หนานอู่แพ้การประลองรอบแรก
เฉินเผิงเฟย ผู้ฝึกยุทธขั้นสองสูงสุด อันดับสามของอันดับแต้มภารกิจ พ่ายแพ้
ล่างเวทีเกิดความวุ่นวายทันที
เฉินเผิงเฟยแพ้!
เขาเป็นขั้นสองสูงสุด ส่วนอีกฝ่ายพึ่งบรรลุขั้นสอง? แต่เขาก็ยังแพ้! อะไรกันเนี่ย?
นายโง่เหรอ? จ้าวเหล่ยเป็นผู้ฝึกยุทธขัดเกลาสองครั้ง ปราณและเลือดของเขาจึงไม่น้อยไปกว่าเฉินเผิงเฟย แถมจวงกงของเขาถึงขั้นว่างเปล่าแล้ว เฉินเผิงเฟยคาดการณ์ผิด ไม่งั้นจ้าวเหล่ยแพ้ไปแล้ว เฉินเผิงเฟยไม่ได้อ่อนแอ แค่จ้าวเหล่ยแข็งแกร่งเกินกว่าที่เขาจินตนาการไว้!
มีคนปกป้องเฉินเผิงเฟย ในงานประลองจ้าวเหล่ยไม่ค่อยมีโอกาสแสดงฝีมือนัก พวกเขาจึงไม่ค่อยมีข้อมูล
จวงกงขั้นว่างเปล่าหาได้ยาก ผู้ฝึกยุทธขั้นสามส่วนใหญ่ยังทำไม่ได้เลย
เฉินเผิงเฟยคาดการณ์ความสามารถของคู่ต่อสู้โดยอาศัยประสบการณ์ มันไม่ใช่ว่าเขาคาดการณ์ผิด เขาแค่ประเมินจ้าวเหล่ยต่ำไปแค่นั้นเอง
ความพ่ายแพ้ในการประลองนัดแรกทำให้ทีมหนานอู่เกิดความเกรงกลัวขึ้นมา
หนานอู่มีผู้ฝึกยุทธขั้นสองสูงสุดไม่มากนัก
แต่ตอนนี้หนึ่งในนั้นพ่ายแพ้ไปแล้ว
…
จ้าวเหล่ย นายอยากประลองต่อไหม?
หวังจินหยางเอ่ยถาม ขณะที่จ้าวเหล่ยกำลังตอบ ฟางผิงก็เดินเข้ามา นี่เป็นแค่การประลองกระชับมิตร แถมนายผลาญปราณและเลือดไปมากแล้ว ไม่จำเป็นต้องสู้ต่อ
แม้จ้าวเหล่ยจะอยากประลองต่อ แต่เขาก็นึกได้ว่าคนถัดไปก็เป็นผู้ฝึกยุทธขั้นสองสูงสุดเช่นกัน หลังคิดเล็กน้อย เขาก็ก้าวลงจากลานประลอง
นายสู้ได้ไม่เลว นายปิดบังขั้นว่างเปล่าจนถึงตอนนี้…นายตั้งใจเก็บไว้ใช้จัดการใครกัน?
ฟางผิงมองจ้าวเหล่ยด้วยรอยยิ้มกว้างขณะที่อีกฝ่ายลงจากลานประลอง จ้าวเหล่ยมีสีหน้าดำคล้ำกระแทกเสียงใส่ มันเป็นเพราะฉันยังไม่เคยเจอคู่ต่อสู้ที่ต้องทุ่มกำลังทั้งหมดเฉยๆ!
อย่างนั้นเหรอ?
ฟางผิงหัวเราะ เขาเดินขึ้นลานประลองโดยไม่ได้พูดหัวข้อนี้ต่อ
โม๋อู่ ฟางผิง ขั้นสองสูงสุด
นั่นเป็นหัวหน้าทีมโม๋อู่เหรอ?
เขามาจากหนานเจียงเหมือนกัน เขาเป็นขั้นสองสูงสุดแล้ว!
เขาฝึกฝนมายังไง? ไม่ใช่ว่าตอนงานประลองเดือนมกราคม เขาเป็นแค่ขั้นหนึ่งสูงสุดเหรอ?
…
เมื่อฟางผิงแนะนำตัวเสร็จ ผู้ชมก็ปั่นป่วนทันที
ขั้นสองสูงสุด!
นับตั้งแต่วันนั้น มันพึ่งผ่านมาไม่นาน!
คนอื่นๆที่ยังเป็นเตรียมผู้ฝึกยุทธยังก้าวหน้าช้ากว่าเขาอีก
…
อีกด้านนึงของลานประลอง
จางติ้งหนานยิ้มเยือกเย็น เจ้าหนูนี่เป็นศิษย์ของหลู่เฟิ่งโหรวงั้นเหรอ?
ถูกต้อง
เขาเรียนวิชาดาบของฉันไป? ฉันเฝ้าดูเขามาตั้งแต่รอบก่อนแล้ว…แต่ฉันไม่เห็นเลย ฉันคิดว่าเขาเรียนมาจากโจวอี้เตาซะอีก
แค่กๆ…
ทั้งหวงจิ่งทั้งอาจารย์ใหญ่ของหนานอู่ต่างก็กระแอมแห้งๆก่อนจะหัวเราะเล็กน้อยโดยไม่ได้ตั้งใจ
โจวอี้เตาเป็นปรมาจารย์อีกท่านที่เป็นผู้เชี่ยวชาญดาบ เขาชอบฟันคนด้วยดาบเดียวเสมอ ถ้าดาบเดียวไม่พอ เขาก็จะฟันต่ออีกดาบ จะให้พูดก็คือ ไม่มีเทคนิคหรือลูกไม้ใดๆทั้งสิ้น
ดาบคลั่งระเบิดเลือดก็คล้ายกัน แต่มันเป็นยิ่งกว่านั้น
การประลองรอบก่อนมันไม่ชัดเจนนักว่าฟางผิงเรียนวิชาดาบคลั่งระเบิดเลือดมา เพราะเขาดังเรื่องระเบิดพลังฟันต่อเนื่อง
หลังพูดจาติดตลก เขาก็พูดต่อ เขามาจากหนานเจียง เสียดายเขาไม่อยู่หนานเจียง
คุณยึดติดเรื่องถิ่นฐานเกินไป นักศึกษาโม๋อู่ไม่ใช่คนจีนรึไง? พวกเขาจะไม่ช่วยเหลือประเทศแล้วรึไง?
มันไม่เหมือนกัน…
ฉันว่ามันเหมือนกัน!
ไม่ว่าคุณจะพูดยังไง ถ้าทางเข้าถ้ำใต้ดินปรากฏในหนานเจียง ฉันหวังว่าโม๋อู่จะช่วยให้หนานเจียงรอดพ้นจากภัยพิบัติครั้งนี้ไปได้
มหาลัยวิชายุทธของเราย่อมไม่นั่งดูดายอยู่แล้ว ไม่ต้องห่วง
ฉันหวังอย่างนั้นนะ ทุกครั้งที่ทางเข้าปรากฏขึ้น ทางเข้าอื่นก็เกิดความโกลาหลเช่นเดียวกัน ฉันแค่กลัวว่าคุณจะไม่มีเวลาพอส่งคนมาช่วย
สีหน้าของจางติ้งหนานปรากฏร่องรอยความกังวล หลังสงบมานานปี หนานเจียงจะเกิดการนองเลือดขึ้นเช่นกันหรือ?
…
ขณะที่ผู้ชมกำลังคุยกันจอแจ ทางฝั่งหนานอู่ก็มีคนเดินออกมา อีกฝ่ายเป็นผู้หญิง
เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายมีผู้หญิงคนเดียวเดินออกมา ฟางผิงก็อดชำเลืองมองหวังจินหยางไม่ได้
หวังจินหยางไม่ได้มองเขา ผู้ฝึกยุทธสาวผมหางม้าจ้องเขาด้วยสายตาเย็นชา เลิกมองได้แล้ว! นายกำลังดูถูกผู้หญิงเหรอ?
ฟางผิงหัวเราะ ฉันไม่ได้ตั้งใจแบบนั้น ฉันแค่คิดว่าถ้าฉันอัดผู้หญิง ฉันคงโดนโกรธน่าดู
หนานอู่มีนักศึกษาหลายพันคน ตั้งทีมชายล้วนยังไม่ได้เหรอ?
น่าเศร้า
อย่ามามองเรา แต่เดิมเราไม่ได้มาประลอง พูดตามตรงคือทุกอย่างเป็นแค่เรื่องบังเอิญ
อวดดี!
ไม่เถียง ตอนแรกฉันเกือบเลือกมหาลัยวิชายุทธหนานเจียงแล้ว แต่ตอนนี้ฉันรู้สึกโชคดีที่ไม่ได้…ยกเว้นเพียงไม่กี่คน ฉันไม่เห็นคนไหนที่ทำให้ฉันประทับใจได้เลย
เขาพูดเสียงดัง ผู้ชมข้างล่างเดือดดาล
อวดดีมาก!
หลันไฉเย่ จัดการมันเลย!
อัดมันให้ตาย!
…
ผู้ชมต่างก็โกรธเกรี้ยว
กลับกันฟางผิงร้องอุทาน ลั่นไช่เย่(ใบไม้เน่า) ชื่อของคุณ…เอ่อ…ตอนกำเนิดมา พ่อแม่ต้องเกลียดชังขนาดไหนกัน…
(ผู้แปล : เล่นคำจากชื่อ หลันไฉเย่)
รนหาที่ตาย!
หลันไฉเย่ทะยานออกมา เธอเคลื่อนไหวทันทีโดยไม่สนใจที่จะแนะนำตัว พริบตาเดียวเธอก็มาปรากฏอยู่ข้างฟางผิงอย่างน่าพิศวง
วิชาก้าวย่างของเธอไม่เลว น่าเสียดาย…
ฟางผิงหัวเราะ ปลายเท้าเขาแตะพื้นเบาๆก่อนร่างกายจะหายตัวไป
ประธานหวังของคุณบอกฉันว่าผู้ฝึกยุทธขั้นสองสูงสุดในหนานอู่ล้วนเป็นหัวกะทิ ฉันไม่เห็นแบบนั้นเลย
ฉันไม่ได้อยากประลองเลย
ประธานหวังของคุณค่อนข้างสนิทกับฉัน เขาเลยอยากให้ฉันได้รู้ว่าการไม่เลือกเข้าหนานอู่เป็นทางเลือกที่ผิด
น่าเสียดาย…ฉันไม่เห็นจะมีอะไรน่าเสียใจเลย
หลังพูดจบ เขาก็มองไปทางหวังจินหยางที่กำลังนั่งอยู่ล่างลานประลอง ‘ดูสิ ฉันให้บริการครอบคลุมแค่ไหน!’
‘คุณไม่อยากให้ฉันรับบทเป็นคนเลวหรอกเหรอ?’
‘ตอนนี้ฉันทำให้ทุกคนในหนานอู่บ้าคลั่งแล้ว เม็ดยาปราณและเลือดขั้นสอง 15 เม็ดเป็นอะไรที่คุ้มค่ามาก ฉันทำทุกอย่างที่เหมาะสมกับราคาแล้ว’
หลันไฉเย่ไม่ตอบอะไร ร่างกายเธอหายไปจากจุดเดิมในพริบตา
ฟางผิงพูดต่ออย่างผ่อนคลาย ฉันไม่อยากต่อยผู้หญิง ถ้าคุณเป็นผู้ชาย ฉันคงฟันตายในดาบเดียวแล้ว
แต่คุณเป็นผู้หญิง เราจะวิ่งเล่นออกกำลังกายกัน
สารเลว!
…
นักศึกษาหนานอู่เริ่มเดือดดาล!
ในกลุ่มคน อู๋จื้อเห่ากับเพื่อนๆสบตากัน พยายามทำตัวให้เล็กที่สุดก่อนจะกระซิบเบาๆ ทุกคน อย่าไปบอกคนอื่นล่ะว่าเรารู้จักเขา…
พวกเขากลัวตาย!
ฟางผิงกำลังยั่วโมโหนักศึกษาหนานอู่!
ไม่ว่าจะแพ้หรือชนะ เจ้าหมอนี่ก็จะกลายเป็นศัตรูคู่สาบานของหนานอู่ เขาเชี่ยวชาญด้านยั่วโมโหคนมากเกินไปแล้ว!
…
เฮ้ คนสวย มาคุยกันเถอะ! คุณอายุเท่าไหร่? คุณมีแฟนยัง?
…
มีปรมาจารย์อยู่ในครอบครัวไหม? น่าจะไม่มีนะ ฉันไม่รู้จักปรมาจารย์ที่มีแซ่หลันเลย
…
แกว่งดาบไปมามันเหนื่อยนะ วางมันก่อนแล้วมาคุยกันดีๆไหม?
…
ไม่กี่นาทีต่อมา หลันไฉเย่ เธอก็ถลึงตามองฟางผิงอย่างดุร้าย นายได้แค่หนีรึไง?
ฟางผิงกล่าวด้วยรอยยิ้ม ไม่หรอก ฉันแค่อยากให้พวกคุณมีโอกาสแสดงฝีมือ
แต่น่าเสียดาย ฉันไม่ได้เห็นอะไรที่น่าตื่นตาตื่นใจเลยแม้แต่น้อย
คุณอยู่ระดับธรรมดาๆ เหมือนอย่างผู้ฝึกยุทธขั้นสองทุกคนที่ตายในเงื้อมมือฉัน
ผู้ฝึกยุทธอย่างคุณ ฉันสู้พร้อมกันได้เป็นสิบคน!
บัดซบ!
หลันไฉเย่ขอบตาเริ่มแดง เธอคำราม ถ้านายแน่จริงก็อย่าหนีสิ!
คุณว่างั้นเหรอ?
หน้าทะเล้นของฟางผิงแปรเปลี่ยนเป็นจริงจัง เขากล่าวเสียงดัง มา ฉันก็อยากเห็นเหมือนกันว่าผู้ฝึกยุทธขั้นสองหนานอู่จะทนรับการโจมตีเบาๆได้ไหม
เสียงยังดังก้องทั่วอากาศ พริบตานั้นฟางผิงก็ประชิดตัวหลันไฉเย่แล้ว
เธอคิดว่ามันแปลกๆ ฟางผิงถือดาบยาวอยู่ในมือ อาวุธชิ้นนี้ไม่เหมาะกับต่อสู้ระยะประชิด
เธอไม่มีเวลาคิดมาก ฟางผิงทิ้งดาบยาวเมื่อไหร่ เธอก็ไม่รังเกียจที่ต้องให้หมอนี่เจ็บตัวสักหน่อย!
เมื่อฟางผิงเข้ามาใกล้ เธอก็รั้งดาบกลับมาอย่างรวดเร็วแล้วแกว่งดาบฟันเป็นแนวนอน
ฟางผิงไม่ได้สวนด้วยดาบ หมัดซ้ายเขาพลันแบออก ฝ่ามือเอียงเล็กน้อย ตบฝ่ามือฟันใส่ตัวดาบเธออย่างแรง!
ปัง ปัง ปัง…
ฟางผิงฟันฝ่ามือใส่ใบดาบห้าครั้งติดจนเกิดเสียงขึ้นมาถี่ยิบ
ทั้งคนทั้งดาบถูกกระแทกกลับไป แต่ฟางผิงตามติด ฟาดฝ่ามือใส่ข้อมือเธออีกสามครั้ง!
เคร้ง…
หลันไฉเย่จับดาบไว้ไม่ไหว ทำให้มันหล่นลงกับพื้น
ฟางผิงไม่ได้ตามต่อ เขาก้าวถอยไปแล้วออกความเห็นเบาๆ คุณอ่อนแอจริงๆ อ่อนแอมากจนฉันกลัวรั้งมือไม่อยู่เผลอทำคุณตายในกระบวนท่าเดียว มันไม่คุ้ม
ฉันใช้แค่มือเดียว แต่คุณก็ยังไม่ใช่คู่มือฉันอยู่ดี
ความโกรธและความเศร้าเสียใจปรากฏในแววตาก่อนที่เธอจะกระโดดลงจากลานประลองโดยไร้ซึ่งคำพูดและหายไปต่อหน้าทุกคน
หวังจินหยางในกลุ่มผู้ชมพึมพำเบาๆ ฉันให้นายชนะ ไม่ใช่สร้างความแค้น!
ความแค้นครั้งนี้ใหญ่โตมาก มันใหญ่โตยิ่งกว่าทำให้อีกฝ่ายบาดเจ็บสาหัสด้วยดาบเดียวเสียอีก
ตอนนี้หลันไฉเย่อาจเดือดดาลมากจนกระอักเลือด ชัยชนะของฟางผิงทำให้เธอรู้สึกแย่ยิ่งกว่าเธอได้รับบาดเจ็บสาหัสอีก
…
อีกด้านหนึ่ง
จางติ้งหนานคลี่ยิ้ม น่าสนใจไม่เบา ระเบิดโจมตีห้าครั้งติด ผลาญปราณและเลือดกระบวนท่าละ 30 แคล มันรุนแรงยิ่งกว่าระเบิดปราณและเลือด 150แคลเสียอีก
หวงจิ่งผงกหัวเล็กน้อย มันถือเป็นไพ่ตายของผู้ฝึกยุทธขั้นสองได้เลย เขาเชี่ยวชาญจวงกงและวิชาก้าวย่าง หลันไฉเย่ด้อยกว่าเล็กน้อย ถูกข่มทุกด้าน แต่ฟางผิงบอกใช้มือข้างเดียวก็พูดเกินจริงไปหน่อย…
ที่จริงฟางผิงใช้มือเดียวหรือสองข้างมันไม่สำคัญ แต่ฟางผิงไม่ได้ใช้ดาบอัลลอยเกรดดี มันก็เหมือนเป็นการอ่อนข้อให้เธอ
ขณะที่ทั้งสองคุยกัน อาจารย์ใหญ่วัยชราของหนานอู่ก็ถอนหายใจเบาๆ เด็กคนนี้ใช้ลูกศิษย์ของฉันเป็นเป้าฝึกซ้อม
เขาเอาชนะหลันไฉเย่ได้อย่างง่ายดายโดยใช้ปราณและเลือดอย่างมาก 200แคล
นี่เป็นครั้งแรกสำหรับฟางผิง
แต่ก่อนเขาผลาญปราณและเลือดมากกว่า 100แคลทุกกระบวนท่า มันทรงพลังน่ะใช่ แต่มันผลาญปราณและเลือดไปเป็นจำนวนมาก เมื่อเทียบกับผู้ฝึกยุทธขั้นหนึ่งคนอื่น เขาผลาญปราณและเลือดไปมากกว่า
เวลานี้เขาเอาชนะผู้ฝึกยุทธขั้นสองสูงสุดได้โดยที่ยังเหลือปราณและเลือดมากกว่าครึ่ง
มันหมายความว่าต่อให้ฟางผิงไม่ได้กินยา เขาก็ยังสู้ต่อไปได้
…
ไม่นาน ผู้ประลองคนที่สามจากหนานอู่ก็ขึ้นมาบนลานประลอง
รอบนี้เป็นผู้ชาย เขาถลึงมองฟางผิงอย่างน่ากลัว
ฟางผิงยิ้มอย่างไม่สะทกสะท้าน ฉันสุภาพกับผู้หญิง แต่ไม่ใช่กับผู้ชาย
ฉัน…
คุณไม่จำเป็นต้องแนะนำตัว เพราะฉันไม่เคยจำชื่อคนอ่อนแอ
…
ไอ้เวร! ฆ่ามัน! ฆ่ามันให้ได้!
อวดดี! หนานอู่ไม่มีใครจัดการเขาเลยเหรอ? เขาไม่สนใจมารยาทพื้นฐานของผู้ฝึกยุทธด้วยซ้ำ!
…
นักศึกษาหนานอู่โกรธกันมาก!
ฟางผิงไม่ปล่อยให้คู่ต่อสู้ประกาศชื่อ มันแสดงถึงการเหยียดหยามและการไม่เคารพต่อการประลองยุทธ
หวังจินหยางอุทาน ผลลัพธ์มัน…
เขาหมดคำจะพูด!
มันได้ผลมากกว่าที่เขาคิดไว้เป็นสิบเท่า!
ถ้าฟางผิงเอาชนะทุกคนในหนานอู่แล้วออกไปโดยไร้รอยขีดข่วน นักศึกษาหนานอู่อาจมองเขาเป็นศัตรูคู่แค้นตลอดชีวิต!
การตบหน้าอีกฝ่ายแบบนี้ร้ายแรงกว่าตอนที่เขาไปถล่มผู้ฝึกยุทธขั้นหนึ่งในโม๋อู่เสียอีก
จากนั้นฟางผิงก็ยังแสดงความสามารถในการเหยียดหยามผู้ฝึกยุทธขั้นสองหนานอู่!
รอบนี้ฟางผิงไม่ได้ใช้ฝ่ามือเป็นอาวุธ มันเจ็บ! มันมีผลสะท้อนจากการทำตัวอวดดี
ทุกคนได้ยินเสียงดาบฟ่งจุ่ยแหวกอากาศดังหวีดหวิว
ปัง!
เกิดเสียงดังขึ้นอีกครั้ง อีกฝ่ายกระเด็นลงไปจากลานประลอง
ฮ่าๆ
ฟางผิงดูซีดขาวเล็กน้อย เขาพูดเบาๆ คุณโง่รึเปล่า? คุณคิดว่าฉันจะเล่นวิ่งไล่จับกับคุณเหรอ? คุณรับการโจมตีฉันไม่ได้แม้แต่ครั้งเดียว น่าผิดหวังมาก
…
ผู้ชมเงียบสนิท
ผู้ประลองคนที่สามของหนานอู่แพ้เร็วเกินไป
เขา…เขาแข็งแกร่งมาก…
มีคนเอ่ยพึมพำขึ้นมา สีหน้าดูซับซ้อน
…
ฟู่ชางติ่งกับเพื่อนๆรู้สึกหมดคำจะพูด ผู้ฝึกยุทธจากหนานอู่คนนี้อ่อนแอเกินไปหน่อย
ไป๋รั่วซีกล่าวเบาๆ เขาวางแผนไว้ รอบก่อนเขายั่วโมโหหลันไฉไย่และไม่ได้ใช้กระบวนท่ารุนแรง เอาชนะโดยใช้กระบวนท่าต่อเนื่อง
รอบนี้เขาทำให้คู่ต่อสู้โกรธตั้งแต่ขึ้นลานประลองและล่อให้อีกฝ่ายโจมตี กระบวนท่าเมื่อกี้ใช้ปราณและเลือดมากกว่า 200แคล!
เขาบอกไม่ใช่เหรอว่ายังไม่มีไม้ตายขั้นสอง?
หลายคนโกรธ บ้าเอ้ย ฟางผิงหลอกพวกเขาอีกแล้ว!
ไป๋รั่วซีมองพวกเขา ‘พวกเธอเชื่อคำพูดไร้สาระของฟางผิงเอง จะโทษใครได้ล่ะ?’
จ้าวเหล่ยสีหน้าหม่นลง ‘นายมาหาว่าฉันมีความลับ นายก็เหมือนกันนั่นแหละ!’
‘นายจะเตรียมไว้เล่นงานใครกัน?’
…
เหล่ายอดยุทธเข้าใจความตั้งใจของฟางผิง พวกเขาทราบว่าลูกศิษย์ของพวกเขาไม่ได้อ่อนแออย่างที่เห็น
อย่างน้อยคนที่พึ่งตกจากลานประลองไปก็ได้รับบาดเจ็บเล็กน้อยเท่านั้น มันไม่ได้ร้ายแรงถึงขั้นบาดเจ็บสาหัส
แต่ในสายตาของผู้ฝึกยุทธขั้นต่ำคนอื่นๆ หนานอู่อ่อนแอจนน่าอับอาย
ประลองสามนัด พ่ายแพ้ทั้งสามนัด!
เฉินเผิงเฟยพ่ายแพ้ให้กับผู้ฝึกยุทธขั้นสองชั้นต้น ส่วนอีกสองคน แพ้ย่อยยับให้กับฟางผิงอย่างน่าอับอาย
เมื่อไม่มีใครสนใจเขา ฟางผิงก็หยิบยาเข้าปากลวกๆ
เขาหมายถึง ‘ไม่มีใคร’ ในหมู่นักศึกษา แต่เขาอยากให้ยอดยุทธเห็น
ในขณะเดียวกันใบหน้าที่ซีดเซียวของฟางผิงก็แดงระเรื่อด้วยความเร็วที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่า
จางติ้งหนานมองฟางผิงอีกครั้งและกล่าวชื่นชม ร่างกายแบบนี้…น่าอิจฉามาก
หวงจิ่งไม่ได้สนใจนัก เขากล่าวเชิงครุ่นคิด มันมีผลกระทบไหม? หนานอู่อ่อนแอกว่าโม๋อู่ แพ้ยับเกินไปจะทำให้เกิดความสิ้นหวัง…
แรงกดดันที่เหมาะสมจะทำให้เกิดการเติบโต แต่เมื่อคู่ต่อสู้แข็งแกร่งเกินไปจนไม่รู้สึกถึงแรงกดดัน ทุกคนจะไม่คิดว่าตนเองอ่อนแอ แต่จะอ้างว่าคู่ต่อสู้แข็งแกร่งเกินไป การประลองแบบนั้นจะไม่มีผลลัพธ์อะไรทั้งนั้น
ไม่เป็นไร คุณคิดว่าเด็กคนนี้จะชนะได้ง่ายดายขนาดนั้นเชียว?
โอ้ ดูเหมือนคุณจะมีไม้เด็ดเก็บไว้อยู่ งั้นก็มาดูกันต่อเถอะ
หวงจิ่งมองอีกสองคนที่เหลือของหนานอู่ด้วยรอยยิ้มและไม่ได้สนใจอีก ไม่ว่าผู้ฝึกยุทธขั้นสองจะแข็งแกร่งแค่ไหน แต่ในสายตาของพวกเขา มันก็ไม่คู่ควรแก่การเอ่ยถึง
…
ผู้ประลองคนที่สี่จากหนานอู่ก้าวขึ้นบนลานประลองท่ามกลางความรู้สึกซับซ้อนของผู้ชม
ชายหนุ่มผิวแทนไม่ได้ประกาศนามไม่ได้ถืออาวุธ เขายิ้มแล้วกล่าว อัจฉริยะของโม๋อู่แข็งแกร่งจริงๆ แต่มาดูถูกนักศึกษาหนานอู่ของเราก็เกินไป!
โอ้? คุณไม่เลวเลย คุณคงเป็นหนึ่งในนักศึกษาขั้นสองที่แข็งแกร่งที่สุดของหนานอู่สินะ
คุณจะว่าแบบนั้นก็ได้
ฟางผิงพลันทิ้งดาบลงลานประลอง กล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง พูดตามตรง พริบตาที่สองคนก่อนขึ้นมาบนลานประลอง ฉันก็รู้เลยว่าพวกเขาไม่ใช่คู่มือฉัน การประลองกับพวกเขาทำให้ฉันรู้สึกน่าเบื่อ
คุณน่าสนใจ คุณทำฉันกดดันอยู่บ้าง
ฉันไม่ได้เจตนาดูถูกใคร แต่หนานอู่ไม่มีผู้ฝึกยุทธขั้นสองคนไหนที่เข้าตาฉันเลย
ฉันว่าฉันไม่ควรใช้ดาบ ดาบเล่มนี้เป็นดาบที่ฉันแลกด้วยคะแนนที่หามาอย่างพากเพียร
แต่ฉันรู้ว่านักศึกษาหนานอู่คงไม่พอใจหากฉันใช้ดาบเล่มนี้
ไม่แปลกใจเลยที่อีกฝ่ายถึงพูดอย่างจนใจว่า ไม่จำเป็นต้องทำแบบนั้น ฟางผิงช่างไร้ยางอายเสียจริง!