World’s Best Martial Artist – ตอนที่ 186 เราต้องแสร้งทำเป็นเข้มแข็งแม้แต่ตอนที่เราไม่ได้แข็งแกร่ง 

ตอนที่ 186 เราต้องแสร้งทำเป็นเข้มแข็งแม้แต่ตอนที่เราไม่ได้แข็งแกร่ง 

  หนานอู่แพ้การประลองรอบแรก

  เฉินเผิงเฟย ผู้ฝึกยุทธขั้นสองสูงสุด อันดับสามของอันดับแต้มภารกิจ พ่ายแพ้

  ล่างเวทีเกิดความวุ่นวายทันที

   เฉินเผิงเฟยแพ้! 

   เขาเป็นขั้นสองสูงสุด ส่วนอีกฝ่ายพึ่งบรรลุขั้นสอง? แต่เขาก็ยังแพ้! อะไรกันเนี่ย? 

   นายโง่เหรอ? จ้าวเหล่ยเป็นผู้ฝึกยุทธขัดเกลาสองครั้ง ปราณและเลือดของเขาจึงไม่น้อยไปกว่าเฉินเผิงเฟย แถมจวงกงของเขาถึงขั้นว่างเปล่าแล้ว เฉินเผิงเฟยคาดการณ์ผิด ไม่งั้นจ้าวเหล่ยแพ้ไปแล้ว เฉินเผิงเฟยไม่ได้อ่อนแอ แค่จ้าวเหล่ยแข็งแกร่งเกินกว่าที่เขาจินตนาการไว้! 

  มีคนปกป้องเฉินเผิงเฟย ในงานประลองจ้าวเหล่ยไม่ค่อยมีโอกาสแสดงฝีมือนัก พวกเขาจึงไม่ค่อยมีข้อมูล

  จวงกงขั้นว่างเปล่าหาได้ยาก ผู้ฝึกยุทธขั้นสามส่วนใหญ่ยังทำไม่ได้เลย

  เฉินเผิงเฟยคาดการณ์ความสามารถของคู่ต่อสู้โดยอาศัยประสบการณ์ มันไม่ใช่ว่าเขาคาดการณ์ผิด เขาแค่ประเมินจ้าวเหล่ยต่ำไปแค่นั้นเอง

  ความพ่ายแพ้ในการประลองนัดแรกทำให้ทีมหนานอู่เกิดความเกรงกลัวขึ้นมา

  หนานอู่มีผู้ฝึกยุทธขั้นสองสูงสุดไม่มากนัก

  แต่ตอนนี้หนึ่งในนั้นพ่ายแพ้ไปแล้ว

  …

   จ้าวเหล่ย นายอยากประลองต่อไหม? 

  หวังจินหยางเอ่ยถาม ขณะที่จ้าวเหล่ยกำลังตอบ ฟางผิงก็เดินเข้ามา  นี่เป็นแค่การประลองกระชับมิตร แถมนายผลาญปราณและเลือดไปมากแล้ว ไม่จำเป็นต้องสู้ต่อ 

  แม้จ้าวเหล่ยจะอยากประลองต่อ แต่เขาก็นึกได้ว่าคนถัดไปก็เป็นผู้ฝึกยุทธขั้นสองสูงสุดเช่นกัน หลังคิดเล็กน้อย เขาก็ก้าวลงจากลานประลอง

   นายสู้ได้ไม่เลว นายปิดบังขั้นว่างเปล่าจนถึงตอนนี้…นายตั้งใจเก็บไว้ใช้จัดการใครกัน? 

  ฟางผิงมองจ้าวเหล่ยด้วยรอยยิ้มกว้างขณะที่อีกฝ่ายลงจากลานประลอง จ้าวเหล่ยมีสีหน้าดำคล้ำกระแทกเสียงใส่  มันเป็นเพราะฉันยังไม่เคยเจอคู่ต่อสู้ที่ต้องทุ่มกำลังทั้งหมดเฉยๆ! 

   อย่างนั้นเหรอ? 

  ฟางผิงหัวเราะ เขาเดินขึ้นลานประลองโดยไม่ได้พูดหัวข้อนี้ต่อ

   โม๋อู่ ฟางผิง ขั้นสองสูงสุด 

   นั่นเป็นหัวหน้าทีมโม๋อู่เหรอ? 

   เขามาจากหนานเจียงเหมือนกัน เขาเป็นขั้นสองสูงสุดแล้ว! 

   เขาฝึกฝนมายังไง? ไม่ใช่ว่าตอนงานประลองเดือนมกราคม เขาเป็นแค่ขั้นหนึ่งสูงสุดเหรอ? 

   … 

  เมื่อฟางผิงแนะนำตัวเสร็จ ผู้ชมก็ปั่นป่วนทันที

  ขั้นสองสูงสุด!

  นับตั้งแต่วันนั้น มันพึ่งผ่านมาไม่นาน!

  คนอื่นๆที่ยังเป็นเตรียมผู้ฝึกยุทธยังก้าวหน้าช้ากว่าเขาอีก

  …

  อีกด้านนึงของลานประลอง

  จางติ้งหนานยิ้มเยือกเย็น  เจ้าหนูนี่เป็นศิษย์ของหลู่เฟิ่งโหรวงั้นเหรอ? 

   ถูกต้อง 

   เขาเรียนวิชาดาบของฉันไป? ฉันเฝ้าดูเขามาตั้งแต่รอบก่อนแล้ว…แต่ฉันไม่เห็นเลย ฉันคิดว่าเขาเรียนมาจากโจวอี้เตาซะอีก 

   แค่กๆ… 

  ทั้งหวงจิ่งทั้งอาจารย์ใหญ่ของหนานอู่ต่างก็กระแอมแห้งๆก่อนจะหัวเราะเล็กน้อยโดยไม่ได้ตั้งใจ

  โจวอี้เตาเป็นปรมาจารย์อีกท่านที่เป็นผู้เชี่ยวชาญดาบ เขาชอบฟันคนด้วยดาบเดียวเสมอ ถ้าดาบเดียวไม่พอ เขาก็จะฟันต่ออีกดาบ จะให้พูดก็คือ ไม่มีเทคนิคหรือลูกไม้ใดๆทั้งสิ้น

  ดาบคลั่งระเบิดเลือดก็คล้ายกัน แต่มันเป็นยิ่งกว่านั้น

  การประลองรอบก่อนมันไม่ชัดเจนนักว่าฟางผิงเรียนวิชาดาบคลั่งระเบิดเลือดมา เพราะเขาดังเรื่องระเบิดพลังฟันต่อเนื่อง

  หลังพูดจาติดตลก เขาก็พูดต่อ  เขามาจากหนานเจียง เสียดายเขาไม่อยู่หนานเจียง 

   คุณยึดติดเรื่องถิ่นฐานเกินไป นักศึกษาโม๋อู่ไม่ใช่คนจีนรึไง? พวกเขาจะไม่ช่วยเหลือประเทศแล้วรึไง? 

   มันไม่เหมือนกัน… 

   ฉันว่ามันเหมือนกัน! 

   ไม่ว่าคุณจะพูดยังไง ถ้าทางเข้าถ้ำใต้ดินปรากฏในหนานเจียง ฉันหวังว่าโม๋อู่จะช่วยให้หนานเจียงรอดพ้นจากภัยพิบัติครั้งนี้ไปได้ 

   มหาลัยวิชายุทธของเราย่อมไม่นั่งดูดายอยู่แล้ว ไม่ต้องห่วง 

   ฉันหวังอย่างนั้นนะ ทุกครั้งที่ทางเข้าปรากฏขึ้น ทางเข้าอื่นก็เกิดความโกลาหลเช่นเดียวกัน ฉันแค่กลัวว่าคุณจะไม่มีเวลาพอส่งคนมาช่วย 

  สีหน้าของจางติ้งหนานปรากฏร่องรอยความกังวล หลังสงบมานานปี หนานเจียงจะเกิดการนองเลือดขึ้นเช่นกันหรือ?

  …

  ขณะที่ผู้ชมกำลังคุยกันจอแจ ทางฝั่งหนานอู่ก็มีคนเดินออกมา อีกฝ่ายเป็นผู้หญิง

  เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายมีผู้หญิงคนเดียวเดินออกมา ฟางผิงก็อดชำเลืองมองหวังจินหยางไม่ได้

  หวังจินหยางไม่ได้มองเขา ผู้ฝึกยุทธสาวผมหางม้าจ้องเขาด้วยสายตาเย็นชา  เลิกมองได้แล้ว! นายกำลังดูถูกผู้หญิงเหรอ? 

  ฟางผิงหัวเราะ  ฉันไม่ได้ตั้งใจแบบนั้น ฉันแค่คิดว่าถ้าฉันอัดผู้หญิง ฉันคงโดนโกรธน่าดู 

   หนานอู่มีนักศึกษาหลายพันคน ตั้งทีมชายล้วนยังไม่ได้เหรอ? 

   น่าเศร้า 

   อย่ามามองเรา แต่เดิมเราไม่ได้มาประลอง พูดตามตรงคือทุกอย่างเป็นแค่เรื่องบังเอิญ 

   อวดดี! 

   ไม่เถียง ตอนแรกฉันเกือบเลือกมหาลัยวิชายุทธหนานเจียงแล้ว แต่ตอนนี้ฉันรู้สึกโชคดีที่ไม่ได้…ยกเว้นเพียงไม่กี่คน ฉันไม่เห็นคนไหนที่ทำให้ฉันประทับใจได้เลย 

  เขาพูดเสียงดัง ผู้ชมข้างล่างเดือดดาล

   อวดดีมาก! 

   หลันไฉเย่ จัดการมันเลย! 

   อัดมันให้ตาย! 

   … 

  ผู้ชมต่างก็โกรธเกรี้ยว

  กลับกันฟางผิงร้องอุทาน  ลั่นไช่เย่(ใบไม้เน่า) ชื่อของคุณ…เอ่อ…ตอนกำเนิดมา พ่อแม่ต้องเกลียดชังขนาดไหนกัน… 

  (ผู้แปล : เล่นคำจากชื่อ หลันไฉเย่)

   รนหาที่ตาย! 

  หลันไฉเย่ทะยานออกมา เธอเคลื่อนไหวทันทีโดยไม่สนใจที่จะแนะนำตัว พริบตาเดียวเธอก็มาปรากฏอยู่ข้างฟางผิงอย่างน่าพิศวง

   วิชาก้าวย่างของเธอไม่เลว น่าเสียดาย… 

  ฟางผิงหัวเราะ ปลายเท้าเขาแตะพื้นเบาๆก่อนร่างกายจะหายตัวไป

   ประธานหวังของคุณบอกฉันว่าผู้ฝึกยุทธขั้นสองสูงสุดในหนานอู่ล้วนเป็นหัวกะทิ ฉันไม่เห็นแบบนั้นเลย 

   ฉันไม่ได้อยากประลองเลย 

   ประธานหวังของคุณค่อนข้างสนิทกับฉัน เขาเลยอยากให้ฉันได้รู้ว่าการไม่เลือกเข้าหนานอู่เป็นทางเลือกที่ผิด 

   น่าเสียดาย…ฉันไม่เห็นจะมีอะไรน่าเสียใจเลย 

  หลังพูดจบ เขาก็มองไปทางหวังจินหยางที่กำลังนั่งอยู่ล่างลานประลอง ‘ดูสิ ฉันให้บริการครอบคลุมแค่ไหน!’

  ‘คุณไม่อยากให้ฉันรับบทเป็นคนเลวหรอกเหรอ?’

  ‘ตอนนี้ฉันทำให้ทุกคนในหนานอู่บ้าคลั่งแล้ว เม็ดยาปราณและเลือดขั้นสอง 15 เม็ดเป็นอะไรที่คุ้มค่ามาก ฉันทำทุกอย่างที่เหมาะสมกับราคาแล้ว’

  หลันไฉเย่ไม่ตอบอะไร ร่างกายเธอหายไปจากจุดเดิมในพริบตา

  ฟางผิงพูดต่ออย่างผ่อนคลาย  ฉันไม่อยากต่อยผู้หญิง ถ้าคุณเป็นผู้ชาย ฉันคงฟันตายในดาบเดียวแล้ว 

   แต่คุณเป็นผู้หญิง เราจะวิ่งเล่นออกกำลังกายกัน 

   สารเลว! 

   … 

  นักศึกษาหนานอู่เริ่มเดือดดาล!

  ในกลุ่มคน อู๋จื้อเห่ากับเพื่อนๆสบตากัน พยายามทำตัวให้เล็กที่สุดก่อนจะกระซิบเบาๆ  ทุกคน อย่าไปบอกคนอื่นล่ะว่าเรารู้จักเขา… 

  พวกเขากลัวตาย!

  ฟางผิงกำลังยั่วโมโหนักศึกษาหนานอู่!

  ไม่ว่าจะแพ้หรือชนะ เจ้าหมอนี่ก็จะกลายเป็นศัตรูคู่สาบานของหนานอู่ เขาเชี่ยวชาญด้านยั่วโมโหคนมากเกินไปแล้ว!

  …

   เฮ้ คนสวย มาคุยกันเถอะ! คุณอายุเท่าไหร่? คุณมีแฟนยัง? 

   … 

   มีปรมาจารย์อยู่ในครอบครัวไหม? น่าจะไม่มีนะ ฉันไม่รู้จักปรมาจารย์ที่มีแซ่หลันเลย 

   … 

   แกว่งดาบไปมามันเหนื่อยนะ วางมันก่อนแล้วมาคุยกันดีๆไหม? 

   … 

  ไม่กี่นาทีต่อมา หลันไฉเย่ เธอก็ถลึงตามองฟางผิงอย่างดุร้าย  นายได้แค่หนีรึไง? 

  ฟางผิงกล่าวด้วยรอยยิ้ม  ไม่หรอก ฉันแค่อยากให้พวกคุณมีโอกาสแสดงฝีมือ 

   แต่น่าเสียดาย ฉันไม่ได้เห็นอะไรที่น่าตื่นตาตื่นใจเลยแม้แต่น้อย 

   คุณอยู่ระดับธรรมดาๆ เหมือนอย่างผู้ฝึกยุทธขั้นสองทุกคนที่ตายในเงื้อมมือฉัน 

   ผู้ฝึกยุทธอย่างคุณ ฉันสู้พร้อมกันได้เป็นสิบคน! 

   บัดซบ! 

  หลันไฉเย่ขอบตาเริ่มแดง เธอคำราม  ถ้านายแน่จริงก็อย่าหนีสิ! 

   คุณว่างั้นเหรอ? 

  หน้าทะเล้นของฟางผิงแปรเปลี่ยนเป็นจริงจัง เขากล่าวเสียงดัง  มา ฉันก็อยากเห็นเหมือนกันว่าผู้ฝึกยุทธขั้นสองหนานอู่จะทนรับการโจมตีเบาๆได้ไหม 

  เสียงยังดังก้องทั่วอากาศ พริบตานั้นฟางผิงก็ประชิดตัวหลันไฉเย่แล้ว

  เธอคิดว่ามันแปลกๆ ฟางผิงถือดาบยาวอยู่ในมือ อาวุธชิ้นนี้ไม่เหมาะกับต่อสู้ระยะประชิด

  เธอไม่มีเวลาคิดมาก ฟางผิงทิ้งดาบยาวเมื่อไหร่ เธอก็ไม่รังเกียจที่ต้องให้หมอนี่เจ็บตัวสักหน่อย!

  เมื่อฟางผิงเข้ามาใกล้ เธอก็รั้งดาบกลับมาอย่างรวดเร็วแล้วแกว่งดาบฟันเป็นแนวนอน

  ฟางผิงไม่ได้สวนด้วยดาบ หมัดซ้ายเขาพลันแบออก ฝ่ามือเอียงเล็กน้อย ตบฝ่ามือฟันใส่ตัวดาบเธออย่างแรง!

  ปัง ปัง ปัง…

  ฟางผิงฟันฝ่ามือใส่ใบดาบห้าครั้งติดจนเกิดเสียงขึ้นมาถี่ยิบ

  ทั้งคนทั้งดาบถูกกระแทกกลับไป แต่ฟางผิงตามติด ฟาดฝ่ามือใส่ข้อมือเธออีกสามครั้ง!

   เคร้ง… 

  หลันไฉเย่จับดาบไว้ไม่ไหว ทำให้มันหล่นลงกับพื้น

  ฟางผิงไม่ได้ตามต่อ เขาก้าวถอยไปแล้วออกความเห็นเบาๆ  คุณอ่อนแอจริงๆ อ่อนแอมากจนฉันกลัวรั้งมือไม่อยู่เผลอทำคุณตายในกระบวนท่าเดียว มันไม่คุ้ม 

   ฉันใช้แค่มือเดียว แต่คุณก็ยังไม่ใช่คู่มือฉันอยู่ดี 

  ความโกรธและความเศร้าเสียใจปรากฏในแววตาก่อนที่เธอจะกระโดดลงจากลานประลองโดยไร้ซึ่งคำพูดและหายไปต่อหน้าทุกคน

  หวังจินหยางในกลุ่มผู้ชมพึมพำเบาๆ  ฉันให้นายชนะ ไม่ใช่สร้างความแค้น! 

  ความแค้นครั้งนี้ใหญ่โตมาก มันใหญ่โตยิ่งกว่าทำให้อีกฝ่ายบาดเจ็บสาหัสด้วยดาบเดียวเสียอีก

  ตอนนี้หลันไฉเย่อาจเดือดดาลมากจนกระอักเลือด ชัยชนะของฟางผิงทำให้เธอรู้สึกแย่ยิ่งกว่าเธอได้รับบาดเจ็บสาหัสอีก

  …

  อีกด้านหนึ่ง

  จางติ้งหนานคลี่ยิ้ม  น่าสนใจไม่เบา ระเบิดโจมตีห้าครั้งติด ผลาญปราณและเลือดกระบวนท่าละ 30 แคล มันรุนแรงยิ่งกว่าระเบิดปราณและเลือด 150แคลเสียอีก 

  หวงจิ่งผงกหัวเล็กน้อย  มันถือเป็นไพ่ตายของผู้ฝึกยุทธขั้นสองได้เลย เขาเชี่ยวชาญจวงกงและวิชาก้าวย่าง หลันไฉเย่ด้อยกว่าเล็กน้อย ถูกข่มทุกด้าน แต่ฟางผิงบอกใช้มือข้างเดียวก็พูดเกินจริงไปหน่อย… 

  ที่จริงฟางผิงใช้มือเดียวหรือสองข้างมันไม่สำคัญ แต่ฟางผิงไม่ได้ใช้ดาบอัลลอยเกรดดี มันก็เหมือนเป็นการอ่อนข้อให้เธอ

  ขณะที่ทั้งสองคุยกัน อาจารย์ใหญ่วัยชราของหนานอู่ก็ถอนหายใจเบาๆ  เด็กคนนี้ใช้ลูกศิษย์ของฉันเป็นเป้าฝึกซ้อม 

  เขาเอาชนะหลันไฉเย่ได้อย่างง่ายดายโดยใช้ปราณและเลือดอย่างมาก 200แคล

  นี่เป็นครั้งแรกสำหรับฟางผิง

  แต่ก่อนเขาผลาญปราณและเลือดมากกว่า 100แคลทุกกระบวนท่า มันทรงพลังน่ะใช่ แต่มันผลาญปราณและเลือดไปเป็นจำนวนมาก เมื่อเทียบกับผู้ฝึกยุทธขั้นหนึ่งคนอื่น เขาผลาญปราณและเลือดไปมากกว่า

  เวลานี้เขาเอาชนะผู้ฝึกยุทธขั้นสองสูงสุดได้โดยที่ยังเหลือปราณและเลือดมากกว่าครึ่ง

  มันหมายความว่าต่อให้ฟางผิงไม่ได้กินยา เขาก็ยังสู้ต่อไปได้

  …

  ไม่นาน ผู้ประลองคนที่สามจากหนานอู่ก็ขึ้นมาบนลานประลอง

  รอบนี้เป็นผู้ชาย เขาถลึงมองฟางผิงอย่างน่ากลัว

  ฟางผิงยิ้มอย่างไม่สะทกสะท้าน  ฉันสุภาพกับผู้หญิง แต่ไม่ใช่กับผู้ชาย 

   ฉัน… 

   คุณไม่จำเป็นต้องแนะนำตัว เพราะฉันไม่เคยจำชื่อคนอ่อนแอ 

   … 

   ไอ้เวร! ฆ่ามัน! ฆ่ามันให้ได้! 

   อวดดี! หนานอู่ไม่มีใครจัดการเขาเลยเหรอ? เขาไม่สนใจมารยาทพื้นฐานของผู้ฝึกยุทธด้วยซ้ำ! 

   … 

  นักศึกษาหนานอู่โกรธกันมาก!

  ฟางผิงไม่ปล่อยให้คู่ต่อสู้ประกาศชื่อ มันแสดงถึงการเหยียดหยามและการไม่เคารพต่อการประลองยุทธ

  หวังจินหยางอุทาน  ผลลัพธ์มัน… 

  เขาหมดคำจะพูด!

  มันได้ผลมากกว่าที่เขาคิดไว้เป็นสิบเท่า!

  ถ้าฟางผิงเอาชนะทุกคนในหนานอู่แล้วออกไปโดยไร้รอยขีดข่วน นักศึกษาหนานอู่อาจมองเขาเป็นศัตรูคู่แค้นตลอดชีวิต!

  การตบหน้าอีกฝ่ายแบบนี้ร้ายแรงกว่าตอนที่เขาไปถล่มผู้ฝึกยุทธขั้นหนึ่งในโม๋อู่เสียอีก

  จากนั้นฟางผิงก็ยังแสดงความสามารถในการเหยียดหยามผู้ฝึกยุทธขั้นสองหนานอู่!

  รอบนี้ฟางผิงไม่ได้ใช้ฝ่ามือเป็นอาวุธ มันเจ็บ! มันมีผลสะท้อนจากการทำตัวอวดดี

  ทุกคนได้ยินเสียงดาบฟ่งจุ่ยแหวกอากาศดังหวีดหวิว

  ปัง!

  เกิดเสียงดังขึ้นอีกครั้ง อีกฝ่ายกระเด็นลงไปจากลานประลอง

   ฮ่าๆ 

  ฟางผิงดูซีดขาวเล็กน้อย เขาพูดเบาๆ  คุณโง่รึเปล่า? คุณคิดว่าฉันจะเล่นวิ่งไล่จับกับคุณเหรอ? คุณรับการโจมตีฉันไม่ได้แม้แต่ครั้งเดียว น่าผิดหวังมาก 

   … 

  ผู้ชมเงียบสนิท

  ผู้ประลองคนที่สามของหนานอู่แพ้เร็วเกินไป

   เขา…เขาแข็งแกร่งมาก… 

  มีคนเอ่ยพึมพำขึ้นมา สีหน้าดูซับซ้อน

  …

  ฟู่ชางติ่งกับเพื่อนๆรู้สึกหมดคำจะพูด ผู้ฝึกยุทธจากหนานอู่คนนี้อ่อนแอเกินไปหน่อย

  ไป๋รั่วซีกล่าวเบาๆ  เขาวางแผนไว้ รอบก่อนเขายั่วโมโหหลันไฉไย่และไม่ได้ใช้กระบวนท่ารุนแรง เอาชนะโดยใช้กระบวนท่าต่อเนื่อง 

   รอบนี้เขาทำให้คู่ต่อสู้โกรธตั้งแต่ขึ้นลานประลองและล่อให้อีกฝ่ายโจมตี กระบวนท่าเมื่อกี้ใช้ปราณและเลือดมากกว่า 200แคล! 

   เขาบอกไม่ใช่เหรอว่ายังไม่มีไม้ตายขั้นสอง? 

  หลายคนโกรธ บ้าเอ้ย ฟางผิงหลอกพวกเขาอีกแล้ว!

  ไป๋รั่วซีมองพวกเขา ‘พวกเธอเชื่อคำพูดไร้สาระของฟางผิงเอง จะโทษใครได้ล่ะ?’

  จ้าวเหล่ยสีหน้าหม่นลง ‘นายมาหาว่าฉันมีความลับ นายก็เหมือนกันนั่นแหละ!’

  ‘นายจะเตรียมไว้เล่นงานใครกัน?’

  …

  เหล่ายอดยุทธเข้าใจความตั้งใจของฟางผิง พวกเขาทราบว่าลูกศิษย์ของพวกเขาไม่ได้อ่อนแออย่างที่เห็น

  อย่างน้อยคนที่พึ่งตกจากลานประลองไปก็ได้รับบาดเจ็บเล็กน้อยเท่านั้น มันไม่ได้ร้ายแรงถึงขั้นบาดเจ็บสาหัส

  แต่ในสายตาของผู้ฝึกยุทธขั้นต่ำคนอื่นๆ หนานอู่อ่อนแอจนน่าอับอาย

  ประลองสามนัด พ่ายแพ้ทั้งสามนัด!

  เฉินเผิงเฟยพ่ายแพ้ให้กับผู้ฝึกยุทธขั้นสองชั้นต้น ส่วนอีกสองคน แพ้ย่อยยับให้กับฟางผิงอย่างน่าอับอาย

  เมื่อไม่มีใครสนใจเขา ฟางผิงก็หยิบยาเข้าปากลวกๆ

  เขาหมายถึง ‘ไม่มีใคร’ ในหมู่นักศึกษา แต่เขาอยากให้ยอดยุทธเห็น

  ในขณะเดียวกันใบหน้าที่ซีดเซียวของฟางผิงก็แดงระเรื่อด้วยความเร็วที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่า

  จางติ้งหนานมองฟางผิงอีกครั้งและกล่าวชื่นชม  ร่างกายแบบนี้…น่าอิจฉามาก 

  หวงจิ่งไม่ได้สนใจนัก เขากล่าวเชิงครุ่นคิด  มันมีผลกระทบไหม? หนานอู่อ่อนแอกว่าโม๋อู่ แพ้ยับเกินไปจะทำให้เกิดความสิ้นหวัง… 

  แรงกดดันที่เหมาะสมจะทำให้เกิดการเติบโต แต่เมื่อคู่ต่อสู้แข็งแกร่งเกินไปจนไม่รู้สึกถึงแรงกดดัน ทุกคนจะไม่คิดว่าตนเองอ่อนแอ แต่จะอ้างว่าคู่ต่อสู้แข็งแกร่งเกินไป การประลองแบบนั้นจะไม่มีผลลัพธ์อะไรทั้งนั้น

   ไม่เป็นไร คุณคิดว่าเด็กคนนี้จะชนะได้ง่ายดายขนาดนั้นเชียว? 

   โอ้ ดูเหมือนคุณจะมีไม้เด็ดเก็บไว้อยู่ งั้นก็มาดูกันต่อเถอะ 

  หวงจิ่งมองอีกสองคนที่เหลือของหนานอู่ด้วยรอยยิ้มและไม่ได้สนใจอีก ไม่ว่าผู้ฝึกยุทธขั้นสองจะแข็งแกร่งแค่ไหน แต่ในสายตาของพวกเขา มันก็ไม่คู่ควรแก่การเอ่ยถึง

  …

  ผู้ประลองคนที่สี่จากหนานอู่ก้าวขึ้นบนลานประลองท่ามกลางความรู้สึกซับซ้อนของผู้ชม

  ชายหนุ่มผิวแทนไม่ได้ประกาศนามไม่ได้ถืออาวุธ เขายิ้มแล้วกล่าว  อัจฉริยะของโม๋อู่แข็งแกร่งจริงๆ แต่มาดูถูกนักศึกษาหนานอู่ของเราก็เกินไป! 

   โอ้? คุณไม่เลวเลย คุณคงเป็นหนึ่งในนักศึกษาขั้นสองที่แข็งแกร่งที่สุดของหนานอู่สินะ 

   คุณจะว่าแบบนั้นก็ได้ 

  ฟางผิงพลันทิ้งดาบลงลานประลอง กล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง  พูดตามตรง พริบตาที่สองคนก่อนขึ้นมาบนลานประลอง ฉันก็รู้เลยว่าพวกเขาไม่ใช่คู่มือฉัน การประลองกับพวกเขาทำให้ฉันรู้สึกน่าเบื่อ 

   คุณน่าสนใจ คุณทำฉันกดดันอยู่บ้าง 

   ฉันไม่ได้เจตนาดูถูกใคร แต่หนานอู่ไม่มีผู้ฝึกยุทธขั้นสองคนไหนที่เข้าตาฉันเลย 

   ฉันว่าฉันไม่ควรใช้ดาบ ดาบเล่มนี้เป็นดาบที่ฉันแลกด้วยคะแนนที่หามาอย่างพากเพียร 

   แต่ฉันรู้ว่านักศึกษาหนานอู่คงไม่พอใจหากฉันใช้ดาบเล่มนี้ 

  ไม่แปลกใจเลยที่อีกฝ่ายถึงพูดอย่างจนใจว่า  ไม่จำเป็นต้องทำแบบนั้น  ฟางผิงช่างไร้ยางอายเสียจริง!

 

World’s Best Martial Artist

World’s Best Martial Artist

Status: Ongoing

ฟางผิงใช้เวลาครึ่งชั่วโมงในที่สุดก็ตัดสินได้ว่าเขาไม่ได้ฝันไปหรือไม่ได้ถ่ายหนัง…อย่าไร้สาระน่า ถ้าการถ่ายหนังชุบความเป็นหนุ่มของเขากลับมาได้ งั้นกองถ่ายก็คงไปถ่ายทำที่สวรรค์ได้แล้ว!

หลังยืนยันว่าเขากลับมาเกิดใหม่ ฟางผิงก็รู้สึกถึงความตื่นตระหนกก่อนจะค่อยๆยอมรับความจริง

ความจริงอะไรงั้นเหรอ? ความจริงที่ว่าเขากลับมาเกิดใหม่ในร่างตัวเองตอนเด็ก และเนื่องจากเขามีความรู้ของอนาคตติดตัวมาด้วย เขาจะทำวันนี้ให้ดีที่สุดแล้วกลายเป็นผู้ยิ่งใหญ่ในแวดวงธุรกิจ! เขาจะรวย!

นั่นเป็นความคิดของเขาจนกระทั่งเพื่อนเขามาขัดจังหวะ

“สรุปนายจะลงทะเบียนสอบวิชาการต่อสู้ไหม?”

อะไรนะ? พูดเล่นเหรอ? หรือเขาส่งบทผิด? วิชาการต่อสู้คืออะไร? ทำไมถึงมีค่าลงทะเบียนหมื่นหยวน? หัวของเขาเต็มไปด้วยประโยคคำถาม ไม่นานฟางผิงก็ตระหนักว่าเขาอาจไม่ได้โชคดีเหมือนที่เขาคิดไว้ตอนแรก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท