ครั้นเมื่อเขากลับไปถึงห้องแล้ว ซูหยางก็พูดกับสองสาวว่า “ข้าจักออกไปชั่วขณะเพื่อจัดการกับธุระบางอย่าง พวกเจ้าสามารถรอที่นี่ได้ในช่วงเวลานั้น”
“ท่านจะออกไปอีกแล้วรึ แล้วที่บอกว่าจะพักผ่อน” ชิวเยวี่ยถาม
“ข้าได้พักผ่อนเพียงพอแล้วระหว่างที่อยู่ที่สถาบันสี่ฤดู” เขากล่าว
“ท่านจะไปไหน”
“ไปพบเพื่อนเก่า” เขาตอบกลับพร้อมรอยยิ้ม
“เพื่อนรึ..” ชิวเยวี่ยเลิกคิ้วด้วยความประหลาดใจ ตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่ซูหยางเป็นคนที่มีเพื่อนฝูง ต่อจากนั้นเธอก็นึกขึ้นได้ว่าคนที่ซูหยางถือว่าเป็น “เพื่อน” ของเขาล้วนเป็นหญิง
“อย่างนั้นรึ เช่นนั้นข้าขออวยพรให้ท่านสนุกกับเพื่อนของท่าน” เธอกล่าวด้วยเสียงประชดประชัน
ซูหยางยิ้มขมขื่นและกล่าวว่า “เจ้าเข้าใจผิดอะไรบางอย่างผิดไปเป็นแน่…”
อย่างไรก็ตามเมื่อเห็นชิวเยวี่ยหลับตาไม่สนใจเขาอีกต่อไป ซูหยางก็ไม่พยายามโน้มน้าวเธออีกต่อไป เขาหันไปมองดูเซียวลี่แทน
“เซียวลี่ เจ้าสามารถไปทำอะไรก็ได้ที่เจ้าต้องการจนกว่าข้ากลับ” เขากล่าวกับเธอ
เซียวลี่พยักหน้าและหายตัวไปจากห้องในทันที
“โอ ใช่แล้ว ชิวเยวี่ย ให้ข้ายืมยานบินของเจ้าหน่อยซิ เพียงแค่เรือไม้ก็พอแล้ว” เขากล่าวกับเธอ
ชิวเยวี่ยไม่ได้แม้กระทั่งจะลืมตาขึ้น เพียงโยนแหวนมิติของเธอไปให้ซูหยาง บอกเขาให้หาเอง
ซูหยางไม่สนใจพฤติกรรมของเธอและนำเอาเรือไม้ออกมาก่อนที่จะคืนแหวนมิติให้กับเธอ
“ข้าจักไปไม่นานนัก” เขากล่าวก่อนที่จะจากไป
สิ่งแรกที่เขาทำหลังจากที่ออกไปก็คือไปลงทะเบียนชิวเยวี่ยและเซียวลี่ในฐานะ “คนรับใช้” ของเขาที่สำนักบริหาร วิธีนี้พวกเธอก็จะไม่ถือว่าเป็นคนน่าสงสัยสำหรับนิกายเมื่อเขาไม่อยู่
หลังจากลงทะเบียนชื่อพวกเธอแล้ว ซูหยางก็ออกไปรับภารกิจใหม่
อย่างไรก็ตามในเมื่อเขาได้รับภารกิจก่อนหน้านี้เป็นข้ออ้างที่จะออกจากนิกาย ซูหยางต้องเพิกภารกิจนั้นและถือว่าเป็นภารกิจที่ล้มเหลว
และเพราะว่าภารกิจนั้นถือว่าแสนง่าย ผู้อาวุโสนิกายจึงมองซูหยางด้วยใบหน้าท่าทางที่แปลกประหลาด หลังจากที่รู้ว่าเขาล้มเหลวภารกิจที่แสนง่ายดายนั้น
“จเจ้าล้มเหลวภารกิจนี้ แม้ว่ามันจะใช้เวลาอยู่บ้างเพื่อให้สำเร็จ แต่ภารกิจนี้ไม่ได้ยากเลย…อีกทั้งเจ้าก็เป็นถึงศิษย์ใน…”
ซูหยางเพียงยักไหล่และกล่าวว่า “ทุกสิ่งเกิดขึ้นได้”
ผู้อาวุโสนิกายแอบส่ายหน้าและยอมรับภารกิจอื่นของเขา
ครั้นเมื่อทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว ซูหยางก็ออกไปจากนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยและใช้ยานบินที่เขาได้จากชิวเยวี่ยทะยานไปบนท้องฟ้า
–
–
ภายในห้องของเธอ โหลวหลานจีครุ่นคิดหาวิธีที่จะ “ลงโทษ” ซูหยางที่ฝ่าฝืนกฏนิกาย ถ้าจะพูดไป เหตุผลที่แท้จริงที่เธอต้องการลงโทษซูหยางก็คือต้องการเอาคืนเขาเพราะว่าเธอถูกตะโกนด่าโดยตระกูลซูสำหรับความเลินเล่อของเธอ
“ตระกูลซูเลวนั่น ข้าจะทำหน้าที่ในฐานะเจ้าสำนักได้อย่างไรตั้งแต่แรก ถ้าข้าต้องเฝ้าคอยระวังเจ้าเด็กบ้านั่นทุกวินาที นั่นไร้เหตุผลที่สุด เพียงแค่เจ้าสนับสนุนทรัพยากรเพียงเล็กน้อยมิได้หมายความว่าเจ้าสามารถสั่งให้ข้าทำอะไรก็ได้”
ถ้าตระกูลซูไม่ได้เป็นหนึ่งในตระกูลใหญ่ทั้งสี่ที่มีพลังอำนาจมากมายเหนือกว่านิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยของเธอ เธอคงไม่สิ้นท่าเช่นนี้
“จะว่าไปแล้ว ทำไมซูหยางจึงสามารถไปถึงภาคเหนือได้ตั้งแต่ต้น” เธอครุ่นคิด
“และแม้ว่าข้ากล่าวว่าจะลงโทษเขา อะไรจึงจะถือเป็นการลงโทษที่เหมาะสมสำหรับคนแบบเขา”
เพราะว่าการลงโทษศิษย์ในแตกต่างจากการลงโทษศิษย์นอกเมื่อพวกเขาฝ่าฝืนกฏนิกาย และในเมื่อซูหยางเป็นศิษย์ใน เธอต้องใช้เวลาครุ่นคิดอย่างจริงจังชั่วขณะ
ปกติแล้วเมื่อศิษย์ของนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยฝ่าฝืนกฏนิกาย พวกเขาจะถูกห้ามฝึกวิชาคู่ชั่วระยะเวลาหนึ่ง และการลงโทษเช่นนั้นอาจจะเป็นวันจนถึงเป็นเดือน อย่างไรก็ตามในเมื่อซูหยางเป็นตัวตนที่พิเศษในใจของโหลวหลานจี เธอไม่อาจทำอะไรเขาได้เช่นเดียวกับศิษย์คนอื่น
หลังจากใช้เวลาหลายนาทีครุ่นคิด สุดท้ายโหลวหลานจีก็ได้ความคิดว่าอะไรที่ควรเป็นการลงโทษซูหยาง
“ใช่แล้ว ข้าสามารถบอกให้เขาทำเช่นนั้น”
โหลวหลานจีกลับไปยังที่พักซูหยางอย่างรวดเร็วเพื่อที่จะให้บทลงโทษเขา
ครั้นเมื่อเธอไปถึงที่พักของเขา โหลวหลานจีคาดหวังว่าซูหยางจะออกมาเมื่อเธอเรียกอยู่ข้างนอก แต่น่าเสียดายกลับเป็นชิวเยวี่ยที่ปรากฏตัวต่อหน้าเธอ
“ข-เขาไปข้างนอก” โหลวหลานจีมองดูอีกฝ่ายด้วยท่าทางงุนงงเมื่อรู้ว่าซูหยางออกไปแล้ว
“ไหนว่าจะพัก นี่ยังไม่ถึงชั่วโมงตั้งแต่ข้าปล่อยเขาไว้คนเดียว” เธอคิดในใจ
“เจ้ารู้ไหมว่าเขาไปไหน” เธอถามชิวเยวี่ย
ชิวเยวี่ยส่ายหน้า
“อ-อย่างนั้นรึ…”
ในเมื่อซูหยางไม่ได้อยู่ที่นี่ การลงโทษเขาก็จะต้องรอจนกระทั่งเขากลับมา
อย่างไรก็ตาม โหลวหลานจีไม่ได้จากไปในทันทีและเริ่มพูดกับชิวเยวี่ยแทน “เจ้าเป็นคนรับใช้ของเขาใช่ไหม เขาดูแลพวกเจ้าเป็นอย่างไร เจ้ามาจากภาคเหนือใช่หรือไม่” เธอถามอีกฝ่ายด้วยท่าทีใต่สวน ดูเหมือนว่าเธอสนใจในความสัมพันธ์ระหว่างพวกเธอกับเขา โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพวกเธอปรากฏขึ้นโดยไม่มีวี่แวว
“…”
ชิวเยวี่ยมองดูโหลวหลานจีด้วยท่าทางรำคาญ เธอไม่มีความตั้งใจที่จะมาพูดเล่นกับอีกฝ่ายและตัดสินใจที่จะหยุดการสนทนานี้
ชิวเยวี่ยพลันโบกชายเสื้อผ่านหน้าโหลวหลานจี และไม่กี่วินาทีต่อไป โหลวหลานจีก็ล้มลงไปนอนบนพื้นด้วยท่าทางเป็นสุข ดูเหมือนหลับลึก
และด้วยการโบกชายเสื้ออีกครั้ง ชิวเยวี่ยก็ย้ายโหลวหลานจีที่หลับอยู่ออกไปจากบ้านจนกระทั่งอีกฝ่ายอยู่ในสถานที่ที่ห่างไกลออกไปก่อนที่เธอจะกลับไปยังห้องของตนเอง
ในวันนั้นบรรดาศิษย์หลายคนของนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยและผู้อาวุโสนิกายต่าพากันตกตะลึงและงุนงงที่พบโหลวหลานจี เจ้าสำนักของพวกเขา นอนอยู่ท่ามกลางเขตศิษย์นอกราวกับคนเมาหลังจากกินเลี้ยงมาทั้งคืน