ณ โรงแรม
ขณะที่ทุกคนกำลังโทรกลับไปหาทางมหาลัย จู่ๆฟางผิงก็พูดขึ้นมา ฉันโทรเอง!
ทุกคนหันมามองเขาอย่างสงสัย แต่ฟางผิงไม่สนใจ
หลังครุ่นคิดเล็กน้อย ฟางผิงก็โทรหาถังเฟิง ยังไงเสียถังเฟิงก็เป็นหัวหน้าอาจารย์ของปีหนึ่ง
อาจารย์ถัง
พูดธุระมา
ถังเฟิงพูดด้วยน้ำเสียงเรียบๆและตรงเข้าประเด็นเหมือนปกติ
วันนี้ทีมของเรามารับภารกิจที่หนานเจียง เราจึงไปเยือนมหาลัยวิชายุทธหนานเจียงกัน
อืม
จากนั้นนักศึกษาของมหาลัยวิชายุทธหนานเจียงก็ยั่วยุเรา บอกว่าโม๋อู่ด้อยกว่าจิงอู่ เพราะครั้งก่อนหวังจินหยางปิดกั้นประตูและกวาดนักศึกษาขั้นหนึ่งของมหาลัยเราจนหมด
อือฮึ?
จากนั้น ประธานชมรมวิถียุทธหนานเจียง หวังจินหยาง ก็โผล่มายื่นสาส์นท้าประลอง ร้องขอการประลองยุทธหนึ่งรอบระหว่างเรากับผู้ฝึกยุทธขั้นสองสูงสุดห้าคนของหนานอู่…พวกเขา…พูดจาดูถูกโม๋อู่
สู้ๆ!
ไม่ๆ…
ฟางผิงหยุดชั่วครู สีหน้าไม่ค่อยสบายใจ แต่เขาก็พูดต่อ อาจารย์ เราลองครุ่นคิดดูแล้ว เราตัดสินใจปฏิเสธเพื่อไม่ให้ทำลายมิตรภาพของสองมหาลัย และเพื่อป้องกันไม่ให้โม๋อู่ขายหน้า
เรายังเป็นนักศึกษาปีหนึ่ง แต่อีกฝ่ายเป็นผู้ฝึกยุทธขั้นสองสูงสุดห้าคน เราจะสู้ได้อย่างไร?
ถ้าเราแพ้ โม๋อู่คงไม่มีหน้าไปเจอหน้าใครอีก
แม้ว่าจะเป็นหนานอู่ที่ยื่นสาส์นท้าประลอง แต่เรายังเป็นเด็กปีหนึ่ง แม้ว่าข่าวการปฏิเสธคำท้าจะหลุดไป มันก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่
เราพิสูจน์ความแข็งแกร่งของโม๋อู่ไปแล้วด้วยการคว้าแชมป์งานประลองยุทธ เราจึงไม่จำเป็นต้องทำเรื่องแบบนี้ให้สิ้นเปลืองพลังและเวลาโดยไม่ได้รับประโยชน์ใดๆ
ถ้าเราชนะ มันก็จะเป็นแค่เรื่องที่ควรจะเป็นอยู่แล้ว เพราะโม๋อู่แข็งแกร่งที่สุด!
ถ้าเราแพ้ สิ่งที่ได้มาก็ไม่คุ้มกับการสูญเสีย แม้ว่าหนานอู่จะเป็นคนยั่วยุเราตลอด…
ฟู่ชางติ่งกับคนอื่นๆอยู่ข้างๆมีสีหน้าสับสนงุนงง มันเป็นแบบนั้นหรอกเหรอ?
ดูเหมือน…ดูเหมือนว่าสิ่งที่ฟางผิงพูดมาก็ไม่ได้ผิดซะทั้งหมด
อ่า เป็นเพราะนักศึกษาหนานอู่ล้ำเส้นเกินไป
เตรียมผู้ฝึกยุทธคนนึงข่มเหงหยางเสี่ยวม่าน พูดจาหยาบคายว่าจะทำให้เธอนอนหยอดน้ำข้าวต้มสักสองสามเดือน…
จริงๆแล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะภาพรวม ผมคงไม่ทน
อาจารย์ถัง เราหวังว่าอาจารย์จะรายงานสิ่งที่เกิดขึ้นในระดับมหาลัย อาจารย์จะได้ระงับปัญหานี้ได้ บรรยากาศของหนานอู่ตอนนี้เลวร้ายมาก แถมชมรมวิถียุทธยังเอาแต่เติมเชื้อเพลิง บอกว่านักศึกษาโม๋อู่ไม่กล้ารับคำท้า…
ฮึ่ม!
ถังเฟิงแค่นเสียงเย็น เขาหยุดครู่หนึ่งก่อนจะออกคำสั่ง สู้! หยุดเล่นลิ้น ต้องการอะไร บอกมา!
อาจารย์ถังพูดผิดแล้ว ผมไม่ได้แต่งเรื่องขึ้นมาเองนะ
อาจารย์ถามหยางเสี่ยวม่านกับจ้าวเหล่ยสิ…
หยางเสี่ยวม่าน ที่หน้าประตูหนานอู่ เธอถูกเตรียมผู้ฝึกยุทธดูถูกใช่ไหม ฉันไม่ได้แต่งเรื่องขึ้นมาเองใช่ไหม?
ฟางผิงเปิดโหมดลำโพงแล้วถลึงตามองหยางเสี่ยวม่านอย่างดุร้าย
หยางเสี่ยวม่านดูอับอาย เธอกล่าวอย่างกระอักกระอ่วน ใช่ มันเกิดขึ้นจริง
จ้าวเหล่ย หวังจินหยางพูดขึ้นมาหลายครั้งใช่ไหม บอกว่าเคยกวาดมาทั้งโม๋อู่ บอกว่าเราควรขอบคุณ นายก็อยู่ที่นั่นด้วย ฉันพูดถูกหรือผิดล่ะ?
จ้าวเหล่ยมุมปากกระตุก รู้สึกหัวเราะไม่ออกร้องไห้ไม่ได้ เขากล่าวอย่างจนใจ ถูกแล้ว
ปลายสาย ถังเฟิงไม่ได้พูดอะไร ดังนั้นฟางผิงจึงพูดต่อ อาจารย์ถัง ผมฟางผิงตัวคนเดียวอาจพูดเกินจริงไปบ้าง แต่ศิษย์ทั้งสองของอาจารย์คงไม่หลอกอาจารย์หรอกใช่ไหม?
เวลานี้ น้ำเสียงของถังเฟิงเริ่มเย็นชาขึ้น โทรมาหาฉันมีจุดประสงค์อะไร?
หนานอู่ตั้งสนามประลองที่ชมรมวิถียุทธหนานอู่แล้ว คืนนี้อาจารย์ใหญ่หนานอู่กับผู้สำเร็จราชการจาง สองปรมาจารย์จะมาชมการประลองด้วย
นักศึกษาหนานอู่ห้าพันคนก็มาด้วย
ไม่ว่าจะสู้หรือจะถอย หรือถ้าโม๋อู่อยากส่งนักศึกษาคนอื่นมา มันก็ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของมหาลัย!
ถ้าไม่มีทางเลือกให้เราต่อสู้ งั้นต่อให้เราอ่อนแอ เราก็จะสู้จนถึงที่สุด เราจะไม่ปล่อยให้โม๋อู่เสียหน้าแน่นอน!
อย่างมากเราจะสู้เอาชีวิตเข้าแลก ตราบใดที่เรายังมีชีวิต เราจะไม่ถอย!
ประโยคสุดท้ายของฟางผิงเร่าร้อนถึงที่สุด
อย่างไรก็ตามถังเฟิงรู้นิสัยฟางผิงดี เขากัดฟันจนแทบเป็นผุยผง บอกมา! ต้องการยาเท่าไหร่เธอถึงจะมั่นใจว่าจะชนะ?
ยาปราณและเลือดขั้นสอง 50 เม็ด…
…
ปลายสายเงียบไปเล็กน้อย จากราคาตลาดแล้ว ยาปราณและเลือดขั้นสอง 50 เม็ดมีราคาถึง 35 ล้าน
ฟางผิงรู้สึกว่าเปิดด้วยราคานี้ไม่ได้สูงเกินไปนัก
อย่างไรก็ตาม สองวินาทีต่อมา ถังเฟิงคำรามอย่างเดือดดาล เธอคิดว่าตาแก่คนนี้โง่เหรอ!
นี่เป็นเรื่องที่พวกเธอก่อขึ้นมาเอง คิดจะให้มหาลัยจ่ายเงินให้ วางแผนได้ดี!
ยาปราณและเลือดขั้นหนึ่ง 20 เม็ด ยาปราณและเลือดขั้นสอง 5 เม็ด แค่นี้แหละ!
ไม่งั้น ฉันจะให้มหาลัยส่งทีมอื่นไปหนานเจียง!
ฟางผิงลูบหูพึมพำเบาๆ อาจารย์ ในฐานะแบบอย่าง ดุด่าต่อหน้าลูกศิษย์ไม่ดีใช่ไหม?
นอกจากนี้มันไม่ใช่แค่เรื่องส่วนตัวของเรา อาจารย์จะบอกว่ามันไม่เกี่ยวข้องกับเกียรติยศของมหาลัยเหรอ?
ถ้าเราต่อสู้ตามใจชอบโดยไม่สนใจแพ้ชนะ คนที่ต้องอับอายไม่ใช่เรา
เราเป็นแค่นักศึกษาใหม่ที่อยู่มหาลัยไม่ถึงปี…
เลิกพูดจาเหลวไหลได้แล้ว ได้แค่นี้แหละ และการประลองต้องชนะ! ฉันจะบอกให้คณบดีทราบ ให้คณบดีรีบเดินทางไปตอนช่วงบ่ายเพื่อป้องกันไม่ให้หนานเจียงเล่นตุกติก!
ถังเฟิงวางสายทันที ไม่ปล่อยให้ฟางผิงพูดจาเหลวไหลอีก
ส่วนที่ให้คณบดีไป ที่จริงไม่ใช่เพื่อป้องกันปรมาจารย์ทั้งสอง แต่เป็นการปกป้องอัจฉริยะปีหนึ่งของโม๋อู่มากกว่า
ใครจะรู้ล่ะว่าหนานเจียงคิดอะไรอยู่? ถ้าพวกเขาฉวยโอกาสนั้นทำให้ศิษย์โม๋อู่พิการ งั้นหัวกะทิปี 2008 ของโม๋อู่ก็จบเห่กันพอดี
หลังวางสายแล้ว ฟางผิงก็พูดบ่น มหาลัยงกมาก ไม่สิ สิงโตถังงกมาก!
แค่ยาปราณและเลือดขั้นหนึ่ง 20 เม็ด ยาปราณและเลือดขั้นสอง 5 เม็ด มันไม่ถึงสิบล้านด้วยซ้ำ!
เรากำลังเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายเพื่อเกียรติของมหาลัย แต่พวกเขาให้มาแค่นี้แล้วอยากให้เราชนะ?
คนอื่นๆรู้สึกโง่งม
จ้าวเหล่ยพึมพำ มหาลัยอนุมัติด้วย?
บีบขอรางวัลพิเศษจากมหาลัย ความคิดนี้ไม่เคยอยู่ในสมองเขามาก่อน
ฟางผิงร้ายกาจมาก พูดจาเรื่อยเปื่อยไม่กี่ประโยค เขาก็ทำให้ถังเฟิงยอมสนับสนุนยา แม้ว่ามันจะไม่มากเท่าที่ฟางผิงร้องขอก็ตาม
แต่มันก็ยังค่อนข้างมากอยู่!
มูลค่าเกือบสิบล้าน แม้ว่าพวกเขาจะแบ่งเท่าๆกัน แต่ละคนก็ยังได้มาไม่น้อย มันเทียบได้กับรางวัลภารกิจขั้นสองสูงสุดด้วยซ้ำ แถมบางทียังมากกว่าด้วย ผู้ฝึกยุทธขั้นสองที่ยากจนบางคนต้องทำหลายภารกิจถึงจะได้มามากเท่านี้
มันหมายความว่ายังไง?
พวกเขายอมรับการต่อสู้ด้วยตัวเอง แถมยังปฏิเสธไม่ได้ แต่ด้วยคำพูดของฟางผิง ดูเหมือนทุกอย่างจะต่างออกไป
ฟางผิงไม่ได้สนใจเขา เขายังบ่นต่อไม่หยุด สิงโตถังไม่พอใจฉัน ฉันรู้มานานแล้ว!
หนานอู่ยากจนมาก แต่เหล่าหวังยังให้ยาปราณและเลือดขั้นสองคนละ 3 เม็ด รวมเป็นยาปราณและเลือดขั้นสอง 15 เม็ด คู่แข่งสนับสนุนเรามากกว่ามหาลัยเราอีก!
สิงโตถังทำแบบนี้ได้ไง?
ถ้าสิงโตถังทำแบบนี้อีก ครั้งหน้าเราจะไปจิงอู่เพื่อท้าประลองกับผู้ฝึกยุทธขั้นหนึ่ง จากนั้นก็ขอยอมแพ้ ดูซิว่าโม๋อู่จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน!
นายก็พอได้แล้ว!
หยางเสี่ยวม่านกลอกตา เธอพูดอย่างโกรธเคือง นายไม่กลัวปรมาจารย์กับผู้ฝึกยุทธขั้นกลางเป็นศัตรู นายก็ทำเลย แต่อย่าลากเราไปด้วย
ฟู่ชางติ่งหัวเราะไม่ออกร้องไห้ไม่ได้ ตอนนี้ฉันเริ่มเข้าใจแล้วว่านายหาเงินเร็วๆได้ยังไง
พวกเขาควรแจ้งมหาลัยด้วยประโยคสั้นๆประโยคเดียว
แล้วผลลัพธ์ของมันล่ะ?
ทุกคนถึงกับได้รางวัลพิเศษ
ฟางผิงไม่ได้บ่นต่อ กลับกันเขาจ้องคนอื่นๆด้วยสายตาข่มขู่ สิงโตถังกล่าวหาฉันบอกว่าฉันเรียกเขาสิงโตถังลับหลัง ฉันเกรงว่ามีแต่พวกนายที่เอาเรื่องนี้ไปฟ้อง
ฉันขอเตือน ครั้งหน้าถ้าสิงโตถังสร้างความลำบากให้ฉันเพราะเรื่องนี้ ฉันจะสร้างปัญหาให้พวกนายด้วย
หลายคนดูพูดไม่ออก จ้าวเหล่ยกล่าวอย่างไม่พอใจ เคารพอาจารย์หน่อย เรายังไม่เคยพูดจาไม่ดีลับหลังอาจารย์หลู่เลย
แน่นอนสิ พวกนายจะกล้าเหรอ?
ฟางผิงแค่นเสียงก่อนจะกลับมาที่หัวข้อหลัก อย่ามาเถียงเรื่องไร้ประโยชน์พวกนี้เลย ประลอง 5 คน แต่เรามี 6 คน
ถังซ่งถิงกับเฉินหยุนซี ใครจะประลอง?
ถังซ่งถิงเหลือบมองเฉินหยุนซี หลังจากพิจารณาสักครู่ เขาก็กล่าว งั้นก็ให้เฉินหยุนซีเถอะ ฉันไม่ใช่ขั้นสองสูงสุด แถมยังไม่ได้ขัดเกลาสองครั้ง ปราณและเลือดกับจำนวนขัดเกลากระดูกเทียบกับผู้ฝึกยุทธขั้นสองสูงสุดไม่ได้ โอกาสแพ้มีสูงมาก
ฟางผิงมองเฉินหยุนซี เฉินหยุนซีรู้สึกขุ่นเคือง เธอกล่าวด้วยน้ำเสียงปนรำคาญ นายไม่ต้องสงสัยฉันตลอดเวลาได้ไหม?
ฉะ…ฉันไม่ได้ไร้ประโยชน์อย่างที่นายคิด!
งั้นก็เป็นเธอแล้วกัน
ฟางผิงรู้ว่าที่ถังซ่งถิงพูดมาเป็นความจริง ถ้าสู้กับผู้ฝึกยุทธขั้นสองสูงสุด เขาไม่มีเปรียบแม้แต่น้อย โอกาสพ่ายแพ้มีสูงเกินไป
แม้ว่าเฉินหยุนซีจะไม่ได้เป็นผู้ฝึกยุทธขั้นสองสูงสุด แต่ปราณและเลือดของเธอแข็งแกร่งมาก กระดูกทั่วร่างกายขัดเกลาไปแล้ว 20%
ในฝั่งหนานอู่ ต้องการรวบรวมผู้ฝึกยุทธขั้นสองขัดเกลาสองครั้ง 5 คนเป็นอะไรที่ยากเย็นแสนเข็น
ทั้งหนานอู่จะมีผู้ฝึกยุทธขัดเกลาสองครั้งถึง 5 คนไหมยังพูดยากเลย
หลังจากยืนยันสมาชิกที่ร่วมประลอง ฟางผิงก็กล่าว ครั้งนี้จุดประสงค์ของหนานอู่คือให้นักศึกษาหนานอู่รู้สึกอับอาย พวกเขาจะได้ขยันขึ้น
ตามปกติแล้ว คนที่ร่วมประลองย่อมไม่แข็งแกร่งเกินไป
แต่อีกฝ่ายย่อมไม่ยอมแพ้อย่างแน่นอน
ยังไงเสียพวกเขาก็เป็นผู้ฝึกยุทธขั้นสองสูงสุด ทุกคนควรระมัดระวังไว้
นอกเหนือจากนั้น หวังจินหยางไม่ได้โง่ แม้เขาจะพูดแบบนั้น แต่ด้วยราคายาปราณและเลือดขั้นสอง 15 เม็ด ไม่มีทางเลยที่เขาจะปล่อยให้เราชนะง่ายๆ
ถ้าหนานอู่ชนะเราได้ ที่จริงมันเป็นแผนการที่ดีที่จะเพิ่มขวัญกำลังใจ
ดังนั้นทุกคนต้องเตรียมตัวทุ่มสุดฝีมือ
นอกจากนี้ ฉันลืมถามไป แต่การประลองคืนนี้อาจเป็นระบบชนะสามในห้า หรือไม่ก็แพ้ออกเหมือนอย่างในงานประลอง…ถ้าใช้ระบบเหมือนงานประลอง งั้นก็ง่ายมาก ยังไงเสียนักศึกษาหนานอู่ก็ไม่เข้าใจทีมของเรา
เมื่อกี้เหล่าหวังจากไปเร็วจนพวกฟางผิงลืมถาม
จ้าวเหล่ยกล่าวด้วยสีหน้าหนักแน่น ไม่ว่ารูปแบบการประลองจะเป็นยังไง แต่ขอแค่เราแข็งแกร่ง ยังไงก็เหมือนกันหมดแหละ!
โง่เขลา…
ฟางผิงอดด่าไม่ได้ หลังติดตามสิงโตถัง พวกเขาก็ไม่ชอบใช้สมองแล้วเหรอ?
ไม่ว่ายังไงจ้าวเหล่ยก็เป็นนักศึกษาหัวกะทิ ไม่ใช่แค่เยี่ยมยุทธ แต่วัฒนธรรมศึกษาก็ด้วย
แต่ตอนนี้ดูเหมือนจ้าวเหล่ยที่เก่งกาจทั้งสองด้านกำลังจะกลายเป็นสิ่งมีชีวิตเซลล์เดียวในไม่ช้า
หลังจากครุ่นคิด ฟางผิงก็โทรไปถาม
มีเสียงความวุ่นวายทางด้านเหล่าหวัง ดูเหมือนพวกเขากำลังเลือกสมาชิกร่วมการประลอง
หลังได้ยินคำพูดฟางผิง หวังจินหยางก็หัวเราะ งั้นก็ใช้ระบบเดียวกับงานประลอง ให้โอกาสยอดฝีมือได้แสดงฝีมือมากขึ้น
หลังยืนยันระบบการประลอง ฟางผิงก็ไม่ได้ถามอะไรเพิ่มอีก
ตอนนี้ก็เป็นเวลาเที่ยงวันแล้ว ห่างจากกลางคืนไม่กี่ชั่วโมง เมื่อต้องเผชิญหน้ากับผู้ฝึกยุทธขั้นสองสูงสุดห้าคน พวกเขาก็ยังต้องเตรียมตัวก่อน
ฟางผิงไม่ได้คิดว่าพวกเขาจะชนะแน่นอน
…
ในขณะเดียวกัน
ณ มหาลัยวิชายุทธหนานเจียง
ข่มเหงกันเกินไปแล้ว!
