World’s Best Martial Artist – ตอนที่ 192 ผู้ฝึกยุทธขั้นสาม!

ตอนที่ 192 ผู้ฝึกยุทธขั้นสาม!

  ห้องพลังงานเต็มไปด้วยกลิ่นอายทันสมัย

  เมื่อเขาเข้ามาห้องพลังงาน ฟางผิงรู้สึกเหมือนเข้ามาในแคปซูลอวกาศ

  แม้มันจะถูกเรียกว่า‘ห้อง’ แต่ที่จริงห้องพลังงานเป็นอาคารปิดขนาดมหึมา ฟางผิงกับหลู่เฟิ่งโหรวเข้ามาในพื้นที่ส่วนกลางเท่านั้น ยังมีห้องเล็กๆมากมายถูกแบ่งเป็นส่วนๆอยู่ข้างใน

  หลู่เฟิ่งโหรวไม่รีบเข้าไปข้างใน เธอหาที่นั่งก่อนจะกล่าว  ฉินเฟิ่งชิงแสดงความแข็งแกร่งของขั้นสามสูงสุดให้ได้เห็นแล้ว นายคิดยังไง? 

   ถูกอัดได้มากขึ้น! 

  หลู่เฟิ่งโหรวทึ่งกับคำตอบเขา เธอรู้สึกพูดไม่ออก

  ที่เขาบอกถูกอัดได้มากขึ้นเป็นความจริง เมื่อเทียบกับผู้ฝึกยุทธขั้นหนึ่งขั้นสอง ผู้ฝึกยุทธขั้นสามมีพลังป้องกันที่แข็งแกร่งมาก

   นั่นก็เรื่องหนึ่ง 

  หลู่เฟิ่งโหรวพยักหน้าเล็กน้อย  นอกจากสมองแล้ว กระดูก เส้นลมปราณและปราณและเลือดจะโคจรเป็นหนึ่งเดียวกัน ตอนที่นายเป็นขั้นสองสูงสุด มันเป็นเรื่องที่ยากมากที่นายจะรวบรวมปราณและเลือดทั้งร่างกายไปที่จุดเดียว 

   แต่ที่ขั้นสาม มันง่ายดายมาก 

   นอกเหนือจากนั้น ก่อนหน้านี้กระดูกแขนขาจะแยกกัน ความแข็งแกร่งของมันจึงไม่แข็งแกร่งนัก มันเป็นความแข็งแกร่งแยกกันของแต่ละข้างเท่านั้น 

   เมื่อนายบรรลุขั้นสามสูงสุด นายจะแข็งแกร่งขึ้นทุกด้าน 

   ด้วยการระเบิดปราณและเลือดเหมือนกัน นายระเบิดปราณและเลือด 200แคลในขอบเขตขั้นสอง แต่นายคิดว่าขั้นสามต้องระเบิดปราณและเลือด 200แคลถึงจะต่อกรกับนายได้อย่างนั้นเหรอ? 

  ฟางผิงมึน  อาจารย์หมายถึงอะไร… 

   หลักการง่ายๆ เด็กอายุสามขวบมีปราณและเลือดพอควร ต่อให้มีไม่ถึง 100แคลก็ยังมีอย่างน้อย 90แคลขึ้นไป 

   ปราณและเลือดไม่ได้เกี่ยวกับปริมาณเลือดที่มี นายต้องเข้าใจจุดนี้ 

   ถ้าเด็กสามขวบออกแรงเต็มกำลัง ตามทฤษฏีระเบิดปราณและเลือด เด็กอาจระเบิดปราณและเลือดได้ราว 5แคล 

   งั้นขอถามหน่อย ถ้านายระเบิดปราณและเลือด 5แคลแล้วเข้าปะทะกับเด็ก นายว่าผลลัพธ์จะเป็นยังไง? 

   เป็นเนื้อบด! 

  ฟางผิงอ้าปากค้าง ผลลัพธ์น่าจะเป็นเช่นนี้

   ดีที่นายเข้าใจ ขั้นหนึ่งกับขั้นสองมีช่องว่างไม่ชัดเจนนัก นายรู้ไหมทำไม? 

   ขัดเกลากระดูกแขนขาทั้งสี่ข้างโดยแยกจากกันจะไม่ช่วยเพิ่มความแข็งแกร่งโดยรวม 

   นายก็ไม่ได้โง่ ผู้ฝึกยุทธขั้นหนึ่งขั้นสองขัดเกลากระดูกแขนขา แต่แขนขาทั้งสี่แยกจากกัน มันจึงไม่อาจเชื่อมด้วยกัน ที่จริงผู้ฝึกยุทธขั้นหนึ่งขั้นสองมีความแตกต่างกันไม่มากเท่าไหร่ มันแค่เพิ่มขีดจำกัดปราณและเลือด มีเคล็ดวิชาที่ใช้ได้เพิ่มขึ้น ส่วนขั้นสามนั้นต่างจากขั้นหนึ่งและขั้นสองโดยสิ้นเชิง มันเป็นขอบเขตที่เป็นฐานเชื่อมต่อจากขอบเขตก่อนกับขอบเขตถัดไป 

  หลู่เฟิ่งโหรวยิ้ม  ดังนั้นในขั้นสาม นายระเบิดปราณและเลือด 100แคลสามารถสังหารกู้เสียงได้ในหมัดเดียว 

   แต่… 

   นายอยากพูดถึงผู้ฝึกยุทธขั้นสามที่นายกับกลุ่มฟู่ชางติ่งเจอมาสินะ? 

  หลู่เฟิ่งโหรวแค่นเสียง  ผู้ฝึกยุทธขั้นสามที่นายเจอมาเป็นแค่ชั้นต้น จะแสดงความแข็งแกร่งที่แท้จริงของขั้นสามออกมาได้อย่างน้อยต้องขัดเกลากระดูกสันหลังจนเสร็จก่อน 

   ในขั้นสาม มีกระดูกลำตัวอยู่ 51 ชิ้น ในนั้นมีอยู่ 26 ชิ้นที่เป็นกระดูกสันหลัง มี 1 ชิ้นที่เป็นกระดูกอก และอีก 24 ชิ้นเป็นกระดูกซี่โครง 

   ขัดเกลากระดูกอกกับกระดูกซี่โครงให้เสร็จก่อน จากนั้นถึงขัดเกลากระดูกสันหลังได้… 

  ฟางผิงขัดจังหวะ  หมายความว่าในบรรดาผู้ฝึกยุทธขั้นสาม ผู้ฝึกยุทธขั้นสามสูงสุดถึงจะเป็นยอดฝีมือที่แท้จริง 

  เธอบอกว่าขัดเกลากระดูกสันหลังให้เสร็จ ไม่ได้หมายความว่าต้องขัดเกลากระดูกทั้ง 51 ชิ้นให้เสร็จ

  หลู่เฟิ่งโหรวขมวดคิ้ว  ให้ฉันพูดให้จบก่อน ใครบอกนายกันว่านั่นคือนิยามของขั้นสามสูงสุด? 

   ขัดเกลากระดูกไม่ใช่สิ่งเดียวที่นายต้องทำในขั้นสาม 

   ขัดเกลากระดูกก่อน เมื่อขัดเกลากระดูกเสร็จแล้ว จากนั้นก็ขัดเกลาและหล่อเลี้ยงกล้ามเนื้อ ผิวหนัง เลือดเนื้อ มาถึงจุดนี้ได้ถึงจะถือว่าเป็นขั้นสามสูงสุด 

   ขัดเกลากระดูกจนเสร็จ นายจะเป็นได้แค่ผู้ฝึกยุทธขั้นสามชั้นสูงเท่านั้น เป็นเหมือนกับเซี่ยเหล่ย 

   เข้าใจแล้ว 

  นี่เป็นครั้งแรกที่ฟางผิงได้ยินเรื่องนี้ จำนวนขัดเกลากระดูกไม่ใช่ปัจจัยเดียวในการแบ่งแยกขอบเขตพลัง

  หลู่เฟิ่งโหรวพูดต่อ  ในขั้นสาม ตราบใดที่ยังขัดเกลากระดูกซี่โครงไม่เสร็จจะถือว่าเป็นขั้นสามชั้นต้น 

   ตราบใดที่ขัดเกลากระดูกสันหลังไม่เสร็จจะถูกจัดเป็นขั้นสามชั้นกลาง 

   เมื่อขัดเกลากระดูกทุกชิ้นเสร็จ ถึงจะถือเป็นชั้นสูง 

   ดังนั้น การมีความแข็งแกร่งของขั้นสามชั้นสูงจึงจะถือเป็นผู้ฝึกยุทธระดับหัวกะทิที่แท้จริง จะต่อสู้กับผู้ฝึกยุทธขั้นสามชั้นกลางสิบคนพร้อมกันก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ 

   กลับกัน ความแตกต่างระหว่างขั้นสามสูงสุดกับขั้นสามชั้นสูงไม่ได้มากอย่างที่นายคิด 

  ตอนนี้ฟางผิงเข้าใจแล้ว เมื่อกี้ฉินเฟิ่งชิงสู้กับผู้ฝึกยุทธขั้นสามเหล่านั้นเหมือนเล่นสนุก

  อย่างไรก็ตามเมื่อเขาสู้กับเซี่ยเหล่ย เขาระมัดระวังเป็นพิเศษ แม้ว่าเขาจะดูท่าทางสบายๆก็ตามที

  ความสามารถระหว่างชั้นสูงกับสูงสุดไม่ได้เกี่ยวข้องกับกระดูก แต่เป็นความแตกต่างระหว่างกล้ามเนื้อ ผิวหนัง และเลือดเนื้อ

   ไม่แปลกใจเลย เมื่อกี้ผมรู้สึกว่าฉินเฟิ่งชิงผ่อนคลายมาก… 

   แน่นอน เขาระเบิดการโจมตีลวกๆ ผู้ฝึกยุทธขั้นสามชั้นกลางก็ต้องใช้ปราณและเลือดมากถึงสามเท่าเพื่อป้องกันการโจมตี นายคิดว่าฝ่ายตรงข้ามจะทนรับการโจมตีเต็มกำลังหนึ่งกระบวนจากฉินเฟิ่งชิงได้เหรอ? เมื่อกี้ฉินเฟิ่งชิงแค่เล่นกับพวกเขาเท่านั้น 

   แปลว่าขั้นสามมีระดับขั้นที่แตกต่างกันสองระดับ ขั้นสามชั้นต้นและชั้นกลางจัดเป็นระดับนึง ชั้นสูงและสูงสุดเป็นอีกระดับนึงงั้นเหรอ? 

   ถูกต้อง 

   แต่…ครั้งก่อนผมเจอผู้ฝึกยุทธขั้นสามสูงสุดเช่นกัน…ผมไม่เห็นว่าฝ่ายตรงข้ามจะแข็งแกร่งอะไรเลย 

   ใครกัน? 

   นักวิจัยในสถาบันวิจัย ขั้นสามสูงสุด เขาชื่อพานเสี่ยวหยาง 

  หลู่เฟิ่งโหรวอธิบายลวกๆ  นายอาจสัมผัสพลาดไป หรืออีกฝ่ายอาจเป็นแค่ขยะ และไม่เคยเรียนวิชาต่อสู้ ไม่งั้นเขาสังหารนายได้อย่างง่ายดาย 

  คำพูดของเธอทำให้ฟางผิงหดหู่มาก

  พานเสี่ยวหยางคงเป็นอย่างหลังแน่เลยใช่ไหม?

  ไม่งั้นเขาคงไม่ประนีประนอมกับฟางผิง จากคำอธิบายของหลู่เฟิ่งโหรว อีกฝ่ายสังหารเขาได้อย่างง่ายดาย

  อย่างไรก็ตามมันเป็นไปได้อีกเช่นกันว่าอีกฝ่ายกังวลเรื่องยอดฝีมือมากมายในเมืองเจียงเฉิง อีกฝ่ายไม่กล้าลงมือโดยไม่มีเหตุผล

  ถ้าเป็นเช่นนั้น เขาจำเป็นต้องขอบคุณพานเสี่ยวหยางที่ไม่ฆ่าเขาไหม?

  หลู่เฟิ่งโหรวไม่ได้สนใจเรื่องนี้นัก หลังเธอพูดเรื่องนี้เสร็จ เธอก็พูดต่อ  นี่แหละคือขั้นสาม ทุกคนเป็นขั้นสามได้ ดังนั้นต่อให้นายเอาชนะผู้ฝึกยุทธขั้นสามชั้นต้นได้ นายก็อย่าคิดว่าตัวเองสูงส่งแข็งแกร่ง 

   มีเพียงผู้ฝึกยุทธขั้นสามชั้นสูงเท่านั้นที่ได้รับการยอมรับอย่างแท้จริงจากผู้ฝึกยุทธขั้นกลางและผู้ฝึกยุทธขั้นสูง มีแต่พวกเขาเท่านั้นที่ได้รับการยอมรับว่าเป็นหนึ่งในเสาหลักของโลกผู้ฝึกยุทธ 

   ถ้านายอยากประลองกับจางอวี่ หรือเพิ่มช่องว่างกับนักศึกษาคนอื่น ขั้นสามชั้นสูงเป็นหนทางเดียวของนาย 

   ในเวลานั้น นายจะกลายเป็นนักศึกษาหัวกะทิที่แท้จริงของโม๋อู่! 

   มหาลัยวิชายุทธทั่วๆไปกำหนดให้ขั้นสามเป็นเส้นขอบเขตที่ถือเป็นหัวกะทิ 

   กลับกัน โม๋อู่กับจิงอู่กำหนดให้ขั้นสามชั้นสูงเป็นเส้นขอบเขต มาถึงขั้นสามชั้นสูงได้เท่านั้นถึงจะถือเป็นหัวกะทิ นี่เป็นความทระนงของมหาลัย! 

   เมื่อนายมาถึงขั้นนี้ได้ นายจะจบการศึกษาได้ทุกเมื่อ ถ้านายอยากออกไปทำงานข้างนอก องค์กรนับไม่ถ้วนจะต้อนรับนาย เชิญชวนนาย 

   ยิ่งไปกว่านั้น มีเพียงผู้ฝึกยุทธในขอบเขตนี้เท่านั้นที่ได้รับสิทธิพิเศษที่แท้จริงในโลกผู้ฝึกยุทธ… 

   ความรู้สึกที่ผมต่อสู้มาก่อนหน้านี้เป็นเหมือนเด็กตีกัน? 

   จะว่าแบบนั้นก็ได้ 

  หลู่เฟิ่งโหรวเชี่ยวชาญการทำร้ายจิตใจผู้คน ฟางผิงรู้สึกหัวใจบอบช้ำ

  ไม่นานฟางผิงก็ฟื้นตัว เขาถอนหายใจ  อาจารย์ ตอนนี้ผมทะลวงขั้นได้แล้วหรือ? 

   ไม่ต้องรีบ ใจเย็น ในกระดูกสันหลังมีเส้นเลือดเล็กอยู่ 26 เส้น ต้องเชื่อมทีเดียวโดยไม่มีหยุดชะงัก มันอันตรายเล็กน้อย 

   เตรียมเม็ดยาให้พร้อม ถ้าปราณและเลือดลดน้อยลงหรือมีปัญหาก็อย่าตื่นตกใจ ฉันจะคอยดูเอง 

   เมื่อนายเชื่อมต่อเส้นเลือดของกระดูกสันหลังเสร็จสักเส้น เส้นเลือดเล็กอีก 25 เส้นก็ไม่ยากแล้ว ทำไปทีละขั้นตอน หรือมาทำอีกวันอื่นยังได้ 

   จำไว้ อย่าหยุดอย่างผลีผลาม ไม่งั้นถ้าเส้นประสาทใกล้กระดูกสันหลังเสียหาย นายจะเป็นอัมพาต 

   ทะลวงสู่ขั้นสามมีความเสี่ยงค่อนข้างสูง นี่เป็นหนึ่งในเหตุผลที่ทำไมมหาลัยวิชายุทธทั่วๆไปถึงมองว่าขั้นสามเป็นหัวกะทิ 

   แม้ว่าจะมีขีดจำกัดเพิ่มความสามารถ แต่ขัดเกลากระดูกสำเร็จก็ทำได้ไม่ช้าก็เร็ว จะเรียกขั้นสามว่าเป็นหัวกะทิจึงไม่ได้เป็นไปไม่ได้โดยสิ้นเชิง 

   ผมเข้าใจแล้ว 

  ฟางผิงไม่เสียเวลาอีก เขานั่งลงกับพื้นแล้วเริ่มตรวจสอบตัวเอง

  ทรัพย์สิน : 21 ล้าน

  ปราณและเลือด : 525แคล (525แคล)

  จิตใจ : 443เฮิรตซ์ (443เฮิรตซ์)

  ขัดเกลากระดูก : 126 ชิ้น (90%) 80 ชิ้น (30%)

  สำหรับค่าทรัพย์สิน มันมาจากเม็ดยาปราณและเลือดขั้นหนึ่ง 10 เม็ดกับเงินสด 2 ล้านของพานเสี่ยวหยาง และเงิน 5 ล้านของเหล่าหวัง มันทำให้ค่าทรัพย์สินของฟางผิงทำลายสถิติเงิน 20 ล้านในที่สุด

  ในแง่เงินสด ก่อนหน้านี้ฟางผิงทำสถิติใหม่ มีถึง 27 ล้านแล้ว

  อย่างไรก็ตาม ตอนนี้เขาเหลืออยู่ไม่มาก เช้านี้เขาไปที่แผนกโลจิสติกส์เพื่อซื้อเม็ดยาปราณและเลือดขั้นสอง เม็ดยาชำระกระดูกขั้นสองและเม็ดยาป้องกันอวัยวะภายในขั้นสองไป

  ราคาตลาดอยู่ที่ 3.7 ล้าน แต่ฟางผิงต่อรองเหลือ 3.5 ล้าน

  ตอนนี้ฟางผิงมีเงินสดเหลืออยู่ 23.5 ล้าน

  เขาอยู่ในสภาพดีสุด เขาสงบใจตัวเองลงเล็กน้อย จากนั้นฟางผิงก็เดินไปที่แผนกต้อนรับ

   เปิดห้องบ่มเพาะ 

   ระยะเวลา? 

  ฟางผิงหันไปมองหลู่เฟิ่งโหรว หลู่เฟิ่งโหรวพูดลวกๆ  ห้าชั่วโมง เวลาที่เหลือใช้ปรับสมดุลพลัง 

   50 คะแนน 

  ผู้ฝึกยุทธที่แผนกต้อนรับเคร่งครัดมาก เขาไม่เปิดช่องให้ต่อรองเลย

  ฟางผิงหันไปมองหลู่เฟิ่งโหรวอีกครั้ง หลู่เฟิ่งโหลวก็จ้องมองเขา ‘มองฉันแล้วจะมีประโยชน์อะไร? นายคิดว่าฉันจะจ่ายให้เหรอ?’

  ฟางผิงหัวเราะอย่างขมขื่น เขายังจำได้ว่าอาจารย์เคยพูด ‘ถ้ามากับฉัน นายจะใช้ยาได้ตามต้องการ’

  แล้วตอนนี้ล่ะ!

  ’ห้าสิบคะแนน อาจารย์ไม่ช่วยจ่ายให้ลูกศิษย์ แต่อาจารย์ยังจะเรียกตัวเองว่าอู่ไร้พ่ายอีก อาจารย์ไม่ละอายหน่อยเหรอ?’

  ในใบอนุญาตผู้ฝึกยุทธเขา เขาเหลืออยู่ 80 คะแนน หลังฟางผิงจ่ายค่าธรรมเนียม เขาหยิบคีย์การ์ดเดินไปที่ประตู เขาเหลือเพียง 30 คะแนนเท่านั้น

  ขณะเดินไปที่ห้องบ่มเพาะ ฟางผิงก็บ่นโอดโอย  จะแพงเกินไปแล้ว 

  50 คะแนน 1.5 ล้านเลยนะ!

   พอนายเข้าไปข้างในนายจะเข้าใจเอง 

  …

  ไม่นานฟางผิงก็เข้าใจความหมายของหลู่เฟิ่งโหรว

  ทันทีที่เขาก้าวเข้ามาในห้องบ่มเพาะ ฟางผิงรู้สึกได้ว่ารูขุมขนคลายตัว ปราณและเลือดไหลเวียนอย่างมีชีวิตชีวา แม้แต่จิตใจเขาที่ค่อนข้างไร้ประโยชน์ก็เหมือนกระโดดโลดเต้นด้วยความยินดี

   นี่เป็นผลของแร่พลังงานงั้นเหรอ? 

   ใช่ รู้สึกดีใช่ไหม? ฝึกฝนที่นี่จะช่วยให้นายฟื้นฟูปราณและเลือดได้เร็ว ยิ่งกว่านั้นปราณและเลือดยังโคจรได้เฉียบคมยิ่งขึ้น ขัดเกลากระดูกได้ละเอียดยิ่งขึ้น เชื่อมต่อเส้นเลือดเล็กยังง่ายขึ้นเล็กน้อย 

   เมื่อนายหาคะแนนได้มามากพอ นายจะมาฝึกที่นี่ได้บ่อยๆ 

  ฟางผิงไม่ได้พูดอะไร ‘ผมมีมากก็ผลาญไปมาก’

  อย่างไรก็ตาม การฝึกฝนและทะลวงขั้นในสถานที่นี้ก็มีข้อดีอยู่

  โดยไม่เสียเวลาอีก ฟางผิงนั่งขัดสมาธิ เตรียมพร้อมเชื่อมต่อเส้นเลือดเล็กและทะลวงสู่ขั้นสาม

  หลู่เฟิ่งโหรวนั่งอยู่ข้างๆ พูดด้วยน้ำเสียงอันเบา  สัมผัสถึงตำแหน่งเส้นเลือดเล็กอย่างระวัง จำไว้นายต้องสัมผัสให้ได้ชัดเจน อย่าเชื่อมต่อเส้นเลือดเล็กบนกระดูกสันหลังอย่างผลีผลาม 

   รับทราบ  ฟางผิงตอบ เขาหลับตาปรับลมหายใจ จากนั้นสักครู่ เขาก็เริ่มฝึกเคล็ดเสริมสร้าง สัมผัสเส้นเลือดเล็กที่อยู่ใกล้ลำตัวอย่างระมัดระวัง

  …

  เมื่อเธอเห็นว่าฟางผิงเงียบไปแล้ว ตอนแรกหลู่เฟิ่งโหรวก็หมดความสนใจไป

  หลังจากนั้นสักครู่ จู่ๆเธอก็เลิกคิ้วขึ้น

   อำนาจจิต… 

  หลู่เฟิ่งโหรวลอบประหลาดใจ ฟางผิงกำลังใช้อำนาจจิตสัมผัสเส้นเลือดเล็ก?

  ฟางผิงที่เป็นผู้ฝึกยุทธขั้นต่ำสัมผัสถึงอำนาจจิตของตัวเองได้?

  อำนาจจิตเป็นหนึ่งในความสามารถโดยกำเนิดของมนุษย์ อย่างไรก็ตามผู้ฝึกยุทธขั้นต่ำมีอำนาจจิตที่อ่อนแอมาก มันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะสัมผัสถึง

  แม้แต่สามขั้นกลาง ก็มีเพียงผู้ฝึกยุทธขั้นหกเท่านั้นที่มีโอกาสสัมผัสพลังงานรูปแบบอื่นในร่างกายตนเอง

  ฟางผิง…เหมือนกำลังใช้อำนาจจิตสัมผัสเส้นเลือดเล็กของตนเอง!

  อำนาจจิตเป็นสิ่งที่มองไม่เห็น มันจับต้องไม่ได้และไม่มีตัวตน อย่างไรก็ตามมันเป็นคลื่นพลังพิเศษ มีเพียงผู้ฝึกยุทธที่เคยรู้สึกถึงมันได้เท่านั้นถึงจะสังเกตเห็น

  นอกจากนี้มันยังเป็นเพราะหลู่เฟิ่งโหรวเป็นผู้ฝึกยุทธขั้นหกสูงสุด ถ้าเป็นไป๋รั่วซี เธอไม่มีทางสังเกตเห็นแน่นอน

   เจ้าหนูนี่…เกิดอะไรขึ้นกัน? 

   พรสวรรค์แต่กำเนิด? 

  หลู่เฟิ่งโหรวสับสน เธอไม่เคยเจอสถานการณ์แบบนี้มาก่อน

  นี่มันหมายความว่าเมื่อฟางผิงบรรลุขั้นหก เขาจะมีโอกาสเป็นปรมาจารย์สูงยิ่งกว่าผู้ฝึกยุทธทั่วไปงั้นเหรอ?

   ผู้สืบทอดปรมาจารย์? 

  ความคิดนี้แม้แต่ตัวหลู่เฟิ่งโหรวเองยังตะลึง

  หลังเธอสังเกตฟางผิงอย่างลึกซึ้งสักครู่ หลู่เฟิ่งโหรวก็ไม่มั่นใจว่าตนเองคิดอะไรอยู่ เธอขมวดคิ้วและส่ายหน้าทันที

  …

  ฟางผิงไม่ทราบเรื่องเหล่านี้ หลู่เฟิ่งโหรวคิดว่าเขาใช้อำนาจจิต

  อันที่จริงฟางผิงไม่ได้มีความคิดทำอะไรแบบนั้น

  เขาแค่ทำตามคำสั่งของหลู่เฟิ่งโหรว สัมผัสตำแหน่งเส้นเลือดเล็กอย่างระวัง

  เพราะงั้นเมื่อเขาอยู่ในห้องพลังงาน มีแร่พลังงาน จิตใจของฟางผิงจึงกระตือรือร้นยิ่งกว่าเดิม

  เขาเพ่งความสนใจทั้งหมดไปกับการสัมผัสเส้นเลือดเล็ก เป็นผลให้เขาแทบเห็นโครงร่างของร่างกายมนุษย์ มันเกินความคาดหมายของเขาไปโดยสมบูรณ์

  อย่างไรก็ตามฟางผิงไม่ได้คิดว่ามันไม่ปกติ สำหรับเขาแล้ว มันไม่ได้มีอะไรน่าภาคภูมิใจ

  ตอนที่เขาฝึกฝนด้วยตนเอง บางครั้งเขาก็สามารถสัมผัสได้ถึงเส้นลมปราณภายในร่างกาย ดังนั้นเขาจึงบอกภาวะโคจรปราณและเลือดของตนเองได้ อย่างไรก็ตามมันไม่เคยชัดเจนเท่าตอนนี้ เมื่อเขาสามารถสัมผัสได้ถึงตำแหน่งเส้นเลือดเล็กได้อย่างเด่นชัด ขั้นตอนต่อไปจะง่ายขึ้นมาก

  ฟางผิงเริ่มใช้ปราณและเลือด กระแทกเข้ากับเส้นเลือดเล็กกึ่งปิดเหล่านี้

  หนึ่ง สอง…

  ไม่นานฟางผิงก็เชื่อมต่อเส้นเลือดเล็กมากกว่า 10 เส้น

   มันง่ายกว่าที่คิด เหล่าหลู่ทำให้ฉันกังวลเกินเหตุ… 

  ฟางผิงเสียสมาธิไปเล็กน้อย เมื่อเขาเสียสมาธิ โครงร่างเส้นเลือดในใจเขาก็หายไปทันที

  ฟางผิงตระหนก เขารีบสลัดความคิดที่ยุ่งเหยิงทิ้งไปแล้วสัมผัสต่ออย่างระวัง

  …

  หลู่เฟิ่งโหรวกำลังจะเข้ามาแทรกแซง แต่เมื่อเห็นว่าปราณและเลือดของฟางผิงกลับมาเป็นปกติ เธอจึงนั่งลง ขมวดคิ้วเล็กน้อย เจ้าหนูนี่จะล้มเหลวไหม?

  อย่างไรก็ตามหลังจากเห็นว่าทุกอย่างดำเนินไปได้ด้วยดี ในที่สุดหลู่เฟิ่งโหรวก็คลายใจ

  หลังผ่านมาหนึ่งชั่วโมง ฟางผิงที่เนื้อตัวเปรอะเปื้อนด้วยเลือดก็ยื่นมือออกมา หยิบเม็ดยาป้องกันอวัยวะภายในกับเม็ดยาชำระกระดูกกลืนเข้าไปในอึกเดียว หลู่เฟิ่งโหรวแทบสบถเสียงดัง!

  ‘เส้นเลือดเล็กบนกระดูกสันหลังเชื่อมต่อกันแล้ว ทำไมต้องกันยาอีก กลัวตายขนาดนั้นเชียว!

  ‘การเชื่อมต่อของเส้นเลือดเล็กบนกระดูกหน้าอกกับซี่โครงไม่ได้มีความเสี่ยง โอกาสที่อวัยวะภายในบาดเจ็บนั้นต่ำมาก!’

  ‘คนแบบนี้ ต่อให้ฉันมีเม็ดยาทั้งหมดบนโลก ฉันก็ไม่มีทางมอบให้!’

  หลู่เฟิ่งโหรวก่นด่าในใจ เธอไม่ได้ขี้เหนียวอย่างที่ฟางผิงคิด

  เหตุผลที่ทำไมเธอถึงไม่ให้ยาฟางผิงเพราะลูกศิษย์ของเธอคนนี้ใช้เม็ดยาไม่เหมาะสม เขาใช้ยาในการประลอง เอายาไปขายบ่อยๆ เมื่อเขาทะลวงขั้น เขาก็เตรียมเม็ดยามากเกินพอเมื่อเทียบกับผู้ฝึกยุทธขัดเกลาหนึ่งครั้ง

  ทำไมคนแบบนี้ถึงสมควรได้รับเม็ดยาของเธอ มันเสียเปล่า!

  …

  สองชั่วโมงผ่านมา ฟางผิงพยายามปกปิดกลางทาง เขาจึงกลืนยาปราณและเลือดขั้นสองไปเม็ดนึง

  เวลานั้นจู่ๆเขาก็ลืมตา กล่าวอย่างยินดี  มันเชื่อมกันแล้ว! 

   อืม 

  หลู่เฟิ่งโหรวไม่ได้ดูแปลกใจเลย หลังเส้นเลือดเล็ก 26 เส้นของกระดูกสันหลังเชื่อมต่อกัน เธอก็รู้ว่ามันไม่มีความเสี่ยงอีก

   ฝึกฝนและปรับสมดุลเอง ฉันจะออกไปก่อน 

   อาจารย์ ผมไม่มีเม็ดยามาฟื้นฟูปราณและเลือดแล้ว… 

  หลู่เฟิ่งโหรวทำเป็นไม่ได้ยินและเดินออกไปข้างนอกทันที ‘ฝันไปเหอะ!’

  ��

 

World’s Best Martial Artist

World’s Best Martial Artist

Status: Ongoing

ฟางผิงใช้เวลาครึ่งชั่วโมงในที่สุดก็ตัดสินได้ว่าเขาไม่ได้ฝันไปหรือไม่ได้ถ่ายหนัง…อย่าไร้สาระน่า ถ้าการถ่ายหนังชุบความเป็นหนุ่มของเขากลับมาได้ งั้นกองถ่ายก็คงไปถ่ายทำที่สวรรค์ได้แล้ว!

หลังยืนยันว่าเขากลับมาเกิดใหม่ ฟางผิงก็รู้สึกถึงความตื่นตระหนกก่อนจะค่อยๆยอมรับความจริง

ความจริงอะไรงั้นเหรอ? ความจริงที่ว่าเขากลับมาเกิดใหม่ในร่างตัวเองตอนเด็ก และเนื่องจากเขามีความรู้ของอนาคตติดตัวมาด้วย เขาจะทำวันนี้ให้ดีที่สุดแล้วกลายเป็นผู้ยิ่งใหญ่ในแวดวงธุรกิจ! เขาจะรวย!

นั่นเป็นความคิดของเขาจนกระทั่งเพื่อนเขามาขัดจังหวะ

“สรุปนายจะลงทะเบียนสอบวิชาการต่อสู้ไหม?”

อะไรนะ? พูดเล่นเหรอ? หรือเขาส่งบทผิด? วิชาการต่อสู้คืออะไร? ทำไมถึงมีค่าลงทะเบียนหมื่นหยวน? หัวของเขาเต็มไปด้วยประโยคคำถาม ไม่นานฟางผิงก็ตระหนักว่าเขาอาจไม่ได้โชคดีเหมือนที่เขาคิดไว้ตอนแรก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท