World’s Best Martial Artist – ตอนที่ 187 ฟางผิงผู้น่าสงสาร

ตอนที่ 187 ฟางผิงผู้น่าสงสาร

  บนลานประลอง

  ฟางผิงเล็งจุดสำคัญ เตะใส่คู่ต่อสู้อย่างดุร้ายครั้งแล้วครั้งเล่า

  แม้ชายหนุ่มจะก้าวถอยไม่หยุด แต่ฝีเท้าของเขาก็มั่นคง ฟางผิงดูเหมือนจะได้เปรียบ แต่เขาก็ได้แต่บุกไม่หยุด

  หลังฟางผิงโจมตีไม่นาน ไหล่และแขนของอีกฝ่ายก็เกิดบาดแผลชุ่มด้วยเลือด แม้แต่คอก็มีบาดแผล

  คนนอกต่างก็รู้สึกใจหายใจคว่ำ แต่ยอดยุทธรู้ว่าชายหนุ่มบาดเจ็บเล็กน้อยเท่านั้น

  เวลานี้ชายหนุ่มกำลังตั้งรับ เขาใช้พลังกายและปราณและเลือดน้อยกว่าเมื่อเทียบกับฟางผิง

  ขณะที่นักศึกษาหนานอู่รู้สึกกังวัลแทนชายหนุ่ม แต่จู่ๆเขาก็กระทืบพื้นอย่างแรง มันแรงมากจนเขาทำลานประลองชั่วคราวเป็นรู!

  แม้มันจะเป็นลานประลองชั่วคราว แต่เพื่อแบกรับการประลองระหว่างผู้ฝึกยุทธ มันจึงทำมาจากเหล็ก

  วัสดุที่ใช้แม้จะเทียบไม่ได้กับอัลลอยเกรดเอฟ แต่มันก็ยังทนทานมาก การสร้างรูบนพื้นเวทีย่อมเป็นเครื่องพิสูจน์ความน่ากลัวของพลังชายหนุ่มแล้ว

  เท้าของชายหนุ่มฝังลงในรูที่สร้างขึ้น ป้องกันไม่ให้กระเด็นกลับ

  วินาทีถัดมา เสียงคำรามดังมาจากปากชายหนุ่ม กำปั้นพุ่งปะทะขาฟางผิง!

  ปัง!

  ฝ่าเท้าฟางผิงปะทะเข้ากับกำปั้นอีกฝ่าย พลังมหาศาลผลักดันให้ฟางผิงลอยขึ้นไปบนอากาศ จนเขาล่วงลงมาเดินโซเซบนลานประลอง

  นี่เป็นครั้งแรกของฟางผิงเลยที่เสียเปรียบในการประลองทั้งสามนัด

  ฟางผิงล่วงลงมาอยู่บนพื้นเวที ขาสั่นเครือ ชายหนุ่มฝ่ายตรงข้ามไม่หยุดแม้กำปั้นจะอาบด้วยเลือด ปลายเท้าขยับวูบ พุ่งตัวเข้ามาหาฟางผิง

   คิดว่าฉันกลัวเหรอ? 

  ฟางผิงเดือดดาล เขาใช้ปราณและเลือดไปจำนวนมาก แม้เขาจะฟื้นฟูได้ แต่เขาเลือกไม่ทำ

  ในการประลองกับคู่ต่อสู้ระดับเดียวกัน เขาแทบไม่ฟื้นฟูปราณและเลือด เว้นแต่จะเป็นการประลองต่อเนื่อง ปราณและเลือดไม่เพียงพอ

  แต่ก่อนการประลอง เขาฟื้นฟูปราณและเลือดจนเต็มแล้ว

  ในสถานการณ์แบบนี้ เขายังพ่ายแพ้อีก เขาจะไปมีหน้าฟื้นฟูปราณและเลือดได้อย่างไร?

  แม้ว่าฟางผิงจะไม่ค่อยสนใจหน้าตา แต่ในการประลองที่ยุติธรรม มีระดับขั้นเดียวกัน เขาถูกผู้ฝึกยุทธขั้นสองขัดเกลาสองครั้งไล่ต้อนจนเสียเปรียบ ฟางผิงย่อมรับไม่ได้

  ไม่นาน ทั้งสองก็ปะทะกันอีกครั้ง ครั้งนี้ทั้งสองไม่ได้ป้องกัน แลกหมัดกันโดยไม่ยอมใคร

  …

  ล่างลานประลอง

  ไป๋รั่วซีพลันเอ่ยขึ้นมา  เขาคือกู้เสียง อันดับที่ 24 ในอันดับขั้นสองของมหาลัยวิชายุทธงั้นหรือ? 

  ฟู่ชางติ่งกับพวกรู้สึกคลับคล้ายคลับคลากับคำพูดของไป๋รั่วซี เขากล่าวอย่างประหลาดใจ  เหมือนจะเป็นอย่างนั้นนะ ผมลืมไปเลยว่ามีคนในหนานอู่ที่ติดอันดับขั้นสอง! 

  ก่อนหน้านี้กระทรวงศึกษาได้เผยแพร่อันดับผู้ฝึกยุทธขั้นล่างของนักศึกษามหาลัยวิชายุทธ

  ฟางผิงติดอันดับหกของอันดับขั้นหนึ่ง

  ทุกคนต่างก็สนใจแค่สิบอันดับแรกของอันดับขั้นต่ำเท่านั้น

  ไม่ค่อยมีใครสังเกตเห็นอันดับที่ 24 ของกู้เสียง

  แต่กู้เสียงในฐานะนักศึกษาของมหาลัยวิชายุทธธรรมดาๆ แต่ติดอันดับที่ 24 มันก็เป็นการพิสูจน์แล้วว่าเขาแข็งแกร่งมาก!

  ทุกคนลืมไปอย่างนึง ในรายชื่อ 100 คน มีน้อยกว่า 20 คนเสียอีกที่มาจากมหาลัยวิชายุทธธรรมดาๆ

  ในจำนวนน้อยกว่า 20 คน อันดับของกู้เสียงถือว่าสูงมาก มีเพียงนักศึกษาจากมหาลัยวิชายุทธปักกิ่งเท่านั้นที่ติดสิบอันดับแรก

  มีน้อยกว่า 5 คนเสียอีกที่อยู่ในมหาลัยวิชายุทธธรรมดาๆแล้วติดสามสิบอันดับแรก ซึ่งกู้เสียงคือหนึ่งในนั้น

  หวังจินหยางพึ่งเดินเข้ามา เขาพยักหน้า  เขาคือกู้เสียง พ่อเขาอยู่ในกองทัพ เขาพึ่งกลายเป็นผู้ฝึกยุทธตอนที่พ่อพาเขาเข้าไปฝึกฝนที่กองทัพ แม้แต่ในกองทัพ เขาก็ถือเป็นหนึ่งในคนที่แข็งแกร่งที่สุดในระดับขั้นเดียวกัน 

   ปราณและเลือดของฟางผิงสูงกว่าเขา ขัดเกลากระดูกมากกว่า แต่ฟางผิงได้สู้แต่ผู้ฝึกยุทธทั่วๆไปเท่านั้น… 

   นอกจากนี้เขายังด้อยกว่ากู้เสียงด้านประสบการณ์ต่อสู้และการพลิกแพลงวิชาต่อสู้ 

   แถมเขายังพึ่งบรรลุขั้นสองสูงสุด ตอนนี้เขายังทำความเข้าใจความสามารถของตนเองไม่พอ… 

  คนอื่นอดหันมามองเขาไม่ได้ ‘ถ้าฟางผิงทำความเข้าใจความสามารถตนเองไม่พอ แล้วคุณล่ะ?’

  หวังจินหยางไม่ได้สนใจความเห็นของคนอื่นที่มีต่อเขา เขากับฟางผิงแตกต่างกัน

  เขาเข้าสู่จุดสูงสุดของทุกขั้นเร็วกว่าฟางผิง เขาจะปรากฏตัวต่อสาธารณะช่วงจุดสูงสุดทุกครั้ง

  เขาใช้เวลาอยู่จุดสูงสุดมากกว่า ซึ่งเขาใช้ไปกับการฝึกวิชาต่อสู้และสั่งสมประสบการณ์ต่อสู้

  กลับกันฟางผิงอาจพึ่งบรรลุขั้นสองสูงสุด

  ถ้าไม่ใช่เพราะปราณและเลือดสูงกว่า และความคืบหน้าขัดเกลากระดูก ฟางผิงอาจแพ้กู้เสียงไปนานแล้ว เวลานี้ต่อให้กู้เสียงทะลวงขั้นสาม เขาก็ยังแข็งแกร่งกว่าผู้ฝึกยุทธขั้นสามโดยเฉลี่ย

  …

  ฟางผิงย่อมไม่ทราบว่าล่างลานประลองพูดคุยเรื่องอะไรกัน

  เขาทราบจุดอ่อนของตนเอง ในขั้นสอง เขาเน้นขัดเกลากระดูก ไม่เหมือนตอนอยู่ขั้นหนึ่งสูงสุด เขาเน้นฝึกวิชาต่อสู้กับจวงกง

  กระนั้น เขาก็ยอมรับไม่ได้ที่ต้องพ่ายแพ้ให้กับคู่ต่อสู้ที่มีระดับขั้นเดียวกัน!

  บนลานประลอง ฟางผิงแสดงความกระหายเลือดที่ซุกซ่อนอยู่ในส่วนลึกของสายเลือดเป็นครั้งแรก!

  เขาแทบไม่เคยเสียเปรียบในการต่อสู้ ส่วนใหญ่แล้วเขาชนะคู่ต่อสู้ได้อย่างง่ายดาย ถ้าเขาเสียเปรียบ เขาก็แค่กินยาแล้วฟื้นฟูปราณและเลือด

  เพราะงั้นเขาจึงแทบไม่บาดเจ็บจากการต่อสู้เลย

  ฟู่ชางติ่งกับพวกก็ไม่เคยเห็นเขาเลือดตกยางออกมาก่อน

  วันนี้ ฟางผิงอยู่บนลานประลอง คำรามไม่หยุด!

  มือเขาชุ่มโชกด้วยเลือด ชุดฝึกซ้อมฉีกขาด โดยเฉพาะแถวน่อง เหลืออยู่แค่รองเท้าบูทที่สวมไว้ที่เท้า

  ปัง!

  เสียงปะทะกันดังก้อง เท้าของฟางผิงปะทะเข้ากับขาของกู้เสียง เขาตัวเซไปมา แต่แล้วอีกฝ่ายก็ฉวยโอกาสนั้นต่อยที่หน้าอกฟางผิงอย่างแรง

  มีเสียงทึบดังมาจากหน้าอกที่ถูกชก อกเขาปวดจนถึงกระดูกราวกับถูกรถบรรทุกชน

  หยาดโลหิตไหลออกจากปาก

  ฟางผิงฝืนความอยากกระอักเลือด เขาเคลื่อนไหวโจมตีกู้เสียงอีกครั้ง!

  ขาของกู้เสียงบาดเจ็บสาหัส ร่างกายเต็มไปด้วยบาดแผล เขาหลบการโจมตีไม่ได้ เขาจึงหันมาเผชิญหน้ากับการโจมตีของฟางผิงแทน

  เคร้ง…

  หลายคนมีสีหน้าหวาดหวั่น กำปั้นของทั้งสองกระทบกันเกิดเสียงเหมือนมันเป็นโลหะ

  บางคนอาจไม่เข้าใจว่าเสียงนี้หมายถึงอะไร แต่ทุกคนเป็นนักศึกษายุทธ พวกเขาจะไม่เข้าใจได้อย่างไร?

  เกิดเสียงเช่นนี้ แล้วทั้งสองไม่ได้ใช้อาวุธ มันก็แปลว่ากระดูกของทั้งสองไม่ได้มีผิวหนังและกล้ามเนื้อปกคลุมอีก มันเป็นกระดูกของพวกเขาที่ปะทะกัน

  เลือดกระเซ็นทั่วลานประลอง

  …

  อีกด้านหนึ่งของลานประลอง

  ปรมาจารย์ทั้งสามหยุดคุยกันกลางคัน

  จางติ้งหนานกล่าว  ฉันคาดไม่ถึงเลย 

  เขาไม่ได้อธิบายละเอียด แต่อีกสองปรมาจารย์ต่างก็เข้าใจ

  หวงจิ่งกล่าวเบาๆ  ศิษย์ของโม๋อู่ไม่ใช่แค่มีทรัพยากรมากมาย หากไม่มีใจจะสู้ ฟางผิงย่อมไม่ใช่อันดับหนึ่งของปีหนึ่ง 

   ให้เสมอเถอะ ถ้าพวกเขาประมือกันต่อ ทั้งสองจะบาดเจ็บสาหัส มันไม่คุ้ม 

  ทั้งสองกำลังต่อสู้กันอย่างไม่คิดชีวิต ซึ่งมันขัดกับความตั้งใจเดิม

  ทั้งสองต่างเป็นผู้ฝึกยุทธขั้นสองสูงสุด ที่กำลังก้าวเข้าสู่ขั้นสาม บางทีพวกเขาอาจเป็นผู้ฝึกยุทธขั้นกลางคนต่อไป

  ไม่มีประโยชน์ที่ต้องให้พวกเขาบาดเจ็บสาหัสตรงนี้ จนส่งผลให้พวกเขาติดอยู่ขั้นสอง

  เมื่อหวงจิ่งออกความเห็น จู่ๆจางติ้งหนานก็พูดขึ้น  เดี๋ยวก่อน! 

  แววตาของหวงจิ่งเป็นประกายวูบนึง เขาไม่ได้พูดอะไรอีก

  …

  บนลานประลอง

  ฟางผิงส่งเสียงคำรามกึกก้อง คว้าจับมือทั้งสองของกู้เสียงแน่น โขกศีรษะใส่กู้เสียงอย่างรุนแรง!

  กู้เสียงหลบไม่ได้ แต่เขาก็ไม่อยากหลบเช่นเดียวกัน เขาเงยหน้าขึ้นด้วยแววตาแดงก่ำ ปะทะเข้ากับฟางผิง!

  ปัง!

  การปะทะครั้งนี้ หน้าผากของกู้เสียงโชกเลือดทันที ฟางผิงหัวเราะอย่างชั่วร้ายแล้วเอาหัวโขกอีกฝ่ายอีกครั้ง!

  กู้เสียงแทบหมดสติ เมื่อสังเกตเห็นว่าฟางผิงยังมีสติแจ่มใส เขาก็ตัวสั่น เขาอาจจะแพ้!

  เป็นไปตามคำพูดเขา ฟางผิงหัวโขกมาอีกครั้ง!

  กู้เสียงรู้สึกมึนงง ร่างกายอ่อนปวกเปียก

  ฟางผิงฉวยโอกาสนี้ ยกเข่ากระแทกเข้าที่หน้าท้องกู้เสียง

  กู้เสียงรู้สึกเหมือนอวัยวะภายในถูกเจาะทะลุ เจ็บปวดมากจนเหมือนอวัยวะภายในถูกเผาไหม้

  จากนั้นฟางผิงก็ปล่อยมือ เตะกู้เสียงที่ไม่มีแรงโต้ตอบลงไปจากลานประลอง!

  …

  ความเงียบเกิดขึ้นทั้งบนลานประลองและนอกลานประลอง

  กู้เสียงที่กระเด็นไปอยู่นอกลานประลองได้รับความช่วยเหลืออย่างรวดเร็ว เขายังคงอาเจียนไม่หยุด แต่ที่ออกจากปากไม่ใช่เศษอาเจียน แต่เป็นเลือด

  แม้ฟางผิงจะบาดเจ็บสาหัส แต่เขาก็ยังเปี่ยมไปด้วยพลัง เขายืนหลังตรง  ต่อไป! 

  หวังจินหยางเดินมา เขามองฟางผิง ขมวดคิ้วเล็กน้อย  ลงจากลานประลองเถอะ นายชนะกู้เสียง มันพิสูจน์ฝีมือนายแล้ว 

  กู้เสียงแพ้เพราะขัดเกลากะโหลกน้อยกว่าฟางผิง

  ขัดเกลาสองครั้งขัดเกลากะโหลกได้เพียง 20% แต่ฟางผิงขัดเกลาได้ 30%

  แขนขาของทั้งสองขัดเกลาเท่ากัน แต่กะโหลกนั้นเป็นคนละเรื่อง

  เมื่อฟางผิงโขกศีรษะใส่กู้เสียง กู้เสียงได้รับความเสียหายมากกว่า เพราะงั้นเขาจึงสูญเสียความสามารถในการโต้กลับ

  ฟางผิงบาดเจ็บสาหัสเช่นกัน เวลานี้ไม่มีใครในหนานอู่ที่กังขาพลังของฟางผิง ชายคนนี้ไม่ได้มีดีแค่ใช้ยาอย่างเดียว

  ฟางผิงอยากพูดอะไรบางอย่าง แต่ฟู่ชางติ่งเดินมาหาด้วยรอยยิ้ม  ฟางผิง นายควรให้โอกาสเราฉายแสงด้วย นอกจากนี้นายบอกไม่ใช่เหรอว่าจะกลับบ้านตอนสิ้นเดือน? 

   นายจะกลับบ้านพร้อมกับอาการบาดเจ็บเหรอ? 

  ฟางผิงแข็งทื่อ เขามองผู้ประลองคนสุดท้ายจากหนานอู่แล้วเดินลงลานประลองไปเงียบๆ

  …

  เมื่อฟางผิงลงจากลานประลอง เฉินหยุนซีกับคนอื่นๆเตรียมเม็ดยารักษาและผ้าก๊อซไว้รอแล้ว พวกเธอพันแผลให้ฟางผิงทันที

  ฟางผิงปล่อยให้พวกเธอพันแผลอยู่เงียบๆ

  คราวนี้หยางเสี่ยวม่านไม่ได้ทะเลาะกับฟางผิงซึ่งเป็นอะไรที่หายากมาก เธอกล่าวด้วยรอยยิ้ม  นายรู้ไหมว่าคู่ต่อสู้นายเป็นใคร? เขาคือกู้เสียง อันดับที่ 24 ในอันดับขั้นสอง นายชนะเขาได้ มันก็แปลว่าอย่างน้อยนายน่าจะได้เป็นยี่สิบอันดับแรก 

   แถมนายยังไม่ได้ใช้เม็ดยา! ในความเห็นฉัน เมื่อแก้ไขอันดับเดือนหน้า นายติดสิบห้าอันดับแรกแน่ 

  เขาพึ่งบรรลุขั้นสอง แต่เขาอาจได้เป็นยี่สิบอันดับแรกของอันดับขั้นสองของนักศึกษามหาลัยวิชายุทธแล้ว

  ความแข็งแกร่งเช่นนี้ มันพิสูจน์แล้วว่าเขาแข็งแกร่งมาก

  แต่ฟางผิงกัดฟันแน่น  ยี่สิบอันดับแรก? 

  เขาคิดว่าตัวเองแข็งแกร่ง เพราะไม่ว่าจะอยู่ในมหาลัยหรือออกไปทำภารกิจ เขาก็ไม่เคยเจอคู่ต่อกร

  แม้วรยุทธเขาจะไม่ก้าวหน้าขึ้นมากนัก แต่เขาก็ยังคิดว่าตัวเองเป็นระดับชั้นหัวกะทิ

  หลังจากขัดเกลากระดูกเสร็จ เขาที่เป็นผู้ฝึกยุทธขัดเกลาสามครั้งมีปราณและเลือดมากกว่า 520แคล!

  ผู้ฝึกยุทธขัดเกลาสองครั้งจะมีปราณและเลือดเท่าไหร่เชียว?

  ผู้ฝึกยุทธทั่วๆไปจะมีปราณและเลือดประมาณ 400แคล ขีดจำกัดของผู้ฝึกยุทธขัดเกลาสองครั้งจะเพิ่มขึ้น 20% เป็น 480แคล

  ปราณและเลือดของฟางผิงสูงกว่าคนอื่นอย่างน้อย 40แคล แต่เขาต้องใช้วิธีเอาศีรษะโขกเพื่อชัยชนะ มันทำให้ฟางผิงละอายใจกับตัวเอง

  เฉินหยุนซีพูดเบาๆ  นายแข็งแกร่งมากแล้ว นายพึ่งบรรลุขั้นสองสูงสุดเอง… 

   ฉันขัดเกลาสามครั้ง! ฉันควรจัดการระดับเดียวกันได้ทั้งหมด! 

   รุ่นพี่เซี่ยเหล่ยขัดเกลาสามครั้งเหมือนกัน…แต่ยังไงเขาก็แพ้ให้กับประธานหวัง ส่วนนายเป็นแค่ผู้ฝึกยุทธขั้นสองขัดเกลาสามครั้ง… 

  นี่เป็นคำพูดของหยางเสี่ยวม่าน แต่มันก็ยิ่งทำให้ฟางผิงไม่พอใจเข้าไปใหญ่

  ‘แปลว่าทางเดียวที่จะทำให้ฉันได้เปรียบคนอื่นคือใช้ระบบฟื้นฟูปราณและเลือดงั้นเหรอ?’

  เขาลืมพิจารณาไปบางอย่าง คนระดับเดียวกันที่เขาคิด ในสายตาคนอื่นล้วนเป็นอัจฉริยะที่เอาชนะผู้ฝึกยุทธข้ามระดับได้

  ผู้ฝึกยุทธทั้งหนึ่งร้อยคนในจัดอันดับสามารถต่อสู้กับผู้ฝึกยุทธขั้นสามได้ทุกคน ขอแค่อีกฝ่ายไม่ใช่ขั้นสามสูงสุด

  ตัวฟางผิงเองก็อาจไม่แพ้ให้กับผู้ฝึกยุทธขั้นสามชั้นกลาง เขามีโอกาสชนะถึง 99% หากอีกฝ่ายขาดความเข้าใจในวิชาต่อสู้ที่ทรงพลัง สัญชาตญาณในการต่อสู้ และถ้าเขาใช้ระบบฟื้นฟูปราณและเลือดได้

  น่าเสียดาย เวลานี้ฟางผิงไม่ได้คิดเรื่องนี้เลย ความคิดเดียวที่อยู่ในใจเขาก็คือเขาเกือบพ่ายแพ้ให้กับผู้ฝึกยุทธขั้นสองที่ด้อยกว่าเขา

  …

  ขณะที่ฟางผิงรู้สึกกลัดกลุ้ม ชายคนสุดท้ายของหนานอู่ก็เตรียมประลองกับฟู่ชางติ่ง

  พูดตามตรง นักศึกษาหนานอู่รู้แล้วว่าพวกเขาจะแพ้

  ฝั่งฟางผิงยังเหลือคนอีกสามคน

  ต่อให้คนสุดท้ายชนะฟู่ชางติ่งได้ แต่เขาจะเอาชนะสองคนที่เหลือได้เหรอ?

  คำตอบคือไม่ได้ เขาชนะฟู่ชางติ่งอย่างเส้นยาแดงผ่าแปด หลังสู้กับฟู่ชางติ่งเสร็จ ปราณและเลือดเขาก็หมด

  หยางเสี่ยวม่านขึ้นไปต่อยสองสามหมัด อีกฝ่ายก็กระเด็นออกนอกลานประลองไป

  …

  การประลองระหว่างผู้ฝึกยุทธขั้นสองสูงสุดหนานอู่กับนักศึกษาปีหนึ่งโม๋อู่ก็สิ้นสุดลง

  ทั้งหนานอู่เหมือนจะตกอยู่ในความเงียบ

  ห้าต่อห้า ฝั่งของพวกเขาทั้งห้าคนเป็นขั้นสองสูงสุด ส่วนอีกฝ่ายมีเพียงคนเดียว

  แถมทุกคนยังเป็นปีหนึ่งที่พึ่งบรรลุขั้นสอง

  การประลองครั้งนี้ หนานอู่พ่ายแพ้ย่อยยับ

  มันเป็นการพ่ายแพ้แบบยับเยิน!

  ห้าคนจากโม๋อู่ ยกเว้นฟางผิงที่เจ็บหนัก ที่เหลือบาดเจ็บเล็กน้อยเท่านั้น

  ทางฝั่งหนานอู่ ยกเว้นหลันไฉเย่ที่จากไปอย่างเดือดดาล ที่เหลือล้วนหมดสภาพต่อสู้

  หนานอู่รับไม่ค่อยได้กับผลลัพธ์แบบนี้

  อย่างไรก็ตามความจริงกองอยู่ตรงหน้าพวกเขา พวกเขาปฏิเสธความแข็งแกร่งของกู้เสียงและคนอื่นๆได้หรือ?

  พวกเขาไม่เห็นผลงานของกู้เสียงกับคนอื่นๆงั้นหรือ?

  ทุกคนต่างบาดเจ็บสาหัส หลันไฉเย่ก็เอาชนะฟางผิงไม่ได้ ต่อให้เธอจากไปอย่างเดือดดาล แต่พวกเขาก็ตำหนิเธอไม่ได้ที่ไม่ยอมต่อสู้จนถึงที่สุด

  หนานอู่พ่ายแพ้!

  หวังจินหยางไม่ได้พูดอะไรบั่นทอนกำลังใจ หลังจบการประลอง เขาก็เดินขึ้นมาบนลานประลองแล้วพูดเบาๆ  โม๋อู่ชนะการประลองกระชับมิตร! 

   แยกย้ายได้ กลับไปพิจารณาตัวเอง อะไรคือเหตุผลที่พวกนายเข้ามหาลัย? 

   พวกนายยินดีก้มหัวให้คนอื่นไปตลอดชีวิตงั้นเหรอ? 

   ถ้าไม่ พวกนายก็คิดดูว่าอนาคตจะก้าวเดินยังไง… 

  เขาไม่ได้ใส่อารมณ์หรือเติมเชื้อไฟ หลังกล่าวจบ หวังจินหยางก็ลงจากลานประลอง

  เขาเดินมาหาฟางผิง ชำเลืองมองเขาสักครู่และพยักหน้า  ทำได้ดี ฉันเคยบอกแล้วว่านายก็มีความโหดเหี้ยมในกระดูก นายไม่จำเป็นต้องแสร้งทำเป็นแกะ แสร้งไปนานๆ นายจะกลายเป็นแกะเอาจริงๆ 

   กลับไปรักษาก่อน อีกสองวันเราจะไปเยี่ยมผู้สำเร็จราชการจางกัน 

  สามปรมาจารย์ได้จากไปแล้ว พวกเขาพากลุ่มเบื้องบนของหนานเจียงที่มาชมการประลองจากไปด้วย

  ทั้งสามไม่ได้อยู่คุยกับฟางผิง แต่หวังจินหยางพูดถึงการไปเยี่ยมผู้สำเร็จราชการ เห็นได้ชัดว่าจางติ้งหนานอนุญาตแล้ว

  ฟางผิงพยักหน้า เขาไม่ได้พูดอะไรอีก หนานอู่แพ้ย่อยยับ แต่เขาก็ไม่ได้พอใจกับชัยชนะ

  ความคิดที่ว่าเขาไร้เทียมทานในระดับขั้นเดียวกันเลือนหายไปอย่างรวดเร็ว

  เขาต่อสู้กับผู้ฝึกยุทธทั่วไปล่ะแล้วไง?

  เขาเอาชนะผู้ฝึกยุทธขั้นสามที่ขาดแคลนทรัพยากรแล้วไง?

  ย้อนกลับไปตอนที่หวังจินหยางอยู่ระดับเดียวกับเขาตอนนี้ เขาจะเอาชนะอีกฝ่ายได้ไหม?

  นอกจากนี้เขาจะเอาชนะผู้ฝึกยุทธขั้นสองของกองทัพที่ประจำการอยู่ถ้ำใต้ดินได้ไหม?

  กู้เสียงคนเดียวเขาก็หืดขึ้นคอแล้ว ถ้าเขาเจอกับคนอื่น เขาอาจแพ้ได้เลย

  เขาฟื้นฟูปราณและเลือดได้เร็วแล้วไง?

  ถ้าเขาถูกสังหารก่อนปราณและเลือดจะหมด ต่อให้เขาฟื้นฟูปราณและเลือดได้เร็วแค่ไหน มันก็ไร้ความหมาย

  …

  หลังหวังจินหยางจากไป ไป๋รั่วซีสังเกตเห็นว่าฟางผิงนิ่งเงียบไป เธอจึงกล่าวพร้อมกับเดินไปกับพวกเขา  เธอท้อเหรอ? 

   ไม่จำเป็นต้องคิดมาก อย่าลืมว่าเธอพึ่งบรรลุขั้นสองสูงสุด กู้เสียงกับคนอื่นๆไม่เหมือนกัน 

   แถมสุดท้ายเธอยังเป็นผู้ชนะ แต่เธอที่เป็นผู้ชนะดูเหมือนจะสลดกว่าหนานอู่ที่แพ้เธออีกนะ 

   ถ้าเธอขัดเกลาความสามารถในขั้นสอง และปรับปรุงวรยุทธ กู้เสียงก็ต่างชั้นกับเธอ 

   เธอต้องก้าวทีละก้าว อย่าฝันว่าตัวเองจะแข็งแกร่งที่สุดในระดับเดียวกันทันทีที่บรรลุถึง 

   เธอมีพรสวรรค์ แต่คนอื่นก็มีเช่นเดียวกัน 

   เธอขยันฝึกปรือ แต่คนอื่นก็เช่นกัน 

   คนอื่นได้รับการชี้แนะจากปรมาจารย์ มีการสนับสนุนเม็ดยา มีประสบการณ์ต่อสู้มากกว่า บรรลุขั้นสองก่อน… 

   เธอทำผลงานได้ดีมากแล้ว 

  ฟางผิงยิ้มอย่างขมขื่น  อาจารย์ไม่ต้องปลอบผมหรอก ผมไม่ท้อง่ายๆหรอก ผมแค่ใคร่ครวญอะไรบางอย่าง 

   นอกจากนี้… 

  ทุกคนหันมามองเขา ฟางผิงถอนหายใจ  นอกจากนี้ผมว่ามหาลัยควรชดเชยให้ผมเพิ่ม เฉินหยุนซีไม่ได้ขึ้นประลอง เม็ดยาของเธอควรเอามาชดเชยให้ผมไหม? 

  เฉินหยุนซีที่ตอนแรกเป็นห่วงเขาคิ้วขมวดทันที เธอกล่าวอย่างไม่พอใจ  ฉันไม่เห็นด้วย! 

   ฉันไม่สนใจเม็ดยาไม่กี่เม็ด แต่ฉันไม่เห็นด้วย! ฟางผิง นายข่มเหงกันเกินไปแล้ว! 

  ฟางผิงถอนหายใจ กล่าวอย่างสลด  ฉันบาดเจ็บหนัก ครอบครัวฉันไม่มีเงินให้ฉัน ฉันไม่มีแม้แต่เม็ดยารักษา… 

   เมื่อไหร่ฉันฟางผิงจะแข็งแกร่งขึ้นนะ? 

   เฮ้อ! 

  เฉินหยุนซีเริ่มลังเลอย่างเห็นได้ชัด เธอพูดตะกุกตะกัก  งั้น…งั้น ฉันจะไม่เอาเม็ดยาที่หนานอู่มอบให้… 

   ตกลง! 

  ฟางผิงคึกคักขึ้นมาทันที หลังที่เคยค่อมเหยียดตรงฉับพลัน ก้าวเดินด้วยท่วงท่าไม่เหมือนก่อนหน้านี้ที่ดูปวกเปียกน่าเวทนา ทุกคนรู้สึกโง่งมกับภาพที่เห็น

  เฉินหยุนซีช็อคเช่นกัน เธอพูดตะกุกตะกัก  เขา…เขา… 

  ฟู่ชางติ่งมองเธอแวบนึง เขาส่ายหน้าและถอนหายใจ

  ผู้หญิงนะผู้หญิง…ถูกหลอกง่ายเหลือเกิน!

  ฟางผิงบาดเจ็บภายนอกเท่านั้น เขาจะมีท่าทางเหมือนจะตายได้ยังไง?

  ยิ่งกว่านั้นฟางผิงชนะอันดับที่ 24 มาได้ เขาอ่อนแอเหรอ?

  อ่อนแอก็บ้าแล้ว!

  ฟู่ชางติ่งไม่เข้าใจ ฟางผิงที่พึ่งบรรลุขั้นสองกลายเป็นยี่สิบอันดับแรกได้ ทำไมทุกคนถึงคิดว่าเขารู้สึกเจ็บปวด?

  ตอนนี้เม็ดยาปราณและเลือดขั้นสอง 3 เม็ดก็ตกเป็นของฟางผิงด้วยประการฉะนี้

  แถมเฉินหยุนซียังเต็มใจมอบให้อีกด้วย!

  ‘ถ้าฟางผิงไม่หลอกคนอย่างเธอ เขาจะหาเงินมาได้ขนาดนี้ได้ยังไง?’

  ‘ผู้หญิงพวกนี้เชื่อเขาทุกครั้งที่เขาเล่นใหญ่’ ฟู่ชางติ่งคิดอยู่ในใจ ครั้งหน้าเขาควรทำแบบฟางผิงบ้างไหม?

 

World’s Best Martial Artist

World’s Best Martial Artist

Status: Ongoing

ฟางผิงใช้เวลาครึ่งชั่วโมงในที่สุดก็ตัดสินได้ว่าเขาไม่ได้ฝันไปหรือไม่ได้ถ่ายหนัง…อย่าไร้สาระน่า ถ้าการถ่ายหนังชุบความเป็นหนุ่มของเขากลับมาได้ งั้นกองถ่ายก็คงไปถ่ายทำที่สวรรค์ได้แล้ว!

หลังยืนยันว่าเขากลับมาเกิดใหม่ ฟางผิงก็รู้สึกถึงความตื่นตระหนกก่อนจะค่อยๆยอมรับความจริง

ความจริงอะไรงั้นเหรอ? ความจริงที่ว่าเขากลับมาเกิดใหม่ในร่างตัวเองตอนเด็ก และเนื่องจากเขามีความรู้ของอนาคตติดตัวมาด้วย เขาจะทำวันนี้ให้ดีที่สุดแล้วกลายเป็นผู้ยิ่งใหญ่ในแวดวงธุรกิจ! เขาจะรวย!

นั่นเป็นความคิดของเขาจนกระทั่งเพื่อนเขามาขัดจังหวะ

“สรุปนายจะลงทะเบียนสอบวิชาการต่อสู้ไหม?”

อะไรนะ? พูดเล่นเหรอ? หรือเขาส่งบทผิด? วิชาการต่อสู้คืออะไร? ทำไมถึงมีค่าลงทะเบียนหมื่นหยวน? หัวของเขาเต็มไปด้วยประโยคคำถาม ไม่นานฟางผิงก็ตระหนักว่าเขาอาจไม่ได้โชคดีเหมือนที่เขาคิดไว้ตอนแรก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท