ณ อาคารติ๋งเซิ่ง
ฟางผิงเดินตรงเข้าไปในบริษัท
ครั้งนี้ในที่สุดดิสแทนซ์ก็มีแผนกต้อนรับที่เหมาะสมสักที เมื่อเห็นฟางผิง เนื่องจากแผนกต้อนรับใหม่ยังไม่รู้จักฟางผิง จึงคิดจะหยุดเขา แต่เวลานั้นหลี่เฉิงเจ๋อออกมาทักทายฟางผิงพอดี
คุณฟาง…
เข้าไปคุยข้างในเถอะ
ฟางผิงไม่หยุดคุย เดินตรงเข้าไปออฟฟิศของหลี่เฉิงเจ๋อ
เมื่อพวกเขาเข้าไปในออฟฟิศแล้ว หนึ่งในพนักงานในสำนักงานก็เอ่ยถามเบาๆ คนเมื่อกี้เป็นผู้จัดการใหญ่ของเราใช่ไหม?
ใช่ เขาเป็นเจ้านายเรา อัจฉริยะจากโม๋อู่ แชมป์งานประลองระดับประเทศครั้งก่อน
เมื่อไม่นานมานี้ เราเข้าซื้อบริษัทตงเซิงได้เพราะผู้จัดการใหญ่ฟางเอาชนะผู้จัดการใหญ่คนเก่าของตงเซิง
ตอนนั้นผู้จัดการใหญ่ฟางเป็นแค่ขั้นหนึ่งเท่านั้น ฉันได้ยินว่าตอนนี้เขาเป็นขั้นสองแล้ว
ขั้นสอง? มีคนอุทานขึ้นมาฉับพลัน ผู้จัดการใหญ่ของบริษัทพวกเขาเด็กจนน่าตกใจ เขายังไม่ทันจบปีหนึ่งด้วยซ้ำ
ผู้จัดการใหญ่ฟางไม่ค่อยได้มานี่เท่าไหร่ แต่ตลอดเวลามานี้ บริษัทของเราทำกำไรไม่ได้เลย…ฉันว่าผู้จัดการใหญ่ฟางผิงคงมาเพื่อ…
พนักงานบางคนก็เป็นกังวล แต่ก็มีบางคนมั่นใจ ไม่เป็นไร เราจะทำเงินได้ไม่ช้าก็เร็ว
ผู้จัดการใหญ่ฟางมีชื่อเสียงโด่งดัง โดยเฉพาะในโม๋อู่ เส้นสายเขายิ่งใหญ่มาก แพล็ตฟอร์มอีคอมเมิร์ซที่เราสร้างขึ้นก่อนหน้านี้ถูกใช้งานภายในโม๋อู่
ลองคิดดูสิ หากไม่มีชื่อเสียง โม๋อู่จะใช้แพล็ตฟอร์มของเราเหรอ?
เห็นได้ชัดว่าผู้จัดการใหญ่ฟางไม่ได้ให้ความสำคัญกับเป้าหมายระยะสั้นเท่านั้น…
แม้พวกเขาจะคุยกันหลายคน แต่เสียงพวกเขาเบามาก ราวกับเกรงว่าจะส่งเสียงดัง สายตาของทุกคนจ้องมองไปทางออฟฟิศของหลี่เฉิงเจ๋อ
…
ในออฟฟิศ
ฟางผิงอ่านข้อมูล จากนั้นสักพักเขาถึงกล่าว ขยายไปเขตหนานฟ่งแล้ว?
ครับ เราจัดวางจุดส่งอาหารและจุดจัดส่งสินค้าในเขตหนานฟ่งแล้ว
นับตั้งแต่วันที่คุณเอาชนะเว่ยตงเซิงและแสดงฝีมือในงานประลอง หลายคนก็เริ่มได้ยินเรื่องคุณแล้ว ปัญหาที่เราเคยเจอจึงหายไปเอง
ตอนนั้นฉันเป็นแค่ขั้นหนึ่งเท่านั้น…
ฟางผิงคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วกล่าว อีกไม่กี่วัน อาจมีการอัพเดทรายชื่ออันดับขั้นสองของมหาลัยวิชายุทธ ฉันอาจติดยี่สิบอันดับแรก คุณเอาข่าวนี้ไปประชาสัมพันธ์ได้
อันดับขั้นสอง…
หลี่เฉิงเจ๋อตะลึง เขารู้อยู่แล้วว่าฟางผิงบรรลุขั้นสองแล้ว
อย่างไรก็ตามฟางผิงพึ่งบรรลุได้ไม่นาน แถมอันดับขั้นสองปัจจุบันมีเพียงหนึ่งร้อยคนเท่านั้น
มีผู้คนอยู่ในมหาลัยวิชายุทธทั่วประเทศนับแสนคน ผู้ฝึกยุทธขั้นหนึ่งและเตรียมผู้ฝึกยุทธถือเป็นส่วนใหญ่คิดเป็นอัตราส่วนเกือบ 90% ของจำนวนนักศึกษา
อย่างไรก็ตาม ขั้นสองคิดเป็น 10% มีจำนวนเกือบหมื่นคน
ด้วยสัดส่วนที่ลดลงไปอีก นักศึกษาขั้นสามของมหาลัยวิชายุทธมีเพียงไม่กี่พันคนเท่านั้น ซึ่งกระจายไปตามมหาลัยวิชายุทธต่างๆ คนเหล่านี้ถือเป็นระดับอัจฉริยะ
รายชื่ออันดับแค่หนึ่งร้อยคน ฟางผิงบรรลุขั้นสองไม่นานก็ติดอันดับรายชื่อแล้ว?
ฟางผิงยิ้ม ขั้นสองอาจไม่ได้มีอะไรเลย แต่อย่างน้อยผู้ฝึกยุทธในรายชื่ออันดับขั้นสองก็มีความแข็งแกร่งทัดเทียมกับผู้ฝึกยุทธขั้นสามชั้นกลางทั่วๆไป ฉันเชื่อว่าคนอื่นก็เข้าใจตรงจุดนี้เช่นเดียวกัน
ถ้าผู้ฝึกยุทธขั้นสามชั้นสูงขึ้นไปมาสร้างปัญหา…พวกเขาจำเป็นต้องชั่งใจให้ดี ฉันเป็นอัจฉริยะของโม๋อู่ ไม่ใช่คนที่พวกเขาจะตอแยได้
อาจารย์ของฉันเป็นผู้ฝึกยุทธขั้นหกสูงสุด นอกจากนี้ฉันยังมียอดยุทธระดับปรมาจารย์หนุนหลังด้วย
เรื่องยกหางตัวเอง ฟางผิงถนัดนัก
ไม่จำเป็นต้องอธิบายละเอียด แค่พูดถึงขั้นหกสูงสุดกับปรมาจารย์ก็พอแล้ว…
ขั้นหกสูงสุดและปรมาจารย์ ยอดฝีมือระดับนี้ บริษัทเล็กๆที่สมองเป็นปกติที่ไหนจะมาสร้างปัญหากัน?
ถ้าฟางผิงเป็นผู้ฝึกยุทธขั้นหนึ่ง ผู้คนส่วนใหญ่อาจกังขาเรื่องอาจารย์เขา
อย่างไรก็ตาม เขากลายเป็นผู้ที่ติดอันดับต้นๆของอันดับขั้นสองในระยะสั้นๆ แม้แต่ระดับผู้มีอำนาจของโม๋อู่ก็ให้ความสำคัญอัจฉริยะเช่นนี้ ผู้ใดมีสมองหน่อยย่อมเข้าใจประเด็นนี้ได้
หลังจากหลี่เฉิงเจ๋อได้ยินคำพูดฟางผิง เขาก็รีบถามด้วยท่าทางตื่นเต้น คุณหมายถึง…
ขยายตัวต่อไป!
ฟางผิงพูดเบาๆ ก่อนหน้านี้เราเติบโตช้าเกินไป!
ตั้งแต่วันนี้ไป ดำเนินการขยายให้ทั่วทั้งเซี่ยงไฮ้!
คุณกำหนดงบเท่าไหร่?
ถ้าเราอยากวางสาขาทั่วเซี่ยงไฮ้ เราต้องใช้งบประมาณเท่าไหร่?
คุณหมายถึงจัดส่งด่วนกับส่งอาหารใช่ไหม?
อืม
มีอีกยี่สิบล้านก็พอแล้ว!
หลี่เฉิงเจ๋อค่อนข้างกระตือรือร้น เขารายงานตัวเลขอย่างรวดเร็ว
ฟางผิงชำเลืองมองเขา นับตั้งแต่ก่อตั้งบริษัทดิสแทนซ์ เขาลงทุนไปมากกว่า 15 ล้านแล้ว
ทว่าแม้แต่ตอนนี้ วางสาขาทั้งสองเขตยังไม่เสร็จเลย
โม๋อู่ยังเหลืออีกหกเขต จัดวางสาขาทั้งหมดตอนนี้ต้องใช้เงินแค่ยี่สิบล้านงั้นเหรอ?
ไม่ใช่ว่าฟางผิงอยากใช้เงินมากๆ แต่เขาต้องพิจารณาบ้าง เขากำลังสงสัยว่าช่วงแรกใช้เงินไปมากเพราะมีอะไรผิดปกติใช่ไหม…
เขาอยากหาคนมาควบคุมดูแลมาโดยตลอด การมอบอำนาจเต็มที่แก่คนๆเดียวไม่ใช่นิสัยของฟางผิง
ขนาดพี่น้องยังต้องแจกแจงบัญชีให้ชัดเจน อย่างไรก็ตามในเซี่ยงไฮ้ เขาหาคนที่เหมาะสมมาทำงานนี้ไม่ได้เลย
กระนั้นเขาก็พิจารณาว่ามันเป็นเรื่องปกติที่ช่วงแรกจะใช้เงินเยอะ การเตรียมการ สร้างแพล็ตฟอร์มและสร้างช่องทางล้วนแล้วต้องใช้เงิน จะใช้เงินมากกว่าย่อมไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้
แม้ฟางผิงจะสงสัยอยู่ในใจ แต่เขาก็ไม่ได้แสดงสีหน้า เมื่อได้ยินที่อีกฝ่ายพูด เขาก็ตอบ ยี่สิบล้านพอให้เราวางสาขาทั่วเซี่ยงไฮ้ แล้วเรื่องเวลาล่ะ?
ประมาณสามเดือน
ช้าเกินไป!
ฟางผิงไม่พอใจ เขาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เร่งกว่านั้น จะดีที่สุดถ้าทำให้เสร็จในหนึ่งเดือน!
เอ่อ…
ประชาสัมพันธ์เพิ่ม มันก็แค่ต้องใช้เงินเพิ่มเล็กน้อย ไม่จำเป็นต้องประหยัดเงินเล็กน้อยกับเรื่องนี้
เดี๋ยวฉันจะโอนเงินเข้าบัญชีบริษัทยี่สิบล้าน…
แต่หลังจากนี้ ฉันจะไม่ลงทุนเงินเพิ่มเพื่อขยายไปพื้นที่อื่นอีก
ช่วงแรก เราจะทำแค่เล็กๆพอ เราไม่มีเงินให้กู้ยืมมากนัก และเรากำลังเสียเวลาเปล่า เมื่อเราทำในระดับใหญ่ขึ้น หาเงินทุนและกู้ยืมจะเป็นทางแก้ปัญหาเงินทุนของเรา
เมื่อจัดวางสาขาในเซี่ยงไฮ้เสร็จ ให้ไปหาคนที่หนานเจียงเจียงเฉิงเพื่อเปิดตลาด
นอกจากนี้ฉันได้ติดต่อนักศึกษาจากมหาลัยวิชายุทธหนานเจียงแล้ว เมื่อเราไปเปิดตลาดที่นั่น พวกเขาส่วนใหญ่อาจเป็นผู้ฝึกยุทธแล้ว
หากจำเป็น คุณไปหาประธานชมรมวิถียุทธหวังจินหยางมหาลัยวิชายุทธหนานเจียงเพื่อมาช่วยแก้ปัญหาได้ ดังนั้นคุณไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้น…
แล้วตัวแทนทางกฎหมายล่ะ…
จะพัฒนาข้ามมณฑลได้นั้นจำเป็นต้องมีผู้ฝึกยุทธขั้นกลางมาดูแล
เราจะพิจารณาอีกทีหากตอนนั้นฉันยังไม่ถึงขั้นสี่
ฟางผิงไม่ได้กังวลเรื่องนี้นัก กว่าเขาจะไปถึงหนานเจียง มันคงเป็นเทอมหน้าแล้ว
พอถึงตอนนั้น เขาคงบรรลุขั้นสี่แล้ว
ต่อให้เขายังไม่บรรลุก็ไม่เป็นไร มีหนทางแก้ปัญหามากมาย ทั้งชวนหวังจินหยางมาเป็นพันธมิตรหรือไปขอความช่วยเหลือจากหลู่เฟิ่งโหรว มันไม่มีอะไรมากไปกว่าจ่ายเงินสักเล็กน้อย
หลี่เฉิงเจ๋องงงวยอีกครั้ง จะพิจารณาอีกทีถ้ายังไม่บรรลุขั้นสี่ เจ้านายเขามั่นใจแค่ไหนเนี่ย!
ฟางผิงเห็นแบบนั้นก็ยิ้ม คุณมองฉันทำไม? ฉันเป็นขั้นสามแล้ว แต่อย่าพึ่งเอาไปพูด บรรลุขั้นสามแปลว่าฉันจะไม่เป็นที่รู้จักนัก ถ้าฉันยังรักษาชื่อเสียงขั้นสองไว้ อย่างน้อยฉันก็มีโอกาสปรากฏในรายชื่ออันดับ
แน่นอนว่าเรื่องนี้จะดำเนินไม่นานนัก
เดือนเมษายน จัดอันดับรายชื่อใหม่ เขาอาจติดอันดับด้วย
แต่เมื่อถึงเดือนพฤษภาคม ฟางผิงอาจไม่ติดอันดับแล้ว
หลังจากเขาทะลวงขั้นสำเร็จ เขาก็ไปรับคะแนนที่โม๋อู่แล้ว ข้อมูลเขาถูกป้อนเข้าระบบเรียบร้อย แต่ตอนนี้สิ้นเดือน รายชื่ออันดับอาจไม่เปลี่ยนแปลง อย่างไรก็ตามรายชื่ออันดับครั้งหน้าฟางผิงไม่ติดอันดับแน่นอน
เขาหายไปจากรายชื่ออันดับ คนที่ติดตามเขาจะรู้ว่ามันเป็นเพราะฟางผิงบรรลุขั้นสามแล้ว
สิ่งที่ฟางผิงต้องทำในช่วงนี้ก็คือการเพิ่มความแข็งแกร่ง
ขั้นสาม…
หลี่เฉิงเจ๋อตะลึง ขั้นสามแล้ว?
ตอนที่เขาพบฟางผิงครั้งแรก ฟางผิงยังเป็นเตรียมผู้ฝึกยุทธอยู่เลย
นั่นเป็นตอนเดือนสิงหาคมปี 2008
ตอนนี้ยังไม่ถึงเดือนเมษายนปี 2009 ด้วยซ้ำ มันเร็วเกินไปแล้ว!
เหตุผลที่เขาเลือกพึ่งพาฟางผิงครั้งก่อนเป็นเพราะเขาเห็นว่าฟางผิงเป็นนักศึกษาโม๋อู่ รวมถึงขัดเกลากระดูกสองครั้ง
ฟางผิงเติบโตเร็วกว่าที่เขาคิด ไม่ มันเร็วกว่าที่คิดไปมาก!
ฟางผิงเมินอีกฝ่าย เขาหยิบขวดยาเล็กออกมาจากกระเป๋าแล้ววางไว้บนโต๊ะ ในนี้มีเม็ดยาปราณและเลือดสามัญอยู่ 5 เม็ด ปราณและเลือดของคุณไม่ได้อ่อนแอ ตอนนี้คุณมีมากกว่า 135แคลแล้วใช่ไหม?
คุณฟาง นี่มัน…
เป็นผู้ฝึกยุทธให้เร็ว ฉันสัญญากับคุณครั้งก่อนว่าจะช่วยให้คุณเป็นผู้ฝึกยุทธในสามปี
ใช้เม็ดยาปราณและเลือดสามัญทั้งห้าเม็ดแล้วคุณจะมีโอกาสบรรลุปราณและเลือด 150แคล
แน่นอน คุณอย่าคาดหวังว่าจะขัดเกลาสองครั้ง…
หลี่เฉิงเจ๋อรีบอธิบาย ผมไม่กล้าฝันหรอก
พูดเป็นเล่น จาก 150แคลไป 180แคลยากยิ่งกว่า 100แคลไป 150แคลเสียอีก แม้แต่ค่าใช้จ่ายก็เพิ่มขึ้นมหาศาล
เขาไม่ได้อายุน้อยๆแล้ว ต่อให้เขาอายุน้อย เขาก็คงไม่กัดฟันรอโอกาสต่อเพื่อขัดเกลาสองครั้งโดยไม่รู้ว่ามันเป็นไปได้ไหม
เมื่อปราณและเลือดของคุณถึง 150แคลแล้วฉันยังไม่เป็นผู้ฝึกยุทธขั้นกลาง ฉันจะช่วยคุณหาผู้ฝึกยุทธขั้นกลางมาช่วยคุณทะลวงแน่นอน
ส่วนเรื่องเม็ดยาที่คุณต้องใช้ตอนทะลวง…
หลี่เฉิงเจ๋อตอบทันที ผมมีเก็บอยู่บ้าง…
ไว้ค่อยคุยกัน
ฟางผิงไม่รับประกันว่าจะเตรียมให้ หว่านอะไรไว้ก็จะได้แบบนั้น อย่างน้อยหลี่เฉิงเจ๋อควรแสดงคุณค่าของตัวเองออกมา
ปัจจุบันคุณค่าของเขาถูกใช้ไปหมดแล้ว
ภายในหนึ่งปี ฟางผิงได้ให้เม็ดยาปราณและเลือดสามัญเขาไป 6 เม็ดแล้ว สิ่งที่ลงทุนไปตอนนี้ เขาจะเก็บเกี่ยวภายหลัง
ขยายให้เร็วที่สุด เน้นความเร็วเป็นหลัก! นอกจากนี้ถ้ามีคนอยากมาลงทุน ให้โทรหาฉัน ฉันจะพิจารณาเอง
ดิสแทนซ์จำกัดยังสะท้อนมูลค่าของตัวเองไม่ได้ ถ้าตัดสินจากทรัพย์สินสุทธิ มันขาดทุนมาโดยตลอด
ค่าทรัพย์สินจะเพิ่มขึ้นหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับคุณค่าในสายตาคนนอก
ตกลง ผมจะแจ้งทันทีเมื่อมีข่าว
…
ฟางผิงไม่ได้พูดอะไรอีกเช่นกัน ขณะที่เขาเดินออกจากบริษัท เขาก็ครุ่นคิดอยู่พักนึงและพูดพึมพำ ฉันควรหาคนมาตรวจสอบและถ่วงดุลอำนาจ ฉันควรเลือกใครดี?
บริษัทกำลังเติบโต เงินทุนก็สูงขึ้นเช่นเดียวกัน
ถ้าเกิดสักวันเขาเสียชีวิตในถ้ำใต้ดิน แม้ว่าครอบครัวเขาจะรู้เรื่องบริษัท แต่พวกเขาอาจไม่ได้รับสิทธิ์ในบริษัท พอถึงตอนนั้นจะเป็นคนอื่นที่ได้รับประโยชน์
นอกจากนี้ ฉันหวังว่าชีวิตที่สงบสุขแบบนี้จะคงอยู่อีกหลายๆปี
ฟางผิงอธิษฐาน ถ้าเกิดความโกลาหล มันเป็นขนาดเล็กๆยังไม่เป็นไร อย่างไรก็ตามถ้าเป็นความโกลาหลครั้งใหญ่ ระบบธุรกิจอาจล้มเหลว
พอถึงตอนนั้น นอกจากธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ที่จำเป็นต่อชีวิตหรือผลิตภัณฑ์ที่จำเป็นต่อผู้ฝึกยุทธ ธุรกิจอื่นทั้งหมดมีความเสี่ยงต่อการปิดกิจการ
ฉันได้ลงทุนไป 35 ล้านแล้ว ฉันไม่รู้ว่าจะมีใครยอมลงทุนกับเราในราคาสูงไหม…
ฟางผิงถอนหายใจอีกครั้ง ถ้าหากบุคคลที่ร่ำรวยและทรงอิทธิพลมอบเงินทุนพันล้านให้เขา เมื่อระดมทุนเสร็จ ค่าทรัพย์สินจะเพิ่มทันทีอีกหลายพันล้าน
ระบบดีอย่างนึงคือ ระบบจะบันทึกแค่ตัวเลขปัจจุบันเท่านั้น แม้ว่ามูลค่าจะลดลง แต่ค่าทรัพย์สินไม่ได้ลดลงตามไปด้วย
สิ่งที่ฟางผิงต้องทำคือเพิ่มมูลค่าปัจจุบันให้สูงที่สุด ผลสุดท้ายจะเป็นยังไงไม่ได้อยู่ในการพิจารณาของเขา
ถ้าสังคมล่มสลาย เงินจะสำคัญน้อยลง องค์กรเหล่านั้นจะลงทุนกับใครก็เหมือนกัน
ขณะที่เขาคิดถึงเรื่องนี้ โทรศัพท์ฟางผิงก็สั่น
ฟางผิงรู้ว่าเฉินหยุนซีโอนเงินเข้าบัญชีแล้วโดยไม่ต้องอ่านข้อความด้วยซ้ำ
ค่าทรัพย์สินเขาเพิ่มขึ้นมาอีกสองล้าน ทำให้มันเป็น 24.06 ล้าน
เงินสดในมือเขาก็เกิน 30 ล้านเช่นกัน เขามีอยู่ 34.6 ล้านแล้ว
โอนเงิน 20 ล้านเข้าบริษัท จะเหลือค่าทรัพย์สิน 24.06 ล้าน เงินสด 14.6 ล้าน เม็ดยาปราณและเลือดสามัญอีก 5 เม็ด…
เม็ดยาปราณและเลือดมาจากขวดที่ได้จากพานเสี่ยวหยางก่อนหน้านี้ เมื่อกี้ฟางผิงไม่ได้ขายไป
ตามอัตราการใช้ขัดเกลากระดูกครั้งก่อนๆ ขัดเกลากระดูกชิ้นนึงใช้ค่าทรัพย์สินหกแสน ลำตัวมีกระดูกเพียง 51 ชิ้น ค่าทรัพย์สินประมาณ 30 ล้านก็น่าจะพอแล้ว…
ฟางผิงเริ่มคำนวณ อย่างไรก็ตามเขาสังหรณ์ใจว่ามันจะไม่เป็นไปตามที่เขาคำนวณไว้
เขาไม่รู้เรื่องกระดูกซี่โครงและกระดูกอก อย่างไรก็ตามกระดูกสันหลังเป็นหนึ่งในกระดูกที่สำคัญที่สุดของร่างกายมนุษย์ รองจากกะโหลก
ผู้ฝึกยุทธขั้นสามมากมายติดคอขวดเมื่อขัดเกลากระดูกสันหลัง แม้ว่าจะใช้ทั้งเวลาทั้งทรัพยากรไปมหาศาลก็ตาม
จะเป็นไปได้ไหมที่ระบบจะยอมให้เขาขัดเกลากระดูกสันหลังได้อย่างรวดเร็วด้วยค่าทรัพย์สินหกแสนต่อชิ้น?
ไว้ลองก็รู้เอง
หลังจากเลิกคิดเรื่องพวกนี้ ฟางผิงก็รีบกลับมหาลัยอีกครั้ง
…
คืนนั้น ฟางผิงได้รับแจ้งจากมหาลัยเช่นกัน
1 เมษายน มหาลัยได้จัดคลาสฝึกพิเศษใหม่
คลาสฝึกพิเศษครั้งนี้ไม่ได้เจาะจงที่นักศึกษาใหม่ แต่เจาะจงที่ผู้ฝึกยุทธขั้นสองทั้งหมดในมหาลัยแทน
ในโม๋อู่มีผู้ฝึกยุทธขั้นสองอยู่มากมาย รวมแล้วมีเฉียดพัน
พูดได้ว่าผู้ฝึกยุทธขั้นสองและขั้นสามในประเทศจีนจากสองมหาลัยชั้นยอด โม๋อู่กับจิงอู่ มีมากกว่ามหาลัยอื่นนับสิบเท่า
ผู้ฝึกยุทธขั้นสองเกือบพันคน แต่ก็ใช่ว่าทุกคนจะได้รับแจ้ง
ฟางผิงไม่รู้ว่ามีกี่คนกันแน่
อย่างไรก็ตามผู้ฝึกยุทธขั้นสองไม่กี่คนของปีหนึ่งได้รับแจ้งแล้ว ในฐานะนักศึกษาปีหนึ่งที่โดดเด่น เห็นได้ชัดว่าพวกเขาอยู่คนละระดับกับผู้ฝึกยุทธขั้นสองที่พยายามบรรลุขั้นสองตอนปีสองปีสาม
ผู้ฝึกยุทธขั้นสอง…
ฟางผิงพึมพำ ‘ฉันต้องไปไหม?’
‘ฉันควรไปไหม?’
‘ฉันเป็นขั้นสาม!’
อย่างไรก็ตามมันเป็นเพียงความคิดเท่านั้น เขาบรรลุขั้นสามแล้ว ถ้าแม้แต่ขั้นสองก็ถูกเกณฑ์ไปเข้าร่วม นับประสาอะไรกับขั้นสามล่ะ
แทนที่จะไปกับผู้ฝึกยุทธขั้นสาม ไปกับขั้นสองดีกว่าอีก
อย่างน้อยมันก็ปลอดภัยกว่ามาก
ฟางผิงไม่เชื่อว่ามหาลัยจะปล่อยให้ขั้นสองชั้นยอดมากมายต้องไปตาย เมื่อเทียบกันแล้วนักศึกษาขั้นสามถูกใส่ใจน้อยกว่า
นอกจากนี้มันจะมีผลประโยชน์แน่นอน แต่ขั้นสามอาจไม่ได้ พวกเขาต้องรับภารกิจเอง…
เมื่อเขาคิดได้แล้ว ฟางผิงก็ไม่แข็งขืนเข้าร่วมคลาสฝึกพิเศษ ในฐานะขั้นสาม เขาย่อมป้องกันอันตรายได้มากกว่าเมื่อเทียบกับขั้นสอง
ฟางผิงไม่สนใจข้อความอีก เขาตั้งสมาธิ ฝึกจวงกง เวลาเดียวกัน เขาก็พยายามใช้ระบบขัดเกลากระดูก
อย่างไรก็ตามเมื่อเขาเริ่มขัดเกลากระดูก ฟางผิงก็หน้าเปลี่ยนสี!
เขาไม่มั่นใจว่ามันเป็นเพราะกระดูกอกมีขนาดใหญ่ หรือระบบเริ่มเล่นแง่กับเขาอีกครั้ง ฟางผิงฝึกฝนคืบหน้าไปได้แค่ 1% ก่อนที่เขาจะหยุดกะทันหัน!
ค่าทรัพย์สินสามหมื่น!
ฟางผิงสีหน้าหม่นลง ก่อนหน้านี้แค่หมื่นเดียว มันเพิ่มขึ้นหลายเท่า!
หมายความว่ากระดูกชิ้นเดียวต้องใช้ถึง 1.8 ล้าน? งั้นกระดูก 51 ชิ้นต้องใช้เกือบร้อยล้าน!
จะมีใครหน้าไหนกันที่จ่ายเงินเป็นร้อยล้านเพื่อฝึกจนถึงขั้นสามชั้นสูง!
ฟางผิงสบถ การฝึกฝนตั้งแต่ขั้นสามจนถึงขั้นสามชั้นสูงจะมีค่าใช้จ่ายสูงแน่นอน อย่างไรก็ตามมันคงไม่ถึงขนาดหลายร้อยล้านเป็นแน่
ไม่ต้องพูดถึงเลยว่าเขาไม่ได้นับอย่างอื่นอีก ปราณและเลือดต้องสอดคล้องกับการขัดเกลากระดูกอีก
หนึ่งล้านก็พอแล้วที่ทำให้คนธรรมดาจากเตรียมผู้ฝึกยุทธสู่ขั้นหนึ่ง
จากขั้นหนึ่งสู่ขั้นสอง เงินสิบล้านก็มากเกินพอแล้ว
จากขั้นสองสู่ขั้นสามก็ใช้จ่ายไม่เยอะนัก พอๆกับจากขั้นหนึ่งถึงขั้นสอง อันที่จริงผู้ฝึกยุทธขั้นหนึ่งกับขั้นสองถูกมองเป็นขั้นเดียวกันก็ได้ ทั้งสองขั้นขัดเกลาแขนขาเหมือนกัน
พูดอีกนัยนึง สามสิบล้านก็พอให้คนธรรมดากลายเป็นผู้ฝึกยุทธขั้นสามแล้ว แน่นอนเวลาที่ต้องใช้นั้นต่างออกไป จะใช้เวลาหลายสิบปีก็เป็นเรื่องปกติด้วยซ้ำ
กลับกัน ค่าใช้จ่ายจะเพิ่มขึ้นมากจากขั้นสามถึงขั้นสามสูงสุด อย่างน้อยก็ต้องมีสี่สิบถึงห้าสิบล้าน
ถ้าทรัพยากรของผู้ฝึกยุทธขั้นสามสูงสุดเปลี่ยนเป็นเงิน มูลค่ามันจะอยู่ประมาณร้อยล้าน นี่เป็นเหตุผลที่ทำไมประเทศจีนถึงลงทุนเงินจำนวนมากแก่มหาลัยวิชายุทธทุกปี
เงินทุนส่วนใหญ่ใช้กับผู้ฝึกยุทธเหล่านี้ กลับกันขั้นหนึ่งและขั้นสองไม่ค่อยได้มากนัก
เพื่อเร่งความเร็วฝึกฝน ฟางผิงใช้จ่ายไปมาก มันมากจนถึงขั้นพอให้คนธรรมดาฝึกจนบรรลุขั้นสามสูงสุด
ทว่าเขาก็พบว่าค่าใช้จ่ายระดับไปนั้นสูงขึ้น
แปลว่าพอฉันบรรลุขั้นสามสูงสุด ฉันจะต้องเสียค่าใช้จ่ายมากกว่าคนธรรมดาอย่างน้อยสองเท่า จนถึงขั้นแม้แต่เงินสองร้อยล้านก็ไม่พอ?
ฟางผิงจนปัญญาเล็กน้อย ถ้าเขารวย เขาคงไม่ต้องสนใจเรื่องนี้
มีได้บ้างขาดทุนบ้าง ถ้าหากใช้เงินแล้วก้าวหน้าเร็วขึ้น งั้นเขาก็ไม่คิดมาก
มีคนร่ำรวยอยู่มากมาย ไม่มีใครคิดหรอกว่าแค่ทุ่มเงินแล้วจะกลายเป็นยอดฝีมือได้
สามขั้นล่างอาจเป็นไปได้ หลังเข้าสู่สามขั้นกลาง มันก็ไม่ใช่เรื่องของเงินแล้ว
ในความเป็นจริง เพื่อขัดเกลากระดูกสันหลัง ผู้ฝึกยุทธขั้นสามไม่ได้อาศัยเงินเพียงอย่างเดียว แต่อาศัยพรสวรรค์ด้วย
แน่นอนมันจะแตกต่างออกไปถ้ามีทรัพยากร เราสามารถเข้าห้องพลังงานได้ ทำให้สัมผัสถึงสภาพของกระดูกได้ง่ายขึ้น ฟื้นฟูปราณและเลือดได้ง่ายขึ้น นี่เป็นข้อได้เปรียบเช่นกัน อย่างไรก็ตามคนทั่วไปไม่มีปัญญาจ่ายกัน
มีค่าทรัพย์สินกว่ายี่สิบล้านเพียงพอขัดเกลากระดูกได้สิบกว่าชิ้นเท่านั้น มันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะบรรลุขั้นสามชั้นกลาง
ฟางผิงรู้สึกอ่อนแรงเล็กน้อย เขาควรทำยังไงดี?
ถ้าเขาใช้เงินสดและค่าทรัพย์สินทั้งหมดที่มี เขาก็มีหวังบรรลุขั้นสามชั้นกลาง อย่างไรก็ตามบรรลุขั้นสามชั้นสูงยังเป็นความฝัน
ก้าวทีละขั้น ฉันสงสัยว่าคลาสฝึกพิเศษรอบนี้จะมีผลประโยชน์ไหมนะ ถ้ามีมันจะเป็นโอกาสให้ฉันบรรลุขั้นสามชั้นสูง
ฟางผิงไม่ได้ใช้ค่าทรัพย์สินขัดเกลากระดูกต่อ การทำแบบนี้มีข้อดีข้อเสีย ทว่าตอนนี้เขามีค่าทรัพย์สินไม่พอ แถมยังไม่ได้ทำภารกิจอะไรด้วย
ตอนนี้เขาจะใช้ปราณและเลือดตัวเองหล่อเลี้ยงและฝึกฝนไปก่อน เป็นการเตรียมตัวสำหรับอนาคต
ยิ่งกว่านั้นฟางผิงยังคำนึงอีกว่า ถ้าตอนนี้เขาบรรลุขั้นสามชั้นสูงไม่ได้ ใช้ค่าทรัพย์สินไปฝึกฝนวิชาต่อสู้จะเหมาะสมกว่า
ความแตกต่างระหว่างขั้นสามชั้นต้นกับขั้นสามชั้นกลางมีไม่ชัดเจนนัก กลับกันความสามารถเชิงยุทธสำคัญยิ่งกว่า