที เขาพูดเบาๆ ฉันไม่สนใจเรื่องคุณกับพ่อแม้แต่น้อย แต่พ่อฉันอารมณ์ไม่ดีหลังเจอคุณ ดูสิ ไม่ใช่ว่าพ่อหลีกเลี่ยงคุณแล้วเหรอ? มาขวางทางแบบนี้คงไม่ดีใช่มั้ย?
ถานเจิ้นผิงรู้สึกเลือดเริ่มเดือด
เวลานั้น ฉือเทาก็ดึงตัวเขาออกไป เฉินฉีเทาเป็นขั้นสองสูงสุด ส่วนลูกชายเขาเป็นผู้ฝึกยุทธขั้นหนึ่ง แถมยังเป็นนักศึกษามหาลัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีหัวหนาน
ฉือเทาอยากไกล่เกลี่ยสถานการณ์ ไม่จำเป็นต้องทำให้มันมีปัญหา
แน่นอนทุกคนแค่โต้เถียงกันด้วยปาก แต่ก็ไม่กล้าทำอะไรกับถานเจิ้นผิง ยังไงเสียสถานะของราชการก็เป็นยันป้องกันตัวชิ้นใหญ่ที่สุด
แต่ยามนั้น ฟางผิงก็ก้าวออกมา
ถานเจิ้นผิงมักจะดูแลพ่อแม่เขาในเมืองหยางเฉิง แถมยังดีกับเขาไม่เลว ลูกชายของถานเจิ้นผิงก็สอนจวงกงให้เขาตอนแรก แถมพวกเขาก็ยังเป็นเพื่อนกัน
ฟางผิงพูดอะไรมากไม่ได้เมื่อเห็นเหล่าถานถูกเยาะเย้ยเพราะเรื่องราวในอดีต
อย่างไรก็ตามเมื่อมีคนหนุ่มเข้ามามีเอี่ยว มันย่อมไม่เหมาะสม
ดูท่าแล้วถานเจิ้นผิงรู้จักกับเด็กหนุ่มคนนี้อย่างเห็นได้ชัด ในอดีตทั้งสองอาจมีความสัมพันธ์ดีๆกันด้วยซ้ำ
การช่วยเหลือญาติโดยไม่สนเหตุผล เป็นประเพณีอันดีงามที่บรรพบุรุษทิ้งไว้ให้
ยิ่งกว่านั้นเมื่อพิจารณาสองพ่อลูกคู่นี้ ดูเหมือนพวกเขาจะไม่ได้แข็งแกร่งนัก อันที่จริงเมืองหยางเฉิงก็ไม่ได้มีผู้ฝึกยุทธที่แข็งแกร่งนัก
ฟางผิงก้าวออกมาด้วยรอยยิ้ม พวกเราเป็นคนหยางเฉิงเหมือนกัน ไม่จำเป็นต้องมีเรื่องกันหรอก…
แกเป็นใคร?
ก่อนที่ฟางผิงจะพูดจบ เด็กหนุ่มก็แค่นเสียง สีหน้าเปี่ยมไปด้วยความเหยียดหยัน
ฟางผิงใช้หัวแม่โป้งลูบจมูก อดพูดขึ้นมาไม่ได้ นายไม่รู้จักฉันเหรอ?
ฉือเทาพูดออกมาเมื่อกี้ว่าเจ้าหนูนี่มาจากมหาลัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีหัวหนาน แต่เขาไม่ได้ดูงานประลองงั้นเหรอ?
แก…
เด็กหนุ่มอยากพูดอะไรบางอย่าง แต่ฟางผิงพลันคำรามด้วยสีหน้าเย็นเหยียบ เจ้าหนู นายเป็นศิษย์มหาลัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีหัวหนานใช่ไหม? ฉันเห็นว่านายพึ่งเป็นขั้นหนึ่ง แต่นายก็ดูถูกผู้ฝึกยุทธขั้นหนึ่งคนอื่นแล้ว
ฟังนะ ฉันจะใช้แค่มือข้างเดียว ถ้าฉันใช้มือเดียวฆ่านายไม่ได้ นายถึงมีสิทธิ์มาอวดดีต่อหน้าฉัน!
แก!
เด็กหนุ่มโกรธมาก เฉินฉีเทาก็ขมวดคิ้วเช่นกัน ต้องการพูดอะไรบางอย่าง
ฟางผิงแค่นเสียงเย็นอีกครั้ง ฉันจะเห็นแก่หน้าพวกนาย ให้พวกนายใจเย็นลง ถ้าสร้างปัญหาอีก งั้นพวกนายก็เข้ามาพร้อมกันเลย ต่อให้ฉันหักแขนพวกนาย ก็ไม่มีใครปริปากบ่น ไม่มีใครคัดค้าน!
เปลวไฟของสองพ่อลูกมอดดับลงทันที พวกเขาสับสนกับภูมิหลังของฟางผิง
เมื่อได้ยินแบบนั้น ฉือเทาก็รีบกระซิบบอก นี่คือคุณฟาง ฟางผิงแห่งโม๋อู่…
ฟางผิง?
เฉินฉีเทาอาจจำไม่ได้ แต่ลูกชายเขาสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย เขามองฟางผิงอีกครั้งอย่างอดไม่ได้
ฟางผิงรู้สึกดีขึ้น ‘ขอบคุณที่ยังจำฉันได้!’
ฟางผิงชำเลืองมองเขาแล้วแค่นเสียงเย็น จะเอายังไง? พิจารณาทางเลือกให้ดี ถ้าต้องการ ฉันสู้กับนายโดยไม่ต้องใช้มือก็ได้!
นายทำให้นักศึกษามหาลิยวิชายุทธทุกคนต้องขายหน้า!
ในการประลองรอบสุดท้ายของแปดมหาลัยพันธมิตร หวังเยว่หลงจากมหาลัยนายพ่ายแพ้ แต่ทุกคนก็ยังเคารพเขา!
รองอาจารย์ใหญ่ของนาย ปรมาจารย์หลิวบอกว่า ‘ผู้ฝึกยุทธมหาลัยวิชายุทธไม่กลัวการต่อสู้ ทุกการต่อสู้ต้องสู้ด้วยหัวใจพร้อมตาย’ คำพูดนี้ทำให้นักศึกษามหาลัยวิชายุทธมีกำลังใจขึ้นมาก!
แล้วนายล่ะทำอะไร?
ใช้ชื่อของนักศึกษามหาลัยวิชายุทธ แสร้งทำเป็นยิ่งใหญ่!
พูดตามตรง ชื่อเสียงของมหาลัยวิชายุทธแปดเปื้อนก็เพราะคนโง่อย่างนาย!
ความแค้นระหว่างพ่อนายกับผู้นำอำนวยเป็นความแค้นของคนรุ่นก่อน ฉันคิดว่ามันคงไม่ใช่ความแค้นอะไรใหญ่โต
กลับกันนายเปิดปากก็พูดดูหมิ่นผู้ฝึกยุทธขั้นหนึ่งทันที ก่อนจะบอกให้ลุงถานหลีกทางให้นายอีก นายถือดีมาจากไหน?
ฟางผิงสั่งสอนอีกฝ่ายราวกับอีกฝ่ายเป็นลูกหลาน เด็กหนุ่มหน้าแดงก่ำ แต่เขาก็ไม่ได้พูดอะไร และไม่กล้าปฏิเสธด้วย
คราวหน้าอย่าให้ฉันเจอหน้าที่เซี่ยงไฮ้จะดีกว่า ถ้าฉันเห็นหน้านาย ฉันจะทุบตีนายเดี๋ยวนั้นเลย! ถ้าเพื่อนนายจากมหาลัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีหัวหนานอยากสร้างปัญหา ฉันจะทำให้พวกเขาได้รู้ว่านายเป็นคนแบบไหน!
นาย…
เด็กหนุ่มสีหน้าแข็งทื่อ เขาอยากโต้แย้ง แต่ก็เลือกไม่พูด
ฉือเทาดูอยู่สักครู่แล้วตัดสินใจเข้ามาแทรกแซง ทุกคนใจเย็น พวกเราเป็นคนบ้านเดียวกัน เมืองหยางเฉิงไม่ใหญ่ มีผู้ฝึกยุทธไม่มากที่มาจากหยางเฉิง ประธานเฉิน ทำไมคุณไม่ขึ้นไปพักสักครู่ล่ะ?
เฉินฉีเทามองฟางผิง จากนั้นก็มองมาที่ลูกชายเขา เขารีบพยักหน้าและพาเด็กหนุ่มที่เงียบปากไปเข้าไปข้างใน
เมื่อพวกเขาหายลับไปแล้ว ถานเจิ้นผิงแท้ท้อเล็กน้อย เขาถอนหายใจเบาๆ ขอบใจนะ ถ้าไม่ใช่เพราะเธอ ลุงถานของเธอคงขายหน้ามาก
ไม่เป็นไรครับลุงถาน ถ้าพวกถานเห่ารู้ว่าลุงถูกข่มเหงแล้วผมไม่ยอมช่วย ผมคงถูกด่าตาย
ฟางผิงหัวเราะ อย่างไรก็ตามถานเจิ้นผิงพลันพูดออกมา ดูเหมือนฉันจะเข้าใจแล้ว ความแข็งแกร่งเป็นสิ่งจำเป็น
ตัวฉันทำไม่ได้ แต่เห่ากับเทายังมีอนาคต
พอลุงกลับไป ต่อให้ต้องขายทุกอย่าง ลุงก็จะสนับสนุนพวกเขาให้พวกเขาเป็นผู้ฝึกยุทธโดยเร็ว!
ฟางผิงมีครอบครัวร่ำรวยงั้นเหรอ?
ไม่!
ต่อให้เขามี พ่อลูกเฉินก็ไม่มีทางรู้
อย่างไรก็ตามเมื่อชื่อของฟางผิงถูกเอ่ยขึ้นมา ลูกชายของเฉินฉีเทาถูกต่อว่าราวกับเป็นหลานชายฟางผิงก็ไม่กล้าโต้แย้ง
ทำไมล่ะ?
เพราะฟางผิงแข็งแกร่ง!
ด้วยความแข็งแกร่งของฟางผิง เขาจัดการทั้งสองได้ด้วยมือข้างเดียว
ต่อให้นับรวมพ่อด้วยก็ไร้ประโยชน์ ผู้ฝึกยุทธปราณและเลือดขั้นสองคงรนหาที่ตายแล้วถ้าพยายามมาต่อกรกับฟางผิง
มันเป็นเพราะลูกชายเฉินฉีเทาทราบเรื่องนี้ เขาจึงไม่ได้พูดอะไรออกมา แม้จะถูกฟางผิงเยาะเย้ยก็ตาม
ถานเจิ้นผิงมีความคิดมากมายอยู่ในใจ แต่ฟางผิงก็ไม่ต่างกัน
เวลานี้เขาเอาแต่สบถอยู่ในใจ ‘เจ้าเด็กนี่ไม่รู้จักหน้าฉัน!’
‘ฉันเคยคิดจะใช้หน้าฉันกินข้าวฟรี อย่างน้อยก็ในหมู่ผู้ฝึกยุทธขั้นหนึ่งขั้นสอง!’
‘อนาคตถ้าฉันเจอคนที่เลือกสู้ไม่ถอย ฉันต้องประกาศนามเอง บอกว่าเป็นฟางผิงจากโม๋อู่งั้นเหรอ?
‘มันน่าอายเกินไปแล้ว!’
ดูเหมือนเขาต้องทำให้ใบหน้าเขาเป็นที่รู้จักมากยิ่งขึ้น เป็นเหมือนอย่างเหล่าหวังที่ไปยังชมรมวิถียุทธโม๋อู่ครั้งก่อน เมื่อสมาชิกชมรมวิถียุทธได้ยินชื่อเหล่าหวัง พวกเขาต่างก็อุทานบอกว่า เชี่ย นั่นหวังจินหยาง พวกเราล่วงเกินเขาไม่ได้ นั่นต่างหากที่เป็นวิถีทางที่ถูกต้อง