ฟางผิงตัดหัวศัตรูอย่างรวดเร็ว กู้เสียงก็ไม่ได้ช้ากว่ามากนัก ฟางผิงพึ่งปรับลมหายใจ กู้เสียงก็ส่งศัตรูกระเด็นด้วยหมัดเดียว ไม่รู้ว่าเป็นหรือตาย
อีกด้านหนึ่ง พวกจ้าวเหล่ยเจอปัญหาอยู่บ้าง
หลี่จ้าวซวี่กับจินเหล่ยพึ่งบรรลุขั้นสองไม่นาน ได้รับบาดเจ็บจึงถูกบังคับให้ถอนตัว
เมื่อเห็นพวกฟางผิงจบการต่อสู้แล้ว จ้าวเหล่ยจึงเริ่มกังวล เขาคำรามเสียงต่ำ ต้นขาพลันขยายขนาด กระแทกใส่ขาศัตรูอย่างแรงจนเกิดเสียงดัง
โง่! ฟางผิงสบถ ขณะที่จ้าวเหล่ยกับฝ่ายตรงข้ามปะทะกันอย่างเดือดดาล ฟางผิงก็ทะยานขึ้นบนอากาศและตกลงมาจากฟ้า เกิดเสียง‘เคร้ง’อยู่สามครั้ง คู่ต่อสู้ของจ้าวเหล่ยก็มีชะตากรรมเดียวกับสามคนก่อน
ฟางผิง!
จ้าวเหล่ยหน้าสลด เขากำลังจัดการศัตรู ฟางผิงดันโผล่มาแย่งความเด่นเขา!
ฟางผิงชำเลืองมองแล้วพูดอย่างไม่พอใจ สมองนายมีแต่น้ำรึไง? ขานายหักยัง? พรุ่งนี้นายจะยังสู้ได้อีกไหม?
จ้าวเหล่ยเงียบเสียงไป ปะทะกับผู้ฝึกยุทธขั้นสามเมื่อสักครู่เห็นได้ชัดว่ามันเป็นการแลกเปลี่ยนที่ไม่คุ้มค่าเอาเสียเลย
แม้เขาจะเป็นผู้ฝึกยุทธขัดเกลาสองครั้ง แต่ยังไงเขาก็เป็นแค่ผู้ฝึกยุทธขั้นสองชั้นกลาง จริงอยู่ที่เขาอาจอยู่ไม่ไกลจากขั้นสูงนัก แต่ความแตกต่างด้านปราณและเลือดนั้นสูงมาก
ขั้นสามชั้นต้น 3 คนกับชั้นกลาง 1 คน
ขณะที่ฟางผิงเปิดปากพูด เขาก็เห็นนักศึกษารีบวิ่งออกมาแล้ว เขาจึงรีบออกคำสั่ง เก็บสินสงคราม ของพวกนี้ควรเป็นของเรา
ก่อนที่คนอื่นจะลงมือ ฟางผิงก็เคลื่อนไหวแล้ว เขารีบค้นร่างผู้ฝึกยุทธที่เสียชีวิตไปแล้วยัดของใส่กระเป๋าก่อนจะหยิบอาวุธของอีกฝ่ายมาถือ
…
ผ่านไปไม่นาน นักศึกษาก็มารวมตัวกันที่หน้าค่าย แสงไฟสาดส่องสว่างไสว
เมื่อทุกคนเห็นศพตรงหน้า ทุกคนก็เงียบเสียงไป
เวลานั้นเอง ผู้ฝึกยุทธจากกองทัพจู่ๆก็ปรากฏตัวมา ตะโกนเสียงดัง มหาลัยวิชายุทธทุกคนฟังประกาศ
การประเมินครั้งนี้ คะแนนขั้นต่ำคือ 100 คะแนน!
นักศึกษาทุกคนจากสาขากลยุทธ์และยุทธวิธีจะถูกหัก 10 คะแนน
สาขาอื่นจะถูกหัก 5 คะแนน
สังหารผู้ฝึกยุทธขั้นหนึ่งจะได้ 5 คะแนน สังหารผู้ฝึกยุทธขั้นสองชั้นต้น ชั้นกลาง ชั้นสูงและชั้นสูงสุดจะได้ 10 15 20 และ 25 คะแนนตามลำดับ
ส่วนผู้ฝึกยุทธขั้นสาม ขั้นสามชั้นต้นได้ 30 คะแนน ชั้นกลางได้ 50 คะแนน ชั้นสูงได้ 500 คะแนน และชั้นสูงสุดจะได้ 1000 คะแนน!
ทุกคนอึ้งไปเล็กน้อย ไม่เห็นมีใครพูดถึงเรื่องโดนหักคะแนนเลย นักศึกษาสาขากลยุทธ์และยุทธวิธีโดนหัก 10 คะแนน พวกเขายอมรับได้ พวกฟางผิงจากสาขาศาสตราวุธก็ต้องยอมรับเรื่องโดนหักคะแนนเหมือนกัน
ประเด็นหลักไม่ใช่เรื่องการหักคะแนน แต่เป็นรางวัลในการสังหารศัตรู
ระหว่างขั้นสามชั้นสูงขึ้นไปกับชั้นอื่น มันมีความเหลื่อมล้ำมากเกินไป!
ศัตรูขั้นสามชั้นสูงหนึ่งคนมีค่า 500 คะแนน เทียบเท่ากับการสังหารผู้ฝึกยุทธขั้นหนึ่ง 100 คนพร้อมกัน
ในลัทธิชั่ว จะมีผู้ฝึกยุทธขั้นหนึ่งถึง 100 คนไหม?
หลังสิ้นเสียงประกาศ พวกเขาก็อาศัยความมืดยามค่ำคืนหายวับไปต่อหน้าต่อตาทุกคน
นักศึกษาหลายคนรู้สึกกลัดกลุ้ม พวกเขาถูกหักคะแนน!
โดนหักไป 10 คะแนน พวกเขาเหลือเพียง 90 คะแนนเท่านั้น
นอกจากนี้ ลัทธิชั่วก็เหลือคนราว 300 คนเท่านั้น
หากเฉลี่ยสังหารคนละหนึ่งคน สังหารคนธรรมดาแล้วไม่ได้คะแนน แล้วขั้นหนึ่งได้เพียง 5 คะแนน มันอาจเป็นไปได้มากว่าพวกเขาอาจได้คะแนนไม่ถึงคะแนนขั้นต่ำด้วยซ้ำ
แม้จะไม่มีใครทราบว่าคะแนนประเมินมีไว้เพื่ออะไร แต่นี่ไม่ใช่ภารกิจแรกของทุกคน พวกเขารู้ว่ามันต้องเกี่ยวกับรางวัลแน่นอน
ตอนนี้ฉันมี 175 คะแนนแล้ว?
กลับกันฟางผิงค่อนข้างมีความสุข แต่จู่ๆเขาก็นึกอะไรออก เขาสบถแล้วกล่าว ฉันเฝ้ายามแล้ว! ไม่ให้คะแนนฉันไม่ว่า แต่พวกเขายังหักคะแนนฉันอีก!
กู้เสียงยืนอยู่ข้างๆ อดเถียงไม่ได้ ‘นายเฝ้ายาม? ถ้าฉันไม่ปลุก นายยังนอนกรนอยู่เลยมั้ง’
ฟางผิงสบถอีกครั้ง ขณะที่ทุกคนคุยกันเงียบๆ เขาก็หันไปมองผู้พูดแล้วบ่นอุบอิบ ครั้งนี้ฉันช่วยชีวิตพวกนายทุกคน มีผู้ฝึกยุทธขั้นสามสี่คน แถมคนหนึ่งยังเป็นขั้นสามชั้นกลางที่มีไพ่ตายถึงตาย ถ้าพวกมันเจอกับฟางเหวินเสียง พวกมันฆ่าเขาได้ในกระบวนท่าเดียว
ฉันช่วยชีวิตทุกคนไว้ จะไม่มีใครให้ของขวัญขอบคุณฉันเลยเหรอ?
ฟางเหวินเสียงหน้าเสีย แต่ฟางผิงไม่สนใจ เขาพูดความจริง คุณจะไม่เชื่อเหรอ?
ฟางเหวินเสียงเป็นเพียงขั้นสองชั้นกลาง ยังไม่บรรลุชั้นสูง ถ้าเขาเจอผู้ฝึกยุทธที่สูงกว่าหนึ่งระดับ มันก็ไม่ใช่สิ่งที่จะแก้ไขได้ด้วยฝีมือต่อสู้แล้ว เมื่อต่อสู้กับคู่ต่อสู้ที่ระดับสูงกว่า ขั้นสองชั้นกลางสู้กับขั้นสามชั้นต้นก็ถือว่าเป็นขีดจำกัดแล้ว
แม้แต่พวกจ้าวเหล่ยก็ใช้เวลาครึ่งค่อนวันในการต่อสู้กับขั้นสามชั้นต้น
ไม่มีใครสนใจฟางผิงที่หน้าด้านทวงบุญคุณ ไม่มีใครพูดถึงเรื่องสินสงครามเช่นกัน
พวกเขาถูกศัตรูซุ่มโจมตี แต่พวกฟางผิงเป็นคนจัดการศัตรู พวกเขาจึงไม่มีเหตุผลจะบ่นเรื่องนี้
เนื่องจากไม่มีใครบ่น ฟางผิงจึงไม่ได้พูดอะไรเช่นกันแล้วหันกลับไปอย่างพึงพอใจ
ทันทีที่เขาก้าวขา กู้เสียงก็ดึงตัวเขากลับแล้วพูดขึ้นมา ใกล้เช้าแล้ว มาเฝ้ายามกันต่อเถอะเผื่อโดนซุ่มโจมตีรอบสอง
เป็นไปได้เหรอ?
เป็นไปได้สิ ในถ้ำใต้ดิน เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นบ่อยมาก
งั้นก็เอาตามนั้น
ฟางผิงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากตามพวกเขาออกนอกค่าย
เมื่อเขาเดินออกไป จู่ๆก็มีเสียงคนตะโกนจากนอกค่าย ประกาศ!
ทำผิดซ้ำซาก นักศึกษาสาขากลยุทธ์และยุทธวิธีจะถูกหักอีก 20 คะแนน คนอื่นจะถูกหักอีก 10 คะแนน…
ลุง แล้วผมล่ะ? ฟางผิงรีบตะโกนพร้อมกับตรวจสอบรอบๆ เขาไม่เห็นกล้องวงจรปิดสักตัว แต่เขาก็ตะโกนต่อ ผมไม่ควรถูกหักคะแนนใช่ไหม?
ผมเฝ้ายามถึงสองครั้ง! คนอื่นสมควรถูกหักคะแนน แต่หักคะแนนผมไปมันไม่ถูก!
ผู้ฝึกยุทธของกองทัพสำรวจดูฟางผิง เขาเหมือนกำลังสื่อสารกับใครสักคน หลังตั้งใจฟังอยู่ครู่หนึ่งเขาก็พยักหน้า พวกคุณจะไม่ถูกหักคะแนน!
สิ้นเสียงพูด ชายรูปร่างใหญ่สูงคนนั้นก็หายวับไปอีกครั้ง
ฟางผิงกล่าวอย่างอารมณ์ดี ถ้าแบบนั้น ก็แปลว่าหัก 5 คะแนนตอนแรกก็ไม่นับเหมือนกันสินะ
น่าสงสาร นักศึกษาสาขากลยุทธ์และยุทธวิธีเหลือแค่ 70 คะแนน…
ขณะที่เขากล่าว คนสองสามร้อยคนต่างก็วิ่งออกมาจากนอกค่ายแล้วยืนออกันอยู่หน้าทางเข้า
ในหมู่ฝูงชน มีคนพูดอย่างจนใจ เราไม่ใช่ผู้บัญชาการของทีม ผู้บัญชาการควรรับผิดชอบไม่ใช่เหรอ?
เรื่องนี้อาจเป็นความจริง แต่ก็ไม่มีใครสนใจ
ผู้บัญชาการของทั้งสามทีมต่างก็ถูกเลือกจากนักศึกษาที่อยู่กันตรงนี้ ผู้บัญชาการเหล่านี้ย่อมกลายเป็นแพะรับบาปไป
…
ฟางผิง นายหักหลังเพื่อน!
หยางเสี่ยวม่านเดินเข้ามาอย่างค่อนข้างจนใจ เธอบ่นอุบ ฉันไม่รู้ด้วยซ้ำว่าทำไมถึงโดนหัก 15 คะแนน แถมพวกนายยังมอบหมายให้ฉันอยู่รอบนอก ฉันแค่รออยู่เฉยๆแล้วจบการประเมินครั้งนี้ด้วยคะแนน 85 คะแนน
ฟางผิงกล่าวด้วยท่าทีจริงจัง เธอประเมินตัวเองสูงไป!
ทำไม?
เธอบอกจบการประเมินด้วย 85 คะแนน แต่ฉันว่าเธอคงได้แค่ 60…
ไปให้พ้นเลย!
หยางเสี่ยวม่านโกรธมากจนแทบกระอัก ตอนแรกเธอก็กลัดกลุ้มอยู่แล้ว ตอนนี้เธอรู้สึกกลุ้มหนักเข้าไปใหญ่
ฟางผิงมองไปรอบๆแล้วเผยยิ้มกว้าง ฉันว่าคงมีกล้องวงจรปิดติดรอบค่าย รวมถึงหมู่บ้านผานสือด้วย
เราถูกอาจารย์จับตามองทุกย่างก้าว ดูสิ เพื่อจัดการพวกเรา จะมีสักกี่คนเชียวที่ได้คะแนนถึงขั้นต่ำ
ฉันเกรงว่าหลังกลับมหาลัย คนที่ได้ไม่ถึงคะแนนขั้นต่ำต้องเจอบทลงโทษแน่นอน
ถ้าเป็นแบบนั้น ฉันไม่จัดการผู้ฝึกยุทธลัทธิชั่วสักสองสามคนต้องไม่ผ่านแน่นอน
พวกหยางเสี่ยวม่านสบตากัน ถ้าพวกเขาไม่สังหารศัตรู นั่นก็แปลว่าพวกเขาไม่ผ่านการประเมินครั้งนี้
…
นักศึกษาในค่ายร่วมมือกัน ทุกคนตื่นกันจนถึงรุ่งสาง จากนั้นพวกเขาก็ปรึกษากันแล้วเริ่มแบ่งหน้าที่กัน
คนที่ทำอาหารก็ทำอาหารไป คนที่เฝ้ายามก็เฝ้ายามไป มีแม้แต่หน่วยลาดตระเวนจับตาดูเส้นทางไปหมู่บ้านผานสือ
ฟางผิงไม่ได้รับหน้าที่อะไร เขาเลยรู้สึกกลัดกลุ้ม มันคงดีถ้าเขารับผิดชอบอะไรสักอย่าง
ทุกคนประเมินผู้ฝึกยุทธสาวพวกนี้สูงเกินไป!
พวกเธออาจต่อสู้ได้ แต่พวกเธอทำอาหารไม่ได้
เมื่อถึงเวลามื้อเที่ยงก็แทบไม่มีใครทานเลย ทุกคนทานเม็ดยาแทน แม้แต่ทานเม็ดยาฟื้นฟูปราณและเลือดก็ยังดีกว่าทานอาหารพวกนี้
หลังทุกคนทาน‘อาหาร’เสร็จ ทุกคนก็มารวมตัวกันอีกครั้ง
พูดตามตรงเราคิดน้อยเกินไป ตอนนี้ซุ่มโจมตีตอนกลางคืนอาจไม่ได้ผลนัก ศัตรูรู้การมาถึงของเรา เราจะคิดว่าพวกมันหูหนวกตาบอดไม่ได้อีกต่อไป
ฉันแนะนำให้ลงมือตอนบ่าย ไปสำรวจสถานการณ์ที่หมู่บ้านผานสือด้วยกัน
เราจะตัดสินใจว่าจะโจมตีรึเปล่าหลังพิจารณาสถานการณ์ที่นั่น อยู่ที่นี่ไปก็สักแต่ทำให้เสียเวลา แถมยังไม่มีประสิทธิภาพ
นี่เป็นคำแนะนำของกู้เสียง หลังทุกคนพิจารณาเล็กน้อย ทุกคนก็ต้องยอมรับว่าตนเองมองโลกในแง่ดีเกินไป
ทางทฤษฏีแล้ว รออยู่ตรงนี้จนถึงมืดแล้วไปสอดแนมตรวจสอบสถานการณ์ก่อนวางแผนโจมตีมันฟังดูไม่เลวเลย แต่ศัตรูของพวกเขามีผู้แข็งแกร่งหลายร้อย พวกมันไม่ได้โง่แน่นอน พวกมันย่อมไม่รอให้พวกเขาเปิดฉากโจมตีก่อน
เมื่อสิ้นเสียงพูด ฟางผิงก็กล่าว ฉันเห็นด้วย เมื่อวานเราคำนวณผิดพลาด พวกมันเป็นกลุ่มผู้ฝึกยุทธที่กำลังหลบหนีแล้วรู้ว่าตัวเองกำลังจะตาย ถ้าเราชักช้าอีก ใครจะรู้ล่ะว่าพวกมันจะวางแผนชั่วอะไรไว้
เอาล่ะ ไปกันเถอะ!
…
เมื่อพวกเขากำลังออกเดินทาง ทุกคนก็พบปัญหาอื่น!
พวกเขาไม่มีรถยนต์ ไม่มีพาหนะอะไรเลย
มันก็แปลว่าพวกเขาจำเป็นต้องเดินเท้า
ระยะทาง 15 กิโลเมตรถือว่าไม่ไกล แต่ก็ไม่ใกล้เช่นกัน แม้แต่ผู้ฝึกยุทธก็ยังต้องใช้เวลาเดิน 1-2 ชั่วโมง
ไปกันเถอะ แถวนี้ไม่มีรถแน่นอน ถามไปก็ไม่มีประโยชน์
กู้เสียงไม่ได้คาดหวังนัก เขาบอกได้เลยว่าอันที่จริงมันเป็นการจำลองสภาพแวดล้อมการต่อสู้ของถ้ำใต้ดิน
ในถ้ำใต้ดิน การเดินเป็นวิธีเดินทางที่ใช้กันทั่วไป
…
ณ ค่ายชั่วคราว
ถังเฟิงถอนหายใจ หัก 10 คะแนนทุกคน ไม่ประกาศ!
อาจารย์ส่วนหนึ่งก็พยักหน้าเห็นด้วย อีกส่วนก็ไม่ค่อยเห็นด้วยเท่าไหร่
ไม่มีเหตุผลที่ไม่เห็นด้วย ทางไปหมู่บ้านผานสือมีจุดซุ่มโจมตีมากมาย แต่ไม่มีใครแนะนำให้สำรวจเส้นทางเลย!
ถ้าพวกเขาอยู่ถ้ำใต้ดิน ฉันไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะเก็บศพพวกเขาไว้ที่ไหน
ทำหยั่งกับว่าเรื่องนี้ไม่เคยสอนในคลาสปกติ โดยเฉพาะสาขากลยุทธ์และยุทธวิธี มันเป็นคลาสหลักด้วยซ้ำ…
ตอนนี้เหมือนความรู้ที่พวกเขาได้มาจากตำราหายจากหัวไปหมดแล้ว
อาจารย์จากจิงอู่เสนอ อันที่จริงเหตุผลหลักคือพวกเขาประเมินคู่ต่อสู้ต่ำไป คิดว่าผู้ฝึกยุทธลัทธิชั่วมีฝีมือไม่เท่าไหร่ มันเป็นเพราะผู้ฝึกยุทธขั้นสาม 4 คนเมื่อคืนที่มาซุ่มโจมตีแล้วถูกสังหารด้วย ทุกคนเลยเกิดความคิดที่ว่า ไม่ผู้ฝึกยุทธลัทธิชั่วหนีไปก็ต้องเฝ้าระวังรอพวกเขาไปหาอยู่นิ่งๆ
นักศึกษามหาลัยวิชายุทธเกือบ 300 คนร่วมมือกัน อาจไม่ใช่ว่าพวกเขาไม่คิดสำรวจเส้นทาง เป็นไปได้ว่าพวกเขารู้สึกว่ามันไม่จำเป็น…
ถังเฟิงเคาะโต๊ะเบาๆ พิจารณาอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดขึ้นมา งั้นก็ถือว่ามันเป็นบทเรียน ครั้งหน้าพวกเขาจะได้ไม่ทำพลาดอีก
พอเรากลับไป เราควรเพิ่มบทลงโทษ
ถ้าพวกเขาได้ไม่ถึงคะแนนขั้นต่ำก็แปลว่าพวกเขาแข็งแกร่งไม่พอ ถ้าพวกเขาไม่มีความสามารถแล้วไม่มีจุดแข็งด้านอื่นอีก เราก็ต้องกดดันพวกเขาเพิ่ม
แม้จะมีปัญหาด้านอื่น แต่ถ้าพวกเขาแข็งแกร่งพอสังหารศัตรูที่แข็งแกร่งสักสองสามคน พวกเขาก็มีคะแนนเกินคะแนนขั้นต่ำแล้ว
ความแข็งแกร่งที่เพียงพอเป็นความสามารถที่จำเป็นต่อการเอาชีวิตรอด
อย่างไรก็ตามคนที่ขาดทั้งความแข็งแกร่งและความรอบคอบเป็นจำพวกที่เสียชีวิตไวที่สุด
ตกลง
…