ณ อาคารพาณิชย์
ฟางผิงขมวดคิ้ว ไม่มีใครทราบได้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่
ข้างๆเขา หลี่เฉิงเจ๋อค่อนข้างกังวลเช่นกัน ไม่กล้าพูดอะไรออกมา
ตอนนี้ฟางผิงกำลังพิจารณาสิ่งที่หลี่เฉิงเจ๋อพูด
นับตั้งแต่ดิสแทนซ์จำกัดยึดบริษัทตงเซิง ธุรกิจอาหารฟาสต์ฟูดตอนนี้ก็แทบครอบคลุมมหาลัยเกือบทุกแห่งในเมืองมหาวิทยาลัย
แม้พวกเขาจะมีรายได้ไม่มาก แต่ธุรกิจของพวกเขาก็ยังขยายตัวออกไปมาก
ส่วนธุรกิจส่งอาหาร ดิสแทนซ์จำกัดได้เซ็นสัญญากับบริษัทขนส่งอีกสองสามแห่งโดยแบ่งเขตกัน
หลังดิสแทนซ์จำกัดพัฒนามากว่าครึ่งปี ดิสแทนซ์จำกัดก็ได้ขยายขอบเขตระยะทาง ขยายขอบเขตของธุรกิจไปมาก
แต่กระนั้นฟางผิงก็ยังไม่เห็นค่าทรัพย์สินเพิ่มขึ้นเลย
ระบบคำนวณค่าทรัพย์สินของเขายังไงกันแน่?
ทรัพย์สินสุทธิ?
ถ้าระบบคำนวณค่าทรัพย์สินแบบนั้น งั้นมันก็สมเหตุสมผล เพราะมูลค่าปัจจุบันของดิสแทนซ์จำกัดไม่ได้เกินไปกว่าเงินที่ฟางผิงลงทุนไปกับบริษัท ดิสแทนซ์จำกัดในตอนนี้ย่อมมีมูลค่าน้อยกว่า 15 ล้าน ซึ่งเป็นเงินที่ฟางผิงลงทุนเอาไว้
ถ้าเป็นแบบนั้น งั้นเขาก็จะได้ค่าทรัพย์สินเพิ่มยากมาก ระบบคงไม่ทำให้มันยุ่งยากแบบนั้นหรอกใช่ไหม?
ถ้าระบบไม่ได้คำนวณทรัพย์สินตามทรัพย์สินสุทธิ งั้นมันก็ต้องคำนวณทรัพย์สินตามมูลค่าที่ระบุต่อสาธารณะ
พูดง่ายๆก็คือ ทรัพย์สินจะถูกคำนวณจากมูลค่าทางตลาดหากมีการระบุต่อสาธารณะ หรือไม่ก็เป็นมูลค่าโดยประเมิณ
มูลค่าที่ระบุต่อสาธารณะของดิสแทนซ์จำกัดเกิน 15 ล้านไหม?
หลังเงียบไปพักใหญ่ ฟางผิงก็เคาะโต๊ะเบาๆ ในอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม ดิสแทนซ์จำกัดกำลังไปได้สวย มีคนสนใจลงทุนไหม?
ลงทุน? หลี่เฉิงเจ๋อคิดอยู่ชั่วครู่ก่อนจะส่ายหน้า ไม่ แต่มีบริษัทนึงแสดงท่าทีอยากซื้อธุรกิจ
พวกเขาเสนอราคาเท่าไหร่?
10 ล้าน!
ฟางผิงแค่นเสียง จากนั้นเขาก็พูด ถ้ามีคนอยากลงทุน คุณไปเจรจาได้เลย ดูว่าพวกเขาประเมิณธุรกิจเราเท่าไหร่
ตอนนี้เขาสงสัยว่าทรัพย์สินเขาไม่เพิ่มเพราะมูลค่าที่แท้จริงของบริษัทไม่ได้รับการยอมรับ
หลังพิจารณาเล็กน้อย ฟางผิงก็พูดเสริม อันที่จริง ผมพบว่าวิธีหาเงินที่ง่ายที่สุดในสมัยนี้คือหากับผู้ฝึกยุทธ
ผู้ฝึกยุทธค่อนข้างรวย!
พวกเขาได้เงินจำนวนมากอย่างรวดเร็ว และยอมจ่ายเงินจำนวนมาก
ผมพึ่งพบอีกปัญหานึงตอนอยู่เมืองหยางเฉิง ฟางผิงรำพึง ผู้ฝึกยุทธมีเงินแต่ใช้ไม่ได้ถ้าอยู่เมืองเล็กๆอย่างหยางเฉิง
ถ้าพวกเขาอยากซื้อยา พวกเขาต้องไปซื้อที่เมืองใหญ่กว่าหรือไปที่ใจกลางมณฑล
ถ้าเกิดเราหาวิธีตั้งร้านอีคอมเมิร์ซบนโลกออนไลน์ล่ะ? คุณคิดว่าจะเป็นยังไง?
อีคอมเมิร์ซยังเป็นธุรกิจที่ค่อนข้างใหม่ และยังไม่มีร้านค้าออนไลน์มีเน้นขายของให้กับผู้ฝึกยุทธ
แต่เม็ดยากับอาวุธแพงมาก ผู้ฝึกยุทธยังไม่ไว้ใจร้านค้าออนไลน์มากพอที่จะซื้อของสำคัญแบบนี้ผ่านอินเตอร์เน็ต
หลี่เฉิงเจ๋อส่ายหน้ากับความคิดฟางผิง มันยากเกินไป! แถมเรา…เราไม่มีคุณสมบัติพอ
แม้ว่าฟางผิงจะเป็นขั้นสองแล้ว แต่ผู้ฝึกยุทธขั้นต่ำอย่างเขาอยากเปิดร้านขายของออนไลน์ที่เกี่ยวกับผู้ฝึกยุทธเป็นเรื่องน่าขันเกินไป
นอกจากความยากในการหาตำแหน่งช่องทางที่เหมาะสมแล้ว บริการจัดส่งเฉพาะทางที่ส่งสินค้าราคาแพงนับล้านยังไม่มีบริการ บริษัทจัดส่งในปัจจุบันยังทำไม่ได้
หากไม่มีผู้ฝึกยุทธคุ้มครอง กระบวนการขนส่งจะเป็นอันตรายอย่างยิ่งเช่นกัน
โลกไม่ได้ขาดแคลนผู้ฝึกยุทธที่เป็นโจรและยอมเสี่ยงชีวิตเพื่อได้ความมั่งคั่งมาง่ายๆ
ฟางผิงกุมขมับ เขาถอนหายใจเบาๆ ถ้าเราทำสิ่งนี้สำเร็จ เราจะได้ทั้งเงินทั้งชื่อเสียงแน่นอน เพราะเราจะผูกขาดทรัพยากรที่ผู้ฝึกยุทธใช้ฝึกฝนแด่เพียงผู้เดียว…
ไม่จำเป็นต้องพูดถึงเลยว่าเมื่อแพลตฟอร์มนี้ได้รับการยอมรับ วิธีซื้อของออนไลน์นี้จะเป็นทางเลือกของผู้ฝึกยุทธส่วนใหญ่ในอนาคต
ร้านค้าหน้าร้านกับร้านค้าอีคอมเมิร์ซดำเนินไปได้พร้อมกัน ถ้าฟางผิงเปิดร้านค้าอีคอมเมิร์ซได้สำเร็จ เขาจะเป็นผู้จัดจำหน่ายทรัพยากรรายใหญ่ ผลกำไรที่ได้รับต่อให้ไม่พูดถึงอิทธิพลก็ยากจะประเมินแล้ว
แน่นอน คุณสมบัติที่จำเป็นก็ต้องมากตามไปด้วย และฟางผิงในปัจจุบันก็มีคุณสมบัติไม่เพียงพอ
แพลตฟอร์มอย่างอาลีบาบาอาจถือเป็นตลาดสำหรับผู้ฝึกยุทธเช่นกัน แต่มันยากลำบากเกินไป แนวคิดนี้จึงถูกยกเลิก การผูกขาดทรัพยากรเป็นปัญหาใหญ่ เพราะการผลิตเม็ดยาและอาวุธล้วนถูกผูกขาดไว้
อย่างไรก็ตาม…มันอาจยังมีหวัง
จู่ฟางผิงก็กล่าว บอกมา ถ้าเกิดผมสร้างแพล็ตฟอร์มแบบนี้ในโม๋อู่ล่ะ? เราจะวางสินค้าที่ขายในแผนกโลจิสติกส์บนโลกออนไลน์ให้นักศึกษาเลือกซื้อ จ่ายด้วยคะแนนล่ะ?
ถ้าเราทำแบบนี้ นักศึกษาจะได้ไม่จำเป็นต้องเดินทางไปแผนกโลจิสติกส์บ่อยๆ นอกจากนี้แผนกโลจิกติกส์อาจอยู่ในมหาลัย แต่นักศึกษาบางคนก็อยู่นอกมหาลัยมากกว่า พวกเขาต้องกลับมามหาลัยทุกครั้งที่ต้องแลกเปลี่ยนคะแนนเป็นทรัพยากร ซึ่งมันยุ่งยากมาก
จะมีคนยอมรับเรื่องแบบนี้ด้วยเหรอ?
หลี่เฉิงเจ๋อจ้องมองฟางผิงสักพัก จากนั้นเขาก็ถามอย่างประหม่า แล้ว…แล้วจะเอากำไรที่ไหน?
ฟางผิงแววตาเปล่งประกาย อย่างแรก นี่เป็นการเข้าถึงทรัพยากรในโม๋อู่ เมื่อทุกคนคุ้นเคยกับการซื้อของออนไลน์ ผมจะเข้าถึงช่องทางทรัพยากรได้มากขึ้น
สอง ยังไงมันก็มีกำไร เราได้เพิ่มประสิทธิภาพของโม๋อู่และไม่จำเป็นต้องให้อาจารย์ขั้นกลางและขั้นสูงรับผิดชอบแผนกโลจิสติกส์อีก
ถ้าเราต้องจัดส่งทรัพยากรจำนวนมาก เป็นไปได้ไหมว่าเราจะขอส่วนลด? แน่นอนว่าเป็นไปได้! เราอาจกินส่วนต่างได้ ผมแค่กลัวว่า…
ความกังวลเดียวก็คือโม๋อู่ไม่ยอมมอบตลาดนี้ให้กับนักศึกษา ถ้าเขาทำพลาด เขาจะขาดทุนครั้งใหญ่
แผนของฟางผิงคือลองใช้กับโม๋อู่ จากนั้นค่อยขยายธุรกิจเมื่อเขามีความสามารถมากพอ
ก่อนอื่นเขาจะเริ่มทำขนาดเล็กๆในโม๋อู่ จากนั้นค่อยขยายทั่วมหาลัยวิชายุทธในเซี่ยงไฮ้ จากนั้นเขาก็จะขยายสาขาไปมหาลัยวิชายุทธทุกแห่งทั่วประเทศ สุดท้ายก็จะเป็นผู้ฝึกยุทธและประชาชนทุกคน!
ฟางผิงหยุดชั่วครู่ก่อนจะพูดต่อ การส่งของและส่งอาหารและเครื่องดื่มก็ยังกำหนดเป้าหมายที่ผู้ฝึกยุทธได้ด้วย
แม้ในมหาลัยวิชายุทธจะมีอาหารให้ฟรี แต่ส่วนใหญ่มันเป็นอาหารธรรมดา
ถ้าเราพัฒนาตลาดอาหารและเครื่องดื่มระดับไฮเอนด์ที่เน้นผู้ฝึกยุทธเป็นหลักล่ะ?