นายได้ยินไหม? นักศึกษาใหม่ห้าคนของมหาลัยวิชายุทธเซี่ยงไฮ้ยื่นสาส์นท้าผู้ฝึกยุทธขั้นสองสูงสุดห้าคนของหนานอู่เรา อีกฝ่ายเป็นเด็กใหม่ทั้งหมด
เด็กใหม่? ท้าประลองกับผู้ฝึกยุทธขั้นสองสูงสุด?
ใช่ มันเป็นทีมนักศึกษาใหม่ที่เข้าร่วมงานประลองครั้งก่อน ฉันได้ยินว่าพวกเขาเป็นขั้นสองแล้ว
เชี่ย เร็วขนาดนั้นเลย?
เฮ้ย พวกนายหลงประเด็นหน่อยไหม? ตอนนี้เด็กใหม่โม๋อู่กำลังยั่วยุนักศึกษาเก่าเรา
ถ้าหนานอู่แพ้ เราจะไม่กลายเป็นตัวตลกในหมู่มหาลัยวิชายุทธเลยเหรอ?
อีกฝ่ายคงไม่ชนะหรอกมั้ง? ต่อให้พวกเขาเป็นผู้ฝึกยุทธขั้นสองแล้ว แต่พวกเขาพึ่งทะลวงผ่าน…
ถ้าเกิดพวกเขาชนะล่ะ?
เอ่อ…ต่อให้พวกเรากังวลไป พวกเราก็ทำอะไรไม่ได้ เราทำได้แต่ปล่อยให้รุ่นพี่ขั้นสองสูงสุดจัดการ
คืนนี้เราไปเชียร์รุ่นพี่กัน! ข่มเหงกันขนาดนี้ โม๋อู่มีอะไรดีกัน!
…
เมื่อได้ยินคำพูดของทุกคน ถานห่าวก็พูดเบาๆ นายมั่นใจเหรอว่าเป็นพวกฟางผิง?
อู๋จื้อเห่ากลอกตา ฉันจะโกหกนายทำไม? ฉันก็อยู่ที่นั่นด้วย!
จู่ๆประธานหวังก็โผล่มา เมื่อเขามาถึง เขาก็พูดเรื่องประลอง จากนั้นพวกฟางผิงก็ตอบตกลง
จนถึงตอนนี้ ฉันยังงงอยู่เลย…
ความเห็นของนาย เราควรเชียร์ใครดี?
อีกอย่าง พวกฟางผิงจะเอาชนะผู้ฝึกยุทธขั้นสองสูงสุดได้จริงๆน่ะเหรอ?
ขณะที่คนอื่นมองหน้ากันไปมา ถานห่าวก็พูดอย่างขมขื่น พวกเราเป็นคนเหมือนกัน แต่อีกฝ่ายเริ่มท้าประลองกับผู้ฝึกยุทธขั้นสองสูงสุดแล้ว ส่วนพวกเรา…
คนอื่นก็เงียบ ไม่มีทางที่จะเปรียบเทียบด้วยได้เลย
มีไม่กี่คนที่ถือว่าก้าวหน้าค่อนข้างเร็ว ตอนนี้ปราณและเลือดของพวกเขามาถึงขีดจำกัดแล้ว ปราณและเลือดของพวกเขามาถึง 150แคลแล้ว
จะทะลวงเป็นผู้ฝึกยุทธตอนนี้เลยก็เป็นไปได้
แต่หลังจากเข้ามหาลัยวิชายุทธ มีคนเท่าไหร่เชียวที่ยอมทะลวงขั้นด้วยปราณและเลือด 150แคล?
ด้วยความเร็วเท่านี้ อย่างน้อยพวกเขาต้องรอจนสิ้นเทอมนี้และขึ้นปีสองก่อนถึงพิจารณาเรื่องทะลวงขั้น
หลังกลายเป็นผู้ฝึกยุทธในปีสอง ความคืบหน้าขัดเกลากระดูกก็ไม่ได้เร็วนัก การบรรลุขั้นสองก่อนจบการศึกษาเป็นเป้าหมายของทุกคนแล้ว
กลับกันตอนนี้พวกฟางผิงกลายเป็นผู้ฝึกยุทธขั้นสองก่อนแล้ว พวกเขาเริ่มก้าวเท้าสู่ขั้นสามด้วยซ้ำ
เวลานี้ทุกคนต่างก็มีสีหน้าขมขื่น
…
ทีมชนะเลิศของโม๋อู่จะประลองกับทีมผู้ฝึกยุทธขั้นสองสูงสุดของหนานอู่
ข่าวนี้แพร่ไปอย่างรวดเร็ว ไม่นานแวดวงยุทธเมืองเจียงเฉิงก็ทราบข่าวนี้กันหมด
ผู้สำเร็จราชการจะมาชมการประลองด้วยตัวเอง และจะนำผู้ฝึกยุทธหนานเจียงจำนวนมากร่วมชมการประลองด้วย
แต่เดิมมันเป็นแค่การแลกเปลี่ยนภายในระหว่างมหาลัยวิชายุทธ แต่ตอนนี้มันมีความหมายยิ่งกว่านั้น
มีข้อมูลระบุว่าผู้สำเร็จราชการจางเริ่มไม่พอใจกับบรรยากาศเชิงยุทธของหนานเจียงยิ่งขึ้นเรื่อยๆ
ตอนนี้หากนักศึกษาเก่าหนานอู่พ่ายแพ้ให้กับนักศึกษาใหม่โม๋อู่ โลกยุทธภพของหนานเจียงอาจประสบความเปลี่ยนแปลงแน่นอน
ถ้าหนานอู่พ่ายแพ้จริงๆ ผู้สำเร็จราชการจางอาจตัดสินใจทำการปฏิรูปขั้นรุนแรง พอถึงเวลานั้นใครจะรู้ล่ะว่ามันจะดีหรือเลว ช่วงเวลานั้นผู้ฝึกยุทธที่ทราบข่าวนี้ต่างก็ให้ความสนใจกับการประลอง
อีกคนที่ทราบข่าวนี้ก็คือผู้บัญชาการไป๋จิ่นซานจากหยางเฉิง
เมื่อเขาได้ยินว่าฟางผิงเป็นหัวหน้าทีมยุทธ ไป๋จิ่นซานก็รู้สึกซับซ้อนมาก
คนหนุ่มสาวเติบโตเร็วขนาดนี้เลยเหรอ?
ขั้นสองสูงสุด ห่างจากขั้นสามเท่าไหร่เชียว?
เมืองหยางเฉิงสร้างสัตว์ประหลาดออกมา…อันที่จริงมีถึงสองคนด้วย!
ไป๋จิ่นซานกล่าวเสียงสั่น
…
ไม่นานหลังจากนั้น ผู้อำนวยการกระทรวงศึกษาเมืองหยางเฉิงตบบ่าฟางหมิงหรงอย่างกระตือรือร้น กล่าวคำพูดให้กำลังใจอยู่หลายคำ
ขณะที่ฟางหมิงหรงไม่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้น เขาก็กลายเป็นรองผู้อำนวยการสำนักงานแล้ว
เวลานี้ ความคิดเดียวที่ผุดขึ้นมาในหัวของฟางหมิงหรงคือ ‘ลูกชายฉันทำอะไรอีกแล้ว?’