การประลองนักศึกษามหาลัยวิชายุทธระดับประเทศครั้งแรกก็มาถึงจุดจบ โม๋อู่คว้าอันดับหนึ่งไปได้!
จิงอู่พ่ายแพ้! ในฐานะมหาลัยวิชายุทธชั้นนำ ชื่อเสียงพวกเขาดีกว่าความเป็นจริง!
น่าเสียดาย หัวหน้าทีมโม๋อู่ฟางผิงยังไม่ได้เจอกับหัวหน้าทีมจิงอู่หานซวี่
ในบรรดานักศึกษาใหม่ที่แข็งแกร่งที่สุด ใครกันแน่ที่เป็นอันดับหนึ่ง?
…
บนโลกออนไลน์มีโพสที่ถกเถียงกันเหมือนดั่งเช่นเคย
ใครเป็นนักศึกษาปีหนึ่งที่แข็งแกร่งที่สุด?
หานซวี่?
หานซวี่เอาชนะยอดฝีมือขั้นสองซุนหมิงยวี่ แต่ก็แพ้ให้กับคนต่อไป ส่วนนี้ยังไม่เป็นไร แต่รอบชิงเขาแพ้ให้กับเฉินหยุนซี ซึ่งทำให้ผู้คนนับไม่ถ้วนรู้สึกว่าชื่อเสียงของหานซวี่เกินจริง เขาอาจไม่ใช่คู่มือของฟางผิง
เฉินหยุนซีเป็นสมาชิกทีมสำรองโม๋อู่ ส่วนฟางผิงเป็นหัวหน้าทีม ทุกคนรู้สึกว่าฟางผิงต้องแข็งแกร่งกว่าเฉินหยุนซี
อย่างไรก็ตามฟางผิงกับหานซวี่ยังไม่ได้ประมือกัน แถมเขายังไม่ได้ประมือกับผู้ฝึกยุทธขั้นสองด้วย ใครจะมั่นใจได้ว่าฟางผิงต้องแข็งแกร่งที่สุด?
เขาประลองกับแปดมหาลัยพันธมิตรชนะสี่คนติด แต่แปดมหาลัยพันธมิตรเป็นทีมแรกที่ตกรอบ ความแข็งแกร่งของฟางผิงจึงพิสูจน์ไม่ได้
เกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่ละคนมีความเห็นของตน แต่ไม่มีใครมั่นใจเต็มร้อย
อย่างไรก็ตามโม๋อู่ชนะจิงอู่ถึงสองรอบ เหนือกว่าอย่างเห็นได้ชัด
มหาลัยวิชายุทธอันดับหนึ่ง จะเป็นจิงอู่ได้เหรอ?
นอกจากถกเถียงว่าใครแข็งแกร่งที่สุด หัวข้อที่เป็นกระแสอันดับหนึ่งบนโลกอินเตอร์เน็ตก็ยังเป็นเรื่องเกี่ยวกับสาเหตุที่พวกเขาเปิดเผยความอาจหาญของผู้ฝึกยุทธเหล่านี้
ผู้ฝึกยุทธไม่ใช่ผู้ที่เน้นฝึกวรยุทธอย่างเดียว นี่เป็นเรื่องที่ยอมรับกันกว้างขวาง
อย่างไรก็ตามงานประลองครั้งนี้แสดงให้เห็นถึงทิศทางอย่างหนึ่ง ผู้ฝึกยุทธให้ความสำคัญกับวรยุทธ!
งานประลองครั้งนี้ ตั้งแต่วันแรกถึงวันสุดท้าย ใครๆก็พูดกันว่าผู้ฝึกยุทธต้องสู้!
ศาสตร์แห่งยุทธของประเทศจีนที่เงียบสงบมาหลายปีพลันเกิดกระแส แต่ทำไมล่ะ?
บางคนก็คาดเดาว่าประเทศจีนอาจกำลังทำสงครามกับประเทศอื่น
บางคนก็คาดเดาว่าประเทศจีนกำลังเกิดการเปลี่ยนแปลงภายใน
บางคนก็คาดเดาว่ามีการรุกรานจากศัตรูภายนอก และผู้ฝึกยุทธจำเป็นต้องมีส่วนร่วมในการต่อสู้
การคาดเดาข้อสุดท้ายใกล้เคียงกับความจริง แต่การคาดเดาเหล่านี้ถูกข่าวอื่นและการจัดอันดับกลบหายไปอย่างรวดเร็ว
…
ณ วันที่ 16 มกราคม กระทรวงศึกษาธิการ พันธมิตรวิถียุทธ หนังสือพิมพ์หัวกว๋อและเว็บไซต์ผู้ฝึกยุทธประเทศจีนได้ประกาศอันดับความแข็งแกร่งเชิงยุทธของนักศึกษามหาลัยวิชายุทธในประเทศ
อันดับไม่ได้รวมข้อมูลของผู้ฝึกยุทธทั่วไป ผู้ฝึกยุทธของกองทัพหรือผู้ฝึกยุทธของกรมสืบสวน บันทึกไว้แต่อันดับของนักศึกษามหาลัยวิชายุทธในประเทศ
มีอันดับของขั้นหนึ่ง ขั้นสองและขั้นสาม ทั้งหมดสามอันดับ
อันดับกระจายทั่วโลกอินเตอร์เน็ตอย่างรวดเร็ว
ผู้ฝึกยุทธสามขั้นล่างใกล้เคียงกับคนทั่วไปมากที่สุด นี่เป็นขอบเขตที่คนทั่วไปก็บรรลุได้
…
บนรถไฟ ฟางผิงก็เห็นอันดับจากหนังสือพิมพ์เช่นกัน
หนังสือพิมพ์หัวกว๋อใช้ทั้งหน้าเพื่อเขียนอันดับโดยละเอียด
มีอันดับอยู่สามหมวด แต่ละหมวดมีอยู่ร้อยคน
อันดับขั้นหนึ่ง ฟางผิงอยู่ที่อันดับหก
พี่ไม่ได้เป็นที่หนึ่งเหรอ? ทำไมพี่ได้แค่ที่หก!
ฟางหยวนเรียกร้องแทนพี่ชาย แม้ว่ารอบสุดท้ายฟางผิงจะไม่ได้ขึ้นสังเวียน แต่สำหรับทุกคน ความแข็งแกร่งของฟางผิงก็ชัดเจน
เขาเป็นผู้ฝึกยุทธขั้นหนึ่งขัดเกลาสามครั้งที่ใช้กระบวนท่าไม้ตายได้ ผู้ฝึกยุทธแบบนี้ไม่ใช่อันดับหนึ่งได้อย่างไรกัน?
นั่นสิฟางผิง ทำไมนายไม่ใช่ที่หนึ่งล่ะ?
อู๋จื้อเห่ากับพวกก็เรียกร้องแทนเขาเหมือนกัน นี่เป็นเพียงอันดับของมหาลัยวิชายุทธ ไม่รวมผู้ฝึกยุทธกลุ่มอื่น ฟางผิงไม่ใช่ที่หนึ่งได้อย่างไร?
ตัวฟางผิงเองไม่สนใจนัก เขาเผยรอยยิ้ม ก็ไม่แปลก มีนักศึกษามหาลัยวิชายุทธเป็นแสน ขั้นหนึ่งมีมากสุด มีมากกว่าหกหมื่นคนซะอีก
ผู้ฝึกยุทธขั้นหนึ่งมีมากมาย ขนาดปีสามปีสี่ยังมีคนที่ยังอยู่ขั้นหนึ่งเลย
บางคนก็ยังอยู่ขั้นหนึ่งด้วยเหตุผลหลายอย่าง
ครั้งนี้เป็นแค่การประลองของนักศึกษาใหม่ นักศึกษาเก่าไม่ได้เข้าร่วม
ห้าอันดับแรกเป็นนักศึกษาเก่าหมดเลย…
แถมถ้าเราเจอกัน แพ้ชนะก็ไม่ใช่เรื่องแน่นอน
แน่นอน ที่สำคัญที่สุด ไม่จำเป็นต้องสนใจเรื่องนี้หรอก มันไม่ได้เกี่ยวข้องกับฉัน
ไม่เกี่ยวข้องกับนาย?
อู๋จื้อเห่าไม่เข้าใจ
ฟางผิงยิ้มแต่ไม่ได้พูดอะไร ‘ใช่ จะที่หนึ่งหรือที่หก มันเกี่ยวข้องกับฉันยังไง?’
‘ฉันไม่ใช่ผู้ฝึกยุทธขั้นหนึ่งแล้ว!’
เมื่อวานพอการประลองจบลง ฟางผิงก็เลือกทะลวงขั้นคืนนั้นเลย เขาบรรลุขั้นสองคืนก่อนแล้ว
ฟางผิงมียาปราณและเลือดขั้นสองอยู่
ครั้งนี้มหาลัยก็ใจกว้างพอกัน พวกเขาให้ฟางผิง 500 คะแนนในคราวเดียว เพิ่มค่าทรัพย์สินให้เขาถึงสิบล้าน!
ฟางผิงรีบใช้คะแนนแลกกับเม็ดยาป้องกันอวัยวะภายในขั้นสองกับเม็ดยาชำระกระดูกขั้นสองแล้วทะลวงขั้นทันที
เวลานี้ค่าสถานะของฟางผิงมีการเปลี่ยนแปลงอย่างมาก
ค่าทรัพย์สิน : 20,400,000
ปราณและเลือด : 330แคล (349แคล)
จิตใจ : 300เฮิรตซ์ (309เฮิรตซ์)
ขัดเกลากระดูก : 62 ชิ้น (90%) 1 ชิ้น (50%) 13 ชิ้น (40%) 130 ชิ้น (30%)
เขาได้เริ่มขัดเกลากระดูกแขนแล้ว
ค่าทรัพย์สินเขายังบรรลุถึงจุดสูงสุดใหม่ ทะลุ 20 ล้านไปแล้ว!
นอกจากนี้เขายังมีเงินสดอีกเก้าล้าน ก่อนหน้านี้เขามีมากกว่าสิบล้าน แต่เขาใช้ซื้อบริษัทตงเซิงไปบางส่วน
เขามีรองเท้าอัลลอยเกรดเอฟ ดาบอัลลอยเกรดดี
ส่วนยา เขามีเม็ดยาปราณและเลือดสามัญ 10 เม็ด ยาปราณและเลือดขั้นหนึ่ง 6 เม็ด ยาปราณและเลือดขั้นสอง 3 เม็ด ยารักษาอีกหลายอย่าง
นี่เป็นทั้งหมดที่ฟางผิงมีในปัจจุบัน
ส่วนวิชาที่เขาฝึก ฟางผิงสำเร็จวิชาดาบคลั่งระเบิดเลือดต่อเนื่องสามดาบ แต่ละดาบระเบิดพลัง 100แคล น่าเสียดายที่ก่อนหน้านี้เขาไม่มีโอกาสได้ใช้
ก่อนหน้านี้ ฟางผิงใช้สามดาบต่อเนื่องได้เหมือนกัน แต่ไม่บรรลุถึง 100แคล ไม่ก็เขาระเบิดปราณและเลือดได้ 100แคล แต่ทำได้แค่ดาบเดียว ไม่ใช่สามดาบต่อเนื่อง
เขาคิดว่าจะได้ใช้กับหานซวี่ แต่น่าเสียดาย แม้พวกเขาจะเจอกับอีกฝ่ายถึงสองรอบ แต่ฟางผิงก็ไม่มีโอกาสได้เจอกับหานซวี่เลย
เขาฝึกย่ำเมฆามีความสำเร็จสูงเช่นกัน เขาระเบิดปราณและเลือดถึงขั้นกระบวนท่าร้ายแรงแล้ว แต่ยังไม่สามารถบรรลุขอบเขตขั้นกระบวนท่าไม้ตาย
แน่นอนหลังปราณและเลือดเพิ่มขึ้นมาในขั้นสอง กระบวนท่าไม้ตายขั้นหนึ่งก็ไม่ใช่กระบวนท่าไม้ตายแล้ว
‘ปิดเทอม ฉันเป็นขั้นสองแล้ว’
ฟางผิงตื้นตันนิดหน่อย ‘ฉันมาถึงขั้นสองแล้วเหมือนกัน!’
ครั้งแรกที่เขาได้เจอกับหวงปิน อีกฝ่ายก็เป็นขั้นสอง ครั้งแรกที่เขาเจอกับหวังจินหยาง อีกฝ่ายก็เป็นขั้นสองเหมือนกัน
แม้ว่าคนพวกนั้นจะเป็นขั้นสองสูงสุด แต่พวกเขาก็เป็นผู้ฝึกยุทธขั้นเดียวกันแล้ว
ชั่วพริบตา เวลาก็ผ่านไปเก้าเดือน
จากคนธรรมดาที่มีปราณและเลือด 100แคลมาจนถึงขั้นสอง เป็นขั้นสองที่แข็งแกร่ง ฟางผิงรู้สึกว่าแม้ทุกอย่างจะยังเหมือนเดิม แต่ตัวเขาเปลี่ยนไป
‘ฉันสะสมค่าทรัพย์สินได้ถึง 20 ล้าน ฉันมีบริษัทที่ลงทุนไปมากกว่า 10 ล้าน เงินสดอีกเกือบ 10 ล้าน…’
เวลาไม่ถึงปี ฟางผิงได้มามากเกินไปด้วยซ้ำ!
นอกจากนี้ ตั้งแต่มหาลัยเปิด เขาสะสมได้มา 420 คะแนน แต่ฟางผิงใช้คะแนนแลกเม็ดยาไปส่วนหนึ่ง
ยังมีรางวัลทะลวงสู่ขั้นสองอีก 100 คะแนน แต่ฟางผิงยังไม่มีเวลาไปเอา
นอกจากนี้หลู่เฟิ่งโหรวบอกว่ามีรางวัลให้ถ้าเขาชนะฟางเหวินเสียง แต่ช่วงนี้หลู่เฟิ่งโหรวไม่อยู่มหาลัย เธอจะเชิดเขาไหมนะ?
‘ทรัพยากรพวกนี้พอให้ฉันใช้ถึงขั้นสองสูงสุดหรือขั้นสามด้วยซ้ำ!’
ด้วยค่าทรัพย์สินถึง 20 ล้าน คะแนนมูลค่าถึง 10 ล้าน และเงินสดอีก 10 ล้าน เขามีรวม 40 ล้าน มันจะไม่พอให้ขั้นสองฝึกได้ยังไง?
‘ฉันควรรีบฝึกให้ถึงขั้นสาม บางทีมันอาจถึงเวลาให้ฉันไปเยือนถ้ำใต้ดินแล้วด้วย’
ความคิดนี้แวบเข้ามาในใจฟางผิง ขณะที่อู๋จื้อเห่าและเพื่อนคนอื่นๆยังคงดิ้นรนเพื่อเป็นผู้ฝึกยุทธ ฟางผิงคิดถึงการเป็นผู้ฝึกยุทธขั้นสามแล้ว
…
เขาเดินออกจากสถานีรถไฟ
ฟางผิงทอดถอนใจ ถึงบ้านแล้ว!
พวกอู๋จื้อเห่าไม่ได้รู้สึกร่วมด้วย เขาหัวเราะออกมา อืม ใกล้ปีใหม่แล้ว
วันนี้วันที่ 16 มกราคม เป็นวันที่ 21 เดือน 12 ของปฏิทินจันทรคติ
อีกไม่กี่วันก็จะถึงวันสิ้นปีแล้ว
จากนั้นฟางผิงก็ดึงสติกลับมา บนท้องถนนเหมือนมีชีวิตชีวาขึ้น
ใกล้ปีใหม่แล้วเหรอ?
เมื่อเห็นผู้คนเดินผ่านไปมาด้วยความเร่งรีบพร้อมกับสีหน้ามีความสุข ฟางผิงก็เผยยิ้มโดยไม่รู้ตัวเหมือนกัน
บางทีเหตุผลที่ผู้ฝึกยุทธมากมายยอมเอาชีวิตไปแขวนบนเส้นด้ายในถ้ำใต้ดินก็เพราะเหตุนี้
เพื่อให้ทุกคนมีปีใหม่ที่สงบสุข ทำให้ครอบครัวมีชีวิตที่สงบสุข ทำให้พวกเขาอยู่ห่างไกลจากสงคราม อยู่ห่างไกลจากความตาย…
นี่อาจเป็นสิ่งที่ผู้ฝึกยุทธหลายคนกำลังคิดและกระทำ
กลับบ้านกันเถอะ!
ฟางผิงลากฟางหยวนไปแล้วโบกมือลาพวกอู๋จื้อเห่า
เขากลับมาบ้านแล้ว เขาจึงรู้สึกสบายใจ เขาไม่ต้องคิดเรื่องงานประลอง ไม่ต้องคิดเรื่องความเป็นความตาย ไม่ต้องคิดเรื่องถ้ำใต้ดิน
ต่อให้ท้องฟ้าถล่มลงมา ก็มีผู้ฝึกยุทธขั้นสูงมากมายแบกรับไว้
ฟางผิงในปัจจุบันไม่มีคุณสมบัติพอต้องห่วงเรื่องประเทศและประชาชน
…
ณ ย่านกวนหู
ผิงผิงกลับมาแล้ว!
หลี่อี้อิงเหมือนดั่งเช่นเคย เมื่อเห็นฟางผิงกลับมาบ้าน สีหน้าของเธอก็เปี่ยมด้วยความสุข
กลับกันฟางหมิงหรงอยากพูดอะไรบางอย่าง แต่ก็ไม่ได้พูด หลี่อวี้อิงไม่ได้เล่นอินเตอร์เน็ตติดตามข่าวมากนัก ผู้คนในย่านเล็กๆส่วนใหญ่คุยกันเรื่องทั่วๆไป ไม่ค่อยพูดเรื่องผู้ฝึกยุทธเท่าไหร่
แต่กระทรวงศึกษาต่างกัน!
มันเป็นกระทรวงที่อบรมผู้ฝึกยุทธ
แถมถานเจิ้นผิงยังไปชมการประลองที่เซี่ยงไฮ้ด้วยตัวเอง กระทรวงศึกษาเมืองนี้ก็พูดคุยและชมการประลองบนโลกออนไลน์เช่นกัน
ดังนั้นฟางหมิงหรงจึงเห็นลูกชายของตน!
แวบแรก เขาไม่กล้าเชื่อนัก เขาคิดว่าเขาดูผิดคน
แต่ชื่อแซ่เหมือนกัน หน้าตาเหมือนกัน ถ้าฟางหมิงหรงไม่ยอมรับว่าเป็นลูกชายของตน เขาคงจะหลอกตัวเองแล้ว
ฟางหมิงหรงไม่ได้โทรไปถามฟางผิง เพราะเขากลัวรบกวนลูกชาย
อย่างไรก็ตามเขาได้โทรหาลูกสาวและยืนยันว่าหัวหน้าทีมโม๋อู่เป็นลูกชายของตน ผู้คนในกระทรวงต่างก็รับรู้เช่นกันว่า ผู้ฝึกยุทธขั้นหนึ่งที่ไร้คู่ต่อกรตั้งแต่เริ่มการประลองคนนี้เป็นลูกชายของฟางหมิงหรง
ฟางหมิงหรงไม่รู้ว่าเขาควรภาคภูมิใจหรือกังวลดี
การได้ดูผู้ฝึกยุทธเหล่านี้ต่อสู้ไม่คิดชีวิตบนเวทีประลอง ถ้าเป็นลูกคนอื่น ฟางหมิงหรงรู้สึกเลือดเดือดพล่าน
อย่างไรก็ตามเมื่อเป็นลูกชายของตน จากเลือดเดือดพล่านก็แปรเปลี่ยนเป็นความกลัวและความกังวล
เวลานี้เมื่อคนของกระทรวงเห็นเขา ทุกคนต่างก็เป็นอบอุ่นเป็นมิตร ยกย่องที่เขามีลูกชายที่ดี
แต่ก่อนผู้อำนวยการไม่ได้สนใจเขาเท่าไหร่ แต่ครั้งก่อนผู้อำนวยการถึงกับมาเยี่ยมเขาที่ออฟฟิศด้วยตัวเองและเอ่ยถามสารทุกข์สุกดิบอย่างอบอุ่น
เพราะลูกชายเขาคือฟางผิง ผู้ฝึกยุทธขั้นหนึ่งสูงสุดที่แข็งแกร่งที่สุด!
ฟางหมิงหรงรู้สึกซับซ้อน เมื่อเขาเห็นฟางผิง เขาจึงอยากพูดอะไรบางอย่าง แต่เขาก็ไม่ได้พูด เพราะสุดท้ายเขาก็ไม่รู้จะพูดอะไร
เขาควรพูดอะไรล่ะ?
ให้ลูกชายออกจากมหาลัยงั้นเหรอ?
ลูกชายเขาสอบเข้ามหาลัยวิชายุทธได้ ก้าวสู่เส้นทางศาสตร์แห่งยุทธ เขาไม่ควรให้ลูกชายเดินอยู่บนเส้นทางนี้อีกงั้นเหรอ?
อย่างไรก็ตามเมื่อคิดถึงการต่อสู้บนเวทีประลอง ฟางหมิงหรงก็กังวลหนักมากจนพูดออกมาเป็นคำพูดไม่ได้
ความกังวลนี้หายไปอย่างรวดเร็วเมื่อได้ยินเสียงหัวเราะร่าเริงของลูกสาว
แม่ พี่สุดยอดมาก!
พ่อกับแม่น่าจะมากับหนู พี่ชายแข็งแกร่งมาก!
ฮึ่ม! ฮึ่ม! ฮ่า!…
ฟางหยวนเหวี่ยงหมัดเล็กๆไปมา หยิบไม้กวาดในบ้านหวดไปรอบๆแล้วพูดอย่างตื่นเต้น บนเวทีประลอง พี่ชายใช้หนึ่งดาบ หนึ่งกระบวนท่า จัดการคู่ต่อสู้ทีละคน…
โอ้ เสี่ยวหลิงตะลึง!
หนูก็ตะลึงเหมือนกัน!
เขาแข็งแกร่งมาก แม้แต่คนที่อยู่ข้างหนูยังชมว่าพี่แข็งแกร่งมาก…
อยู่เซี่ยงไฮ้เด็กสาวรู้สึกอัดอั้นมาก เธอไม่รู้คุยกับใคร เสี่ยวหลิงกับพวกก็ดูการประลองเหมือนกัน
ตอนนี้พอเธอกลับบ้าน ฟางหยวนจึงปล่อยตัว อธิบายทุกอย่างจนทำให้หลี่อวี้อิงสับสน
ถ้าเธอแค่เล่าเฉยๆมันยังไม่เป็นไร แต่เธอเริ่มแกว่งไม้กวาดไปมาราวกับตนเองเป็นคนที่ประลองกับคู่ต่อสู้บนเวที
จากนั้นสักครู่ ในที่สุดหลี่อวี้อิงก็เข้าใจ
เธอจ้องมองลูกชายด้วยความตกใจ ผิงผิง ลูกเข้าร่วมการประลองเหรอ?
เธอไม่ได้ดูถ่ายทอดสด ไม่ได้ดูบนโลกออนไลน์ เธอรู้แค่ว่ามีงานประลอง แต่ไม่รู้ว่ามีคนบาดเจ็บจากการประลอง
ในสายตาของหลี่อวี้อิง การประลองอาจคล้ายกับการแสดงในทีวี คุณโจมตีฉันหนึ่งกระบวนท่า ฉันโจมตีกลับไปหนึ่งกระบวนท่า…
การได้รับบาดเจ็บหรือความตาย หลี่อวี้อิงไม่รู้ว่านักศึกษาประลองกันแบบนี้
ฟางหมิงหรงชำเลืองมองภรรยา เขาคิดอยู่ชั่วครู่ก่อนจะตัดสินใจไม่พูดอะไร มันมีแต่จะเพิ่มปัญหาก็เท่านั้น
ฟางผิงไม่พูดอะไรเช่นกัน เขายิ้มสบายๆ อืม ผมร่วมการประลอง อย่าฟังฟางหยวนพูดเหลวไหล เป็นการประลองของผู้ฝึกยุทธขั้นหนึ่งไม่กี่คน พวกเราเป็นนักศึกษาปีหนึ่ง มันจะสุดยอดขนาดนั้นได้ยังไง?
แม่มันสุดยอดมาก หนูไม่ได้โกหก อีกอย่างนะ อีกอย่าง เพื่อนพี่บอกว่าดาบของพี่มีราคากว่าสิบล้าน…
ดาบ?
เป็นอันนี้ เป็นอันนี้!
ฟางหยวนหยิบกล่องไม้ที่ฟางผิงวางลงอย่างมีความสุข เปิดกล่องพร้อมกับหัวเราะคิกคัก แม่ มันเป็นอันนี้!
สิบล้าน? ใครบอกเรื่องไร้สาระแบบนี้กับลูก?
จริงๆนะ…
แม่กับลูกสาวเริ่มคุยกัน เนื่องจากฟางผิงไม่ได้บาดเจ็บ และเธอเห็นเพียงว่าฟางผิงไล่ทุบตีคน ไม่ใช่ถูกคนทุบตี ฟางหยวนจึงไม่กังวลเหมือนตอนแรก
เมื่อพูดถึงการต่อสู้ เธอก็พูดจ้อไม่หยุด เก็บงำความตื่นเต้นไว้ไม่อยู่
เมื่อฟางผิงเห็นน้องสาวมีความสุข แต่แม่สับสนงุนงง เขาก็อดยิ้มออกมาไม่ได้
…
ขณะที่แม่กับลูกสาวคุยกันอยู่ข้างๆ ฟางผิงกับพ่อก็เดินไปที่ระเบียง
ฟางหมิงหรงสูบบุหรี่และพูดออกมาเบาๆ ลูกไม่บาดเจ็บใช่ไหม?
ไม่ครับ
ผู้ฝึกยุทธ…ต้องเป็นแบบนี้เหรอ? ผู้อำนวยการกับคนอื่นๆ…
ในอนาคตจะเป็นเหมือนกันหมด แถมรอบนี้เป็นสถานการณ์พิเศษ การประลองระหว่างผู้ฝึกยุทธไม่ได้นองเลือดแบบนี้เสมอไป ส่วนใหญ่จะเป็นการประลองกระชับมิตร
ฟางผิงไม่ได้โกหก มีการประลองไม่มากนักที่จะประลองแบบไม่สนความเป็นความตาย
คู่ต่อสู้ที่แท้จริงของผู้ฝึกยุทธเป็นสิ่งมีชีวิตที่อยู่ในถ้ำใต้ดิน!
ฟางผิงไม่รู้นักว่าสถานการณ์ในถ้ำใต้ดินเป็นอย่างไร
อย่างไรก็ตามฟางผิงเดาได้ว่ามันต้องโหดร้ายและนองเลือดมากยิ่งกว่านี้หดร้ายและนองเลือดมากยิ่งกว่านี้
ปีๆนึงมีผู้ฝึกยุทธมากมายเท่าไหร่ที่เสียชีวิตในถ้ำใต้ดิน?
ศิษย์ของหลู่เฟิ่งโหรวหลายคนก็สิ้นชีพที่ถ้ำใต้ดิน มหาลัยวิชายุทธหนานเจียง มหาลัยวิชายุทธเทียนหนานและมหาลัยวิชายุทธเซี่ยงไฮ้ ก็มีผู้ฝึกยุทธขั้นสามชั้นยอดมากมายที่สิ้นชีพในถ้ำใต้ดิน
มีผู้ฝึกยุทธมากแค่ไหนเชียวที่สิ้นชีพด้วยน้ำมือของผู้ฝึกยุทธคนอื่นบนเวทีประลอง?
พ่อไม่เข้าใจเรื่องของลูก…พ่อกับแม่แค่หวังว่าลูกจะปลอดภัย กลับมาฉลองปีใหม่กับครอบครัวทุกปี…
แน่นอนพ่อ ไม่ต้องห่วงผมหรอก ผมไม่ได้โง่ขนาดนั้น ถ้ามีอันตราย ผมไม่ทำหรอก
งั้นก็ดี ค่อยยังชั่ว…
พ่อกับลูกชายเงียบลง ฟางหมิงหรงไม่ยกเรื่องการต่อสู้มาพูดอีก ราวกับว่าเขาลืมเรื่องเหล่านั้นไปแล้ว
ฟางผิงไม่อยากคุยเรื่องนี้กับครอบครัวเหมือนกัน เขาแค่หวังว่าพ่อกับแม่จะมีชีวิตที่มีความสุข ไม่เจ็บไข้
…
คืนวันนั้น ฟางผิงนอนหลับอย่างสงบอีกครั้ง
กลับมาถึงบ้าน ฟางผิงรู้สึกเหมือนเขากลับมาอีกโลกนึง
อยู่ที่บ้าน ทุกอย่างสงบสุข สบายใจ
เมื่อเขาตื่นขึ้นมาตอนเช้า เขาก็ตั้งใจฟัง
เขาฟังเสียงแม่กำลังทำอาหาร ฟังเสียงพ่อไอ ฟังเสียงน้องสาวหาว ฟางผิงมีความสุขกับทุกอย่าง
‘เพื่อปกป้องงั้นเหรอ?’
ความคิดนี้ปรากฏในใจฟางผิง นี่เป็นจุดประสงค์ที่แท้จริงของผู้ฝึกยุทธอย่างนั้นเหรอ?
เขาไม่รู้ และเขาก็ไม่อยากคิดด้วย