ผู้ฝึกยุทธส่วนใหญ่ไม่อยากเสียเวลา บางครั้งเมื่อผู้ฝึกยุทธจดจ่อกับการฝึกฝน พวกเขาก็ขี้เกียจไปหาอาหารกัน
คนที่มีเงินจะกินยาปราณและเลือดแทน คนที่ไม่ค่อยมีเงินก็จะกินยาบำรุงเลือดแทน
ถ้าเราบุกเบิกบริการส่งอาหารและเครื่องดื่มระดับไฮเอนด์ที่ช่วยเพิ่มปราณและเลือดให้กับผู้ฝึกยุทธได้…พูดตรงๆ คนพวกนี้ต่างเป็นคนร่ำรวย พวกเขาจ่ายได้สบาย
ต่อให้เราเก็บเงินร้อยหยวนต่อครั้ง พวกเขาก็ไม่กระพริบตาด้วยซ้ำ พวกเขาจะได้ผ่อนคลาย ฝึกฝนไปพร้อมกับเพลิดเพลินไปกับอาหารอร่อยๆ ส่งตรงถึงหน้าประตู มันดีกว่ากินยาแน่นอน…
ยิ่งฟางผิงพูด มันก็ยิ่งดูเหมือนทำได้มากขึ้น
บางครั้งช่วงฝึกยุทธอยู่ ฟางผิงยังอดไปโรงอาหารไม่ได้เลย แต่เขาก็พบว่ามันเดินทางลำบาก
แต่เขาไม่สามารถพึ่งพาเม็ดยาหรือค่าทรัพย์สินเพื่อฟื้นฟูปราณและเลือดได้ตลอดเวลา ยังไงมนุษย์ก็ยังต้องดื่มต้องกิน
ถ้ามีคนส่งอาหารให้เขา เขาย่อมไม่คิดมากที่จะจ่ายค่าส่งอาหารให้ นั่นไม่ใช่ปัญหาเลย
สำหรับคนรวยแล้ว ร้อยหยวนมีค่าแค่ไหนเชียว?
แต่แผนการนี้สำเร็จได้ยาก ก่อนอื่นเลยคนส่วนใหญ่ไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปในเขตหอพักของมหาลัย การเจรจาขออนุญาตเป็นเรื่องที่ยุ่งยากมาก
สองคือ เจ้าของร้านอาหารระดับไฮเอนด์มีสายตาสูงส่ง เจรจาขอความร่วมมือก็ยุ่งยากพอกัน
สุดท้ายก็คือ เพราะฟางผิงอ่อนแอเกินไป เขาเป็นเพียงผู้ฝึกยุทธขั้นสองเท่านั้น
ผู้ฝึกยุทธอย่างเขา ถ้าต้องการเข้าสู่อุตสาหกรรมที่ให้บริการผู้ฝึกยุทธ มันไม่ใช่เรื่องง่าย
ถ้าเขาเป็นปรมาจารย์ มันคงราบรื่นมาก เรื่องบางเรื่องเขาก็ทำได้อย่างง่ายๆ
เขาเคาะโต๊ะอีกครั้ง กัดฟันกรอด ผมจะไปหารือกับโม๋อู่ มันอาจทำได้ ไม่งั้นตอนนี้เราก็ได้แต่ยอมแพ้ไปก่อนแล้วมุ่งเป้าที่คนธรรมดาแทน
แต่ถ้าเรามุ่งเป้าที่แวดวงยุทธ ทุกอย่างจะต่างออกไป!
ประเทศชาติลงทุนเงินให้กับผู้ฝึกยุทธไปนับไม่ถ้วนนับล้านๆ
ผู้ฝึกยุทธในประเทศมีนับล้าน ถ้าผู้ฝึกยุทธใช้จ่ายเงินหมื่นหยวน ทั้งแวดวงยุทธก็จะใช้จ่ายเงินไปนับหมื่นล้านหยวน และผู้ฝึกยุทธทั่วๆไปก็ใช้จ่ายเงินมากกว่าหมื่นหยวนต่อปีอยู่แล้ว!
นี่ไม่ใช่แค่ตลาดหลักหมื่นล้าน อย่างน้อยที่สุดมันจะเป็นตลาดหลักล้านๆ
ต่อให้ฟางผิงขอส่วนแบ่งชิ้นเค้กนี้ด้วย แต่มันก็เป็นเงินมากมาย
ปัญหาหลักตอนนี้คือ เขาอ่อนแอเกินไป เขายังไม่มีสิทธิ์สิทธิ์ไปขอส่วนแบ่ง
หลี่เฉิงเจ๋อไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญเรื่องเกี่ยวกับยุทธ แต่หลังพิจารณา เขาก็พูดออกมา คุณฟาง ถ้าอยากมุ่งเป้าที่ผู้ฝึกยุทธจริงๆ เรา…เราต้องเตรียมจ้างผู้ฝึกยุทธ
แต่ค่าใช้จ่ายมัน…สูงเกินไป!
ถ้าบริษัทอยากทำธุรกิจที่เกี่ยวกับผู้ฝึกยุทธจริงๆ พวกเขาย่อมดำเนินธุรกิจไม่ได้ในเมื่อฟางผิงเป็นผู้ฝึกยุทธคนเดียวในบริษัท
ช่องว่างระหว่างผู้ฝึกยุทธกับคนธรรมดานั้นกว้างเกินไป
หากไม่มีผู้ฝึกยุทธเป็นตัวแทนของบริษัทไปเจรจาธุรกิจ ต่อให้อยากขยายธุรกิจเพียงเล็กน้อยก็เป็นไปไม่ได้
ฟางผิงแค่ฝึกยุทธอย่างเดียวก็เต็มกลืนแล้ว เขาไม่มีเวลาไปยุ่งเรื่องอื่น
คุณพูดถูก…แต่มันเป็นเรื่องที่ต้องพิจารณาในอนาคต รอจนกว่าผมเจรจาบางอย่างได้ก่อน
ฟางผิงไม่มั่นใจว่าความคิดเขาจะได้รับการอนุมัติไหม
ยอดยุทธในโม๋อู่อาจดูถูกเรื่องนี้ แต่พวกเขาย่อมไม่ยอมให้นักศึกษาจัดการเรื่องแบบนี้เช่นกัน
คุณทำงานของคุณต่อเถอะ เขาบอกหลี่เฉิงเจ๋อ นอกจากนี้จำเรื่องพัฒนาแอพมือถือที่ผมพูดไว้ด้วย ประเทศอนุมัติเครือข่าย 3G แล้ว บางบริษัทก็เริ่มพัฒนาสมาร์ทโฟน 3G แล้ว…
การขยายธุรกิจก็ต้องดำเนินต่อเช่นกัน อย่างน้อยเราต้องครอบคลุมเมืองมหาวิทยาลัย มันผ่านมาครึ่งปีแล้ว เรายังยึดไม่ได้สักเขต…
ถ้าบริษัทขาดเงิน คุณจะกู้ก็ได้ หรือจะแจ้งผมก็ได้
สิ่งสำคัญคือความเร็ว โดยเฉพาะช่วงแรกของธุรกิจเน้นความเร็วเป็นหลัก…
ฟางผิงรู้สึกหมดความอดทน ในเดือนหน้า ความมั่งคั่งเขาอาจหมดเกลี้ยง ถ้าเขาหาเงินไม่ได้เลย แล้วเขาจะฝึกต่อได้ยังไง?
เขาไม่ได้รับการสนับสนุนจากครอบครัว เขาจะไปทำภารกิจครั้งแล้วครั้งเล่าเพื่อรางวัลเล็กน้อยได้เหรอ?
หลังเอ่ยเตือนเรื่องอื่นๆกับหลี่เฉิงเจ๋อและบอกให้อีกฝ่ายช่วยซื้อรถให้ ฟางผิงก็จากไปพร้อมกับอาการปวดหัว อย่างไรก็ตามความฝันของการกลายเป็นพ่อค้าคนกลาง ไม่สิ เป็นผู้จัดจำหน่ายที่ประสบความสำเร็จที่สุดในแวดวงยุทธก็ยังวนเวียนอยู่ในใจ
เขามีความคิดนี้มานานแล้ว แต่ตอนนั้นเขาเป็นแค่คนธรรมดา เขาจึงได้แต่คิดเท่านั้น
ตอนนี้เขากลายเป็นผู้ฝึกยุทธขั้นสองแล้ว และอาจก้าวสู่ขั้นสามในไม่ช้า เขายังอ่อนแอ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาไม่มีหวังเลย