World’s Best Martial Artist – ตอนที่ 189.1 มักจะได้เงินเสมอ (1)

ตอนที่ 189.1 มักจะได้เงินเสมอ (1)

  เนื่องจากการประลองที่หนานอู่ พวกเขาจึงใช้เวลาอยู่หนานเจียงเกินที่คาดไว้หลายวัน

  พวกเขาอยากทำภารกิจที่หนานเจียงเพิ่มสักสองสามภารกิจก่อนจะกลับไป แต่มันใกล้สิ้นเดือนแล้ว แถมพวกเขายังได้รับผลประโยชน์จากทั้งหนานอู่และจากทางมหาลัย พวกเขาจึงตัดสินใจกลับมหาลัยกันก่อน

  ฟางผิงอยากทำภารกิจเพิ่ม แต่ทุกคนเหนื่อยล้ากันมากหลังทำงานหนักกันมาเกือบเดือน

  คนอื่นอยากพักผ่อนกัน ฟางผิงจึงได้แต่คล้อยตาม

  โชคดีที่ช่วงหนึ่งเดือนมานี้ฟางผิงเก็บเกี่ยวมาได้ไม่น้อย

  ทรัพย์สิน : 12,200,000

  ปราณและเลือด : 500แคล (522แคล)

  จิตใจ : 420เฮิรตซ์ (442เฮิรตซ์)

  ขัดเกลากระดูก : 126 ชิ้น (90%) 80 ชิ้น (30%)

  หลังจากบรรลุขั้นสองสูงสุดมา ปราณและเลือดของฟางผิงเพิ่มขึ้นมา 7แคล จิตใจเขาเพิ่มขึ้นมานิดหน่อยเช่นกัน

  ค่าทรัพย์สินเขาทะลุหลักสิบล้านอีกครั้งเช่นกัน

  ตอนนี้เขามีเงินสด 20 ล้าน ซึ่งรวมกับเงิน 6 ล้านที่เหลือ

  นอกจากการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ ฟางผิงยังมีความคืบหน้าอย่างอื่นด้วย

  อย่างน้อยตอนนี้เขาก็รู้แล้วว่าเขาไม่ได้ไร้พ่ายในระดับขั้นเดียวกัน นอกจากนี้เขายังรู้อีกว่าเขามีข้อบกพร่องมากมายที่ต้องแก้ไข รวมถึงขัดเกลาวรยุทธและสัญชาตญาณต่อสู้

  การต่อสู้ไม่ได้ขึ้นอยู่กับปราณและเลือดเพียงอย่างเดียว

  …

  วันที่ 25 มีนาคม คนอื่นๆกลับมหาลัยไปพร้อมกับไป๋รั่วซี

  ฟางผิงอยากกลับบ้าน เขาจึงไม่ได้ตามทุกคนไปด้วย

  ในร้านอาหารท้องถิ่นนอกหนานอู่ พวกอู๋จื้อเห่าแอบเข้ามาในห้องกันราวกับเป็นสายลับ

  หลังทุกคนเข้ามาข้างใน พวกเขาปิดประตูทันที อู๋จื้อเห่าถอนหายใจยาวเหยียด  โชคดีที่ไม่มีใครเห็น 

  ฟางผิงพูดไม่ออก  จำเป็นด้วยเหรอ 

   พูดเหลวไหล! 

  อู๋จื้อเห่ารู้สึกเอือมละอา เขากล่าวด้วยสีหน้าอยากร้องไห้  ตอนนี้นายเป็นศัตรูคู่สาบานของหนานอู่แล้ว โดยเฉพาะหลังจากนายยั่วโมโหรุ่นพี่หลันไฉเย่จนเธอแทบกระอักเลือด ทุกคนในหนานอู่ต่างก็อยากชำระบัญชีกับนาย… 

  ฟางผิงไม่ได้เก็บไปคิด  นอกจากพี่หวัง คนอื่นในหนานอู่ รวมนักศึกษาขั้นสามด้วยต่างก็ไม่ใช่คู่มือฉัน 

   นายไม่กลัวแต่เรากลัว! 

  อู๋จื้อเห่ายิ้มเจื่อน

  ฟางผิงเข้าใจสภาพพวกเขา มันเป็นสถานการณ์คล้ายกับตอนที่เขาเข้าโม๋อู่ใหม่ๆ เขาตกเป็นเป้าหมายเพราะการกระทำของเหล่าหวัง

  คนอ่อนแอไม่จำเป็นต้องมีเหตุผลในการระบายความแค้น

  ผู้ฝึกยุทธขั้นสองสูงสุดที่ขึ้นมาบนลานประลองวันนี้ย่อมไม่ลดตัวทำเรื่องเช่นนั้น แต่เมื่อเป็นผู้ฝึกยุทธขั้นหนึ่งและเตรียมผู้ฝึกยุทธ มันย่อมต่างออกไป

  ช่วงนี้สถานการณ์หนานอู่เลวร้ายมาก!

  หลังออกมาจากจวนผู้สำเร็จราชการ หวังจินหยางก็ไปเยื่อมเยือนอาจารย์ใหญ่ จากนั้นเขาก็เริ่มปฏิรูประบบด้วยความเห็นชอบจากทั้งสองปรมาจารย์

  กฎที่เคยถูกกล่าวไว้อย่างผู้ฝึกยุทธต้องเสียคะแนนเพิ่ม 5% เพื่อแลกเม็ดยาถูกนำมาใช้

  นอกจากนี้หวังจินหยางยังตักเตือนครั้งสุดท้ายสำหรับนักศึกษาปีสามปีสี่ที่ยังเป็นเตรียมผู้ฝึกยุทธ

  ถ้าพวกเขายังไม่ได้เป็นผู้ฝึกยุทธตอนสิ้นเทอม พวกเขาไม่จำเป็นต้องมาเข้าเรียนมหาลัยในเทอมหน้าอีก

  มีนักศึกษา 50-60 คนที่ตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้

  พวกเขากำลังเสี่ยงกับการถูกไล่ออก

  นักศึกษาใหม่ที่ไม่สามารถบรรลุขั้นหนึ่งได้ก่อนสิ้นปีสองจะถูกไล่ออกเช่นเดียวกัน

  นอกจากนี้ยังมีการประเมินเพิ่มเติมสำหรับผู้ฝึกยุทธขั้นสองและขั้นสาม!

  ประเมินจำนวนภารกิจที่ทำสำเร็จ!

  ทุกเทอมจะมีการตรวจสอบแต้มภารกิจ คนที่ทำได้ไม่ถึงเป้าจะได้แลกเปลี่ยนยาตามราคาตลาด หนานอู่จะไม่มอบส่วนลดแก่พวกเขาอีก!

  หนานอู่มีผู้คนร้องคร่ำครวญนับไม่ถ้วน และทุกอย่างก็เกิดขึ้นเพราะพ่ายแพ้ให้กับโม๋อู่ก่อนหน้านี้

  หลายคนในหนานอู่จงเกลียดจงชังฟางผิงและทีม

  ไม่ใช่ทุกคนที่มีความสามารถไตร่ตรองตัวเอง บางคนไม่ได้โทษความอ่อนแอของตนเองเลย พวกเขาไม่ได้คิดว่าการไม่ทำภารกิจเป็นเรื่องผิด กลับกันพวกเขารู้สึกว่าสถานการณ์เช่นนี้จะไม่เกิดขึ้นหากพวกฟางผิงไม่ชนะ

  ในช่วงเวลาเช่นนี้ ถ้าเรื่องที่พวกอู๋จื้อเห่าสนิทกับฟางผิงหลุดออกไป พวกเขาจะถูกคนอื่นตามรังควาน

   ไม่เป็นไร ถ้ามีคนมารังควานนาย นายไปขอความช่วยเหลือจากพี่หวังที่ชมรมวิถียุทธสิ 

  หนานอู่ไม่ใช่โม๋อู่ ฟางผิงจึงพูดอย่างตรงไปตรงมามากกว่า  นอกจากว่าคนในหนานอู่จะไม่มีสมองคิด…ยังไงฉันกับพี่หวังก็ยังเรียนไม่จบ 

  ยังเรียนไม่จบหมายความว่าพวกเขาสามารถใช้วิธีการของนักศึกษาแก้ไขข้อพิพาทได้

  นักศึกษาวิชายุทธมีกฎของนักศึกษาวิชายุทธ ซึ่งผู้ฝึกยุทธในสังคมก็มีกฎอีกอย่างนึง

  ได้ยินแบบนั้น อู๋จื้อเห่าก็ครุ่นคิดแล้วกล่าว  นายพูดถูก แต่ไม่จำเป็นต้องไปสู้กับคนอื่น 

  พวกเขาไม่ชอบต่อสู้โดยไม่จำเป็น เพราะมันเสียเวลาโดยเปล่าประโยชน์

   แล้วแต่นายเลย 

  …

  หลังอาหารมาเสิร์ฟ อู๋จื้อเห่าก็ออกอาการลังเล

  ฟางผิงช่างสังเกต เขาเผยรอยยิ้มออกมา  นายมีอะไรจะพูดก็พูดมาเลย 

   นาย…นายก้าวหน้าเร็วเกินไปฟางผิง นายมีความลับอะไรไหม? 

  คำถามนี้ค่อนข้างหยาบคายไปหน่อย

  ความเร็วการฝึกยุทธของผู้ฝึกยุทธและความลับ ถ้าเขามี มันก็ควรถูกเก็บไว้ มันถามกันได้ด้วยเหรอ?

  แต่เขาสงสัยและคาดหวังกับคำตอบจริงๆ เขาจึงถามคำถาม พี่น้องถานที่อยู่ข้างๆก็เช่นเดียวกัน พวกเขาต่างมีสีหน้าคาดหวัง

   มี! 

  พวกเขาพลันหายใจถี่ขึ้น

  หลังพิจารณาดูครู่นึง ฟางผิงก็กล่าว  ถ้านายอยากคืบหน้าเร็วในช่วงเตรียมผู้ฝึกยุทธ หนทางที่ดีที่สุดคือการใช้เงินแก้ปัญหา 

  พวกเขาหน้ายู่ขึ้นมาทันที มันเป็นคำอธิบายที่ชัดเจน แต่พวกเขาไม่มีเงิน!

   นายอยากหาเงินไหม? 

  ฟางผิงถามด้วยรอยยิ้มกว้าง

   แน่นอน แต่พวกเราเป็นแค่คนธรรมดาที่แข็งแกร่งกว่าคนธรรมดาทั่วๆไปนิดหน่อย ถ้าเราออกไปหางานพาร์ทไทม์ทำ ทางเลือกที่ดีที่สุดคือไปเป็นครูฝึกพาร์ทไทม์ในโรงฝึกยุทธ แต่พวกเขารับคนเข้มงวดมาก เราเคยไปสัมภาษณ์ แต่ก็มีผู้ฝึกยุทธมาแย่งงานเราไป… 

  โรงฝึกยุทธรับศิษย์ทุกคน ขอแค่มีเงินพอ

  เตรียมผู้ฝึกยุทธมีคุณสมบัติชี้แนะคนธรรมดา

   ฉันแนะนำงานให้เอาไหม? 

  ฟางผิงหัวเราะ  มีบริษัทที่เซี่ยงไฮ้อยากเปิดสาขาในหนานเจียง เน้นธุรกิจส่งของเป็นหลัก 

   พวกเขาจำเป็นต้องสร้างช่องทาง แต่พวกเขายังไม่ได้รับคน 

   นอกจากนี้บริษัทยังจัดส่งอาหารและเครื่องดื่มไปวิทยาเขตของมหาลัยด้วย ตอนนี้พวกเขาขาดคนมาก 

   งานของนายง่ายมาก นายแค่ต้องใช้ตัวตนนักศึกษาของหนานอู่ช่วยแก้ปัญหาบางอย่าง ยกตัวอย่างพวกนักเลงข้างถนนที่มาสร้างปัญหา 

   พอนายกลายเป็นผู้ฝึกยุทธ นายจะปกป้องบริษัทด้วยตัวตนผู้ฝึกยุทธได้ 

   ขั้นตอนขยายขอบเขตของบริษัทสู่เขตท้องถิ่นเป็นปัญหาอยู่บ้าง พวกเขาไม่ได้กลัวอะไร แต่เซี่ยงไฮ้อยู่ไกลเกินไป พวกเขาอาจจัดการปัญหาบางอย่างได้ไม่ทันเวลา 

   นายยังไม่ได้เป็นผู้ฝึกยุทธ ดังนั้นนายจะได้รับเงินเดือนหมื่นหยวน 

   หลังนายทะลวงเป็นผู้ฝึกยุทธแล้ว เงินเดือนจะเริ่มต้นที่ห้าหมื่นหยวน 

   นายคิดว่าไง? 

  เงินเดือนค่อนข้างต่ำ แต่นี่ไม่ใช่งานประจำ พวกเขาแค่ต้องมาช่วยเหลือเป็นบางครั้งเท่านั้น

   บริษัทในเซี่ยงไฮ้… 

  พวกเขามองฟางผิง ฟางผิงก็ยิ้ม  ฟังดูเป็นไง? บริษัทเป็นของฉัน ฉันไม่ได้อยากเก็บความลับอะไร 

   เราจะดำเนินการอย่างยุติธรรมและชัดเจน ฉันไม่ได้พูดถึงเพราะฉันไม่อยากให้นายรู้สึกติดหนี้บุญคุณ 

   นายตั้งบริษัทเหรอ? 

  อู๋จื้อเห่าตะลึง จากนั้นเขาก็กล่าวเขินๆ  ฉันคิดว่า… 

  เขาคิดว่าฟางผิงแค่ดูแลบริษัท ไม่คิดเลยว่าจะเป็นบริษัทของเขาเอง

   มันเป็นแค่ธุรกิจเล็กๆ ไม่เท่าไหร่หรอก ฉันต้องวางแผนสำหรับอนาคต หรือฉันควรพึ่งภารกิจเพื่อหาเงินซื้อเม็ดยาไปทั้งชีวิตล่ะ? 

   ความโชคร้ายไม่ได้มาเพียงครั้งเดียว นอกจากนี้ฉันต้องพูดเลยว่าภารกิจมีไว้ให้ผู้ฝึกยุทธขั้นล่างเท่านั้น 

  โดยทั่วไปผู้ฝึกยุทธขั้นกลางในประเทศจีนมีชีวิตที่ดี มันหาได้ยากที่พวกเขาจะก่ออาชญากรรม

  ยกเว้นพวกลัทธิชั่ว!

  พวกมันถูกกองทัพและกรมสืบสวนจับตามอง พวกปลาเล็กปลาน้อยเป็นอีกเรื่อง แต่ผู้ฝึกยุทธขั้นกลางจะถูกจัดการทันทีเมื่อพวกมันปรากฏตัว

  นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมภารกิจขั้นกลางถึงมีน้อย

  พวกเขาจะไปถ้ำใต้ดิน เข้าร่วมกองทัพหรือรัฐบาล ไม่ก็เปิดธุรกิจ

  นี่เป็นหลักประกันในอนาคตของพวกเขา

   สรุปนายสนใจไหม? เงินเดือนไม่สูง แต่ไม่นานพวกนายก็เป็นผู้ฝึกยุทธแล้ว อย่างมากก็ช่วงเทอมหน้า 

   ถึงตอนนั้นบริษัทคงสร้างรากฐานเสร็จ 

   เงินเดือนห้าหมื่น ปีนึงพวกนายจะได้หกแสน 

  อู๋จื้อเห่าโบกมือ  มันไม่ใช่เรื่องเงิน ถ้าเรากลายเป็นผู้ฝึกยุทธ เราก็เป็นแค่ขั้นหนึ่งชั้นต้นเท่านั้น… 

   ไม่เป็นไร ตัวตนฐานะผู้ฝึกยุทธของพวกนายเป็นสิ่งที่ฉันต้องการ แถมพวกนายเป็นนักศึกษาหนานอู่ พวกนายจะเป็นที่นิยมมาก 

   หนานอู่ด้อยกว่าสาขาวิชายุทธของอีกสองมหาลัย แต่ตอนนี้ก้าวข้ามพวกเขาไปแล้ว 

   บวกกับพี่หวังเป็นประธานชมรมวิถียุทธ ผู้สำเร็จราชการยังเป็นศิษย์เก่าหนานอู่อีก… 

   ด้วยตัวตนฐานะนักศึกษาหนานอู่ของพวกนาย มันจะสะดวกกว่าฉันที่อยู่ไกลถึงเซี่ยงไฮ้ ทุกคนจะระวังพวกนาย 

  ไม่ว่าอัจฉริยะของโม๋อู่จะแข็งแกร่งแค่ไหน แต่เขาก็ยังอยู่ห่างไกล

  ผู้ฝึกยุทธหนานอู่เป็นคนท้องที่ แถมเจียงเฉิงยังมีศิษย์เก่าหนานอู่จำนวนมาก ไม่มีใครรู้ว่าพวกเขามีเส้นสายซับซ้อนแค่ไหน

  เมื่อได้ยินฟางผิงอธิบาย อู๋จื้อเห่าก็สนใจขึ้นมาก เขาถาม  เราไม่รู้วิธีบริหารธุรกิจ 

   ไม่จำเป็น ชื่อนายก็พอแล้ว 

   สรุปเราจะได้เงินโดยไม่ต้องทำงานเหรอ? 

   ถ้ามีปัญหาอะไร นายจำเป็นต้องช่วย ถ้าไม่มี นายก็ไม่จำเป็นต้องทำอะไร 

   … 

  อู๋จื้อเห่าสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมก่อนจะกล่าวขึ้นมาฉับพลัน  ดิสแทนซ์ ฉันว่ามันคุ้นหูอยู่นะ มีคนเคยพูดถึงว่าทำไมหนานเจียงถึงไม่มีบริษัทแนวๆนี้ที่ส่งอาหารถึงบ้าน…มันเป็นบริษัทของนายหรอกเหรอ? 

   อืม 

  คนอื่นต่างพากันประหลาดใจ บริษัทของฟางผิงไม่ได้ไร้ชื่อเสียงโดยสิ้นเชิง อย่างน้อยมันก็โด่งดังอยู่บ้าง

  พวกเขาไม่คิดเลยว่าหลังอยู่โม๋อู่ไม่ถึงปีฟางผิงจะไม่เพียงแค่ก้าวหน้าเร็วเท่านั้น แต่ธุรกิจของเขายังเติบโตอย่างรวดเร็วอีกด้วย

  อู๋จื้อเห่าอิจฉามาก เขาอดถามไม่ได้  ฝึกยุทธไม่มีทางลัดเลย? 

  ฟางผิงหัวเราะ  ไม่มี ต่อให้มี มันก็เกินความสามารถของนาย 

   ฝึกให้หนัก อย่ามองฉัน ฉันเป็นอัจฉริยะ… 

   ไปไกลเลย! 

   ไม่ใช่เหรอ? ตอนนี้ฉันเป็นรองผู้บัญชาการเมืองหยางเฉิงแล้ว พูดจาอะไรให้ระวังหน่อย ไม่งั้นฉันจะเล่นงานนาย ลุงถานทำงานอยู่ใต้ฉันแล้ว! 

  ฟางผิงหยอกล้อ ถานห่าวถามอย่างรวดเร็ว เขากับถานเทารู้สึกอิจฉามากเมื่อได้ยินว่าผู้สำเร็จราชการมอบตำแหน่งให้ฟางผิงหลังฟางผิงไปเยี่ยมเยือน

  ถ้าพวกเขาได้ตำแหน่งแบบนี้ ในเมืองหยางเฉิง พวกเขาจะเดินกร่างยังไงก็ได้ พ่อของพวกเขาอาจตื่นเต้นจนนอนไม่หลับไปหลายวัน

  พวกเขากินไปพลางคุยไปพลาง หลังทานอาหารเสร็จ สีหน้าของฟางผิงก็เปลี่ยนเป็นจริงจัง  ปีหน้าหนานเจียงจะเผชิญกับอันตรายที่เกี่ยวข้องกับผู้ฝึกยุทธ พวกนายต้องระวังด้วย 

   นอกจากนี้ พวกนายจำการโจมตีในเมืองรุ่ยหยางครั้งนั้นได้ไหม? 

  คนอื่นพยักหน้ากันอย่างรวดเร็ว

   ผู้ฝึกยุทธลัทธิชั่วพวกนั้นเริ่มปรากฏตัวในหนานเจียงอีกครั้ง ฉันกลับมาครั้งนี้ก็เพราะฉันอยากทำภารกิจกวาดล้างพวกมัน 

   ฉันยังมีธุระอื่นอีกที่มหาลัย ถ้าฉันอยู่นาน มันจะล่าช้าไป ฉันเลยต้องยอมแพ้ไปก่อน 

   พวกนายออกไปไหนก็ระวังตัวด้วย 

   เมืองเจียงเฉิงมีอันตรายน้อยหน่อย มีปรมาจารย์หลายท่านดูแลเมือง มีโอกาสน้อยที่พวกมันจะปรากฏที่นี่… 

  อู๋จื้อเห่าถามอย่างเร่งรีบ  แล้วเมืองหยางเฉิงล่ะ? 

  เมืองหยางเฉิงไม่ได้ใหญ่นัก มันเป็นแค่นครระดับเทศมณฑล ผู้ฝึกยุทธมีอยู่น้อยนิดแถมยังอ่อนแอ

  ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นในเมืองหยางเฉิง ครอบครัวพวกเขาจะตกอยู่ในอันตราย

   เมืองหยางเฉิง…ฉันจะกลับเมืองหยางเฉิงก่อน ไปคุยกับผู้บัญชาการไป๋ ถ้าเกิดอะไรขึ้น ฉันจะจัดการเอง 

   ถ้าฉันไม่ไหว ฉันจะไปหาพี่หวัง 

  พวกเขาโล่งอกเมื่อได้ยินว่าฟางผิงจะกลับไปหยางเฉิง นอกจากนี้หวังจินหยางก็เป็นคนเมืองหยางเฉิงเช่นกัน

  ผู้ฝึกยุทธสายต่อสู้สองคน แถมยังมีคนนึงที่เป็นขั้นกลางแล้วซึ่งเทียบได้กับผู้บัญชาการของนครระดับจังหวัด พวกเขาจัดการปัญหาได้ไม่น่ามีปัญหา

  …

  ช่วงบ่าย ทุกคนก็แยกย้ายกันไป

   น่าเสียดายที่ฉันไม่ได้ขับรถมา… 

  ฟางผิงเดินไปสถานีอย่างจนใจ

  ตอนมาทำภารกิจ ทุกคนขับรถกันมา แต่พวกฟู่ชางติ่งก็ได้ขับรถกลับไปแล้ว

  ฟางผิงให้หลี่เฉิงเจ๋อซื้อรถให้แล้ว แต่ครั้งนี้เขาไม่ได้ขับรถมา

  เวลานี้เขาจึงได้แต่ขึ้นรถขนส่งสาธารณะกลับบ้าน

  …

 

World’s Best Martial Artist

World’s Best Martial Artist

Status: Ongoing

ฟางผิงใช้เวลาครึ่งชั่วโมงในที่สุดก็ตัดสินได้ว่าเขาไม่ได้ฝันไปหรือไม่ได้ถ่ายหนัง…อย่าไร้สาระน่า ถ้าการถ่ายหนังชุบความเป็นหนุ่มของเขากลับมาได้ งั้นกองถ่ายก็คงไปถ่ายทำที่สวรรค์ได้แล้ว!

หลังยืนยันว่าเขากลับมาเกิดใหม่ ฟางผิงก็รู้สึกถึงความตื่นตระหนกก่อนจะค่อยๆยอมรับความจริง

ความจริงอะไรงั้นเหรอ? ความจริงที่ว่าเขากลับมาเกิดใหม่ในร่างตัวเองตอนเด็ก และเนื่องจากเขามีความรู้ของอนาคตติดตัวมาด้วย เขาจะทำวันนี้ให้ดีที่สุดแล้วกลายเป็นผู้ยิ่งใหญ่ในแวดวงธุรกิจ! เขาจะรวย!

นั่นเป็นความคิดของเขาจนกระทั่งเพื่อนเขามาขัดจังหวะ

“สรุปนายจะลงทะเบียนสอบวิชาการต่อสู้ไหม?”

อะไรนะ? พูดเล่นเหรอ? หรือเขาส่งบทผิด? วิชาการต่อสู้คืออะไร? ทำไมถึงมีค่าลงทะเบียนหมื่นหยวน? หัวของเขาเต็มไปด้วยประโยคคำถาม ไม่นานฟางผิงก็ตระหนักว่าเขาอาจไม่ได้โชคดีเหมือนที่เขาคิดไว้ตอนแรก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท