บทที่ 172 ไว้ชีวิตพวกคุณสักครั้ง
“ใครอนุญาตให้พวกคุณยืนขึ้นมา?”
เนี่ยเฟิงหรี่ตา
“ไอ้เด็กเมื่อวานซืนแบบแกอย่ารังแกคนอื่นให้มันมากนัก หรือแกจะให้พวกเราคุกเข่าลงหรือไง?!”
“คนอื่นก็คุกเข่ากันหมดแล้ว ลูกชายของคุณนอนกองอยู่ตรงนั้น แล้วทำไมคุณถึงไม่คุกเข่าล่ะ? หือ?”
เนี่ยเฟิงถามออกไป
“พวกเราอาวุโสกว่าแกนะ!”
“ทานโทษนะครับ คนตระกูลเนี่ยของพวกเราตายไปหมดแล้ว บรรพบุรุษผู้อาวุโสต่างๆก็ไม่มีแล้ว ตอนนี้คนที่ใหญ่ที่สุดในตระกูลเนี่ยก็คือผม อีกอย่างพวกคุณกล้าดียังไงเรียกตัวเองว่าเป็นผู้อาวุโส ไปเอาความกล้ามาจากไหน?”
พอเนี่ยเฟิงพูดออกมาแบบนี้ หลันหยิงกับโหวฟู่กุ้ยทั้งสองคนก็ไม่กล้าพูดแย้งต่อ
“ความอดทนของผมมีจำกัด พวกคุณยิ่งยืดเยื้อเท่าไร ความเจ็บปวดทรมานที่ลูกชายของพวกคุณได้รับก็จะยิ่งมากขึ้นเท่านั้น อย่ามาโทษว่าผมไม่ให้โอกาสพวกคุณก็แล้วกัน”
พวกเขาสองสามีภรรยามองตากัน หลังจากผ่านไปอยู่นานสองนานจึงได้คุกเข่าลงด้วยความอับอายถึงขีดสุด
“ทำแบบนี้ตั้งแต่แรกก็จบไปนานแล้ว ผมไม่ค่อยชอบพูดคุยจ้องตาในระดับเดียวกันกับคนอื่นเท่าไร โดนเฉพาะคนแบบพวกคุณ ผมไม่ชอบแววตาที่มองผม”
เนี่ยเฟิงยิ้มกว้าง รอยยิ้มนี้ทำให้เห็นแล้วชวนขนลุกสุดๆ
“เอาล่ะ ตอนนี้ผมจะถามพวกคุณสองสามคำถาม ถ้าให้ดีพวกคุณยอมบอกผมอย่างตรงไปตรงมาซะ ตอนที่ผมมีความอดทนก็เป็นคนปกติคนหนึ่งนี่แหละ แต่ตอนที่หมดความอดทนเมื่อไรผมก็จะเหมือนกับสัตว์ป่าดุร้ายทันที ถึงตอนนั้นรับรองเลยว่าผมจะต้องพลั้งมือทำอะไรลงไปอย่างแน่นอนแน่นอน ดังนั้นพวกคุณต้องซื่อสัตย์หน่อยนะ อย่าถ่วงเวลาคนอื่นเขา”
เนี่ยเฟิงไอกระแอมๆ ก่อนจะพูดขึ้น“สถานฝึกยุทธเฮยหลงมีความเกี่ยวข้องกับพวกคุณใช่ไหม?”
“ใช่……”
“ถ้าอย่างนั้นพวกคุณรู้จักสี่ตระกูลตัวพ่อแห่งเมืองจินไห่ใช่ไหม?”
โหวฟู่กุ้ยกับหลันหยิงทั้งสองสบตากัน จากนั้นก็พยักหน้า พวกเขาเป็นคู่หูทางธุรกิจกัน แต่ก่อนหน้านี้พวกเขาสี่ตระกูลยักษ์ใหญ่เผชิญกับภัยพิบัติร้ายแรง ทยอยกันล้มละลายลงไป จากนั้นพวกเขากับเมืองจินไห่ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก
“ในเมื่อรู้จักพวกเขา พวกคุณก็รู้เรื่องที่เกิดขึ้นกับตระกูลเนี่ยสิ ถ้าอย่างนั้นผมมีเรื่องเรื่องหนึ่งที่อยากถามพวกคุณสักหน่อย เรื่องคดีร้ายแรงบนทะเลของตระกูลเนี่ย พวกคุณได้มีการเข้าร่วมด้วยไหม?”
โหวฟู่กุ้ยสีหน้าสับสนมึนงง“คดีร้ายแรงบนทะเลอะไร? เรื่องที่ตระกูลเนี่ยของพวกแกเจอกับเรื่องเรื่องนี้มันเกี่ยวข้องอะไรกับพวกฉันด้วย? หรือแกคิดว่าพวกฉันเป็นศัตรูคู่อริที่ฆ่าล้างทั้งตระกูลของพวกแก?”
“ใช่น่ะสิ ไม่อย่างนั้นผมจะกล้าไปท้าทายทำไมล่ะ?”
เนี่ยเฟิงยกไหล่“สถานฝึกยุทธเฮยหลงเป็นข้อมูลสุดท้ายที่ตระกูลฟางให้กับผม ฟางหลงเทียนบอกกับผมไว้แล้ว ว่าคนที่เขาติดต่อคนนั้น ถึงแม้ว่าจะอำพรางตัวตนในตอนแรก แต่เขาก็รู้ว่าอีกฝั่งสนิทสนมกับสถานฝึกยุทธเฮยหลงอย่างมาก ในเมื่อเป็นแบบนี้ พวกคุณก็ต้องเกี่ยวข้องกับคดีร้ายแรงบนทะเลแน่ๆ”
หลันหยิงกับโหวฟู่กุ้ยทั้งสองมองหน้ากัน ก่อนจะส่ายหัวพร้อมกัน“พวกฉันไม่รู้เรื่องพวกนี้เลยสักนิด พวกฉันไม่มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับคดีร้ายแรงบนทะเลเลย!”
เนี่ยเฟิงหรี่ตา“มาถึงขั้นนี้แล้ว พวกคุณยังคิดที่จะโกหกอีกเหรอ?”
“เปล่านะ!พวกฉันไม่มีเจตนาจะโกหก!”
ลูกชายสุดที่รักของพวกเขาทั้งสองคนตอนนี้ถูกทับอยู่ใต้เตียงผู้ป่วย ไม่รู้ว่าเป็นตายร้ายดียังไงบ้าง พวกเขาทั้งสองคนจะโกหกไปทำไม?
“ในเมื่อเป็นแบบนี้ ถ้าอย่างนั้นข้อมูลและสมาชิกทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับสถานฝึกยุทธเฮยหลงพวกคุณก็ไม่จำเป็นต้องรายงานให้ผมทราบแล้ว”
หลังจากที่เนี่ยเฟิงพูดจบก็เอาเท้าออก“แม้ว่าผมจะเกลียดโหวหย่ง แต่ผมก็เป็นคนที่เจรจากันดีๆได้ ขอแค่พวกคุณยอมเชื่อฟังแต่โดยดี ผมก็จะไว้ชีวิตโหวหย่งไปสักครั้งก็แล้วกัน”
เนี่ยเฟิงพูดจบก็ก้มตัวลงไปเล็กน้อย ให้พวกเขาทั้งสองสามีภรรยารู้สึกกดดันมากขึ้น
“ได้ยินแล้วใช่ไหม?”
สองสามีภรรยาทำงานหาเลี้ยงชีพมาเกินครึ่งชีวิต ความลำบากและอุปสรรคต่างๆก็ไม่เคยเจอมาก่อน แต่พอมาเจอกับเนี่ยเฟิง พวกเขาทั้งสองจึงเกิดความรู้สึกกลัวขึ้นมาในใจ
พวกเขาทั้งสองพยักหน้าอย่างทันที
“ดีมาก ถ้าอย่างนั้นผมก็จะรอข่าวคราวจากพวกคุณก็แล้วกัน”
เนี่ยเฟิงพูดจบก็จากไปอย่างหยิ่งผยอง ในเวลานี้เองโหวฟู่กุ้ยกับหลันหยิงก็ล้มลงที่พื้นราวกับหมดเรี่ยวหมดแรง
“ลูก!ลูกรัก!”
โหวฟู่กุ้ยและหลันหยิงจึงได้มีการตอบสนองกลับมา พวกเขาสองคนและพวกคนที่อยู่ข้างๆอีกสามสี่คนช่วยกันยกเตียงขึ้นมา คิดไม่ถึงว่าโหวหย่งที่อยู่ด้านใต้จะเป็นลมไปเสียแล้ว
พวกเขาจึงรีบเรียกหมอมาทันที แม้ว่าอาการจะดูฉุกเฉิน แต่ก็ไม่ได้หนักหนาอะไรมากนัก
พออาการของลูกชายกลับมาคงที่แล้ว โหวฟู่กุ้ยกับหลันหยิงจึงนั่งลง พร้อมกับถอนหายใจออกมาหนึ่งที
“คุณสามี คุณว่าพวกเราควรจะทำยังไงกับเรื่องนี้ดี?”
“ผมจะไปรู้ได้ไงล่ะ ตอนแรกนึกว่าหมอนี่จะจัดการง่ายๆ แต่ไม่คิดว่าจะแข็งแกร่งขนาดนี้ ขนาดอาจารย์ระดับขั้นเทพยังสู้มันไม่ได้เลย……”
“หรือพวกเราจะไปแจ้งตำรวจดี?!”
หลันหยิงหันไปมองโหวฟู่กุ้ย โหวฟู่กุ้ยกลับส่ายหัว“แจ้งตำรวจไม่ได้ ในมือของมันมีใบรับรองของโรงพยาบาลอยู่ อีกอย่างเมื่อคืนก็มีพยานบุคคล……ไอ้หมอนั่นฝีมือน่ากลัวขนาดนั้น การที่จะหาตัวพวกคนเมื่อคืนให้เจอ แล้วบังคับให้พวกเขาเชื่อฟังและทำตามแต่โดยดี สำหรับมันแล้วไม่ใช่เรื่องยากอะไรเลย!”
“อันนั้นก็ไม่ได้ อันนี้ก็ไม่ดี หรือจะให้พวกเรายืนดูลูกรักของพวกเราโดนรังแกต่อหน้าต่อตาแบบนี้หรือไง?”
หลันหยิงพูดจบก็พุ่งเข้าไปซบโหวฟู่กุ้ยร้องห่มร้องไห้
“คุณลองไปถามพี่สาวของคุณดีไหมล่ะ คิดๆดูว่าจะทำยังไงกับเรื่องนี้ดี? อีกอย่างที่ไอ้หมอนั่นต้องการก็คือความจริงของคดีร้ายแรงที่เกิดขึ้นในตอนนั้นไม่ใช่เหรอ?”
“พวกเราไม่รู้เรื่องคดีร้ายแรงอะไรที่เกิดขึ้นในตอนนั้นเลยสักนิด……”
หลันหยิงขมวดคิ้ว แล้วพี่สาวของตัวเองจะรู้เรื่องนี้เหรอ?
“พี่สาวของคุณเก่งกาจมีอำนาจบารมีไม่ใช่เหรอ? ทั้งตระกูลหลันอยู่ในกำมือของเธอ คุณไปขอร้องเธอสักหน่อยสิ เธอจะต้องบอกกับคุณแน่ๆ!”
ตอนนี้โหวฟู่กุ้ยก็อับจนหนทาง ดันไปยุแหย่คนจริงไม่สนใครหน้าไหนทั้งนั้นเข้าเสียแล้ว เขาจะทำยังไงได้อีก?
“เอาเถอะ ฉันจะรีบโทรไปคุยกับพี่สาวตอนนี้เลยแล้วกัน”
หลังจากที่หลันหยิงพูดจบแล้วก็ยกมือถือขึ้นมา โทรไปยังเบอร์พี่สาวของตนเอง ส่วนในเวลานี้คุณนายผู้ดีคนหนึ่งที่อาศัยอยู่ในสิ่งก่อสร้างที่สวยสง่างามราวกับพระราชวัง หยิบโทรศัพท์ขึ้นมา
“หยิงหยิงว่ายังไง?”
พอได้ยินน้ำเสียงที่อ่อนโยนของพี่สาวตัวเองดังเข้ามา หลันหยิงก็ร้องไห้อย่างช่วยไม่ได้พร้อมกับพูดขึ้น“พี่!แย่แล้ว เสี่ยวหย่งของตระกูลพวกเราถูกรังแก!”
“เธออย่าเพิ่งกระวนกระวายไป ค่อยๆพูด ใครมันช่างกล้าหาญชาญชัยขนาดนั้น ถึงได้กล้ามารังแกเสี่ยวหย่งของพวกเรา?”
“เศษเดนของตระกูลเนี่ย!เสี่ยวหย่งเผลอไปยุแหย่เข้ากับผู้หญิงของมัน ตอนนี้มันก็เลยมาเอาเรื่องถึงที่ เสี่ยวหย่งก็ได้รับบาดเจ็บสาหัส ฉันเห็นแล้วเจ็บปวดหัวใจสุดๆ!”
หลันหยิงพูดพลางร้องห่มร้องไห้ จากนั้นก็พูดขึ้นต่อ
“มันสงสัยว่าสถานฝึกยุทธเฮยหลงกับคนที่ฆ่าล้างทั้งตระกูลของมันจะเกี่ยวข้องกัน ตอนนี้ฉันก็ไม่รู้ว่าจะยังไงดี ตอนนี้มันให้ฉันหาข้อมูลทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับสถานฝึกยุทธเฮยหลงให้กับมัน ถ้าไม่ทำมันก็จะมาลงกับพวกเราแทน!”
“เป็นคนที่น่าเกลียดน่ากลัวจริงๆ”
“ตอนนี้ฉันอับจนหนทาง เสี่ยวหย่งถูกมันทำซะเป็นสภาพแบบนี้ คงจะไม่ได้สืบสกุลไปรุ่นต่อไปแล้ว ตระกูลโหวหมดสิ้นกันเท่านี้……”
“เอาล่ะๆ ไม่ต้องร้อง ฉันจะเชิญหมอที่ดีที่สุดมารักษาเสี่ยวหย่งเอง ส่วนเศษเดนนั่น เธอก็แสร้งทำเป็นให้ข้อมูลให้มันตายใจไปก่อนก็พอ เดี๋ยวต่อจากนั้นฉันจะหาวิธีให้เอง”
“ฉันทราบแล้ว ฉันจะทำอย่างระมัดระวัง ขอบคุณพี่มากค่ะ!”
“พวกเราสองพี่น้องไม่ต้องพูดขอบคุณกันหรอก เอาล่ะ ฉันวางสายก่อนแล้วกัน”