World’s Best Martial Artist – ตอนที่ 191 ความเข้าใจแรกเกี่ยวกับความแข็งแกร่งของขั้นสาม

ตอนที่ 191 ความเข้าใจแรกเกี่ยวกับความแข็งแกร่งของขั้นสาม

  วันที่ 27 มีนาคม

  เขตใต้โม๋อู่ อาคาร 3

  นี่เป็นครั้งแรกเลยที่ฟางผิงก้าวเท้าเข้าอาคารสาม

  มีห้องเคล็ดวิชา ห้องพลังงาน สระปราณและเลือด ห้องแรงโน้มถ่วง…

  มันเป็นสถานฝึกยุทธที่ยอดเยี่ยม

  ประเด็นหลักคือมันต้องใช้คะแนน แถมความคืบหน้าในการฝึกยุทธของฟางผิงเร็วพอแล้ว เขาจึงไม่เคยอยากมาที่นี่มาก่อน

  ดังนั้นเมื่อเขาเข้ามาชั้นแรก ฟางผิงจึงเปี่ยมไปด้วยความตื่นเต้น!

  ฟุบ! ดาบยาวพุ่งตรงเข้าหาฟางผิง!

  ฟางผิงรีบหลบด้วยความตื่นตระหนก

  เวลานี้ห้องโถงชั้นหนึ่งไม่ได้ว่างเปล่า มีคนอยู่กันมากมาย ฟางผิงเคยคิดไว้ว่ามันเป็นห้องโถงไม่มีคน ดังนั้นเขาจึงประหลาดใจพอควร

  ก่อนที่ฟางผิงจะมีเวลาคิดว่าใครเป็นคน‘ต้อนรับ’เขา จู่ๆฟางผิงก็ได้ยินเสียงที่คุ้นเคย

   เข้ามา! วันนี้ฉันจะสู้หนึ่งต่อสิบ! 

   ถ้ารับไม่ได้ก็เข้ามาพร้อมกันเลย! 

   พวกคนอ่อนแอ อยากตายนักก็เข้ามา! 

  ปัง!

   … 

  สิ้นเสียงพูด ฟางผิงก็ต้องรีบหลบอีกครั้ง เมื่อกี้เป็นดาบลอยมา แต่คราวนี้เป็นคนตัวเป็นๆ

  ร่างเงากระเด็นผ่านอากาศจนหล่นลงมาตรงหน้าฟางผิง

  คนๆนั้นไม่ได้สนใจฟางผิง เขาลุกขึ้นมาอย่างรวดเร็ว  ฉินเฟิ่งชิง จะข่มเหงกันเกินไปแล้ว! 

   คนอ่อนแอไม่มีสิทธิ์บ่น! 

   บัดซบ แกคิดว่าตัวเองแข็งแกร่งมากเหรอ ทุกคนรุม! 

   … 

  ฟางผิงเดินเข้าไปหาฝูงชน มุดเข้าไปเล็กน้อยแล้วเงยหน้าดู ตอนนี้ฉินเฟิ่งชิงกำลังสู้กับผู้ฝึกยุทธเจ็ดแปดคน

   พี่ชาย เกิดอะไรขึ้นงั้นเหรอ? 

  ฟางผิงสะกิดผู้ชมคนนึงที่มาชมเรื่องสนุกแล้วเอ่ยถามด้วยความสงสัย

  ผู้ชมหัวเราะเบาๆแล้วอธิบาย  ฉินเฟิ่งชิงบรรลุขั้นสามสูงสุดแล้ว ทันทีที่เขาบรรลุ เขาก็เริ่มโอ้อวดต่อคนทั้งโลกว่าเป็นขั้นสามไร้เทียมทาน 

   หลังทราบข่าวนี้ หลายคนก็เกิดไม่พอใจขึ้นมา พวกเขาจึงมีเรื่องกัน… 

   สุดท้ายฉินเฟิ่งชิงก็ไม่พูดพร่ำทำเพลงต่อยคนซะฟันร่วง…ตอนนี้เขาเลยถูกกลุ้มรุม 

   หมะ…หมอนี่อวดดีขนาดนั้นเลย? 

  เมื่อได้ฟังคำอธิบาย ฟางผิงก็ถึงกับอึ้ง ฉินเฟิ่งชิงนี่ไม่ต่างอะไรกับตัวร้ายเลย

   เขาอวดดีตลอดแหละ แต่รอดูไป ส่วนที่น่าสนใจยังมาไม่ถึง อีกเดี๋ยวเขาจะต้องยอมรับความพ่ายแพ้ 

  ฟางผิงรีบดูการต่อสู้ตรงหน้า แม้จะมีคนกลุ้มรุมฉินเฟิ่งชิงถึงเจ็ดแปดคน แต่เขากวัดแกว่งดาบใหญ่ ดูไม่เสียเปรียบเช่นกัน

  ฟางผิงหันไปมองผู้ชมแล้วเอ่ยถามด้วยความสงสัย  ฉินเฟิ่งชิงค่อนข้างแข็งแกร่ง ฝ่ายตรงข้ามจะทำให้เขายอมรับความพ่ายแพ้ได้เหรอ? 

   ไม่ได้แน่ พวกเขายังไม่เป็นขั้นสามสูงสุดด้วยซ้ำ ที่นี่มีผู้ฝึกยุทธขั้นสามสูงสุดน้อยมาก 

   อย่างไรก็ตาม มีคนไปเรียกเซี่ยเหล่ยมาแล้ว 

   เซี่ยเหล่ย? คนที่ขัดเกลาสามครั้ง… 

   ใช่แล้ว แม้ว่าเซี่ยเหล่ยจะเป็นแค่ขั้นสามชั้นสูง แต่เขาเป็นผู้ฝึกยุทธขัดเกลาสามครั้ง สิ้นเทอมนี้ เขาอาจบรรลุขั้นสามสูงสุด 

  เมื่อเริ่มภาคเรียนตอนปีที่แล้ว เซี่ยเหล่ยเป็นผู้ฝึกยุทธขั้นสองสูงสุด

  วันนี้ผ่านมาเจ็ดเดือน เซี่ยเหล่ยเป็นขั้นสามชั้นสูงแล้วเช่นกัน สิ้นเทอมนี้ เขาอาจบรรลุขั้นสามสูงสุด

  นอกจากฟางผิง เขาเป็นนักศึกษาขัดเกลาสามครั้งเพียงคนเดียวที่ยังอยู่ในมหาลัย

   เซี่ยเหล่ยจะต่อกรกับฉินเฟิ่งชิงได้เหรอ? 

   ไม่แน่ใจ แต่เดี๋ยวเราก็รู้เอง คนที่ฉินเฟิ่งชิงพึ่งต่อยไปเมื่อกี้เป็นหนึ่งในสมาชิกทีมเซี่ยเหล่ย เซี่ยเหล่ยจะมาแน่นอน… 

   อาจารย์ไม่ว่าเหรอ? 

  ผู้ชมหันมามองฟางผิงทันทีแล้วเอ่ยถามอย่างแปลกใจ  นายมาใหม่เหรอ? 

   ใช่ 

   ไม่แปลกใจเลย 

  อีกฝ่ายไม่ได้ถามอะไรอีก เขากล่าวเรียบๆ  ตราบใดที่ไม่มีใครสร้างปัญหาให้กับพื้นที่ฝึกยุทธส่วนอื่น อาจารย์จะปิดตาข้างหนึ่ง ถ้านายทำอะไรเสียหาย นายต้องชดใช้ตามราคาที่เหมาะสม 

   ส่วนเรื่องการบาดเจ็บ ถ้าไม่บาดเจ็บร้ายแรงก็ไม่มีปัญหา 

   นายอาจคิดว่าพวกเขาสู้กันรุนแรง แต่พวกเขาไม่ได้ลงมือเต็มที่… 

  หลังได้ยินคำพูดอีกฝ่าย ฟางผิงก็ให้ความสนใจกับการต่อสู้ ดูเหมือนอีกฝ่ายจะพูดถูก แม้การต่อสู้อาจดูรุนแรง แต่ดาบของฉินเฟิ่งชิงฟันแค่อาวุธของคู่ต่อสู้เบาๆ ส่วนใหญ่จะสู้กันมือเปล่า เมื่อใช้ดาบ พวกเขาก็จะใช้แค่สันอาวุธไม่กี่ครั้ง

  เมื่อฟางผิงกำลังครุ่นคิด เขาก็ได้ยินเสียงฝีเท้าดังมาจากนอกวงผู้ชม

   หลบ! 

  มีคนตะคอกขึ้นเบาๆ ไม่นานวงล้อมก็ถูกแหวก

  ฟางผิงหันกลับไปมอง เขาเห็นเด็กหนุ่มร่างกำยำ อย่างไรก็ตามฟางผิงไม่ได้สนใจรูปร่างเขา สิ่งแรกที่ฟางผิงสังเกตเห็นคือดวงตาคู่หนึ่ง!

  เป็นดวงตาเหมือนสัตว์ร้าย!

  ดวงตาที่ให้ความรู้สึกเป็นคนเย็นชา แข็งแกร่งและเฉียบคม

  ฟางผิงจ้องมองเซี่ยเหล่ย อย่างไรก็ตามเซี่ยเหล่ยไม่ได้มองเขา

  เมื่อเซี่ยเหล่ยมาถึง คนที่กลุ้มรุมฉินเฟิ่งชิงก็แยกย้ายทันที

  เซี่ยเหล่ยก้าวออกไป น้ำเสียงเย็นชาไม่ต่างกับน้ำแข็ง  ฉินเฟิ่งชิง มันหมายความว่ายังไง! 

  ฉินเฟิ่งชิงยืนนิ่ง ดูไม่กังวลนัก เขาไม่ได้ไล่ตามคนอื่น และแค่นเสียงออกมา  นายหมายถึงอะไร? 

   อย่ามาแสร้งโง่กับฉัน! 

  เซี่ยเหล่ยแค่นเสียงอย่างเย็นชา  เซี่ยเวยพูดแค่ไม่กี่คำ นายก็หาเรื่องแล้ว ฉันพูดผิดเหรอ? 

  ฉินเฟิ่งชิงมุมปากกระตุก เขากล่าวอย่างหงุดหงิด  มันไม่เกี่ยวกับนาย ฉันพอใจของฉัน ถ้านายไม่พอใจก็ให้เซี่ยเวยมาเจอฉัน! 

   นายคิดว่าเพราะนายเป็นขั้นสามสูงสุดแล้วนายจะทำตัวกำเริบเสิบสานแบบนี้ได้เหรอ? 

   พูดมากไปแล้ว! 

   ฉินเฟิ่งชิง รนหาที่ตาย! 

  เซี่ยเหล่ยคำรามอย่างหนาวเหน็บ จากนั้นเขาก็ดีดปลายเท้า ชั่ววินาทีถัดมาเซี่ยเหล่ยก็ปรากฏตรงหน้าฉินเฟิ่งชิงแล้ว หมัดเขาพุ่งเข้าใส่ดาบยาวฉินเฟิ่งชิง

  ปัง!

  เกิดเสียงดังเสียดหู หมัดเหล็กของเซี่ยเหล่ยปะทะเข้ากับดาบยาวจนเกิดประกายไฟกระจายทั่วทุกทิศทาง เหนือกำปั้นเขาปรากฏแสงสีแดงเลือดออกมารำไร

  ฟางผิงตื่นตะลึง  นี่…นี่เป็นการปลดปล่อยปราณและเลือดออกมาภายนอก? 

  ตอนที่ผู้ฝึกยุทธขั้นสองอย่างพวกเขาประลองกันครั้งก่อน ก็มีอภินิหารหลายอย่างปรากฏเช่นกัน นอกจากนี้ยังมีกรณีตอนที่ปราณและเลือดปะทุขึ้นมา กระนั้นทั้งหมดก็เกิดขึ้นภายใน ไม่มีใครปลดปล่อยออกมาภายนอกได้

  อย่างไรก็ตามเซี่ยเหล่ยมีปราณและเลือดไหลห่อหุ้มถุงมือต่อสู้ มันเป็นภาวะที่แม้แต่สายตามนุษย์ก็มองเห็นได้

  ฟางผิงตั้งสมาธิมองดูใกล้ๆทันที มันเป็นโอกาสดีที่จะเฝ้าสังเกต

  ฉินเฟิ่งชิงกับเซี่ยเหล่ยไม่ได้อ่อนแอในหมู่ขั้นสาม ผู้ฝึกยุทธขั้นสามทั่วไปที่ฟางผิงเคยเจอมาเทียบอะไรกับพวกเขาไม่ได้เลย

  เซี่ยเหล่ยปลดปล่อยปราณและเลือดออกมาภายนอก ฉินเฟิ่งชิงไม่ลังเล ตัวดาบส่องประกายจางๆ แม้ว่ามันจะไม่ชัดเจนเท่าเซี่ยเหล่ย แต่มันเป็นเพราะ เมื่อเทียบกับถุงมือต่อสู้เล็กๆแล้ว ดาบยาวมีขนาดใหญ่กว่ามาก มันไม่ใช่เพราะปราณและเลือดของฉินเฟิ่งชิงเทียบอีกฝ่ายไม่ได้

   น่าสนใจ นี่สุดฝีมือนายแล้วสินะ! 

  ในหมู่ฝูงชน ฉินเฟิ่งชิงระเบิดเสียงหัวเราะออกมา เซี่ยเหล่ยก้าวถอยตามแรงฟัน ไม่นานฉินเฟิ่งชิงก็โยนดาบยาวทิ้งแล้วถามด้วยน้ำเสียงขบขัน  นายคิดจริงๆเหรอว่าขัดเกลาสามครั้งแล้วนายจะแข็งแกร่ง? 

   นายคิดจริงเหรอว่าขั้นสามชั้นสูงอย่างนายจะเอาชนะขั้นสามสูงสุดอย่างฉันได้? 

   นายคิดจริงเหรอว่าฉันฉินเฟิ่งชิงเป็นผู้ฝึกยุทธทั่วไป? 

  เมื่อสิ้นเสียงพูด ฉินเฟิ่งชิงก็กู่ร้อง ฟางผิงตาเป็นประกาย!

  กลิ่นอายของฉินเฟิ่งชิงตอนนี้เริ่มแปรเปลี่ยนไป ก่อนหน้านี้ฟางผิงคิดว่าขั้นสามสูงสุดแข็งแกร่งกว่าขั้นสองสูงสุดไม่เท่าไหร่

  แต่ตอนนี้ฟางผิงรู้สึกถึงช่องว่างอย่างชัดเจน

  ฉินเฟิ่งชิงเผยกลิ่นอายยอดฝีมือ ทั้งร่างกายปลดปล่อยบรรยากาศกระหายเลือด พริบตานั้น ฉินเฟิ่งชิงดีดตัวพุ่งเข้าหาเซี่ยเหล่ยด้วยความเร็วที่แทบมองไม่เห็นด้วยตาเปล่า

  เซี่ยเหล่ยไม่มีความตั้งใจจะหลบเลี่ยง เขาเหวี่ยงแขนต่อยเข้าไปอย่างแรง!

  ก่อนหน้านี้ฉินเฟิ่งชิงใช้ดาบยาวมาป้องกัน อย่างไรก็ตามตอนนี้เกิดเสียงกรอบแกรบดังมาจากร่างกาย จากนั้นเขาก็ใช้มือเปล่าเอื้อมเข้าไปจับสองมือของเซี่ยเหล่ยอย่างรวดเร็ว

  เซี่ยเหล่ยพยายามสลัดให้หลุด เขาสะบัดแขน แต่สีหน้าเขาก็เปลี่ยนไป เขารีบเงื้อขาเตะใส่ฉินเฟิ่งชิง

  ฉินเฟิ่งชิงไม่ได้เคลื่อนไหว คราวนี้เกิดเสียงกรอบแกรบดังมาจากขา เขาปล่อยให้เซี่ยเหล่ยเตะตามใจชอบ

  เกิดเสียงดังปัง ฉินเฟิ่งชิงกล่าวด้วยรอยยิ้มกว้าง  เจ็บขาไหม? 

  สีหน้าของเซี่ยเหล่ยเปลี่ยนไม่หยุด เขาคำราม ชักมือออกจากถุงมือต่อสู้อย่างฉับพลัน แล้วชกเข้าที่อกของฉินเฟิ่งชิงอีกครั้ง

  ฉินเฟิ่งชิงไม่ได้รีบหลบ เขาเหวี่ยงหมัดสวนด้วยท่าทีสบายๆและรับการโจมตีจากฝ่ายตรงข้าม

  หลังแลกหมัดกัน ฉินเฟิ่งชิงก็ถอยไปสองก้าวเล็ก กลับกันเซี่ยเหล่ยก้าวถอยไปหลายก้าวเลย พื้นหินอ่อนใต้เท้าถูกเหยียบกลายเป็นชิ้นๆ

  ฟางผิงสังเกตเห็นเช่นกันว่าหมัดของเซี่ยเหล่ยชุ่มโชกด้วยเลือด แต่ทางฝั่งฉินเฟิ่งชิงไร้ซึ่งอาการบาดเจ็บ

   โง่เขลา! 

  ฉินเฟิ่งชิงแค่นเสียง  ขั้นสามสูงสุด นายไม่รู้เหรอว่ามันหมายถึงอะไร? 

   เลือดเนื้อ กระดูก ผิวหนังของฉันบรรลุถึงขั้นแข็งแกร่งที่สุดแล้ว ฉันสามารถโคจรปราณและเลือดตามต้องการได้ นอกจากสมอง นายไม่อาจทะลวงส่วนอื่นฉันได้! 

   นอกจากว่าพลังหมัดนายจะทะลวงเกราะปราณและเลือด โดนอวัยวะภายในของฉันได้ ไม่งั้นนายคิดว่านายมีหวังเอาชนะฉันงั้นเหรอ? 

  หลังได้ยินคำพูดเขา ในที่สุดฟางผิงก็เข้าใจว่าทำไมเมื่อกี้เซี่ยเหล่ยถึงใช้ลูกเตะและยอมแพ้ไป

  เซี่ยเหล่ยไม่ได้พูดอะไร สีหน้าของเขายังคงเย็นชา เขาจ้องมองอีกฝ่ายอยู่สักครู่ก่อนจะเอ่ยถาม  นายบรรลุขั้นสามสูงสุดนานรึยัง? 

   เหอะเหอะ นายคิดว่าไงล่ะ? 

  ฉินเฟิ่งชิงไม่ตอบคำถาม แต่เซี่ยเหล่ยเข้าใจ ฉินเฟิ่งชิงพึ่งบรรลุไม่นาน

  เลือดเนื้อ กระดูกและผิวหนังของเขาได้รับขัดเกลาในภาวะขั้นสามสูงสุด เมื่อโคจรปราณและเลือด นอกจากสมอง ทั้งร่างกายเป็นเสมือนโลหะอัลลอย

  เว้นแต่เกราะปราณและเลือดจะถูกเจาะทะลุ ซึ่งทำให้อวัยวะภายในบอบช้ำ ไม่เช่นนั้นคนอื่นก็ได้แต่เล็งสมองที่เป็นจุดตายได้เท่านั้น

  อย่างไรก็ตามนี่เป็นเพียงการต่อสู้ที่เกิดจากความรู้สึกส่วนตัว มันไม่คุ้มเลยถ้าจะสู้กันจนตัวตาย

   ขั้นสามสูงสุด…ปลดปล่อยปราณและเลือดออกมาภายนอก มีกลไกป้องกันอวัยวะภายในด้วยความคิด ได้ทั้งรุกได้ทั้งรับ… 

  ฟางผิงจำลักษณะเหล่านี้ไว้ ผู้ฝึกยุทธพวกนี้มีปราณและเลือดสูงถึงพันแคล ถ้าพวกเขาเน้นตั้งรับ พวกเขาแทบเป็นเหมือนมนุษย์โลหะ

  ถ้าเซี่ยเหล่ยต้องการเสี่ยงชีวิต ต่อสู้เพื่อสังหารโดยใช้กระบวนท่าไม้ตาย เขาอาจทะลายเกราะป้องกันอีกฝ่ายได้

  อย่างไรก็ตามอย่างที่กล่าวมา มันเป็นการต่อสู้ที่เกิดจากปัญหาส่วนตัว มันไม่จำเป็น

  ตัดสินจากการโจมตีธรรมดาและป้องกันเพียงอย่างเดียว เห็นได้ชัดว่าเซี่ยเหล่ยไม่ใช่คู่ต่อกรของฉินเฟิ่งชิง

  ฉินเฟิ่งชิงไม่ได้มีความตั้งใจที่จะต่อสู้กับเซี่ยเหล่ยจนตัวตาย เขากระตุกยิ้มและประกาศ  แยกย้ายไปได้แล้ว ดูอะไรกัน? ฉันเป็นขั้นสามคนแรก ไม่พอใจกันก็ไม่มีประโยชน์ 

  คนอื่นๆระเบิดเสียงหัวเราะ มีคนพูดหยอกล้อ  น่าเสียดาย นายไม่ติดอันดับผู้ฝึกยุทธขั้นสามด้วยซ้ำ 

   เหอะ เรื่องพวกนั้น ใครจะไปสนใจกัน? 

  ฉินเฟิ่งชิงแค่นเสียงและตอบเป็นเชิงดูถูก  อีกอย่าง ก่อนหน้านี้ฉันยังไม่บรรลุขั้นสามสูงสุด ตอนนี้ฉันต่อให้เอาสิบอันดับแรกมารวมกันเลย มาดูว่าพวกเขาจะต่อกรฉันได้ไหม 

   พูดจาเหลวไหล ไม่มีใครต่อกรนาย… 

   นายอยากมีเรื่องใช่ไหม?  ฉินเฟิ่งชิงโกรธ ฝูงชนเห็นแบบนั้นก็แยกย้ายกันไปทันที ตามมาด้วยเสียงหัวเราะแว่วเข้ามา

  สำหรับเซี่ยเหล่ยกับพวก พวกเขาไม่พอใจแน่นอน คนอื่นๆก็ไม่สนใจจะเยาะเย้ยอะไร

  เซี่ยเหล่ยไม่ได้จากไปไหนเช่นกัน เขาหยิบถุงมือต่อสู้ที่ฉินเฟิ่งชิงโยนลงพื้นแล้วพูดด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง  เมื่อฉันบรรลุขั้นสามสูงสุด ฉันจะกลับมาท้าประลองกับนายฉินเฟิ่งชิง! 

   เหอะ พอนายบรรลุขั้นสามสูงสุด ฉันคงบรรลุขั้นสี่ไปนานแล้ว 

  เมื่อสิ้นเสียงพูด ฉินเฟิ่งชิงก็แววตาเป็นประกายฉับพลัน เขายิ้ม  แต่ไม่เป็นไร ไว้ถึงตอนนั้น ฉันจะสอนบทเรียนให้นายเอง 

   ฟางผิง นายพยายามให้มากขึ้นแล้วทำลายหมอนี่ซะ! 

  ฟางผิงดูท่าทางจนปัญญาและรู้สึกพูดไม่ออก  ผมแค่เดินผ่าน… 

   อย่าไปกลัว! ลูกผู้ชายต้องไม่พูดปฏิเสธ เขาขัดเกลาสามครั้ง นายก็ขัดเกลาสามครั้ง เขาเคยถูกหวังจินหยางอัดจนร้องไห้หาบิดามารดา นายเป็นพวกของหวังจินหยาง ถ้านายทำลายเขาไม่ได้ เขาจะต้องทำลายนาย! 

  ฟางผิงพูดไม่ออก บ้าเอ้ย เหล่าฉินกำลังหาเรื่องสนุกให้ตัวเองเหรอ?

  เซี่ยเหล่ยได้ยินที่ฉินเฟิ่งชิงพูดแล้วหันไปมองฟางผิง เขาไม่ได้พูดอะไรนอกจากกล่าวว่า  ถ้าเขารับสามกระบวนท่าจากประธานชมรมได้ เราค่อยมาคุยกัน 

   ฟางผิง เขาดูถูกนาย!  ฉินเฟิ่งชิงไม่พอใจกับความอยุติธรรม  สามกระบวนท่า ก็แค่จางอวี่ ถ้านายรับไม่ได้แม้แต่สามกระบวนท่า นายก็อย่ามาคลุกคลีที่นี่อีกเลย 

   พี่ฉิน! 

  ฟางผิงขัดจังหวะ  เรามีความแค้นกันเหรอ? 

  ฉินเฟิ่งชิงหัวเราะ  เปล่าแค้น ฉันให้นายต่อกรกับเขาก็เพื่อผลดีต่อตัวนาย ถ้าฉันขัดเกลาสามครั้ง ฉันต้องสู้กับเขาสักรอบแล้ว 

   ตอนนี้นายยังอ่อนแออยู่ไม่เป็นไร มันยังเร็วไปที่เขาจะบรรลุขั้นสี่ เมื่อนายบรรลุขั้นสาม เขาก็ยังเป็นขั้นสามเหมือนกัน ระหว่างนายกับเขาก็ไม่แตกต่างกันหรอก 

  เซี่ยเหล่ยไม่ได้พูดอะไร เขาเดินออกไปทันที

  ถ้าเขาเอาชนะฉินเฟิ่งชิงไม่ได้ งั้นเขาก็ควรยอมรับความพ่ายแพ้ ยิ่งกว่านั้นมันไม่ใช่อาการบาดเจ็บร้ายแรง ลูกผู้ชายแก้แค้นสิบปีก็ไม่สาย รอแก้แค้นหลังเอาชนะได้แล้วก็ยังไม่สาย

  ส่วนฟางผิง…ถ้าเจ้าหนูนี่ตามเขาทัน เขาจะเก็บไปพิจารณาอีกที

  …

  เมื่อพวกเซี่ยเหล่ยจากไปแล้ว ผู้ชมที่มาชมเรื่องสนุกต่างก็แยกย้ายไปตามทางตนเองเช่นกัน

  จากนั้นฉินเฟิ่งชิงถึงได้เดินมาหาฟางผิง ตบไหล่เขาด้วยรอยยิ้ม  เมื่อกี้ฉันแค่ล้อเล่น แต่ฉันว่านะ นายกับเซี่ยเหล่ยจะได้ประมือกันเข้าสักวัน เชื่อฉันเถอะ สัญชาตญาณฉันถูกต้องเสมอ 

   ลองคิดดู ในโม๋อู่ มีพวกนายสองคนเท่านั้นที่ขัดเกลาสามครั้ง 

   ถ้านายก้าวหน้าช้า ต่ำกว่าเขาขั้นหนึ่ง มันยังไม่เป็นไร 

   อย่างไรก็ตามตอนนี้นายเป็นขั้นสองสูงสุดแล้ว ขั้นสามเป็นแค่เรื่องของเวลา นายตามเขาทันก็ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจ 

   ผู้ฝึกยุทธขั้นสามขัดเกลาสามครั้งทั้งสองคนอยู่ระดับขั้นเดียวกัน พวกนายจะไม่ประมือกันได้อย่างไร? 

  ฟางผิงยิ้มบางๆ  ไว้ค่อยว่ากัน 

  อันที่จริงเขาเห็นด้วยกับคำพูดฉินเฟิ่งชิง ตอนนี้ในโม๋อู่มีแค่เขากับเซี่ยเหล่ยเท่านั้นที่เป็นผู้ฝึกยุทธขัดเกลาสามครั้ง

  ถ้าพวกเขาอยู่ระดับขั้นเดียวกัน ความเป็นไปได้ที่พวกเขาจะต้องประมือกันมีอยู่สูงมาก

  ฉินเฟิ่งชิงได้ยินคำตอบก็กล่าว  ที่จริงเจ้าหนูนั่นไม่ได้อ่อนแอ มันเป็นเพราะฉันบรรลุขั้นสามมาสักพักแล้ว ฉันเลยเอาชนะเขาได้ 

   ถ้าเราอยู่ระดับเดียวกัน ฉันอาจไม่ใช่คู่มือเขาด้วยซ้ำ 

   นอกจากนี้ เมื่อกี้ฉันแค่เล่นๆไม่ได้จริงจัง ไม่มันคงพูดยากว่าฉันจะแพ้หรือชนะ 

   ฉันเห็นนายนานแล้ว ฉันจงใจทำแบบนี้เพื่อให้นายสังเกตความสามารถของเซี่ยเหล่ย… 

  ฟางผิงมองฉินเฟิ่งชิงอย่างกังขา ทำไมมาลงที่ฉันได้ล่ะ?

   ทำไม นายไม่เชื่อฉันเหรอ? 

  ฉินเฟิ่งชิงมองเขาด้วยความไม่พอใจ  ฉันเห็นนายจริงๆ เพราะงั้นฉันเลยลงมือเพื่อทดสอบเซี่ยเหล่ย ไม่งั้นเราคงไม่สู้กันหรอก 

   ก่อนที่ผมจะมา รุ่นพี่ก็ต่อยตีกับคนอื่นอยู่แล้ว… 

   เจ้าพวกนั้นไม่ใช่เซี่ยเหล่ย นายจะรู้อะไร?  ฉินเฟิ่งชิงเบ้ปาก จากนั้นเขาก็พูดต่อ  ไม่ว่ายังไง นายต้องจำไว้ว่าฉันทำเพื่อนาย ตอบแทนฉันง่ายมาก นายแค่ยอมรับว่าการต่อสู้ครั้งนี้เริ่มต้นเพราะนาย แค่นั้นแหละ… 

  ฟางผิงรู้สึกแคลงใจ ฉินเฟิ่งชิงไม่พอใจ  ฟางผิง นี่เป็นทัศนคติแบบไหนกัน? ฉันอุส่าสู้เพื่อนาย… 

  ก่อนที่เขาจะพูดจบประโยคก็มีเสียงเบาๆดังมาจากข้างๆ ตามมาด้วยร่างของฉินเฟิ่งชิงจู่ๆก็กระเด็นขึ้นบนอากาศ ถัดจากนั้นฉินเฟิ่งชิงก็นอนแผ่หราอยู่บนแท่นบันไดนอกทางเข้าหลัก

  หลู่เฟิ่งโหรวก้าวไปข้างหน้า ทำราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น พร้อมกับพูดกับฟางผิง  ไปห้องพลังงาน 

   อาจารย์ เขา… 

   ฉันอยากต่อยเขานานแล้ว! ไม่ต้องไปสนใจ เขาไม่ตายหรอก พยายามหว่านล้อมให้ศิษย์ฉันไปจ่ายค่าชดเชย เขาคิดว่าทุกคนโง่กันหมดเหรอ? 

  คำพูดของหลู่เฟิ่งโหรวทำให้ฟางผิงนึกอะไรออก ไม่นานฟางผิงก็ได้ยินคนพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ  ฉินเฟิ่งชิง ไม่มีใครยอมจ่ายให้เธอ หินอ่อนพังไป 12 ชิ้น โต๊ะพังไป 1 ตัว และกำแพงมีรอยขีดข่วน 6 จุด…รวมเป็นสามแสน 

   ทำไมมันแพงแบบนั้น? ทำไมไม่ปล้นไปเลยล่ะ! 

   ใช่ ฉันกำลังปล้น เธอจะจ่ายหรือไม่จ่าย? 

   ฉันไม่มีเงิน!  ฉินเฟิ่งชิงคำราม เขาพูดด้วยความเดือดดาลระคนอับอาย  ฉันใช้ไปหมดแล้ว ฉันไม่มีเงินแม้แต่เหรียญเดียว ฟางผิงช่วยจ่ายให้ฉันก่อนสิ ไว้ฉันจะคืนให้! 

  เพื่อทะลวงขั้นสามสูงสุด นอกจากอาวุธแล้ว เขาขายไปแม้กระทั่งรถยนต์ เขาจะเอาเงินมาชดเชยจากไหนกันล่ะ? ไม่งั้นใครจะไปมีเวลามาคุยกับฟางผิงกัน

  …

  ฟางผิงที่อยู่ไม่ไกลรู้สึกพูดไม่ออก เจ้าหมอนี่ เขาสมควรถูกทุบตีจนตาย!

 

World’s Best Martial Artist

World’s Best Martial Artist

Status: Ongoing

ฟางผิงใช้เวลาครึ่งชั่วโมงในที่สุดก็ตัดสินได้ว่าเขาไม่ได้ฝันไปหรือไม่ได้ถ่ายหนัง…อย่าไร้สาระน่า ถ้าการถ่ายหนังชุบความเป็นหนุ่มของเขากลับมาได้ งั้นกองถ่ายก็คงไปถ่ายทำที่สวรรค์ได้แล้ว!

หลังยืนยันว่าเขากลับมาเกิดใหม่ ฟางผิงก็รู้สึกถึงความตื่นตระหนกก่อนจะค่อยๆยอมรับความจริง

ความจริงอะไรงั้นเหรอ? ความจริงที่ว่าเขากลับมาเกิดใหม่ในร่างตัวเองตอนเด็ก และเนื่องจากเขามีความรู้ของอนาคตติดตัวมาด้วย เขาจะทำวันนี้ให้ดีที่สุดแล้วกลายเป็นผู้ยิ่งใหญ่ในแวดวงธุรกิจ! เขาจะรวย!

นั่นเป็นความคิดของเขาจนกระทั่งเพื่อนเขามาขัดจังหวะ

“สรุปนายจะลงทะเบียนสอบวิชาการต่อสู้ไหม?”

อะไรนะ? พูดเล่นเหรอ? หรือเขาส่งบทผิด? วิชาการต่อสู้คืออะไร? ทำไมถึงมีค่าลงทะเบียนหมื่นหยวน? หัวของเขาเต็มไปด้วยประโยคคำถาม ไม่นานฟางผิงก็ตระหนักว่าเขาอาจไม่ได้โชคดีเหมือนที่เขาคิดไว้ตอนแรก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท