World’s Best Martial Artist – ตอนที่ 181 การร่วมมือครั้งแรกของทีม

ตอนที่ 181 การร่วมมือครั้งแรกของทีม

  ณ มณฑลตงหลิน

  เมืองซู่เฉิง

  ตงหลินอยู่ติดกับทะเลหวงไห่ มีเศรษฐกิจเจริญรุ่งเรือง

  เมืองซู่เฉิงไม่ได้อยู่ติดกับทะเล มันเป็นเมืองด่านหน้าการท่องเที่ยวที่เป็นทางผ่านไปภาคตะวันตกตอนกลาง

  …

  ณ โรงแรมแกรนด์ซู่เฉิง

  เมื่อเก็บกระเป๋าเสร็จ ทุกคนก็มารวมตัวกันที่ห้องฟางผิง

  ฟางผิงรอให้ทุกคนมา จากนั้นเขาก็กล่าว  ฉันบอกพวกนายเรื่องภารกิจแล้ว มันเป็นการกำจัดกากเดนลัทธิชั่วในเมืองซู่เฉิง 

   วันนี้ ลัทธิมีการเคลื่อนไหวผิดปกติ ลัทธิรังสรรค์นิยม ลัทธิแสงศรัทธา ลัทธิสากลนิยม… 

   ลัทธิชั่วพวกนี้มีร่องรอยในตงหลิน 

   ฉันขอเตือนก่อนเลย อย่าเชื่อข้อมูลของภารกิจจนหมดใจ 

   ข้อมูลบอกว่ามีผู้ฝึกยุทธขั้นสองสูงสุดหนึ่งคน ผู้ฝึกยุทธขั้นหนึ่งหลายคน… 

   อย่างไรก็ตาม ข้อมูลอาจผิดพลาดหรืออาจมีพวกระดับสูงของลัทธิซ่อนตัวอยู่ก็ได้ มันไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้ซะทีเดียว 

   ฉันแค่ต้องพูดอย่างหนึ่ง ถ้านายเจอกับสถานการณ์ที่เสียเปรียบ ให้รีบล่าถอยเลย ถ้าศัตรูมีแค่สามขั้นล่าง เราหลบหนีได้ง่ายๆ 

   ถ้าเจอกับผู้ฝึกยุทธสามขั้นกลาง ให้หนีให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ 

   ผู้ฝึกยุทธสามขั้นกลางไม่ใช่คนที่เราจะต่อกรด้วยได้ 

   นอกเหนือจากกะโหลก ผู้ฝึกยุทธสามขั้นกลางขัดเกลาโครงกระดูกทั่วทั้งตัว แถมยังขัดเกลาอวัยวะภายในอีก 

   ปราณและเลือดพวกเขาต่างก็สูงกว่า 1000แคล 

   ขอแค่พวกมันควบคุมพลังของตัวเองได้อย่างเชี่ยวชาญ โจมตีลวกๆกระบวนท่าเดียวก็ระเบิดปราณและเลือดเป็น 100แคลแล้ว ต่อให้เป็นหลายร้อยแคลก็ไม่น่าแปลกใจ 

   ถ้านายเจอผู้ฝึกยุทธแบบนั้น นายจะลดการป้องกันตัวเองไม่ได้ อาศัยแค่การโจมตีทื่อๆพวกมันก็ฆ่าพวกนายได้แล้ว 

   เข้าใจแล้ว  หยางเสี่ยวม่านตอบกลับอย่างไม่ใส่ใจ

  ฟางผิงชำเลืองมองเธอแล้วกล่าวเบาๆ  ตอนทำภารกิจ ฉันหวังว่าทุกคนจะทำตามคำสั่งของฉัน ไม่ใช่ทำตามอำเภอใจ 

   ไม่งั้นพอเราเผชิญกับอันตราย เราจะทำได้แต่จำใจเลือกทิ้งคนที่สร้างปัญหา เพราะไม่ยอมฟังคำสั่ง 

  หยางเสี่ยวม่านไม่พอใจเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าเขาจ้องมองเธออยู่ แต่เธอก็ไม่ได้โต้เถียง

   หวังเฉิง พวกนายคอยติดต่อกับกองทัพเมืองซู่เฉิงเพื่อค้นหาเป้าหมายภารกิจ ถ้ามีข่าวอะไรก็แจ้งให้เรารู้ 

   ส่วนคนอื่น หลีกเลี่ยงการออกไปข้างนอกให้มากที่สุด! 

   ทราบแล้ว!  หวังเฉิงตอบ พวกเขาหลายคนล้วนเป็นสมาชิกชมรมที่ถูกฟางผิงชวนมาเข้าทีมทำภารกิจ

  พวกเขาต่างก็เป็นเตรียมผู้ฝึกยุทธ และฟางผิงก็ไม่ปล่อยให้พวกเขาร่วมการต่อสู้ จุดประสงค์หลักของพวกเขาคือช่วยเหลืองานจิปาถะแนวหลัง

  สำหรับพวกเขาทั้งสี่คน ฟางผิงตกลงราคาว่าจะมอบยาปราณและเลือดสามัญให้พวกเขาคนละเม็ดเมื่อทำภารกิจเสร็จ ทำงานช่วงมีนาคมหนึ่งเดือน สี่คนสี่เม็ดรวมแล้วก็ 12 คะแนน

  สำหรับฟางผิง 12 คะแนนไม่ถือว่ามาก ทำภารกิจขั้นหนึ่งสักภารกิจก็ได้แล้ว

  อย่างไรก็ตามสำหรับพวกหวังเฉิงแล้ว ยาปราณและเลือดสามัญหนึ่งเม็ดต่อหนึ่งเดือนถือเป็นราคาที่สูงมากแล้ว

  เตรียมผู้ฝึกยุทธอย่างพวกเขาไม่อาจทำภารกิจได้ ต่อให้พวกเขาลงทะเบียนภารกิจได้ แต่พวกเขาก็ไม่มีความแข็งแกร่งที่จะทำ

  ในมหาลัย พวกเขาได้แต่อาศัยการสอบรายวันเพื่อรับคะแนนเพียงเล็กน้อย

  ตอนนี้พวกเขามีโอกาสออกมาข้างนอกเดือนนึงและได้ยาปราณและเลือดโดยไม่ต้องพาตัวเองไปเสี่ยงอันตราย พวกเขาพึงพอใจมาก

  ช่องว่างระหว่างผู้ฝึกยุทธก็เด่นชัดมากเช่นกัน

  คนอย่างฟางผิงมีมุมมองต่อของพวกนี้ต่างออกไปแล้ว ยาปราณและเลือดสามัญหนึ่งเม็ดแทบไม่พอฟื้นฟูปราณและเลือดด้วยซ้ำ

  …

  หลังจากทุกคนแยกย้ายกันไป ฟางผิงก็ยืนมองออกไปทางริมหน้าต่างอยู่พักหนึ่ง

  เมืองซู่เฉิงเป็นประตูสู่ภาคตะวันตกตอนกลางของตงหลิน

  กระนั้นตอนนี้มันก็ยังไม่เป็นที่แน่ชัดว่าทำไมลัทธิชั่วถึงหลั่งไหลเข้ามามากมาย

  ตงหลิน ตงอู๋และตงหู สามมณฑลทางตะวันออกบวกกับหนานเจียงตอนใต้ หนานเจ๋อและหนานหู ประกอบกันเป็นภาคตะวันออกเฉียงใต้ของประเทศจีน

  สามมณฑลทางตะวันออกอยู่ใกล้กับสามมณฑลทางใต้ เมื่อเกิดปัญหาขึ้นในสามมณฑลทางตะวันออก มันจะรุกรามไปยังสามมณฑลทางใต้อย่างรวดเร็ว

   ต่อหน้าศัตรู ผู้ฝึกยุทธลัทธิชั่วพวกนี้ก็ยังคิดเรื่องโจมตีกันเองได้…พวกมันสมควรตาย! 

  ฟางผิงสบถอย่างอดไม่ได้ เขาเองก็เคยถูกโจมตีมาก่อน เขาไม่เห็นถึงความดีของลัทธิพวกนี้เลย ต่อให้พวกมันจะบอกว่ามีความชอบธรรมก็ตาม

  …

  ด้วยการสนับสนุนของหวังเฉิงและคนในกลุ่ม ฟางผิงกับพวกจึงไม่จำเป็นต้องออกไปตะลอนเพื่อหาคน

  บ่ายวันนั้น กลุ่มของหวังเฉิงก็พบข้อมูลบางอย่าง

  ณ ห้องฟางผิง

  หวังเฉิงกล่าว  เป้าหมายภารกิจของเราเป็นที่มั่นเล็กๆของลัทธิรังสรรค์นิยม พวกมันเรียกตัวหัวหน้าว่าหัวหน้าลัทธิ 

   หัวหน้าลัทธิเป็นขั้นสองสูงสุด 

   ตอนนี้ เราพบผู้ฝึกยุทธอีกสามคนในแหล่งกบดาน ทั้งหมดเป็นผู้ฝึกยุทธขั้นหนึ่ง 

  ฟางผิงขมวดคิ้ว  ผู้ฝึกยุทธสี่คนยังเป็นที่มั่นเล็กได้อยู่เหรอ? 

  ผู้ฝึกยุทธไม่ใช่หัวผักกาด พวกมันกระทั่งมีขั้นสองสูงสุด พวกมันไม่ถือเป็นกลุ่มเล็กๆแล้ว

  หวังเฉิงอธิบายเพิ่ม  ก่อนหน้านี้มันไม่ใช่ที่มั่นเล็ก แต่ตอนนี้ในเมืองซู่เฉิง มันเป็นฐานที่มั่นเล็ก 

   ตามที่กองทัพระบุไว้ ช่วงนี้มีลัทธิชั่วหลั่งไหลเข้ามาจากทางตะวันตกตอนกลาง 

   เนื่องจากเมืองซู่เฉิงเป็นทางผ่าน มันจึงกลายเป็นเมืองสำคัญที่พวกมันต้องการยึดครอง 

   กองทัพและกรมสืบสวนเมืองซู่เฉิง รวมทั้งเบื้องบนเมืองตงหลิน ได้เริ่มตรวจสอบและส่งกองกำลังเตรียมกำจัดพวกมันแล้ว 

   กระนั้นเป้าหมายของพวกเขาเป็นฐานที่มีผู้ฝึกยุทธขั้นกลาง ส่วนที่มั่นที่ไม่มีผู้ฝึกยุทธขั้นกลาง พวกเขาจะขอความช่วยเหลือจากภายนอกเป็นหลัก 

   ยังไงเสียกองทัพกับกรมสืบสวนก็มีภารกิจอื่นอีก 

   เป็นอย่างนั้นเหรอ? เนื่องจากมีลัทธิชั่วมากมาย มณฑลอื่นจะมาสนับสนุนได้เหรอ? 

   พูดยาก ที่กรมทหารจะสื่อคือ พวกเขาจะติดตามปลาใหญ่ 

   ปลาเล็กปลาน้อยเหลือให้คนอย่างพวกเรา ถ้าเราตกอยู่ในอันตรายจริงๆ เราล่าถอยได้หรือไม่ก็ถ่วงเวลาให้กองทัพมาช่วย 

   ไร้สาระ… 

  ฟางผิงส่ายหน้า ความเป็นความตายของผู้ฝึกยุทธขึ้นอยู่กับช่วงเวลาไม่กี่วินาที พวกเขาจะเอาเวลาไหนมารอความช่วยเหลือ?

   ตำแหน่งที่มั่นถูกต้องไหม? นายไปดูมายัง? 

   ฉันไปดูตอนเช้าแล้ว ประตูปิดสนิท ฉันกลัวดึงความสนใจ ฉันเลยไม่กล้าดูละเอียด 

   แต่เรานั่งอยู่ร้านอาหารข้างๆสักพัก มีคนเข้าออกอยู่ 

   งั้นเหรอ? มีคนอยู่ใกล้ๆเยอะไหม? 

   ค่อนข้างเยอะ… 

  หวังเฉิงอธิบายสถานการณ์ หลังฟังจบ ฟางผิงถึงได้พูดขึ้นมา  ถ้ามีคนอยู่ใกล้ๆเยอะ ลงมือตอนกลางวันคงไม่เหมาะ 

   เราจะลงมือกันหลังห้าทุ่ม 

   ที่มั่นมีประตูหลัง ดังนั้นหยางเสี่ยวม่านกับถังซ่งถิงจะมีหน้าที่เฝ้าประตูหลัง อย่าปล่อยให้ใครหนีไปได้ 

   ที่เหลือตามฉันเข้าไปจากประตูหน้า ฉันกับจ้าวเหล่ยจะจัดการผู้ฝึกยุทธขั้นสองสูงสุด ฟู่ชางติ่งจัดการผู้ฝึกยุทธขั้นหนึ่งสูงสุด 

   เฉินหยุนซีจัดการคนธรรมดา 

   เป้าหมายเราคือสังหารผู้ฝึกยุทธทุกคน! 

   ส่วนคนธรรมดา ทำให้พวกมันสลบไปก็พอ แต่ถ้าพวกมันตาย เธอก็ไม่ต้องเสียใจหรอก 

   เฉินหยุนซี อย่าใจอ่อน ผู้ฝึกยุทธแทบไม่พกปืน แต่ไม่ใช่กับคนธรรมดา 

   ถ้าเธอทำให้พวกมันสลบได้ก็ทำเลย ถ้าเธอไม่มีทางเลือกก็สังหารมันซะ! 

   ฉันไม่อยากให้พวกเราถูกยิงตอนประมือกับผู้ฝึกยุทธ เธอเข้าใจใช่ไหมว่าฉันหมายถึงอะไร? 

  เฉินหยุนซีลังเลเล็กน้อย ฟางผิงจ้องมองเธอและพูดตำหนิ  นั่นเป็นคำพูดสุดท้าย ใครทำพลาดต้องรับผิดชอบ 

   ต่อให้ภารกิจสำเร็จ แต่ถ้าใครทำพลาดก็อย่าหวังจะได้แม้แต่เศษรางวัล! 

  เฉินหยุนซีรู้สึกพูดไม่ออก เธอกล่าวด้วยความรู้สึกไม่สบอารมณ์  ฉันไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น ก็แค่…ทำไมมีแต่ฉันที่จัดการกับคนธรรมดาล่ะ? 

   เธอเป็นผู้หญิง ฉันจัดตำแหน่งดีๆให้เธอแล้ว เธอไม่พอใจเหรอ? 

   แต่… 

   ไม่มีแต่ ทำตามคำสั่งฉันก็พอ! 

  ฟางผิงคร้านจะพูดกับเธออีกและบังคับให้เธอทำตามแผนพอ

  สุดท้ายเขาก็เตือนอีกครั้ง  ถ้าเราเจอสถานการณ์ที่อยู่เหนือการควบคุมอย่างเจอขั้นสองขั้นสามกะทันหัน ฉันจะไปจัดการกับคนที่แข็งแกร่งที่สุดและให้จ้าวเหล่ยจัดการคนที่อ่อนแอกว่า 

   ถ้าสู้ไหวก็สู้ ถ้าสู้ไม่ไหวก็หนี เข้าใจนะ? 

   รับทราบ! 

  ทุกคนตอบพร้อมเพรียงกัน ฟู่ชางติ่งยิ้ม  อย่าพูดเป็นลางสิ ถ้าเราเจอขั้นกลางจริง เราตายแน่นอน 

   เตรียมใจไว้ก่อนดีกว่า เวลานี้แค่บาดเจ็บก็ไม่คุ้มแล้ว เพราะมันจะทำให้เราฝึกฝนได้ช้าลง 

   เป้าหมายของเราคือหาคะแนนและเงินเพิ่ม ไม่ใช่เพื่อต่อสู้ 

  …

  ช่วงบ่าย ฟางผิงกับพวกออกไปข้างนอกอีกครั้ง เพื่อเป็นการเตรียมตัว

  เมื่อถึงช่วงดึก พวกเขาก็ออกจากโรงแรมพร้อมกับกระเป๋าเดินทาง

  บนรถ ฟางผิงเริ่มประกอบดาบฟ่งจุ่ย

  เมืองซู่เฉิงยามค่ำคืนไม่ได้คึกคักเหมือนเซี่ยงไฮ้ แม้แต่ไฟริมถนนก็ดูสลัวๆ

   ฟางผิง นายคิดว่าสักวันหนึ่งพวกเราจะตายไหม?  หยางเสี่ยวม่านพลันเอ่ยถามขึ้นมา

  ฟางผิงตอบแห้งๆ  มีใครบ้างไม่ตาย? ต่อให้เป็นปรมาจารย์ก็ตาย คำถามไร้สาระ 

   ไม่ใช่ ฉันหมายถึง สักวันหนึ่งเราจะตายในภารกิจหรือในถ้ำใต้ดิน… 

   ไม่รู้สิ เธอกลัวเหรอ? 

   ฉันน่ะเหรอกลัว? 

  หยางเสี่ยวม่านแค่นเสียง  ฉันแค่รู้สึกว่าชีวิตแบบนี้มันต่างจากที่ฉันจินตนาการไว้ 

   เธอจินตนาการไว้ว่ายังไง? 

  หยางเสี่ยวม่านไม่ได้พูดอะไร เธอหยิบทิชชู่มาเช็ดถุงมือต่อสู้ ปัจจุบันเธอกับจ้าวเหล่ยต่างก็ใช้ถุงมือต่อสู้

  กลับกันเฉินหยุนซีพกดาบยาวมา แถมยังดูเหมือนของประดับมากกว่า

  พวกเขาอยู่กันเงียบๆจนรถยนต์แล่นมาถึงหน้าอาคารหลังหนึ่ง

  หวังเฉิงที่กำลังขับรถพูดขึ้นมาเบาๆ  เป็นลานบ้านหลังนี้แหละ มีลานบ้านแบบนี้เยอะแยะในซู่เฉิง การเลือกบ้านแบบนี้จะสะดวกต่อการทำงาน 

  ฟางผิงพยักหน้าเล็กน้อย หลังจากมองดูสักครู่ เขาก็พูดพร้อมกับเปิดประตูรถ  ขับรถไปทางแยกที่เราพึ่งผ่านแล้วรอเราอยู่ตรงนั้น ไม่ต้องดับเครื่อง 

   ตกลง 

  หลังหวังเฉิงจากไป ฟางผิงก็ส่งสายตาทำสัญญาณให้หยางเสี่ยวม่านกับถังซ่งถิงเดินไปที่ประตูหลังของลานบ้าน

  ในขณะเดียวกัน ฟางผิงกับคนอื่นก็สำรวจประตูหน้าอยู่ครู่หนึ่ง หลังครุ่นคิดฟางผิงก็มองกำแพงลานบ้านแล้วพูดขึ้นมาเบาๆ  กระโดดข้ามกำแพงเข้าไปข้างใน 

  พวกเขาต่างเป็นผู้ฝึกยุทธขั้นสอง กระโดดข้ามกำแพงไม่ใช่เรื่องยาก ฟางผิงกระโดดขึ้นไปคนแรกและปีนขึ้นบนกำแพง

  เขามองเข้าไปในบ้านพักหนึ่ง ข้างในส่งแสงสลัวๆ เขาได้ยินเสียงคนเบาๆ แต่ไม่รู้มีคนอยู่ข้างในกี่คน

  ฟางผิงกวาดสายตามองลานบ้าน เขาเห็นเงาลางๆนอนกรนอยู่หน้าประตูลานบ้าน

   มีคนเฝ้าด้วย…  ฟางผิงพึมพำ

  เขาเริ่มตื่นตัว นี่เป็นบทเรียน ครั้งหน้าเขาต้องใส่ใจให้มากกว่านี้

  ไม่ใช่เรื่องมีคนเฝ้า แต่ครั้งหน้าเขาต้องใส่ใจว่ามีคนเฝ้ายามอยู่หรือไม่

  เขาแทบลืมเรื่องนี้ไปเลย ถ้าศัตรูมีการเฝ้ายาม การเคลื่อนไหวของพวกเขาจะถูกเปิดเผย

  ก่อนหน้านี้เขาไม่เคยเจอเหตุการณ์แบบนี้มาก่อน เขาจึงคิดไม่ถึงเช่นกัน ตั้งแต่นี้เขาต้องจำใส่สมองไว้

  ฟางผิงจับตาดูจากข้างนอก เขากระโดดลงกำแพงเบาๆ

  คนที่อยู่หน้าประตูเป็นเพียงคนธรรมดา ฟางผิงขยับฝีเท้า ไปโผล่ด้านหลังของอีกฝ่าย

  ฟางผิงจ้องมองหลังหัวอีกฝ่าย รู้สึกอึดอัดเล็กน้อย ‘ฉันไม่รู้จะทำให้คนสลบยังไง ยิ่งกว่านั้นตีหัวอีกฝ่ายให้สลบอย่างเดียวมันยากมาก!’

  แม้ว่าสมองเขากำลังคิด แต่การเคลื่อนไหวของฟางผิงไม่ได้ช้า!

  ช่วงเวลาต่อมา ฟางผิงใช้มือข้างนึงปิดปากอีกฝ่าย อีกข้างนึงกำหมัดทุบเข้าที่ศีรษะอย่างรุนแรง!

  ปัง…

  อีกฝ่ายครวญครางเบาๆก่อนจะทรุดลงกับพื้น

  ไม่นานฟู่ชางติ่งกับคนอื่นๆก็กระโดดข้ามกำแพงเดินเข้ามา

  เมื่อเห็นคนนอนแน่นิ่งบนพื้น เฉินหยุนซีก็ถามเบาๆ  หมดสติ? 

   ตาย 

  ฟางผิงเคอะเขินเล็กน้อย คนอื่นอึ้งอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพยายามกลั้นเสียงหัวเราะ

  เรื่องคนตาย พวกเขาไม่ค่อยใส่ใจนัก พวกเขาเคยทำภารกิจมาก่อนและเคยเจอคนตายมามากมาย

  หลังฟางผิงพูดจบ ฟู่ชางติ่งก็กล่าวอย่างไม่สบายใจ  ไม่จำเป็นต้องแอบเข้าไปใช่ไหม? เราจะทำอะไรต่อ? ฆ่าคนชิงทรัพย์? 

   มันไม่มากไปหน่อยเหรอ? 

   แค่เตะประตูทิ้งแล้วบุกเข้าไปก็จบแล้ว 

   เลิกพูดจาเหลวไหล… 

  ก่อนที่ฟางผิงจะพูดจบ จู่ๆก็มีเสียงดังขึ้นมาเบาๆจากในบ้าน

  ทันใดนั้นประตูบ้านถูกเปิดออก มีร่างนึงพุ่งออกมา กระโดดกำแพงหวังจะหลบหนี!

   หยุดมันไว้! 

  ฟางผิงตะโกนบอกจ้าวเหล่ยเบาๆ จ้าวเหล่ยรีบก้าวไปข้างหน้า เหวี่ยงหมัดใส่อีกฝ่ายอย่างรวดเร็ว!

  ในเวลาเดียวกันก็มีอีกคนพุ่งออกมาจากบ้าน วิ่งไปทางลานบ้าน เตรียมหลบหนี

  ก่อนที่ฟางผิงจะได้ทำอะไร ฟู่ชางติ่งก็ตามอีกฝ่ายไปอย่างรวดเร็ว

  ช่วงเวลาถัดมา มีคนออกจากประตูอีกครั้ง

  คราวนี้เฉินหยุนซีติดตามไปด้วย

  ฟางผิงไม่ได้อยู่ดูการแสดงเช่นกัน เขารีบขวางประตูไว้

  ขณะที่เขารีบวิ่งไปที่ประตู เงาดาบก็ปรากฏอย่างฉับพลันด้วยความเร็วสูง

  ฟางผิงไม่ได้ประมาทเช่นกัน เขาจับดาบแนวนอนขวางการโจมตีเอาไว้

  จากนั้นฟางผิงก็ก้าวถอยหลังไปเล็กน้อยแหกปากตะโกนเสียงดัง  สมพรปาก มีขั้นสอง 2 คนอยู่ข้างใน รีบจัดการคนข้างนอกเร็ว! 

  คนที่หนีไปเมื่อกี้แค่เป็นการแบ่งความสนใจของพวกเขาเท่านั้น

  ผู้ฝึกยุทธขั้นสอง 2 คนที่อยู่ด้านในเป็นของจริงที่เตรียมไว้รับมือกับพวกฟางผิง

  กระนั้นความแข็งแกร่งของอีกฝ่ายก็มีจำกัด จวงกงของฟางผิงมาถึงขั้นว่างเปล่าแล้ว สองมือป้องกันสองเท้าก้าวถอย เขาก็ลดแรงปะทะไปได้ถึงเจ็ดแปดส่วน

  สิ้นเสียงตะโกนฟางผิง ทั้งสองคนที่อยู่ด้านในก็พุ่งออกมาข้างนอกแล้ว

  ทั้งสองไม่ได้ส่งเสียงอะไร พวกเขาลงมือโจมตีฟางผิงด้วยความคิดตรงกันโดยปริยาย

  ฟางผิงมีประสบการณ์รับมือกับศัตรูสองคนพร้อมกันน้อยมาก การเคลื่อนไหวของเขาจึงค่อนข้างเงอะงะ

  คนอื่นๆก็เผชิญกับปัญหาที่คล้ายกัน ไม่ใช่ว่าพวกเขาต่อกรกับอีกฝ่ายไม่ได้ คนที่หลบหนีไปเมื่อกี้ล้วนเป็นผู้ฝึกยุทธขั้นหนึ่ง

  อย่างไรก็ตามคนพวกนี้พยายามขัดขวางพวกเขา แต่การหลบหนีก็ยังเป็นเป้าหมายหลักอยู่ดี

  ภารกิจก่อนๆของพวกเขาเป็นภารกิจทำกันหลายคน ศัตรูถูกล้อมสังหาร เป้าหมายคือการต่อสู้ ศัตรูหลบหนีกันน้อยมาก

  ยิ่งกว่านั้นระหว่างต่อสู้ก็ไม่มีใครหลบหนี

  ตอนนี้ข้อเสียของพวกเขาที่เป็นมือใหม่ปรากฏในพริบตา

  ขณะที่ฟางผิงรับมืออีกฝ่าย เขาก็สังเกตรอบข้างและถอนหายใจเบาๆ พวกเขามีแผนการมากมาย แต่พอทำงานจริง ทุกอย่างวุ่นวายไปหมด

  ‘เรายังมีประสบการณ์น้อยไป…’

  ‘ทำงานเป็นทีมก็แย่ ทุกคนเคยเป็นผู้นำมาก่อน…’

  ฟางผิงค่อยๆคุ้นเคยกับการโจมตีของทั้งสอง เขาจึงไม่รู้สึกกดดันนัก เมื่อมองไปรอบข้าง เขาก็ตระหนักว่าปัญหาอยู่ที่ไหน

  สำนึกต่อสู้ตัวต่อตัวของทุกคนแข็งแกร่งเกินไป!

  เมื่อคนที่จ้าวเหล่ยไล่ตามวิ่งผ่านหน้าฟู่ชางติ่ง ฟู่ชางติ่งก็หลีกทางให้ ปล่อยให้จ้าวเหล่ยจัดการเอง ส่วนสายตาเขาก็จับจ้องมองคนที่ตนเองไล่ตามอยู่

  คนอื่นก็ไม่ต่างกัน อัจฉริยะขั้นสองถึงสามคน รับมือกับผู้ฝึกยุทธขั้นหนึ่งธรรมดาสามคน แต่พวกเขาถูกพัวพันมานาทีครึ่งแล้ว

   พวกนายกำลังเล่นบ้าอะไรอยู่?  ฟางผิงตะโกนอย่างเดือดดาลอย่างอดไม่ได้  อย่าสนใจว่าเป้าหมายเป็นของใคร รวมกำลังกันจัดการซะ พวกนายเร่งกันหน่อยได้ไหม! 

  เจ้าบ้าสามตัวนี่ พวกมันไม่เห็นรึไงว่าเขากำลังรับมือกับผู้ฝึกยุทธขั้นสอง 2 คน?

  แม้ว่าทั้งสองอาจไม่แข็งแกร่งเท่าเขา แต่ถ้าอีกฝ่ายโจมตีเต็มกำลังโดยที่เขาไม่ใช้ปราณและเลือด เขาก็ถูกกลุ้มรุมจนตายได้ ฟางผิงไม่อยากใช้ค่าทรัพย์สินที่เหลืออยู่ไม่กี่แต้มนี้ไป

  หลังฟางผิงระเบิดความโกรธออกมา จ้าวเหล่ยกับพวกก็นึกได้ว่าฟางผิงถูกกลุ้มรุมอยู่

  เวลานั้นเอง ทั้งสามก็ไม่จ้องแต่เป้าหมายตนเองอีกต่อไป

  ไม่นาน ผู้ฝึกยุทธขั้นหนึ่งทั้งสามก็ล้มลงทีละคน อีกฝ่ายตายหรือไม่ ไม่มีใครรู้

  หนึ่งในสองคนโจมตีฟางผิงเต็มกำลัง บังคับให้ฟางผิงล่าถอยไป จากนั้นก็หันหลังวิ่ง

  ฟางผิงไม่ได้สนใจอีกฝ่าย เขาตะโกนเรียกเสียงดัง  พวกนายจัดการคนนั้น ฉันจัดการคนนี้เอง ความแข็งแกร่งของพวกมันอยู่ระดับกลางๆ ทุบมันให้ตายซะ! 

  เมื่อเขาพูดจบ ฟางผิงที่เป็นฝ่ายรับมาตลอด ฉวยโอกาสนั้น ใช้ช่องว่างที่อีกฝ่ายหนีไป กำดาบฟันกวาดเป็นแนวนอน!

  เคร้ง เคร้ง เคร้ง!

  สะเก็ดไฟปลิวว่อน ชั่วพริบตาเสียงก็เปลี่ยนเป็น ‘ฟุ่บ’ ดังก้องไปทั่วลานบ้านที่มืดมิด

  ฟางผิงใช้สามดาบต่อเนื่องเป็นครั้งแรก ไม่เพียงแต่เขาจะฟันอาวุธอีกฝ่ายเป็นสองท่อนเท่านั้น เอวอีกฝ่ายยังถูกฟันขาดไม่ต่างกับอาวุธ

  เขาไม่สนใจศัตรูที่ถูกฟันเป็นสองท่อน ฟางผิงหันไปมองพวกจ้าวเหล่ยแล้วรู้สึกปวดหัวขึ้นมา  ฉันเข้าใจแล้ว มีพวกมือใหม่เต็มไปหมด! 

  จ้าวเหล่ยโบกหมัดเห็นด้วย  นั่นสิ พวกคนอ่อนแอมีเต็มไปหมด 

   ฉันกำลังพูดถึงพวกเรา! 

  ฟางผิงเดือดดาล กล่าวอย่างไม่พอใจ  พวกนายปั่นหัวฉันอยู่ใช่ไหม? พวกนายร่วมมือกันหน่อยได้ไหม? 

   พวกนายกำลังผลัดกันสู้รึไง? 

   ผนึกกำลังกันสิ! 

  บัดซบ พวกมันสามคน คนนึงกำลังสู้ อีกสองคนกำลังดูการแสดง

  มันเป็นการต่อสู้ตัวต่อตัวอย่างเห็นได้ชัด ว่างกันมากใช่มั้ย!

  ผู้ฝึกยุทธลัทธิชั่วครั้งนี้อ่อนแอ อย่างมากก็แข็งแกร่งพอๆกับพวกเขาตอนเป็นขั้นหนึ่งสูงสุด

  แต่ฝ่ายพวกเขาเป็นผู้ฝึกยุทธขัดเกลาขั้นสองเป็นอย่างน้อย

  ถ้านับแค่ปราณและเลือด พวกเขาไม่ได้อ่อนแอกว่าศัตรูเลย

  อย่างไรก็ตามแม้จะเป็นสามต่อหนึ่ง พวกเขาก็ยังเกือบทำให้คู่ต่อสู้หนีไปหลายครั้ง

  เมื่อฟางผิงตำหนิพวกเขา ทั้งสามถึงร่วมมือกัน ไม่นานผู้ฝึกยุทธขั้นสองคนที่สองก็เดินตามรอยเท้าของคนก่อน

  เวลานี้ลานบ้านเงียบสงัด

  ฟางผิงกวาดสายตามองทั้งสาม ก่อนจะมองหยางเสี่ยวม่านและถังซ่งถิงที่พึ่งมาถึง เขากล่าวอย่างหงุดหงิด  ภารกิจสำเร็จ แต่พวกเราเผยจุดอ่อนมากเกินไป 

   ถ้าเราทำภารกิจขั้นสาม พวกเราต้องตายกันอย่างน้อยสองสามคน 

   หาของมีค่าก่อน หลังหาของเสร็จ เราจะส่งภารกิจแล้วประชุมกัน! 

  ภารกิจขั้นสองนี้เป็นการเตรียมตัวไปทำภารกิจขั้นสาม แต่ผลลัพธ์ออกมาไม่ดีนัก รวมถึงเขาด้วย เขาก็มีปัญหาอยู่บ้างเช่นกัน

  กลุ่มอัจฉริยะมารวมตัวกัน ทุกคนต่างก็อยากรับบทเป็นวีรบุรุษ มันไม่ใช่เรื่องดีนัก

 

World’s Best Martial Artist

World’s Best Martial Artist

Status: Ongoing

ฟางผิงใช้เวลาครึ่งชั่วโมงในที่สุดก็ตัดสินได้ว่าเขาไม่ได้ฝันไปหรือไม่ได้ถ่ายหนัง…อย่าไร้สาระน่า ถ้าการถ่ายหนังชุบความเป็นหนุ่มของเขากลับมาได้ งั้นกองถ่ายก็คงไปถ่ายทำที่สวรรค์ได้แล้ว!

หลังยืนยันว่าเขากลับมาเกิดใหม่ ฟางผิงก็รู้สึกถึงความตื่นตระหนกก่อนจะค่อยๆยอมรับความจริง

ความจริงอะไรงั้นเหรอ? ความจริงที่ว่าเขากลับมาเกิดใหม่ในร่างตัวเองตอนเด็ก และเนื่องจากเขามีความรู้ของอนาคตติดตัวมาด้วย เขาจะทำวันนี้ให้ดีที่สุดแล้วกลายเป็นผู้ยิ่งใหญ่ในแวดวงธุรกิจ! เขาจะรวย!

นั่นเป็นความคิดของเขาจนกระทั่งเพื่อนเขามาขัดจังหวะ

“สรุปนายจะลงทะเบียนสอบวิชาการต่อสู้ไหม?”

อะไรนะ? พูดเล่นเหรอ? หรือเขาส่งบทผิด? วิชาการต่อสู้คืออะไร? ทำไมถึงมีค่าลงทะเบียนหมื่นหยวน? หัวของเขาเต็มไปด้วยประโยคคำถาม ไม่นานฟางผิงก็ตระหนักว่าเขาอาจไม่ได้โชคดีเหมือนที่เขาคิดไว้ตอนแรก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท