ทำให้สายการบินจินไห่ล้มละลายภายในสามนาที?เมื่อได้ยินคำพูดนี้ ทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์ก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา
เพราะมันน่าขำมากๆ
“พ่อหนุ่มน้อย เธอคิดว่าตัวเองกำลังแสดงหนังอยู่ใช่ไหม?ทำไมคุณถึงกล้าพูดแบบนี้?”
มีคนในสหพันธ์สายการบินอดไม่ได้ที่จะหัวเราะเยาะเนี่ยเฟิง
“ฉันนึกว่าคุณจะพูดอะไรได้มากกว่านี้ ไม่คิดเลยว่าคุณจะพูดโอ้อวดขนาดนี้ ไม่ไหวแล้ว ฉันหัวเราะจนอยากจะอ้วกออกมาแล้ว!”
ใบหน้าของเนี่ยเฟิงเหมือนจะยิ้มแต่ไม่ยิ้มและมองคนพวกนั้นที่หัวเราะจนเกินจริง
โจวลี่ซืออดไม่ได้ที่จะดึงแขนเสื้อของเนี่ยเฟิง“เสี่ยวเฟิง พวกเรากลับกันเถอะ?ฉันไม่สมัครงานแล้ว!”
โจวลี่ซือทนไม่ได้ที่จะให้เนี่ยเฟิงต้องโดนคนอื่นดูถูกและเธอไม่ต้องการให้เนี่ยเฟิงกลายเป็นเป้าหมายให้คนอื่นกลั่นแกล้งเพราะเธอ
เนี่ยเฟิงปลอบใจโจวลี่ซือว่า:“ไม่เป็นไร ฉันเคยพูดแล้ว เธอมีฉันอยู่ ไม่มีใครกล้ารังแกเธอแน่นอน”
“เนี่ยเฟิง คุณคิดว่าตัวเองเป็นใคร?สายการบินจินไห่ยังไงซะก็เป็นองค์กรธุรกิจ!และได้รับการคุ้มครองจากตระกูลซ่าว ถึงแม้คุณจะสามารถเชิญเทวดาลงมาได้ คุณก็ไม่สามารถทำให้สายการบินจินไห่ล้มละลายได้!”
ซ่าวเจ๋สงสัยว่าเนี่ยเฟิงได้รับการยั่วยุมากจนเกินไป สมองเพี้ยนไปแล้ว มิฉะนั้นเขาจะพูดเรื่องน่าขำเช่นนี้ได้อย่างไร?
อย่างไรก็ตาม ในเวลานี้ จู่ๆก็มีสายโทรศัพท์โทรมาหาประธานกรรมการบริษัทสายการบินจินไห่ เขารับสายโทรศัพท์ด้วยความงุนงง:“มีเรื่องอะไร?โทรมาหาฉันตอนนี้ทำไม?ฉันเคยบอกคุณแล้วไม่ใช่เหรอ?ตอนนี้ฉันอยู่ที่งานนิทรรศการจัดหางาน!อะไรนะ?คุณพูดอะไร?!”
จู่ๆใบหน้าของเขาก็ขาวซีด เขากลืนน้ำลายตัวเองอย่างยากลำบาก“เป็นไปไม่ได้!”
ซ่าวเจ๋เห็นใบหน้าอันแย่ของน้าตัวเอง เขารู้สึกประหลาดใจ“คุณน้า คุณเป็นอะไร?”
“ผู้บริหารระดับสูงของสายการบินจินไห่ถอนการลงทุน!ฉันต้องรีบกลับไปเดียวนี้!”
ถ้าพวกเขาทั้งหมดถอนการลงทุน งั้นบริษัทคงขาดสภาพคล่องทางการเงินแน่นอน บริษัทต้องแย่แน่ๆเลย
“เฮ้อ?”ซ่าวเจ๋รู้สึกงงๆ
“ใครคือคนต่อไปดีนะ?”
เนี่ยเฟิงเหลือบมองไปที่ทุกคน พวกเขาทั้งหมดมีความรู้สึกไม่ดีเกิดขึ้น พวกเขาก็ไม่ค่อยแน่ใจว่าเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นฝีมือของเนี่ยเฟิงหรือเปล่า
พวกเขาทุกคนต่างใช้สายตามองหน้ากัน
“เธอไม่ต้องมาข่มขู่ฉัน!ฉันไม่กลัวคุณหรอก!”
ซ่าวเจ๋ไม่เชื่อว่าคนอย่างเนี่ยเฟิงจะมีความสามารถและอำนาจขนาดนี้!
“เมื่อกี้พวกคุณทำให้ซือซืออารมณ์ไม่ดี งั้นฉันพูดตรงๆ ฉันจะทำให้สหพันธ์สายการบินของพวกคุณไม่สามารถยืนหยัดต่อไปได้”
เนี่ยเฟิงดีดนิ้วตัวเอง มันเหมือนเวทมนตร์ หลังจากนั้นไม่นาน โทรศัพท์มือถือของพวกเขาก็ดังขึ้น
หลังจากรับสายโทรศัพท์ผู้สัมภาษณ์ของสายการบินอื่นๆ สีหน้าแย่มากๆ พวกเขาต่างมองไปที่ซ่าวเจ๋ และสุดท้ายก็ก้มศีรษะลงและพูดว่า:“ได้ครับได้ครับ พวกเราจะกลับเดียวนี้”
พวกเขาจากไปโดยไม่ได้กล่าวคำอำลาอะไรเลย
ซ่าวเจ๋เห็นพวกเขาที่จากไป พูดอย่างกระตือรือร้นว่า:“นี่!พวกคุณจะไปไหน!พวกคุณไม่ต้องการเงินปันผลแล้วเหรอ!ลืมไปแล้วเหรอว่าพวกคุณทำงานให้ใคร!หยุดเดียวนี้!นี่!”
“ไม่ต้องเรียกแล้ว พวกเขาไม่กลับมาแน่ๆ” เนี่ยเฟิงยิ้มออกมา“เป็นอะไร?คุณรู้สึกกลัวใช่ไหม?”
ซ่าวเจ๋ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น โดยทั่วไปคนพวกนี้จะคอยประจบเขาแต่วันนี้พวกเขาหนีไปทีละคนสองคน มันเป็นเรื่องน่าแปลกใจมากๆ
พวกเขาจะไปไหน?หรือว่าพวกเขาไม่อยากอยู่ที่นี่อีกต่อไป?
“ต้องกลัวอะไร!คุณคิดว่าตัวเองเป็นใคร?คุณคิดว่าที่โทรศัพท์มือถือของพวกเขาดังขึ้นเกี่ยวกับคุณเหรอ?น่าขำจริงๆ!”
ซ่าวเจ๋พูดออกมาแบบไม่พอใจ คราวนี้คุณก็แค่โชคดี!
“เธอมั่นใจในตัวเองมาก?”
เนี่ยเฟิงมองไปที่ซ่าวเจ๋ด้วยสีหน้าที่มีรอยยิ้ม แต่ดูเหมือนเขาฝืนยิ้ม เมื่อซ่าวเจ๋มองเห็นรอยยิ้มของเนี่ยเฟิง ทำให้เขารู้สึกตื่นเต้นและหวาดกลัวมากๆ
“ฉันมั่นใจในตัวเองแล้วคุณจะทำไม?พวกเขามีเรื่องด่วนในวันนี้แน่ๆ!อย่าคิดว่าคุณทั้งสองคนจะหนีไปได้!ฮึ!”
ซ่าวเจ๋ดัดจริตพูดคำนี้ออกมา จากนั้นหันหลังจากไป
แต่เนี่ยเฟิงกลับพูดว่า:“จะจากไปแบบนี้เลยเหรอ?ทำไมไม่มีความเย่อหยิ่งจองหองเหมือนเมื่อสักครู่ละ?”
“เนี่ยเฟิง!นี่ฉันยอมปล่อยคุณไปนะ!คุณไม่รู้จักผิดชอบชั่วดีเหรอ!”ซ่าวเจ๋เป็นคนอารมณ์ร้าย ครั้งที่แล้วโดนเนี่ยเฟิงทำให้อับอายขายหน้า เขาโกรธและไม่สามารถรับได้ คราวนี้เนี่ยเฟิงจงใจพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าเขา ทำให้ซ่าวเจ๋โกรธมากขึ้น ไม่ว่าจะทำยังไงเขาก็ต้องสั่งสอนเนี่ยเฟิงสักครั้ง!
“คุณจะปล่อยฉันไป?น่าเสียดายที่ฉันไม่อยากปล่อยคุณต่างหาก คราวที่แล้วผมไว้หน้าคุณ คราวนี้คุณหน้าด้านเองก็อย่าหาว่าผมไม่เกรงใจแล้วกัน ”
เนี่ยเฟิงหรี่ตาแล้วมองไปที่ซ่าวเจ๋ ซ่าวเจ๋รู้สึกร่างกายหนาวสั่นเมื่อเห็นสายตาของเนี่ยเฟิง
แต่ซ่าวเจ๋ก็ยังชูคอขึ้นและพูดว่า:“ฉันก็อยากจะรู้ว่าคุณจะไม่เกรงใจยังไง!”
“ซ่าวเจ๋ คุณเชื่อหรือไม่ว่าฉันสามารถทำให้คุณคุกเข่าขอความเมตตาได้ในทันที?ถ้าตอนนี้คุณขอโทษแฟนฉัน ฉันอาจจะพิจารณาให้คุณไม่ต้องคุกเข่าขอโทษก็ได้”
ซ่าวเจ๋เหมือนได้ยินเรื่องน่าขำมากๆ“คุณคิดว่าตัวเองเป็นใคร!คุณกล้าดียังไงมาพูดกับฉันแบบนี้?”
“ดูเหมือนว่าคุณไม่อยากคุกเข่าขอโทษ?งั้นฉันก็ไม่อยากพูดอะไรไร้สาระกับคุณอีก”
เนี่ยเฟิงยิ้มอย่างเย็นชา ในขณะที่ซ่าวเจ๋กำลังจะโต้เถียง เวลานี้โทรศัพท์มือถือของเขาก็ดังขึ้น
“รอฉันรับสายโทรศัพท์นี้ก่อนแล้วฉันจะกลับมาสั่งสอนคุณ!”
ซ่าวเจ๋ใช้สายตาข่มขู่เนี่ยเฟิง จากนั้นก็รับสาย และได้ยินเสียงตะคอกด่าของพ่อตัวเองดังมาในสาย:“แม่งเอ๊ย!ไอ้ลูกสารเลวแกไปล่วงเกินผิดใจใครที่ไหนไว้!ยังไม่รีบไปคุกเข่าขอโทษเขาอีก!”“คุณพ่อ!คุณพูดอะไรนะ?”ซ่าวเจ๋รู้สึกงุนงง ทำไมพ่อต้องพูดกับเขาแบบนี้?มันเป็นเรื่องน่าแปลกจริงๆ?
“แกอย่าพูดอะไรไร้สาระอีก!รีบไปคุกเข่าขอโทษ!ไม่งั้นพวกเราคงต้องเดือดร้อนเพราะแก!”
เมื่อซ่าวเจ๋ได้ยินคำตะคอกด่ามาจากปลายสาย เขาหันศีรษะมองไปที่เนี่ยเฟิงอย่างยากลำบาก
ใบหน้าของเนี่ยเฟิงแสดงรอยยิ้มเล็กน้อย“เป็นไง?”
ซ่าวเจ๋ไม่รู้ว่าเนี่ยเฟิงใช้วิธีการหรือกลอุบายอะไร แต่ตอนนี้เขาต้องทำตามที่เนี่ยเฟิงต้องการ
ซ่าวเจ๋รู้สึกขยะแขยงเหมือนกินแมลงวันเข้าไป แต่เขาก็ต้องคุกเข่า“ฉันขอโทษ!”
“คุณไม่ได้กินข้าวมาเหรอ?ทำไมน้ำเสียงถึงเบาขนาดนี้?”
ซ่าวเจ๋คุกเข่าลงพื้นขณะที่ทุกคนกำลังจ้องมองเขาอยู่ ทำให้เขาอับอายขายขี้หน้า แต่เนี่ยเฟิงไม่ได้คิดจะปล่อยซ่าวเจ๋ไปง่ายๆ
“ฉันขอโทษ!”
ซ่าวเจ๋พูดเสียงดังขึ้นมานิดหน่อย เนี่ยเฟิงหันหน้ากลับไปถามโจวลี่ซือ:“ซือซือ ได้ยินหรือยัง?”
โจวลี่ซือพยักหน้าอย่างงุนงง เมื่อเผชิญหน้ากับคำขอโทษอย่างกะทันหันของซ่าวเจ๋ โจวลี่ซือรู้สึกประหลาดใจ มันเกิดอะไรขึ้นกับซ่าวเจ๋กันแน่?
คนอย่างเขาไม่น่าจะกล่าวคำขอโทษคนอื่นเป็น
ซ่าวเจ๋รีบลุกขึ้นมา จ้องมองเนี่ยเฟิงด้วยดวงตาสีแดง เมื่อเห็นคนเหล่านั้นชี้มาที่ตัวเอง เขาก็ไม่สามารถทนอยู่ได้อีกต่อไป เห็นเขารีบวิ่งหนีไป
งานนิทรรศการจัดหางานตั้งแต่เมื่อสักครู่ก็เกิดเรื่องวุ่นวายขึ้น ตอนนี้บริษัทต่างๆก็กลับไปเกือบทั้งหมด และไม่มีเหตุการณ์ที่น่าสนใจให้ดู ทุกคนต่างแยกย้ายกลับบ้าน