World’s Best Martial Artist – ตอนที่ 185 การประลองที่หนานอู่

ตอนที่ 185 การประลองที่หนานอู่

  เวลา 18.00 น.

  ทุกคนยังไม่เห็นหวงจิ่ง เห็นแต่ไป๋รั่วซีที่มาหาอย่างเร่งรีบ

  เมื่อพวกเขามาถึงโรงแรม ไป๋รั่วซีก็เริ่มประชุมย่อย

   คณบดีมาถึงแล้ว แต่เขาไปบ้านผู้สำเร็จราชการ เขาอาจไปชมการประลองพร้อมกับผู้สำเร็จราชการ 

   คณบดีไม่ได้บอกว่าจะเกิดอะไรขึ้นถ้าพวกเธอแพ้หรือชนะ แต่ผลการประลองอยู่ในมือพวกเธอ 

   ผู้ฝึกยุทธมีแต่ต้องสู้ให้ชนะ! 

   ตอนนี้เราให้โอกาสพวกเธอประลองกับคนที่อยู่ขั้นเดียวกัน แต่ในอนาคต พอพวกเธอไปถ้ำใต้ดิน ใครล่ะจะให้โอกาสพวกเธออย่างยุติธรรม? 

   ดังนั้นทุกคนควรถนอมการประลองกระชับมิตรแบบนี้ 

  ทุกคนพยักหน้า ฟางผิงก็พยักหน้าเช่นกัน จากนั้นเขาก็เอ่ยถาม  อาจารย์เอาเม็ดยาที่มหาลัยมอบให้มาไหม? 

  ไป๋รั่วซีหัวเราะ  ไม่แปลกใจเลยที่อาจารย์ถังพูด… 

   อาจารย์ ไม่ใช่ว่าผมไม่เคารพอาจารย์ถัง แต่อาจารย์ถังวิสัยทัศน์แคบเกินไป 

   อาจารย์ อาจารย์ถังแต่งงานยัง? 

   เอ๊ะ? 

   เขายังไม่แต่งงานใช่ไหม?  ฟางผิงกล่าวอย่างแปลกใจ  ถ้าเป็นแบบนั้น ความขี้หงุดหงิดของเขาพอเป็นที่เข้าใจได้ 

   พูดจาเหลวไหล! 

  ไป๋รั่วซีหัวเราะ  ลูกสาวของอาจารย์ถังใกล้เข้ามหาลัยแล้ว… 

   เขามีลูกสาวด้วย? 

  ฟางผิงมีสีหน้าตกใจ  เขาดูไม่เหมือนพ่อคนเลย… 

   เอาล่ะ เลิกพูดเรื่องไร้สาระได้แล้ว ถ้าอาจารย์ถังรู้เข้าแล้วมาคิดบัญชีกับเธอจะไม่แปลกใจเลย 

  ไป๋รั่วซีหัวเราะอีกครั้ง ในหมู่อาจารย์ ไป๋รั่วซีถือว่าอบอุ่นอ่อนโยน เธอไม่โกรธเพราะเรื่องหยอกล้อขำขัน

  หลังหยอกล้อกันสักพัก ไป๋รั่วซีก็กลับเข้าเรื่อง  อาจารย์เอาเม็ดยามาให้พวกเธอด้วย แต่ฟางผิง อาจารย์ขอเตือน เธออย่าพึ่งพาความสามารถของร่างกายและเม็ดยามากเกินไป 

   ถ้าเธอทำแบบนี้ไปเรื่อยๆ เธอจะพึ่งพาแต่ยา เธอจะไม่เข้าใจวิชาต่อสู้ในเชิงลึก 

   สักวันถ้าเธอไม่มีเม็ดยาแล้วเผชิญกับอันตรายจะทำอย่างไร? 

   เธอควรเพิ่มความแข็งแกร่งของตนเอง เรียนรู้การจ่ายน้อยที่สุดเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ดีที่สุด มันเป็นสิ่งที่เธอควรเรียนรู้ 

   ปราณและเลือดของเธอสูงกว่าคนทั่วไปตั้งแต่แรก ภายใต้สถานการณ์แบบนี้ ถ้าเธอเอาชนะคนขั้นเดียวกันไม่ได้ มันก็แปลว่าเธอไม่ได้แข็งแกร่งอย่างที่เธอคิด 

   ผู้ฝึกยุทธบางคนเอาชนะผู้ฝึกยุทธขั้นเดียวกันหนึ่งต่อสิบได้ ในสถานการณ์ที่ฟื้นฟูปราณและเลือดไม่ได้เร็ว พวกเขาทำได้อย่างไร? 

   นี่เป็นเรื่องที่เธอควรพิจารณา 

  ฟางผิงพยักหน้าอย่างจริงจัง มันมีเหตุผลมากและควรค่าแก่การไตร่ตรอง

  ‘แต่…ถ้าฉันไม่ยอมผลาญค่าทรัพย์สินสักหน่อย มหาลัยก็คงไม่ให้ผลประโยชน์ฉัน’

  หลังแนะนำทุกคน และรู้ว่าเฉินหยุนซีจะขึ้นประลอง ไป๋รั่วซีก็ยิ้มบางๆแล้วพูด  ตั้งใจประลอง แสดงพลังของเธอให้ทุกคนเห็น 

   ฉันจะทำผลงานให้ดีแน่นอน! 

  เฉินหยุนซีพยักหน้าด้วยสีหน้าจริงจัง ในใจรู้สึกไม่ได้รับความเป็นธรรมดา ‘ถ้าฉันทำผลงานได้ไม่ดี ฉันอาจกลายเป็นสมาชิกทำงานจิปาถะอยู่แนวหลังจริงๆก็ได้’

  …

  เม็ดยาที่มหาลัยมอบให้ ฟางผิงไม่ได้เอาเปรียบคนอื่น

  ทุกคนได้รับยาปราณและเลือดขั้นสอง 1 เม็ดกับยาปราณและเลือดขั้นหนึ่ง 4 เม็ด

  ค่าทรัพย์สินของเขาเพิ่มขึ้นมาจนถึง 7 ล้าน ไม่กี่วันมานี้เขาขัดเกลากระดูกจนถึงขั้นสองสูงสุดแล้ว เขาจึงไม่ได้ใช้ค่าทรัพย์สินมากนัก

   ฟื้นฟูปราณและเลือดได้ 7000แคลก็คงพอแล้ว… 

  ฟางผิงคำนวณอยู่ในใจ ค่าทรัพย์สิน 7 ล้านเกินพอให้ประลองสองสามรอบด้วยซ้ำ ดังนั้นเขาจึงไม่กังวลเรื่องไม่มีปราณและเลือดเพียงพอ

  ที่สำคัญที่สุด ถ้าเขาทำได้ เขาจะหลีกเลี่ยงการใช้เม็ดยาบนสนามประลอง

  การประลองที่มีผู้ชมจำนวนมากแบบนี้ถือเป็นปัญหาจริงๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับการมียอดยุทธนั่งชมอยู่ด้วย ฟางผิงจำเป็นต้องใช้เม็ดยาเพื่อแสดงให้เห็นว่าเขาอาศัยเม็ดยาเพื่อฟื้นฟูปราณและเลือด

  การใช้เม็ดยาพวกนี้ส่วนใหญ่จะสูญเปล่า

  ไม่ว่าเขาจะรวยแค่ไหน เขาก็สิ้นเปลืองขนาดนั้นไม่ไหว

  …

  18.30 น. ทุกคนออกจากโรงแรม มุ่งหน้าไปยังมหาลัยวิชายุทธหนานเจียงที่อยู่ไม่ไกล

  ณ มหาลัยวิชายุทธหนานเจียง

  หวังจินหยางยืนอยู่หน้าประตูกับอาจารย์หลายท่าน เมื่อเห็นพวกฟางผิง หวังจินหยางก็พยักหน้าเล็กน้อยก่อนจะยิ้มให้ไป๋รั่วซี  อาจารย์ไป๋ ผมไม่คิดเลยว่าคุณจะมาที่นี่ด้วย 

   คณบดีของเราก็มาเช่นกัน เขาน่าจะมาพร้อมกับผู้สำเร็จราชการจาง 

  ไป๋รั่วซียิ้ม พูดทักทายไม่กี่คำและปฏิบัติต่ออาจารย์ของหนานอู่ที่กำลังยืนอยู่ด้านข้างตามปกติ

  อาจารย์จากหนานอู่ตอนนี้เหมือนจะถูกนำโดยหวังจินหยาง

  อาจารย์ของหนานอู่ เริ่มต้นด้วยขึ้นสาม ขั้นสี่จะเป็นแกนนำ ขั้นห้ามีอยู่ไม่กี่คน ขั้นหกจะเป็นผู้นำของมหาลัย

  ความแข็งแกร่งของหวังจินหยาง แม้ในหมู่อาจารย์ เขาก็ไม่ธรรมดา

  บวกกับสถานะประธานชมรมวิถียุทธ สถานะทางสังคมของอาจารย์ที่ตามมาด้วยย่อมเทียบกับหวังจินหยางไม่ได้

  ฟางผิงจ้องตาเป็นมัน นี่แหละชีวิต!

  กลับกันเขาถูกสิงโตเฒ่าจับผิดทุกวัน เมื่อถึงวันที่สิงโตเฒ่าก้มศีรษะต่อหน้าเขาเหมือนอย่างอาจารย์พวกนี้ นั่นแหละถึงจะเป็นวันที่ยิ่งใหญ่ในชีวิตเขา

  หวังจินหยางกับไป๋รั่วซีคุยกันตามมารยาทสองสามประโยคก่อนจะเดินไปพลางคุยไปพลาง  นักศึกษาหนานอู่ทั้งห้าคนล้วนเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในหนานอู่ 

   ฟางผิง พวกนายอย่าประมาทล่ะ 

   ที่ฉันอยากเห็นคือการประลองที่ก้ำกึ่งกัน ไม่ใช่ชนะขาด ที่ฉันกำลังพูดคือหนานอู่ชนะขาด 

   เป็นไปไม่ได้หรอก 

   ฉันก็หวังอย่างนั้นนะ 

  หวังจินหยางไม่ได้พูดอะไรมากและพาพวกเขาตรงไปยังชมรมวิถียุทธ

  หนานอู่ไม่ได้ใหญ่เท่าโม๋อู่ ชมรมวิถียุทธของพวกเขาไม่ได้หรูหราเท่าโม๋อู่ซึ่งมีพื้นที่อยู่หลายร้อยมู่

  อย่างไรก็ตามชมรมวิถียุทธหนานอู่ก็ไม่ได้เล็กเช่นกัน

  การประลองครั้งนี้ไม่ได้จัดในร่ม แต่เป็นกลางแจ้ง

  สนามหญ้าหน้าตึกชมรมวิถียุทธมีลานประลองชั่วคราวถูกสร้างขึ้น แต่ไม่มีที่นั่งจัดเตรียมไว้ให้

  ตามที่หวังจินหยางกล่าว เมื่อผู้ฝึกยุทธขึ้นประลอง คนอื่นนั่งชมการประลองถือเป็นความอัปยศ!

  ถ้าแม้แต่ยืนดูการประลองยังไม่ได้ พวกเขาก็ไม่ควรเป็นผู้ฝึกยุทธ

  ใครไม่พอใจก็ไสหัวไป

  ดังนั้นเมื่อฟางผิงกับคนอื่นๆมาถึง พวกเขาจึงเห็นนักศึกษานับพันกำลังยืนอยู่บนสนามหญ้า แออัดกันไม่ต่างกับฝูงมด

  เมื่อเห็นพวกฟางผิง ในหมู่นักศึกษาหนานอู่จึงเกิดความวุ่นวายขึ้น

  มีหลายคนชี้ไม้ชี้มือมาทางพวกเขา…

  ก่อนที่พวกเขาจะคุยกันเสร็จ หวังจินหยางก็พลันตะโกนขึ้นมา  ทุกคนเงียบ! 

   นักศึกษาปีหนึ่งโม๋อู่ท้าประลองกับผู้ฝึกยุทธขั้นสองสูงสุดปีสามปีสี่ของหนานอู่ มันเป็นการประลองที่ไม่ยุติธรรมตั้งแต่แรกแล้ว! 

   ถ้ารอบนี้หนานอู่แพ้ อัตราแลกเปลี่ยนทรัพยากรของผู้ฝึกยุทธทุกคนจะเพิ่มขึ้น 5%! 

   เตรียมผู้ฝึกยุทธทุกคนที่ยังเป็นผู้ฝึกยุทธที่แท้จริงไม่ได้เมื่อถึงปีสองจะถูกไล่ออก! 

   มหาลัยวิชายุทธหนานเจียงเป็นมหาลัยวิชายุทธ ไม่ใช่ที่ที่พวกนายจะมาอยู่กันเล่นๆ! 

   หลายปีมานี้ มีนักศึกษาที่จบการศึกษาจากหนานอู่ในฐานะเตรียมผู้ฝึกยุทธ มันคือความอับอายของหนานอู่ ไม่ใช่แสดงให้เห็นถึงน้ำใจของหนานอู่! 

   … 

  ฝูงชนโวยวายขึ้นมาทันที บางคนก็กล่าวด้วยความเดือดดาล  เราไม่ใช่คนที่ขึ้นลานประลอง แพ้แล้วเกี่ยวอะไรกับเราด้วย… 

  ขณะที่เขาพูด สายตาของหวังจินหยางก็จ้องมองไปทางเขาทันที!

   นายน่ะ ออกมา! 

  ทุกคนหันไปมองนักศึกษาที่พึ่งพูดเมื่อกี้

  สีหน้าของชายคนนั้นเปลี่ยนไป จากนั้นสักครู่เขาก็ค่อยๆเดินออกมาช้าๆ พูดอย่างกล้าๆกลัวๆ  ประธานหวัง ผมพูดอะไรผิด? 

   นายออกจากหนานอู่ได้แล้ว! 

   ออกจาก…หนานอู่? 

   ใช่ นายถูกไล่ออก! 

  พวกฟางผิงต่างก็ตกตะลึง เกิดอะไรขึ้น?

  นักศึกษาที่พึ่งออกจากแถวมาก็ยืนอึ้งอยู่เช่นกัน จากนั้นเขาก็คำรามด้วยความโกรธ  หวังจินหยาง นายมีสิทธิ์อะไรไล่ฉันออก? 

  แต่หวังจินหยางไม่ได้ตอบ เขากวาดสายตามองคนอื่นแล้วกล่าวเสียงเย็น  นายเป็นสมาชิกหนานอู่ แต่นายไม่ให้เกียรติส่วนรวมเลย นายมักทำตัวเหมือนทุกอย่างไม่ใช่ธุระของนาย นายไม่อายบ้างเหรอ? 

   ถ้านายไม่ได้ผลประโยชน์ นายก็จะบ่นว่ามหาลัยไม่ยุติธรรม 

   มีใครเคยคิดไหมว่าทำไม? 

   เพราะพวกนายเข้าหนานอู่เหรอ? 

   เพราะพวกนายไม่คิดถึงความก้าวหน้า ไม่คิดถึงความต้องการที่จะแข็งแกร่งขึ้น สักแต่คิดว่าพอพวกนายเป็นผู้ฝึกยุทธแล้ว พวกนายจะได้เพลิดเพลินกับเกียรติยศงั้นเหรอ? 

   ผู้ฝึกยุทธคืออะไร? 

   การเป็นผู้ฝึกยุทธไม่ใช่ทางผ่านให้พวกนายได้รับสิทธิพิเศษ! ผู้ฝึกยุทธคือกลุ่มนักรบที่กล้าหาญที่ต่อสู้ด้วยชีวิต! 

   ที่หนานอู่ ฉันไม่เห็นสิ่งนี้เลย! 

  สิ้นคำพูดเขา ฝูงชนรอบข้างพลันกระจายตัว ยอดยุทธหลายคนที่เปี่ยมด้วยบารมีเดินแหวกเข้ามา

  ผู้นำกลุ่มคือชายชราผมขาว ชายชราไม่ได้พูดอะไร แต่ชายกลางคนร่างกำยำที่อยู่ฝั่งขวาเอ่ยขึ้นมา  หวังจินหยางพูดถูก 

   แพ้แล้วเกี่ยวอะไรกับเธองั้นเหรอ? 

   งั้นถ้าวันหนึ่ง ประเทศชาติแพ้สงคราม ยอดฝีมือหลายคนสิ้นชีพ พวกเธอตกเป็นทาส เธอจะพูดอะไรแบบนั้นอยู่ไหม? 

   ทั้งหมดเป็นความผิดของยอดฝีมือ ทำไมเราต้องรับผิดชอบด้วย! 

   หนานอู่ หรือหนานเจียง ไม่ต้องการผู้ฝึกยุทธเช่นนี้! 

   ถ้าเธอไม่พอใจ เธอก็ขึ้นลานประลองมา ถ้าเธอรู้สึกว่าคนที่อยู่บนลานประลองเป็นตัวแทนเธอไม่ได้ เธอก็ขึ้นมาประลองเองเลย! 

  เสียงโหวกเหวกโวยวายเงียบลงทันที เพราะทุกคนทราบได้ว่าผู้พูดเป็นใคร

  ผู้สำเร็จราชการจางแห่งหนานเจียง จางติ้งหนาน!

  ไม่ว่าจางติ้งหนานจะมีชื่อนี้ตั้งแต่กำเนิดหรือเปลี่ยนทีหลังก็ไม่มีใครทราบได้

  ทุกคนรู้ว่าตั้งแต่ที่จางติ้งหนานทะลวงผ่านขอบเขตปรมาจารย์ เขาก็เริ่มแทรกแซงเรื่องต่างๆ รวมถึงเรื่องของมหาลัยวิชายุทธ ให้ทุกคนกล้าสู้

  เมื่อคำพูดเหล่านี้ถูกเปล่งออกมา มันก็บ่งบอกได้ชัดเจนแล้วว่าทุกคนไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องฟังคำพูดก่อนหน้านี้ของหวังจินหยาง

  แม้แต่อาจารย์ใหญ่หนานอู่ก็ไม่พูดอะไรเช่นกัน

  คนอื่นไม่พูดอะไร หวังจินหยางก้มศีรษะลงเล็กน้อยให้กับปรมาจารย์ก่อนจะหันมามองพวกฟางผิง  เราให้พวกนายเห็นเรื่องน่าขายหน้าแล้ว 

  ไป๋รั่วซียิ้มบางๆ  ไม่เป็นไร เรื่องที่เกิดขึ้นในหนานอู่ก็เป็นแรงบันดาลใจให้กับเราอย่างล้ำลึกเช่นกัน 

   งั้นอย่าเสียเวลากันอีกเลย 

  จากนั้นหวังจินหยางก็มองคนที่กำลังยืนอยุ่ล่างลานประลองก่อนจะคำราม  วันนี้ พวกนายต่างก็เป็นตัวแทนของหนานอู่และหนานเจียง! 

   พวกนายล้วนเป็นผู้ฝึกยุทธขั้นสองสูงสุด ส่วนคู่ต่อสู้พึ่งเป็นขั้นสองไม่นานมานี้! 

   ถ้านายชนะ มันก็ไม่ได้สมควรรับการชื่นชมยินดี 

   ถ้านายแพ้ มันก็แปลว่าวิธีการสอนของหนานอู่นั้นผิด มหาลัยไม่ใช่หมู่บ้านที่อ่อนโยน! 

   ถ้าวันนี้นายแพ้ ฉันจะแนะนำให้มหาลัยกำจัดนักศึกษาออกเก้าสิบเปอร์เซ็นต์และรวบรวมทรัพยากรเลี้ยงดูกลุ่มหัวกะทิที่กล้าหาญและมีความสามารถในการต่อสู้! 

  คำพูดเหล่านี้ทำให้เกิดความวุ่นวายอีกครั้ง

  หวังจินหยางไม่สนใจพวกเขา เขามองพวกฟางผิงแล้วกล่าว  มันไม่ใช่การประลองสาธารณะ ลำดับการประลองขึ้นอยู่กับนาย ผู้ชนะอยู่ต่อ ผู้แพ้ลงจากลานประลอง! 

   ผู้ที่เหลืออยู่บนลานประลองจะเป็นผู้ชนะ! 

  ฟางผิงเลิกคิ้วเล็กน้อย บ้าระห่ำมาก

  อีกด้านหนึ่ง ยอดยุทธระดับปรมาจารย์ไม่ได้พูดอะไร พวกเขาเดินไปที่ข้างลานประลองแล้วยืนชมการประลองอยู่ตรงนั้น ไม่มีโต๊ะไม่มีเก้าอี้เตรียมไว้ให้

  ลานประลองเรียบง่ายมาก เทียบไม่ได้แม้แต่ลานประลองใต้ดินด้วยซ้ำ

  อย่างไรก็ตามสามยอดยุทธระดับปรมาจารย์ได้รับเชิญให้มาชมการประลองที่เรียบง่ายเช่นนี้

  หวังจินหยางรับหน้าที่เป็นกรรมการทันที เขาเปิดปากพูดอีกครั้ง  เนื่องจากหนานอู่เป็นเจ้าภาพ หนานอู่จะเลือกคนก่อน! 

  ล่างลานประลอง คนหนุ่มสาวหลายคนมองหน้ากันไปมา ไม่นานผู้ฝึกยุทธถือหอกยาวก็เดินขึ้นมาบนลายประลอง

   มหาลัยวิชายุทธหนานเจียง สาขาศัสตราวุธ นักศึกษาปีสามเฉินเผิงเฟย! จากคะแนนภารกิจสะสม ฉันเป็นอันดับสามในหมู่นักศึกษาขั้นสองของหนานอู่! 

  ฟางผิงเผยสีหน้าสงสัย ไป๋รั่วซีอธิบายอย่างรวดเร็ว  หนานอู่มีภารกิจไม่มากนัก จำนวนภารกิจที่ทำเสร็จเป็นการบ่งบอกถึงจำนวนครั้งที่พวกเขาร่วมการต่อสู้และความแข็งแกร่งของความสามารถในการต่อสู้ 

   เมื่อหนานอู่ทำภารกิจสำเร็จ พวกเขาจะได้รับคะแนน อันดับสามในหมู่ขั้นสองหมายถึงเขาทำภารกิจสำเร็จไปหลายครั้งในหมู่ผู้ฝึกยุทธขั้นสองและมีประสบการณ์ต่อสู้มากมาย… 

  ฟางผิงพยักหน้า เป็นเชิงเข้าใจ

  ผู้ฝึกยุทธของหนานอู่เข้าใจเรื่องนี้ดี เมื่อเห็นเฉินเผิงเฟยขึ้นมาลานประลองคนแรก พวกเขาก็รู้สึกพึงพอใจมาตรฐานตัวแทนขั้นสองสูงสุดของหนานอู่

  เขาชำเลืองมองกลุ่มฟู่ชางติ่ง ฟู่ชางติ่งก็กระตือรือร้นอยากต่อสู้  ฉันเอง แถมฉันใช้หอกด้วย… 

  อย่างไรก็ตามฟางผิงเพิกเฉย เขาหันไปมองจ้าวเหล่ยแล้วกล่าว  นายไป! 

   ฉันเหรอ? 

   ประลองรอบแรกต้องจบสวย การประลองรอบก่อนนายโทษฉันที่ไม่ให้นายมีโอกาสแสดงฝีมือ 

   ตอนนี้ฉันให้โอกาสนายแล้ว จ้าวเหล่ย ถ้านายแพ้ ทำให้โม๋อู่อับอาย ครั้งหน้าฉันจะอัดนายทุกครั้งที่เห็น! 

  สีหน้าของจ้าวเหล่ยหม่นลง แต่เขาก็ไม่ได้พูดอะไร

  เขาเดินตรงไปยังลานประลอง เมื่อเขาขึ้นไปถึง เขาก็ประกาศเสียงดัง  มหาลัยวิชายุทธเซี่ยงไฮ้ สาขาศัสตราวุธปีหนึ่ง จ้าวเหล่ย ขั้นสองชั้นต้น! 

  คนที่ยังขัดเกลากระดูกแขนขาไม่เสร็จสามข้างต่างก็เป็นขั้นสองชั้นต้น

  ในกลุ่มโม๋อู่หลายคน ยกเว้นฟางผิงล้วนเป็นขั้นสองชั้นต้น

  …

   เขาชนะไหม? 

  ฟู่ชางติ่งถามเบาๆ ฟางผิงตอบ  ไม่เป็นไร ถ้าเขาแพ้ก็ยังมีฉัน จัดการตามที่เห็นสมควรเลย 

   นาย… 

  สีหน้าของพวกเขาไม่ได้ดูมีความสุข แต่พวกเขาก็ไม่ได้พูดอะไรอีก บนเวทีการประลองเริ่มต้นขึ้นแล้ว

  …

  บนลานประลอง

  เมื่อการประลองเริ่มขึ้น เฉินเผิงเฟยก็แสดงความแข็งแกร่งของนักศึกษาหัวกะทิขั้นสองของมหาลัยวิชายุทธ! 

  เขาโจมตีด้วยหอกยาว เสียงคำรามเสียดสีอากาศดังขึ้นแผ่วเบา!

  จ้าวเหล่ยเคลื่อนไหวดุจกระต่ายปราดเปรียว ปลายเท้าเหยียบบนพื้น ว่องไวและดุร้ายดั่งพยัคฆ์ อาศัยมุมโค้งประชิดตัวเฉินเผิงเฟยในเสี้ยววิ

  ความเร็วการตอบสนองของเฉินเผิงเฟยเร็วมาก ก่อนที่จะแทงหอกไปจนสุด เขาก็รั้งกลับมาอย่างรวดเร็ว ด้ามหอกสั่นสะเทือน กลางด้ามเริ่มโค้งงอ จากนั้นหอกยาวก็เหมือนแปรเปลี่ยนเป็นแส้ยาว พันใส่รอบคอจ้าวเหล่ยด้วยระดับความโค้งที่น่าตกใจ

  ฟางผิงจ้องมองสักพัก เลิกคิ้วขึ้นและกล่าว  ไม่ง่ายเลยที่จะฝึกหอกจนถึงระดับนี้ 

  ในความเห็นของหลายๆคน หอกไม่ใช่อาวุธที่เหมาะสมกับการต่อสู้ระยะประชิด ตัวหอกมันยาวเกินไป ถ้าพวกเขาถูกบังคับให้สู้ระยะประชิด พวกเขาจะไม่อาจแสดงความแข็งแกร่งของมันออกมาได้

  อย่างไรก็ตามเฉินเผิงเฟยไม่สนใจเรื่องนี้เลย เมื่อจ้าวเหล่ยเคลื่อนไหวเข้าประชิดตัว หอกเขาขยับตาม โค้งงอตามใจนึก มันไม่ด้อยไปกว่าดาบหรือกระบี่เลย

  ฟู่ชางติ่งสีหน้าจริงจังขึ้นเล็กน้อย  ฉันเคยพูดแล้วว่าหอกยาวก็เหมือนมังกร มังกรที่ใหญ่ได้เล็กได้ ยืดได้หดได้ มันแข็งแกร่งมาก… 

  ขณะที่ทั้งสองคุยกัน หวังจินหยางก็เดินมาพร้อมกับขมวดคิ้ว  สวยงามแต่ใช้ไม่ได้จริง! 

   อาวุธมีไว้สังหารศัตรูเท่านั้น ฝึกฝนจนโค้งงอได้แล้วไง? พลังของมันเพิ่มขึ้นเหรอ? ถ้าผู้ใช้หอกกลัวถูกลากให้สู้ระยะประชิด งั้นก็อย่าปล่อยให้คู่ต่อสู้ประชิดตัวได้ แทนที่จะฝึกโค้งงอแบบนี้ ไปฝึกความเร็วหอกดีกว่า! 

   ยิ่งกว่านั้นหอกยังได้เปรียบเป็นเส้นตรง! 

   เนื่องจากเขาทำไม่ได้ เขาควรฝึกอาวุธสั้นก็พอ! 

  ฟางผิงกับคนอื่นๆไม่มีข้อโต้แย้ง เพราะที่พูดมาก็ฟังดูไม่ผิด

  ขณะที่หวังจินหยางดูการประลอง เขาก็ขมวดคิ้ว  ยังมีช่องว่างอยู่บ้าง จ้าวเหล่ยอาจไม่ชนะ 

   ฟางผิง เดี๋ยวนายขึ้นไป! 

   นายต้องเอาชนะสี่คนท้ายให้เร็วและโหดเหี้ยม มีแต่ทำแบบนี้ฉันถึงจะปฏิรูปหนานอู่ได้! 

  ฟางผิงมึนงง ‘เกิดอะไรขึ้น? คุณเริ่มสั่งการทีมโม๋อู่แล้ว มันดูเหมือนมีใต้โต๊ะยังไงก็ไม่รู้นะ!’

  พวกฟู่ชางติ่งต่างก็พูดไม่ออก ‘แล้วพวกเราล่ะ?’

  หวังจินหยางกระแอมเบาๆ  พวกนายจะได้ประสบการณ์จากการประลองนี้ แต่ฉันเกรงว่ามันไม่ใช่จุดประสงค์ของการประลอง ฉันหวังว่าพวกนายจะช่วยฉันผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลง ไม่ต้องห่วง ฉันจะให้เม็ดยาที่สัญญาไว้ตามเดิม 

  หลังคิดเล็กน้อย ฟางผิงก็กล่าว  ผู้นำหนานอู่ไม่มีใครคัดค้านเหรอ? 

   คนที่คัดค้านต่างก็ถูกส่งไปทำภารกิจที่ถ้ำใต้ดินอื่นๆแล้ว!  หวังจินหยางกล่าวอย่างเฉยเมย

  ฟางผิงรู้สึกพูดไม่ออก บัดซบ เหล่าหวังกลายเป็นผู้นำหนานอู่แล้ว หนานอู่มาถึงขั้นนี้ได้ยังไง?

  แม้ว่าเขาจะตกใจ แต่ที่เขารู้สึกยิ่งกว่านั้นก็คือความอิจฉา

  ‘ฉันจะเริ่มมีอำนาจในโม๋อู่เมื่อไหร่นะ?’

   ตกลง แต่พูดตรงๆ ผมให้สัญญาไม่ได้… 

   ทำเต็มที่ก็พอ 

  ขณะที่ทั้งสองคุยกัน สถานการณ์บนลานประลองก็เกิดการเปลี่ยนแปลง

  เฉินเผิงเฟยแทงหอก ปลายเท้าของจ้าวเหล่ยดีดตัวจากพื้น กระโจนขึ้นบนอากาศ หลบเลี่ยงการโจมตีนี้

  วินาทีถัดมา เฉินเผิงเฟยเหมือนสัมผัสได้ถึงโอกาส เขาไม่ได้แทงหอกใส่จ้าวเหล่ย แต่เป็นกระทุ้งหอกใส่อากาศว่างเปล่าข้างตัว

  ฟางผิงคาดเดาบางอย่างได้จากเหตุการณ์นี้ เฉินเผิงเฟยมีประสบการณ์ต่อสู้มากมาย การโจมตีนี้เป็นการคาดการณ์ล่วงหน้า

  เขาคาดการณ์เวลาและตำแหน่งที่จ้าวเหล่ยจะเคลื่อนไหวมา แต่จ้าวเหล่ยอาจไม่โจมตีโต้ตอบจากตำแหน่งนั้นก็ได้

  มันเป็นเรื่องยากที่ผู้ฝึกยุทธทั่วไปจะคาดการณ์ตำแหน่งและเวลาได้อย่างแม่นยำ

  แต่เห็นได้ชัดว่าเฉินเผิงเฟยไม่ใช่หนึ่งในนั้น เมื่อเขากระทุ้งหอกออกไป แม้แต่หวังจินหยางก็พยักหน้าเล็กๆ

  อย่างไรก็ตามวินาทีต่อมา ขณะที่จ้าวเหล่ยเท้ากำลังแตะพื้น ทุกคนที่ชมการประลองก็เหงื่อตก ถ้าจ้าวเหล่ยเท้าแตะพื้นเมื่อไหร่ เขาจะถูกหอกแทงทะลุ แต่แล้วจ้าวเหล่ยก็พลันเคลื่อนไหว!

  เท้าซ้ายจ้าวเหล่ยเหยียบอากาศ ร่างกายเคลื่อนขึ้นสูง เท้าซ้ายก้าวไปข้างหน้า เหยียบปลายหอกของเฉินเผิงเฟย!

  เฉินเผงเฟยถูกโจมตีเต็มกำลัง ปลายหอกงอตามแรงเหยียบ

  จ้าวเหล่ยอาศัยแรงส่งลอยไปข้างหน้า พริบตานั้นเขาก็ประชิดตัวเฉินเผิงเฟยอีกครั้ง

  เฉินเผิงเฟยใส่แรงไปมาก แต่แรงก็ไม่พอต้าน เวลานั้น จ้าวเหล่ยก็คาดการณ์เวลาได้อย่างแม่นยำเช่นกัน

  ขณะที่เฉินเผิงเฟยรวบรวมกำลังอีกครั้ง ก็มีหมัดตรงพุ่งปะทะเข้าที่หน้าอก!

  โดยไม่รอให้เฉินเผิงเฟยโต้ตอบ จ้าวเหล่ยหัวเราะเสียงเย็น แบมือยื่นออกไปคว้าข้อมือที่ถือหอกอย่างรวดเร็ว!

  ก่อนที่ฝูงชนจะตามทัน จ้าวเหล่ยก็ส่งลูกเตะไปแล้ว…

  ไม่กี่วินาทีถัดมา ทั้งสองก็แยกจากัน สีหน้าของจ้าวเหล่ยซีดขาวเล็กน้อย ขาสั่นเทา

  กลับกันสีหน้าของเฉินเผิงเฟยแดงสดใส จู่ๆเขาก็กระอักเลือดออกมาคำโต ความผิดหวังเขียนบนใบหน้าอย่างเห็นได้ชัด  ฉันแพ้แล้ว 

  นี่ไม่ใช่การประลองเป็นตาย แม้ว่าบนลานประลองจะต่อสู้กันไม่ต่างกับศึกชี้เป็นชี้ตาย แต่กระดูกอกเขาหัก อวัยวะภายในบอบช้ำ แถมเขาก็หมดแรงแล้ว ถ้าเขาประลองต่อ มันก็แค่เป็นการถ่วงเวลาและยังทำให้อาการบาดเจ็บแย่ลง ไม่มีความจำเป็นที่ต้องต่อสู้จนเกือบตาย

  ล่างเวที ฟางผิงเดาะลิ้น  ขั้นว่างเปล่า ฉันไม่รู้เลยว่าเจ้าหมอนี่จะซ่อนลูกไม้นี้ไว้ คงไม่ใช่ว่าเขาอยากเอามาใช้กับฉันหรอกใช่ไหม? 

  เขาสงสัยมากว่าจ้าวเหล่ยไม่ยอมบอกทุกคนเรื่องบรรลุขั้นว่างเปล่าเพราะอยากเอามาใช้กับเขา

  เฉินเผิงเฟยคาดการณ์ผิดพลาด นอกจากนี้เขายังไม่คิดว่าจ้าวเหล่ยจะฝึกฝนจวงกงจนถึงขั้นว่างเปล่า และลอยตัวกลางอากาศได้ระยะหนึ่ง หลบเลี่ยงการโจมตีของเขาไปได้

  เป็นผลให้การประลองที่ก้ำกึ่งกันตอนแรกเปลี่ยนไป

  หวังจินหยางไม่สนใจมากนัก เขามองฟางผิงแล้วกล่าว  ฉันไปก่อนนะ นายไปขึ้นรอบหน้า 

  ปราณและเลือดของจ้าวเหล่ยถูกผลาญไปมาก ไม่มีประโยชน์ให้เขาอยู่บนลานประลองต่อ

   ตกลง ผมยินดีทำตามคำสั่งของนายจ้าง 

  ฟางผิงหัวเราะ เขาไม่ได้คิดมากที่ต้องขึ้นลานประลองก่อนกำหนด��

 

World’s Best Martial Artist

World’s Best Martial Artist

Status: Ongoing

ฟางผิงใช้เวลาครึ่งชั่วโมงในที่สุดก็ตัดสินได้ว่าเขาไม่ได้ฝันไปหรือไม่ได้ถ่ายหนัง…อย่าไร้สาระน่า ถ้าการถ่ายหนังชุบความเป็นหนุ่มของเขากลับมาได้ งั้นกองถ่ายก็คงไปถ่ายทำที่สวรรค์ได้แล้ว!

หลังยืนยันว่าเขากลับมาเกิดใหม่ ฟางผิงก็รู้สึกถึงความตื่นตระหนกก่อนจะค่อยๆยอมรับความจริง

ความจริงอะไรงั้นเหรอ? ความจริงที่ว่าเขากลับมาเกิดใหม่ในร่างตัวเองตอนเด็ก และเนื่องจากเขามีความรู้ของอนาคตติดตัวมาด้วย เขาจะทำวันนี้ให้ดีที่สุดแล้วกลายเป็นผู้ยิ่งใหญ่ในแวดวงธุรกิจ! เขาจะรวย!

นั่นเป็นความคิดของเขาจนกระทั่งเพื่อนเขามาขัดจังหวะ

“สรุปนายจะลงทะเบียนสอบวิชาการต่อสู้ไหม?”

อะไรนะ? พูดเล่นเหรอ? หรือเขาส่งบทผิด? วิชาการต่อสู้คืออะไร? ทำไมถึงมีค่าลงทะเบียนหมื่นหยวน? หัวของเขาเต็มไปด้วยประโยคคำถาม ไม่นานฟางผิงก็ตระหนักว่าเขาอาจไม่ได้โชคดีเหมือนที่เขาคิดไว้ตอนแรก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท
Close Ads ufanance
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตออนไลน์
Click to Hide Advanced Floating Content สมัคร ufabet
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตฟรีสปิน