หลังจากที่เขาออกมาจากเขตใต้ ในที่สุดฟางผิงก็เข้าใจว่าทำไมมันถึงถูกเรียกได้ว่าเป็นแก่นของมหาลัย
ถ้าเขตใต้ถูกทำลาย มหาลัยก็จะไม่มีแผนที่ภูมิประเทศของถ้ำใต้ดิน ไม่มีที่หลอมอาวุธ ไม่มีห้องเก็บทรัพยากร…
โม๋อู่จะไม่แตกต่างไปจากมหาลัยวิชายุทธทั่วๆไป มันจะเป็นแค่มหาลัยที่มีพื้นที่มากกว่า แต่มีคนน้อยกว่า
…
ถ้ำใต้ดิน…
ช่วงนี้ คำๆนี้ดังก้องอยู่ในหูของฟางผิงตลอดเวลา
ทุกอย่างเป็นเพราะถ้ำใต้ดิน!
การก่อตั้งสาขาวิชายุทธเหล่านี้ในโม๋อู่ก็เป็นเพราะถ้ำใต้ดิน
การก่อตั้งทีมต่อสู้ในเมืองต่างๆก็เป็นเพราะถ้ำใต้ดิน
สิทธิพิเศษที่มอบให้ผู้ฝึกยุทธก็เป็นเพราะถ้ำใต้ดินอีกเช่นกัน…
อาจกล่าวได้ว่าความเปลี่ยนแปลงใหญ่ๆเกิดขึ้นเพราะสิ่งนี้ หากไม่มีถ้ำใต้ดิน อาชีพที่เกี่ยวข้องกับวิชายุทธจะยังมีอยู่หรือไม่ก็ยังเป็นคำถามที่ไม่มีคำตอบ
…
หลังกลับมาจากเขตใต้ ฟางผิงก็ไม่ได้ไปที่นั่นอีกเลย
ยังไงเขาก็ไม่มีคะแนนเหลือแล้ว ดังนั้นต่อให้ไปที่นั่น มันก็ไม่มีประโยชน์อะไร
เมื่อวันเวลาไหลผ่านไป ค่าทรัพย์สินของฟางผิงก็ลดลงไปดุจเดียวกัน เขาได้แต่หาความสุขท่ามกลางความเจ็บปวดเพื่อปลอบใจตนเอง อย่างน้อยตอนนี้ความเร็วขัดเกลากระดูกของเขาก็รวดเร็วมาก
นอกจากการฝึกยุทธแล้ว ช่วงนี้ฟางผิงยังได้ศึกษาวิชาอื่นอย่างจริงจังเช่นกัน
วิชาอย่างเอาชีวิตรอด ยกตัวอย่าง การแยกแยะทิศทางในถิ่นทุรกันดาร นี่เป็นวิชาที่เขารู้สึกว่ามันจำเป็นอย่างยิ่งเพื่อประโยชน์ของตนเอง
สิ้นเดือนกุมภาพันธ์ ค่าทรัพย์สินของฟางผิงก็หมดลงเป็นครั้งแรก
เมื่อเขาเห็นค่าทรัพย์สินลดลงเหลือไม่ถึงล้าน ฟางผิงก็ตื่นตระหนก
ทรัพย์สิน : 850,000
ปราณและเลือด : 450แคล (499แคล)
จิตใจ : 400เฮิรตซ์ (429เฮิรตซ์)
ขัดเกลากระดูก : 120 ชิ้น (90%) 86 ชิ้น (30%)
กุมภาพันธ์ปีนี้มีอยู่ 28 วัน
ฟางผิงกลับมามหาลัยวันที่ 4 ตอนนั้นเขาขัดเกลากระดูกได้ 70 ชิ้น
ตอนนี้เขาขัดเกลากระดูกได้ 120 ชิ้นแล้ว!
ใน 25 วันฟางผิงขัดเกลากระดูกได้ 50 ชิ้น เฉลี่ยแล้ว 2 ชิ้นต่อหนึ่งวัน
อย่างไรก็ตามค่าทรัพย์สินของเขาลดลงจาก 26 ล้านเหลือเพียง 8.5 แสน
เขามียาชำระร่างกาย 25 เม็ด ตอนนี้เขาเหลือเพียง 3 เม็ดเท่านั้น
ปัจจุบัน เขามีค่าทรัพย์สิน 8.5 แสน ยาชำระร่างกาย 3 เม็ด เหลือกระดูก 6 ชิ้นจะกลายเป็นขั้นสองสูงสุด และเขาก็ยังไม่ได้เคล็ดฝึกฝนวิชาต่อสู้…
ตอนนี้ฟางผิงไม่กล้าใช้ระบบเพื่อขัดเกลากระดูกแล้ว
ค่าทรัพย์สินน้อยนิดทำให้เขาขัดเกลากระดูกได้สองชิ้นเท่านั้น กระดูก 120 ชิ้นกับ 122 ชิ้นแตกต่างกันแค่ไหนเชียว?
ฉันต้องหาเงินเพิ่มแล้ว ฉันจำเป็นต้องเก็บค่าทรัพย์สินเล็กน้อยนี้ไว้เพื่อเอาชีวิตรอดในยามฉุกเฉิน!
เขาจำเป็นต้องใช้ค่าทรัพย์สิน 1000 แต้มเพื่อฟื้นฟูปราณและเลือด 1 แคล ดาบเดียวของเขาก็ผลาญไปเป็นร้อยแคลแล้ว นั่นตีเป็นค่าทรัพย์สินถึงหนึ่งแสนแต้ม!
8.5 แสนพอให้ฟางผิงแกว่งดาบใม่กี่กระบวนเท่านั้น
เขาใช้ยาปราณและเลือดไปหมดแล้ว ตอนนี้เขาเหลือยาปราณและเลือดขั้นสองเพียงเม็ดเดียว
อาจพูดได้ว่าฟางผิงไม่เคยยากจนขนาดนี้มาก่อนนับตั้งแต่เข้าโม๋อู่มา
หากไม่มีทางเลือกที่ดีกว่า เขาทำได้แต่หันกลับไปทำภารกิจอีกครั้ง เพราะบริษัทเขายังไม่มีผลกำไรเลย
…
โรงฝึก
จ้าวเหล่ยรู้สึกใจร้อนเล็กน้อย ฟางผิงอยู่ไหน? เขาบอกให้เรามา แต่เขาไม่โผล่มาแม้แต่เงา คิดว่าเขายิ่งใหญ่มากรึไง!
ฟู่ชางติ่งพูดอย่างเกียจคร้าน นายเลือกจะไม่มาได้ แต่ฟางผิงบอกไปแล้วว่าคนที่ไม่มาจะถูกอัด
ถ้านายเจอเขาในคลาสต่อสู้จริงแล้วเขาอัดนายจนเป็นหัวหมูอีก นายจะกล้าไม่มาจริงเหรอ?
ฟู่ชางติ่ง!
จ้าวเหล่ยหน้าดำหน้าแดง เพราะนายขัดเกลากระดูกตามฉันทันแล้วน่าคิดจริงเหรอว่านายจะเทียบฉันได้?
เฮอะ คิดว่าฉันจะกลัวเหรอ? ฟู่ชางติ่งดูคันไม้คันมือ ตลอดเดือนมานี้ เขาคืบหน้าค่อนข้างเร็วเช่นกัน
ตอนนี้เขาขัดเกลากระดูกไป 75 ชิ้นแล้ว
กลับกันจ้าวเหล่ยก็ไม่ต่างกันมาก เขาอาจขัดเกลากระดูกไปได้สัก 76 ชิ้น อย่างไรก็ตามเขาอาจยังขัดเกลาไม่เสร็จดี
หยางเสี่ยวม่านเห็นทั้งสองเหล่ตามองกันราวกับคนตาเหล่ เธอก็แค่นเสียงอย่างไม่สบอารมณ์ เงียบได้แล้ว นายคิดว่าฟางผิงจะทำอะไร ถึงบอกให้ผู้ฝึกยุทธขั้นสองอย่างเรามานี่?
ตอนนี้ในหมู่นักศึกษาใหม่โม๋อู่มีผู้ฝึกยุทธขั้นสองเพียงหยิบมือเดียวเท่านั้น
ห้าคนนี้ จ้าวเหล่ย ฟู่ชางติ่ง หยางเสี่ยวม่าน เฉินหยุนซี และถังซ่งถิง ต่างก็บรรลุขั้นสองแล้ว
เวลานี้อาการบาดเจ็บของจ้าวเสวี่ยเหมยพึ่งหายดี ดังนั้นเธอจึงตามหลังก้าวหนึ่ง ด้วยเหตุนี้เธอจึงยังไม่บรรลุขั้นสอง
รอบนี้ฟางผิงไม่ได้บอกให้จ้าวเสวี่ยเหมยมา เขานัดเฉพาะผู้ฝึกยุทธขั้นสองเท่านั้น
ขณะที่พวกเขาคุยกัน ฟางผิงก็เดินมาพอดี
เหมือนดั่งคนที่พึ่งแพ้พนันมาหมดตัว ฟางผิงถามขณะก้าวผ่านประตูมา ตอนนี้มีใครมีคะแนนเหลือไหม?
ฉันไม่เหลือแล้ว
ฉันด้วย
ฉันเหลือประมาณ 200 แคล…
หลังเธอพูดจบ ฟางผิงก็จ้องเฉินหยุนซี เขาหยุดชั่วครู่แล้วกล่าวขึ้นมา หยุนซีคบกันเถอะ!
เฉินหยุนซีสีหน้าแดงระเรื่อทันที!
ฟางผิงพูดเรื่องแบบนี้ขึ้นมาได้ยังไง!
ฉันยินดีแต่งเข้าตระกูลเธอ ให้พวกเขาสนับสนุนฉันสักพันล้าน หรือสักแปดร้อยล้านก็ได้ เป็นอย่างไร? โปรดพิจารณาด้วย…
ฟางผิง! เฉินหยุนซีกระทืบเท้าด้วยความโกรธ หยางเสี่ยวม่านเบ้ปากแล้วถามอย่างเหยียดหยัน นายไม่อายบ้างเหรอ?
ทำไมฉันต้องอายด้วย? ฟางผิงตอกกลับด้วยความโกรธ ตอนนี้ฉันยากจนมาก ฉันไม่เหลือเงินแม้แต่เหรียญเดียว!
ส่วนเม็ดยา ฉันเหลือแค่ยาปราณและเลือดขั้นสองเม็ดเดียวเท่านั้น!
ฉันหมดตัวแล้ว!
ฉันจำเป็นต้องหาคะแนนเพิ่ม ไม่งั้นฉันจะฝึกฝนตามปกติไม่ได้ด้วยซ้ำ
เหตุผลที่ทำไมฉันถึงนัดพวกนายมากันที่นี่ก็เพื่อหาคะแนนเพิ่ม ใครเต็มใจก็อยู่ ใครไม่เต็มใจก็ไป ฉันไม่บังคับ
ทุกคนสบสายตากัน ฟู่ชางติ่งเป็นคนเอ่ยถามขึ้นมาคนแรก ฉันยังไงก็ได้ ที่จริงฉันก็อยากทำภารกิจ แต่ทำคนเดียวยุ่งยากไปหน่อย
ถ้าเรามีคนเพิ่ม เราก็คงทำเรื่องใหญ่ได้
ฉันก็ยังไงก็ได้ จ้าวเหล่ยตอบทันที หลังผ่านมาเดือนครึ่งโดยไม่ได้ต่อสู้ ฉันก็อยากเห็นเหมือนกันว่านายอยู่ระดับไหนแล้วฟางผิง
ฉันเห็นด้วย
ไม่มีความเห็น
…
สุดท้ายก็เหลือแต่เฉินหยุนซีที่ไม่ได้พูดอะไร
ฟางผิงจ้องเธอและเอ่ยถาม หยุนซี เธอล่ะ?
ฉัน…พวกนายไม่กลัวฉันเป็นตัวถ่วงเหรอ?
ฟางผิงค้าน เธอเป็นกำลังเสริม ถ้าเราเจอปัญหาใหญ่ ในฐานะสหายกัน เธอมีหน้าที่รับผิดชอบในการสนับสนุนยาปราณและเลือด…
เฉินหยุนซีหน้าดำคล้ำ งั้นนี่เป็นหน้าที่ของเธอเหรอ?
หยางเสี่ยวม่านก็ไม่พอใจเช่นกัน ฟางผิง พูดจริงจังหน่อยได้ไหม?
ฉันจริงจังอยู่ ถ้าเราได้คะแนน เราก็จะแบ่งให้เธอ ถ้าเราไม่ได้คะแนน งั้นก็ไม่มีอะไรต้องพูดแล้ว
อีกอย่างฉันขอพูดก่อนเลย ฉันเชิญพวกนายมาด้วย แต่ฉันไม่ได้ให้ส่วนแบ่งพวกนายเท่าฉันหรอกนะ
ฉันคิดมาแล้ว ฉันตัดสินใจเอาส่วนแบ่งอย่างน้อยสามสิบเปอร์เซ็นต์!
ทั้งกลุ่มมีอยู่หกคน ฟางผิงต้องการถึงสามสิบเปอร์เซ็นต์ นี่ทำให้คนที่เหลือคิ้วขมวดทันที
จ้าวเหล่ยกล่าวอย่างไม่เต็มใจ เพราะอะไร?
เพราะอะไรงั้นเหรอ?
ปราณและเลือดของฟางผิงพลันพลุ่งพล่านไปทั่วร่างกายตั้งแต่หัวจรดเท้า เหนือศีรษะอากาศถึงกับปั่นป่วนและเริ่มสั่นสะเทือน!
เพราะว่าฉันใกล้บรรลุขั้นสองสูงสุดแล้ว! เพราะว่าฉันมีปราณและเลือดเกือบถึงขีดจำกัด 500แคลแล้ว!
ฉันเชิญพวกนายไปทำภารกิจด้วยกัน เริ่มจากขั้นสองสูงสุด ช่วงหลังฉันเตรียมทำภารกิจขั้นสามด้วย!
พวกนายมีใครต้านทานผู้ฝึกยุทธขั้นสามได้ไหมล่ะ?
เพราะงั้นพวกนายทุกคนต่างก็เป็นกำลังเสริม ฉันเป็นกำลังหลัก มันยุติธรรมแล้วที่ฉันจะได้มากกว่าหน่อย ยังไงเสียฉันก็ลงทุนมากที่สุด มีโอกาสได้รับบาดเจ็บสูงสุด!
ขั้นสองสูงสุด…
สีหน้าของทุกคนเปลี่ยนไป!
จ้าวเหล่ยกล่าวอย่างไม่อยากจะเชื่อ นะ…นายใกล้บรรลุขั้นสองสูงสุดแล้ว!
มันเร็วเกินไปแล้ว มันเร็วยิ่งกว่าตอนที่ฟางผิงอยู่ขั้นหนึ่งเสียอีก
นับตั้งแต่บรรลุขั้นสอง เวลาผ่านไปเดือนครึ่งเท่านั้น
เจ้าหมอนี่บ้าไปแล้ว!
ฟางผิงแค่นเสียง เหลวไหล ฉันใช้ทรัพยากรทั้งหมดของฉันตั้งแต่แรกยันจบ ถ้าฉันไม่บรรลุขั้นสองสูงสุดสิถึงน่าแปลกใจ
ฉันยังต้องการอีกเล็กน้อย นายคิดยังไง? ฉันอยากได้สามสิบเปอร์ ใครมีความเห็นไหม?
ทุกคนสบตากันและยอมรับส่วนแบ่งที่ฟางผิงเสนอ
อีกเรื่อง รอบนี้ฉันอยากรับภารกิจจากกองทัพ เป็นภารกิจใหญ่ ปราบปรามสาขาลัทธิชั่ว!
สีหน้าของทุกคนเปลี่ยนไปอีกครั้ง หยางเสี่ยวม่านขมวดคิ้ว จะดีเหรอ? มันเสี่ยงเกินไป บางครั้งข้อมูลของสาขาลัทธิชั่วก็ไม่สมบูรณ์…
ฟางผิงตอบ สาขาแบบนี้มักจะมีทรัพยากร เงินและยา!
ยิ่งกว่านั้นยังมีผู้ฝึกยุทธมากมายในลัทธิ เราจะได้กวาดล้างพวกมันอย่างหมดจด!
นี่เป็นหนึ่งในรางวัลใหญ่ที่สุดที่เราจะได้!
ถ้าเราค้นหาผู้ฝึกยุทธทั่วไป เราคงได้แต่อาศัยรางวัลที่ได้จากภารกิจ จำนวนเงินเล็กน้อยเกินไป
พวกเรามีกันหลายคน พวกเราจำเป็นต้องกำจัดฐานที่มั่นที่ทรงพลังเพื่อให้ได้ประโยชน์สูงสุด
พอเราปราบปรามผู้นำสาขาขั้นสามสำเร็จ เราจะทำกำไรได้อย่างน้อยสิบล้าน
ถ้าเราเพิ่มรางวัลภารกิจอีก แค่ปราบปรามฐานที่มั่นเดียว กำไรอย่างน้อย 20-30 ล้านไม่ใช่เรื่องยากเลย
ถ้าสังหารคนนึงได้แค่สามล้านห้าล้าน นายจำเป็นต้องสังหารผู้ฝึกยุทธขั้นสองมากเท่าไหร่?
แล้วจะมีผู้ฝึกยุทธให้นายสังหารมากเท่าไหร่เชียว?
เมื่อถ้ำใต้ดินเกิดความโกลาหล ผู้ฝึกยุทธของลัทธิชั่วไม่ทำอะไรเพื่อป้องกันถ้ำใต้ดินเลยก็แย่พอแล้ว แต่ไม่เลยพวกมันดันสร้างความแตกแยกให้เราอีก พวกมันเป็นคนที่สมควรตายที่สุด ต่อให้พวกมันตายไป พวกมันก็ไม่สมควรได้รับความเห็นใจจากเรา
แต่ถ้าถ้ำใต้ดินบุกรุกขึ้นมาจริงๆ ใครจะรู้ล่ะว่าผู้ฝึกยุทธอาชญากรพวกนี้จะหันดาบมาหาเราไหม?
เพราะงั้นฉันถึงใช้ลัทธิชั่วนี้เป็นเป้าหมายภารกิจ พวกเขาตายไปก็ไม่มีอะไรให้เสียใจ
เหตุผลที่ทำไมฉันถึงเชิญพวกนายมาเป็นเพราะจำนวน พวกเรามีกันหลายคน ตัวฉันก็สู้จำนวนไม่ไหว นอกจากนี้ถ้าฉันไปคนเดียวมันยังเกิดความผิดพลาดได้ง่าย
นายคิดว่าไง? ทุกคนล่ะ พูดออกมาได้เลย…
ทุกคนยังคงเงียบ ฟู่ชางติ่งพิจารณาสักครู่ก่อนจะกล่าว ถ้าเราไปเราก็ไปได้ แต่จำเป็นคนที่เรามี…
พอแล้ว ฉันได้เชิญเตรียมผู้ฝึกยุทธจากสมาคมไปด้วย
ฟางผิงคลี่ยิ้มแล้วกล่าว เตรียมผู้ฝึกยุทธถูกมาก ขับรถ จองโรงแรม หาคน เก็บกวาดงาน…เรื่องพวกนี้เราจะให้พวกเขาจัดการ
ภารกิจของเราสรุปได้สองคำนั่นคือ ฆ่าคน!
พอเราทำภารกิจเสร็จ เราจะให้รางวัลเตรียมผู้ฝึกยุทธ ราวสามหมื่นถึงห้าหมื่นก็พอให้พวกเขาเบิกบานแล้ว
เวลาเดียวกันเราจะได้แสดงให้คนอื่นในชมรมเห็นด้วยว่าชมรมนี้มีธุรกิจด้วย มันยังสร้างผลประโยชน์ให้ทุกคนได้ด้วย…
จ้าวเหล่ยกับเฉินหยุนซีไม่ได้พูดอะไรเมื่อฟางผิงพูดถึงชมรม
กลับกันถังซ่งถิงเอ่ยถาม ฟางผิง สมาคมผิงหยวนยังรับคนอยู่ไหม?
นายอยากเข้าเหรอ?
มันดูน่าสนใจ ถ้านายยังรับอยู่ ฉันจะร่วมสนุกด้วย…
ตอนนี้เราไม่รับคนเพิ่มแล้ว นายแค่คิดเข้าชมรมเอาสนุก ฉันจะรับนายเข้าชมรมเมื่อนายคิดว่ามันคุ้มค่าที่จะเข้าร่วม
ฟางผิงปฏิเสธถังซ่งถิงแล้วรีบเปลี่ยนเรื่อง นอกจากนั้นเรายังทำงานอื่นได้ด้วย ไม่นานมานี้ ทีมต่อสู้ท้องถิ่นหลายทีมรับสมัครคู่มือประลอง
เราตั้งทีมต่อสู้ของเราเพื่อไปท้าดวลทีมอื่นได้ ประลองหนึ่งนัด เงินหลายสิบล้านก็ตกอยู่ในบัญชีของเรา ง่ายดายมาก
ไม่ว่ายังไงรอบนี้ถ้าเราได้เงินไม่พอ เราจะไม่กลับ!
ไม่งั้น ฉันจะหาทรัพยากรไปประลองกับประธานชมรมวิถียุทธตอนสิ้นเทอมได้ที่ไหน?
ฟางผิงกำลังรีบหาเงิน คนอื่นก็ไม่ต่างกัน แม้เฉินหยุนซีจะไม่ได้ขาดแคลนเงิน แต่เธอก็ไม่ได้ปฏิเสธคำเชิญ
เอาล่ะ แผนก็มีแค่นีแหละ คืนนี้ไปเก็บข้าวของซะ
เราจะออกเดินทางพรุ่งนี้ ฉันเจอภารกิจดีๆแล้ว กวาดล้างลัทธิชั่วสาขาเล็กๆในมณฑลตงหลิน พวกมันเป็นผู้ฝึกยุทธขั้นหนึ่งขั้นสอง บวกกับคนธรรมดาอีกไม่กี่คน
เมื่อจบภารกิจนี้เราจะได้อย่างต่ำ 50 คะแนน
มันไม่ได้ยากเกินไป ยิ่งกว่านั้นตอนนี้ตงหลินค่อนข้างวุ่นวาย ช่วงนี้มีร่องรอยสมาชิกลัทธิชั่วบ่อยมาก นี่อาจเกี่ยวข้องกับความปั่นป่วนที่ทางเข้าถ้ำใต้ดินในตงหลิน
เราจะไปเอาเงินก้อนโตที่ตงหลิน…จากนั้นก็มุ่งหน้าไปหนานเจียง!
เมื่อพูดถึงหนานเจียง ฟางผิงก็สูดหายใจลึกๆ
ก่อนหน้านี้แทบไม่มีภารกิจในหนานเจียงเลย ลัทธิชั่วไม่ค่อยปรากฏที่นั่น
ต่อให้พวกมันไปหนานเจียง ท้องที่ก็กำจัดพวกมันได้อย่างง่ายดาย
ตอนนี้ในระบบภารกิจ ภารกิจในสามมณฑลทางใต้เริ่มมีมากขึ้น
นี่ทำให้ฟางผิงนึกถึงคำพูดของผู้บัญชาการเมืองหยางเฉิง ไป๋จินซาน ทางเข้าถ้ำใต้ดินถัดไปอาจปรากฏที่มณฑลหนานเจียง
ตอนนี้ฟางผิงสงสัยมากว่าสมาชิกลัทธิชั่วพวกนี้จะทำอะไร
ถ้าคนพวกนี้ก่อการในพื้นที่ เป็นไปได้ไหมว่าพวกมันอยากเป็นกลุ่มนำทาง?
(ผู้แปล : หมายถึงกลุ่มสายลับที่นำทางข้าศึกเข้ามา)
ไม่งั้นก็ไม่มีเหตุผลให้สมาชิกลัทธิก่อการที่นั่นเลย ไป๋รั่วซีเคยบอกว่าสิ่งมีชีวิตจากถ้ำใต้ดินสื่อสารกับมนุษย์ไม่ได้ไม่ใช่เหรอ?
คนพวกนี้ได้เอาแนวคิดกลุ่มนำทางมาจากไหนกัน?
กลับกันพวกมันมีจุดประสงค์อื่นที่ทำเช่นนี้เหรอ?
ฟางผิงพบว่าตอนนี้เขายังตัดสินอะไรไม่ได้ แต่เขาอยากกลับไปหนานเจียงแล้วกำจัดสมาชิกลัทธิชั่วสุดฝีมือ เขาหวังว่าการทำเช่นนี้หนานเจียงจะได้รับผลกระทบน้อยลง
ไม่มีใครมีปัญหากับการเตรียมการของฟางผิง
ฟู่ชางติ่งยิ้ม ฉันอยากไปหนานเจียงจริงๆ
เอ้อ ฟางผิง ช่วงนี้ไม่มีข่าวหวังจินหยางแห่งหนานเจียงเลย เขากำลังทำอะไรอยู่?
หวังจินหยาง… แววตาของจ้าวเหล่ยแลดูเย็นชา สักวันหนึ่ง ฉันอยากจะไปมหาลัยวิชายุทธหนานเจียงและขวางอยู่หน้าประตูใหญ่เช่นกัน!
หวังจินหยางเคยมาขวางอยู่หน้าประตูใหญ่โม๋อู่ นักศึกษาโม๋อู่ถือว่ามันเป็นความอัปยศ
ถ้ามีโอกาส จ้าวเหล่ยกับพวกก็ไม่ลังเลเลยที่จะทำให้มหาลัยวิชายุทธหนานเจียงเจออย่างที่พวกเขาเจอบ้าง
อย่างไรก็ตามหวังจินหยางเป็นผู้ฝึกยุทธขั้นสี่ ถ้าพวกเขาไม่บรรลุขั้นสี่ ต่อให้ไปขวางอยู่หน้าประตู มันก็ไร้ความหมาย
ถ้าหวังจินหยางไม่ลงมือเอง ต่อให้นักศึกษาโม๋อู่เอาชนะทั้งมหาลัยวิชายุทธหนานเจียง แต่มันจะมีความหมายอะไรล่ะ?
ฟางผิงชำเลืองมองจ้าวเหล่ย แต่ก็ขี้เกียจจะตอบ เขาพูดออกมาอย่างไม่ใส่ใจ เขาน่าจะฝึกอยู่ รอบก่อนเขาไปถ้ำใต้ดินกับฉินเฟิ่งชิง ดูเหมือนพวกเขาจะได้ประโยชน์กลับมามากมาย
ช่วงนี้ฉันก็ไม่เห็นฉินเฟิ่งชิงเลย เขาอาจกำลังขัดเกลากระดูกลำตัว
ไม่ต้องสนใจพวกเขาหรอก ขอแค่เราไม่ใช่ขั้นสาม พูดเรื่องพวกนี้ไปก็ไร้ประโยชน์
อย่างไรก็ตาม มหาลัยวิชายุทธหนานเจียง…ถ้ามีโอกาส เราไปที่นั่นกัน
อู๋จื้อเห่ากับคนอื่นๆก็อยู่ที่นั่น ถ้าพวกเขาผ่านที่นั่น ก็ไม่มีเหตุผลที่พวกเขาจะไม่แวะเข้าไปดู
หลังเตรียมการเสร็จ ฟางผิงก็ไม่ได้นิ่งเฉย เขาไปแจ้งหลู่เฟิ่งโหรวที่เขตหอพักอาจารย์
บังเอิญจ้าวเสวี่ยเหมยก็อยู่ที่นั่นด้วยเช่นกัน
เมื่อเธอได้ยินว่าพวกเขากำลังออกไปข้างนอก เธอก็ดูหดหู่ทันที
หลู่เฟิ่งโหรวไม่ได้ค้านแผนของฟางผิง เธอคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วแนะนำ พอนายถึงหนานเจียง นายไปเยี่ยมผู้สำเร็จราชการของหนานเจียงก็ได้
เหล่าจางเชี่ยวชาญพื้นที่เป็นอย่างดี นายอาจได้ประโยชน์อะไรบ้าง
ช่วงนี้มณฑลหนานซานค่อนข้างวุ่นวาย นักศึกษาโม๋อู่รับภารกิจหนานเจียง เหล่าจางควรขอบคุณเราสิ
แม้ว่ามหาลัยวิชายุทธหนานเจียงจะมีมากมาย…ฮ่าๆ แต่ไม่มีใครเลยที่ต่อสู้ได้
ไม่ใช่เรื่องง่ายที่มหาลัยวิชายุทธหนานเจียงจะตั้งทีมต่อสู้ขั้นสองที่แข็งแกร่งขึ้นมา ดังนั้นอยู่ที่นั่นก็ทำตัวตามสบาย แต่ทำตัวให้เหมาะสม ไม่ต้องกังวลอะไรนัก
ประโยชน์…
ฟางผิงจำได้แค่นี้ หลังได้ยินคำพูดหลู่เฟิ่งโหรว เขาก็พยักหน้า
จ้าวเสวี่ยเหมยอยากพูดอะไรบางอย่าง แต่ก็รั้งเอาไว้ หลู่เฟิ่งโหรวจึงพูดขึ้นมา เสวี่ยเหมย ภารกิจตอนนี้ของเธอคือทะลวงสู่ขั้นสอง เธอยังมีคะแนนเหลือ ไปกับพวกเขาก็ไม่มีประโยชน์
จุดประสงค์ของการทำภารกิจไม่ใช่เพื่อทำภารกิจ แต่เพื่อให้ตัวเองก้าวหน้าขึ้น
พวกเขาใช้ทรัพยากรหมดและบรรลุขั้นสองกันแล้ว ทำไมเธอถึงอยากไปด้วยล่ะ?
เพื่อความสนุกงั้นเหรอ?
เธอบรรลุขั้นสองก่อนมันจะไม่ง่ายกว่าเหรอ? อีกไม่กี่เดือนข้างหน้า ผู้ฝึกยุทธขั้นสองอาจถูกเรียกไปทำภารกิจในถ้ำใต้ดินด้วยซ้ำ
พอถึงตอนนั้น จะมีภารกิจมากมายให้เธอทำ
ก่อนเธอเข้าถ้ำใต้ดิน เธอต้องเพิ่มความแข็งแกร่งให้ได้มากที่สุด
ฟางผิงสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย ลางสังหรณ์ของเขากลายเป็นจริง!
สถานการณ์ที่ถ้ำใต้ดินเริ่มน่ากลัวขึ้น แม้แต่ผู้ฝึกยุทธขั้นสองก็ยังต้องไปสู้
ฉันหวังว่าสถานการณ์จะไม่แย่ลงเร็วนะ อีกอย่างพอกลับมาจากภารกิจ ฉันต้องขยายบริษัทให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้
ฉันต้องหาคนร่ำรวยมาลงทุนและทำให้มั่นใจว่าค่าทรัพย์สินเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
เมื่อเขาตัดสินใจได้ ฟางผิงก็เดินจากไปอย่างรวดเร็วโดยไม่เสียเวลาอีก
เมื่อเขาเดินจากไป หลู่เฟิ่งโหรวก็ออกความเห็นลวกๆ เขาเกือบเป็นขั้นสองสูงสุดแล้ว เจ้าหนูนี่ฝึกฝนด้วยความเร็วที่น่าตกใจ ถ้าเธอไม่อยากตามหลัง เธอต้องทะลวงสู่ขั้นสองให้เร็วที่สุด ครั้งหน้าถ้าเธอได้ประลอง ให้หักห้ามใจตัวเองบ้าง เราส่งเธอขึ้นไปประลอง ไม่ได้ส่งเธอขึ้นไปตาย
ถ้าเธอได้รับบาดเจ็บสาหัสและทำให้ฝึกฝนล่าช้า นั่นไม่ต่างอะไรกับภารกิจฆ่าตัวตาย
จ้าวเสวี่ยเหมยมีสีหน้าซับซ้อน ฟางผิงจะบรรลุขั้นสองสูงสุดแล้ว?
เมื่อเธอเห็นสีหน้าจ้าวเสวี่ยเหมย หลู่เฟิ่งโหรวก็ยักไหล่เดินเข้าไปในบ้าน ปล่อยเธอทิ้งไว้ตรงนั้น
ผู้หญิงหลายคนมองทุกอย่างเรียบง่ายเกินไปจริงๆ
ฟางผิงแค่แข็งแกร่งกว่าหน่อย หัวใจของจ้าวเสวี่ยเหมยก็ปั่นป่วนแล้ว
มียอดฝีมืออยู่มากมาย
ยิ่งกว่านั้นฟางผิงมุ่งเน้นแค่แข็งแกร่งขึ้น เรื่องอื่นแทบไม่สนใจ หลู่เฟิ่งโหรวหวังว่าจ้าวเสวี่ยเหมยจะรู้ตัวได้ในเร็ววัน